ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แปลเพลงของ Mili + AWAAWA

    ลำดับตอนที่ #54 : sustain++; [แปลไทยโค้ด]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 271
      10
      12 พ.ค. 65

    เกริ่นก่อนว่าเราจะแทรกคำแปลเข้าไปแบบไม่สนใจภาษาโปรแกรมใดๆ ทั้งสิ้น (เพราะมันไม่ใช่โค้ดจริงๆ อยู่แล้วไงล่ะ! ถึงแทรกไปก็ไม่พังหรอก!) และขอออกตัวว่าเราไม่เคยเรียนเขียนโค้ดเลย 5555 หากท่านใดเรียนมาด้านนี้อยากเพิ่มเสริมอะไร พิมพ์มาในคอมเมนต์แล้วเราจะให้เครดิตค่ะ


     

    package extraLarge;

    /**

     * The goal of this program is to obtain a HEALTHY

     * and SUSTAINABLE relationship, darling.

     *

     * @author Cassie Wei from Mili

     */

    public class sustainPlusPlus {

    อย่างที่เคยโน้ตไว้ใน world.execute(me); ว่าการใส่ * เป็นการให้โปรแกรมอ่านข้ามบรรทัดนั้นไป ปกติใช้ไว้เขียนโน้ตหรือเตือนตัวเอง แคสซี่(momocashew)ใส่ * ไว้หน้าเนื้อร้องทุกบรรทัด เราแปลเนื้อร้องไว้ในตอนที่แล้ว

    คำแปลก็จะได้ประมาณนี้

    /**

     * เป้าหมายของโปรแกรมนี้คือการได้มาซึ่งความสัมพันธ์ที่

     * ดีและยั่งยืน ที่รัก.

     *

     * @ผู้เขียน Cassie Wei จาก Mili

    public class void main(String[] args){

    World world = new World();

    Life me = new Ghost();

    Life you = new Ghost();

    บรรทัดแรก public class void... อะไรนี่เรียกว่า "Java main method" 

    "เมธอด" คือคำสั่งบางอย่าง เวลาเราสร้างเมธอดขึ้นมาอันนึง เราจะเรียกมันจากตรงไหนก็ได้ไม่ต้องแปะโค้ดซ้ำๆ

    "เมน เมธอด" คือจุดแรกเริ่มของโปรแกรม เวลามันเข้ามา มันจะหาเมน เมธอดก่อน และเป็นการทำให้คลาสนี้สามารถดึงมาใช้งานได้ ซึ่งตัวนี้จะประกอบด้วย 4 ส่วนคือ

    public เป็นการอนุญาตให้โปรแกรมสามารถใช้เมธอดนี้ได้ 

    class เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม ใน public class กำหนดว่าจะต้องมีเมน เมธอดเสมอ

    void เป็นการตั้งไม่ให้เมธอดนี้ส่งค่ากลับมา เพราะเวลาเมน เมธอด execute เรียบร้อย โปรแกรมนั้นจะสิ้นสุดทันที ถึงมันส่งค่าอะไรมาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ฉะนั้นเลยต้องตั้งให้เมน เมธอดไม่ return อะไร

    main(String[] args) ตรงนี้มีสองอย่างคือ main เป็นชื่อของเมน เมธอด โปรแกรมจะได้หาเจอว่าเมธอดนี้อยู่ตรงไหน ส่วนที่อยู่ในวงเล็บเป็นตัวแปรเรียกว่า string array ซึ่งเราเข้าใจว่ามันคืออ็อบเจ็คกลุ่มหนึ่ง 

    ต่อมาเราคิดว่าน่าจะเป็นการสร้างอ็อบเจ็ค ได้แก่ โลกใหม่ ฉัน เธอ ซึ่งน่าสนใจตรงที่เค้าใช้ว่า "new Ghost" ถ้าใครดู Ghost in the Shell จะรู้ว่าโกสต์เป็นสิ่งที่จำแนกระหว่างคนกับเครื่องจักร มนุษย์มีโกสต์ เครื่องจักรไม่มี (แต่ไม่รู้ว่าที่จริงโกสต์คืออะไรกันแน่) โค้ดนี่เป็นการสร้าง "โกสต์" ขึ้นมาให้ปัญญาประดิษฐ์... เจ๋งมั้ยล่ะ 

    /**

    * If abstraction is the definition of beauty

    * Are those of us chasing after clarity

    * A representation of ugly?

    */

    world.getObjects().sortByAttribute("beauty");

    if (world.getObjects().getFirst().getArtTags().indexOf("abstract") !=-1){

    me.addPhysicalAttribute("ugly");

    you.addPhysicalAttribute("ugly");

    }

    world.giveBestAward("ugly",me);

    world.giveBestAward("ugly",you);

    (อันนี้เราเดาจากคำศัพท์ไม่ได้อ่านฟังก์ชั่นโค้ด) สำหรับเนื้อร้องที่ว่า "หากความเป็นนามธรรมคือนิยามของความงดงาม แสดงว่าพวกเราที่ไล่ตามความกระจ่างเป็นคนน่าเกลียดเหรอ?" ตัวโค้ดเขียนไว้ให้โลกเอา attribute หรือคือค่าที่สามารถเอามาใช้ได้ ค่าที่สั่งให้โลกไปเอาว่าคือ "ความงาม" ถ้าโลกได้อินเด็กซ์ของ "นามธรรม" มาก็ให้ใส่ค่าว่าฉันกับเธอนั้น "อัปลักษณ์"

    แล้วก็ให้โลกให้รางวัลที่ดีที่สุดกับ "อัปลักษณ์" ซึ่งก็คือฉันและเธอ

    !=-1 เป็นการบอกโปรแกรมว่านี่ยังไม่จบคำสั่งนะ ให้อ่านต่อไป (รึเปล่าหว่า...)

    /**

    * CALL ME MOMMY

    * JUST LIKE YOUR FANTASY

    * There is no crime in ideality

    */

    if (you.getFetishes().searchByType("name calling", "mommy") !=-1) {

    you.addToMemory(me);

    you.setNicknameFor(you.getMemory(me), "mommy");

    }

    Rule r = new Rule("Oedipus complex is okay", true);

    world.addRule(r);

    if เป็นคำสั่งให้ใช้โค้ดนี้ถ้า condition ของมันสามารถใช้ได้ ตรงนี้เขียนว่าเธอเอา fetish (เฟติช/ความใคร่สิ่งเฉพาะ) ที่เรียกว่า "name calling" (การเรียกคนอื่นด้วยฉายาหรือชื่อเล่นทางลบ) "mommy" (ในที่นี้เป็นการเรียกผู้หญิงฝ่าย dom หรือฝ่ายนำในกิจกรรม BDSM) เหมือนเป็นการตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองว่ามามี้

    บรรทัดล่างเป็นการเพิ่มกฎว่า "การมีปมเอดิเพิสนั้นไม่เป็นไร" ปมเอดิเพิสเป็นทฤษฎีทางจิตวิทยา (ย้ำว่าเป็นทฤษฎีเพราะมีคนค้านอยู่) ว่าเด็กๆ นั้นมีความปราถนาต่อบิดามารดาซึ่งเด็กเก็บกดไว้ (ปมเอดิเพิสจะเจาะจงว่าเป็นความต้องการของลูกชายต่อแม่ ถ้าเป็นของลูกสาวต่อพ่อจะเรียกปมอีเล็กตรา แต่บางส่วนก็บอกว่าเอดิเพิสใช้เรียกรวมๆ กันได้) ยกตัวอย่างง่ายๆ เคยเห็นเด็กผู้ชายติดแม่ไหมคะ? เด็กผู้ชายติดแม่บางส่วนจะเขม่นพ่อ อย่างน้อยชายเพื่อนเราติดและอ้อนแม่มากแต่ดันเรียกพ่อว่า "ตาแก่" นั่นล่ะตัวอย่างของปมเอดิเพิส 

    ถามว่าเอดิเพิสคือใคร... เขาคือชายผู้แต่งงานกับแม่ตัวเองโดยไม่รู้ว่านั่นคือแม่ของตน ลองกูเกิ้ลดูถ้าอยากอ่านเรื่องเต็ม 5555 

    /**

    * MUX>>>DEMUX

    * Can't you understand me?

    * I'm not mine NAND I'm not yours

    * Ah

    */

    try {

    you.decodeMessage(me.codeMessage("I'm not mine NAND I'n not yours.", "mux"), "mux");

    } catch (InsufficientIntelligenceQuotientException e) {

    world.sendMessage("Oh you dummy.", you);

    me.announce("Ah");

    }

    อันนี้ขำหน่อย คือมันสั่งให้เธอแปลประโยคที่ว่า "ฉันไม่ใช่ของฉัน NAND ฉันไม่ใช่ของเธอ" แต่เธอดันมีค่าความฉลาดไม่พอ เลยสั่งให้โลกส่งข้อความที่ว่า "โธ่ คนบ๊อง" ไปให้เธอ และให้ฉันประกาศว่า "อา"

    (จากตอนที่แล้วเราอธิบายว่า ประโยคนี้ที่จริงแปลว่า "ฉันเป็นของฉันและฉันเป็นของเธอ" 

    } catch เป็นการดักเออเรอร์ที่อาจเกิดขึ้น โปรแกรมจะได้ไม่ล่มถ้า IQ (Intelligent Quotient) เกิดไม่พอขึ้นมา

    /**

    * This could end right here if you don't let it out

    * Let it out

    */

    if (you.getThoughts().size() !=0) {

    try {

    you.sayTo(you.getThoughts(), me);

    you.clearThoughts();

    } catch (TooMuchOfAPussyException e) {

    world.getRelationship(me,you).end();

    }

    }

    มี catch มาอีกแล้ว ถ้าสมมุติเธอเป็นคนไม่มีสันหลังพอจะทำตามที่ขอก็ให้โลกจบความสัมพันธ์ของฉันและเธอ

    /**

    * Give up or give me your all

    * Tell me now

    * Tell me now

    */

    if (you.getMemories(me).getLove() <0.5 {

    world.getRelationship(me, you).setSustain(0);

    } else {

    you.tranferThoughts(me);

    you.tranferAttributes(me);

    // sustain++;

    world.getRelationship(me,you).increaseSustain();

    }

    ท่อนนี้เป็นการเพิ่มความยั่งยืนให้กับความสัมพันธ์ของเราสองคน แต่สังเกตว่าด้านหน้ายังมี // อยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ให้ย้ายความความคิดและค่าต่างๆ ของเธอมาที่ฉัน

    /**

    * If we can be completely simulated

    * Do we need a real reality?

    */

    Simulation s = new Simulation(me, world, 1993, 227760);

    if (s.compareToOriginal(me) == 100) {

    world.execute(me);

    }

    เป็นการเพิ่มการจำลองใหม่ด้วยฉัน โลก 1993 และ 227760 (ปล. 1993 เป็นปีเกิดของนักร้องนำวง Mili หรือก็คือคุณ momocaschew/Cassie Wei) 

    ท่อน if ไม่รู้คืออะไรครับ... ใครรู้ช่วยอธิบาย น่าจะเป็นการเชื่อมกับเพลง world.execute เพราะเป็นการเปรียบการจำลองนี้กับตัวฉันคนเดิม และให้โลกดำเนินการ "ฉัน"

    /**

    * Don't let words die, let love run dry

    * Like what we did to the rivers we killed off in the near future

    * Ah

    */

    for (int sustain = 0; sustain < world,getRiver().size(); sustain++) {

    me.sayTo("I love you", you);

    you.sayTo("I love you", me);

    }

    ก็เป็นการเพิ่มความยั่งยืน และให้ฉันกับเธอบอกรักกัน

    /**

    * And mumble some stupid stuff

    * Like

    * "I saw it coming"

    * Pretend it's not happening

    * Us losers do nothing so winners keep winning

    */

    String[] tags = {"stupid", "dumb", "petty", "ignorant"};

    world.mute(me, tags);

    world.mute(you, tags);

    for (Life them : world.getLifeTopOnePercent()) {

    me.fight(them);

    you.fight(them);

    }

    แท็ก "โง่" "ไร้สาระ" "จิ๊บจ๊อย" "ความโฉดเขลา" ก็ให้โลกทำให้เราทั้งสองคนเงียบไป (เหมือนจะให้หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว) จากนั้นให้โลกไปเอา LifeTopOnePercent หมายถึงท็อปหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของโลก หรือก็คือเหล่าคนรวยที่มีเพียงหยิบมือนั่นเอง จากนั้นก็สั่งให้ฉันและเธอสู้กับพวกนั้น

    /**

    * Sit 

    * Fetch your leash

    * DICTATED ECONOMY

    */

    me.command(you,"sit");

    me.command(you,"fetch");

    you.pay(me, you.getFinnaceProperties(), "educational purposes");

    เป็นการที่ฉันสั่งให้เธอนั่งและไปเอาสายจูง เธอให้ของทางการเงินของฉันเพื่อ "ประโยชน์ทางการศึกษา"

    /**

    * Show me

    * Your belly

    * FORGOTTEN ECOLOGY

    */

    me.command(you, "strip");

    me.command(you, "exhibit");

    world.addPollution("environmental", "indecency", you);

    ฉันสั่งให้เธอ "ถอดเสื้อผ้า" "โชว์" ให้โลกเพิ่มมลทิน "สิ่งแวดล้อม" "ความไร้ยางอาง" ไปที่เธอ (ว้าย แรง)

    /**

    * Stay

    * Okay, eat

    * HUMAN PSYCHOLOGY

    */

    me.command(you, "stay");

    me.command(you, "eat");

    you.love(me);

    อันนี้ค่อนข้างเคลียร์ "ฉัน" สั่งให้เธอ "นิ่ง" และ "กิน" ส่วนไอ้บรรทัดล่างนั่นสั่งกันโต้งๆ เลยให้ "เธอ" รัก "ฉัน"

    /**

    * g 0 0 d    b o i

    * Here's a treat

    * HUNGRY FOR ENERGY

    */

    me.praise(you, "Good boy.");

    me.gift(you, "meat");

    you.consumeLast();

    เป็นการสั่งให้ฉันชมเธอว่า "เด็กดี" และให้ของขวัญเป็น "เนื้อ" (ไม่แน่ใจว่า consumeLast คืออะไร กินทีหลังเหรอ???) 

    /**

    * We are searching

    * Following our human instincts

    * Looking for ghosts of the non-existing kind

    * Who make us whole from the very beginning

    */

    Ghost[] findings = world.search(me, "ghost");

    Ghost[] parents = new Ghost[2];

    for (Ghost g : findings) {

    me.addFamily(g);

    if (me.isHappy()) {

    if (parents[0] == null) {

    parents[0] = g;

    }

    else if (parents[1] == null) {

    parents[1] = g;

    }

    else {

    //IGNORED because 'me' is never happy

    //and will never be happy anyway

    }

    }

    me Family(g);

    }

    เป็นการที่เพิ่มครอบครัวเข้ามาในโลก (และเพิ่ม “โกสต์” ของครอบครัวเข้ามาด้วย “โกสต์” ในที่นี้เป็นศัพท์เฉพาะของเรื่อง Ghost in the shell ซึ่งเป็นอะไรที่คล้ายๆ กับวิญญาณ) แต่สุดท้ายไม่เวิร์กเลยเอาออกไป น่าสนใจตรง // เขียนว่า "เพิกเฉย เพราะ 'ฉัน' ไม่เคยมีความสุข และยังไงก็ไม่มีทางมีความสุขอยู่แล้ว"

    /**

    * We keep chasing

    * Dreaming about the perfect being

    * Perfect parents who are non-existing

    * Our bodies grew, our minds stayed the same

    */

    if (me.getDreamParents().equals(parents)) {

    me.setParents(parents);

    }

    else {

    me.throwTantrum();

    }

    เป็นการให้ฉันไปเอาพ่อแม่ในอุดมคติมาตั้งเป็นพ่อแม่ ถ้าไม่อย่างนั้นจะงอแง (throw tantrum)

    /**

    * Now darling, where do we go from here?

    */

    me.ask(you, "Where do we go from here?");

    หลังจากนี้ก็เป็นการที่ฉันถามเธอซ้ำๆ ว่าเราจะเอาไงต่อดี?

    /**

    * Now darling, where do we go from here?

    */

    me.ask(you, "Where do we go from here?");

    /**

    * Now darling, where do we go from here?

    */

    me.ask(you, "Where do we go from here?");

    /**

    * Darling, darling

    */

    me.callFor(you);

    me.callFor(you);

    ฉันเรียกหาเธอ x2

    /**

    * Hey honey, where do we go from here?

    */

    you.ask(me, "Where do we go from here?");

    /**

    * Hey honey, where do we go from here?

    */

    you.ask(me, "Where do we go from here?");

    สังเกตว่าช่วงนี้ไม่ได้ใช้คำว่า "ดาร์ลิ้ง" แต่ใช้ว่า "ฮันนี่" แทน อันนี้ต่อมาจากท่อนที่ร้องว่า "เรียกฉันว่าหม่ามี้/แด๊ดดี้" 

    ตัวคนร้องไม่มีเพศแน่ชัด เป็นได้ทั้งหญิงหรือชาย (ถ้าเป็นคนเดียวกับในเพลง world execute ก็คือเป็นได้ทั้งหญิงและชายเพื่อเธอ) ดาร์ลิ้งปกติผู้ชายจะใช้เรียกแฟน ส่วนฮันนี่เป็นคำที่ปกติผู้หญิงจะใช้

    /**

    * Now darling, where do we go from here?

    */

    me.ask(you, "Where do we go from here?");

    /**

    * Now darling, where do we go from here?

    */

    me.ask(you, "Where do we go from here?");

    /**

    * To where?

    */

    me.ask(world, "To where?");

    อันนี้แทนที่จะถามเธอ แต่ดันไปถามโลกว่าจะไปไหนดี

    /**

    * CALL ME DADDY

    * WHERE'S YOUR "YES SIR" & "PLEASE"?

    * That's the only vocabulary you need

    */

    you.setNicknameFor(you.getMemory(me), "daddy");

    String[] vocab = {"sir", "yes", "no", "please", "thank you", "master",

    "red", "green", "yellow"};

    you.setVocabulary(vocab);

    ตั้งชื่อเล่นมาอีกแล้ว คราวนี้เป็นแด๊ดดี้

    จากนั้นก็ตั้งชุดคำศัพท์ให้เธอว่า "ท่าน" "ค่ะ/ครับ" "ไม่" "ได้โปรด" "ขอบคุณ" "นายท่าน" "แดง" "เขียว" "เหลือง"

    เอ๊ะ คืออะไร? แดง เขียว เหลือง คือ "เซฟเวิร์ด" ที่ใช้ใน BDSM เป็นคำศัพท์ที่ฝ่ายซับและดอมตกลงกันว่าจะใช้สื่อสารระหว่างเพลย์เวลาเกิดอะไรขึ้น (เช่น เวลาเพลย์แบบรัดคอ/มัดทั้งตัว แล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ) เพราะบางทีเวลาฝ่ายซับบอกว่าหยุด บางทีอาจจะไม่ได้ต้องการให้หยุดจริงๆ เลยต้องการคำอื่นมาให้มันเคลียร์ คำว่า "แดง/เร้ด" ถูกนำมาใช้บ่อยเวลาต้องการให้หยุดเพลย์ชั่วคราวเพราะเหตุใดก็ตาม

    /**

    * MUX>>>DEMUX

    * Can't you understand me?

    * You turn me screen #0000ff

    */

    you.disorient(me);

    เธอทำให้ฉันเสียศูนย์ แปลง่ายๆ แค่นี้ 555

    /**

    * We could end right here if you'd just let us fall

    * Let us fall

    */

    for (War w : you.getOngoingFights()) {

    if (w.getScore(you) < 0.5) {

    world.execute(me);

    world.execute(you);

    }

    }

    เหมือนว่า ถ้าสมมุติเธอกำลังแพ้ให้โลกดำเนินการทั้งเธอและฉัน คำว่า execute แปลว่าประหารได้เช่นกัน

    /**

    * No tears, no regrets

    * No zero-days at our faults

    */

    me.setMemory("sad", null);

    you.setMemory("sad", null);

    me.setMemory("regretful", null);

    you.setMemory("regretful", null);

    Vulnerability zeroDays = world.getVulnerabilities().getZeroDays();

    for (Vulnerability v : zeroDays) {

    v.setAuthors(null);

    }

    ฉัน และ เธอ ตั้งความทรงจำที่เศร้าและน่าเสียใจภายหลังให้เป็น null (โมฆะ) และให้โลกเรียกซีโร่เดย์(อธิบายไว้ตอนที่แล้ว)มา จากนั้นก็ให้ตั้งคนเขียนโค้ดนั้นเป็นโมฆะ คือลบชื่อคนเขียนมั้ง

    /**

    * Hear me out

    * It's a perfect plan

    */

    me.command(you, "listen");

    me.sayTo("Anything inconvenient, I shall erase for you.", you);

    ฉันสั่งให้เธอ "ฟัง" และบอกเธอว่า "อะไรที่ไม่สะดวก/เกะกะ ฉันจะลบมันให้เธอ" 

    /**

    * If you just

    * SHUT UP

    * SHUT UP

    * Then maybe you'll see what I've endured now

    */

    me.command(you, "be quite");

    me.command(you, "be quite");

    try {

    you.listenTelepathically(me, world);

    } catch (NotAMindReaderException e) {

    world.getRelationship(me, you).challenge();

    }

    ฉันสั่งให้เธอ "เงียบ" (แต่สังเกตว่าตรงนี้จงใจสะกดผิด จาก quiet เป็น quite เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตัว “ฉัน” ร้อนรนขนาดไหน) 

    สั่งให้เธอฟังด้วยพลังจิต แต่ถ้าเธอไม่ใช่คนอ่านใจคนได้ ก็ให้ท้าทายความสัมพันธ์ของฉันและเธอ 

    /**

    * Hear me out

    * LILULILALULALULA

    */

    me.command(you, "listen");

    me.sayTo("I did it all for you.", you);

    you.ignoreCommands();

    you.setMessages(null);

    ฉันสั่งเธอให้ "ฟัง" และบอกเธอว่า "ฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอ" แต่เธอกลับเมินคำสั่งนั้นและตั้งค่าให้สิ่งที่ฉันพูดเป็น null

    /**

    * It's all just sunk cost, I know

    * But I'm not ready to stop

    */

    me.manipulate(you, "beg");

    me.manipulate(you, "gaslight");

    me.manipulate(you, "blame");

    me.manipulate(you, "tears");

    world.getRelationship(me, you).end();

    you.setMemory(me, null);

    ตอนนี้ตัว "ฉัน" เริ่มกลายเป็นคน abusive แบบเต็มตัว เริ่มปั่นหัวควบคุมให้เธอ "ขอร้อง" (beg ในแบบ กราบเท้าอ้อนวอนแบบไม่เหลือคุณค่าความเป็นคนแล้ว) "แก๊ซไลท์" อันนี้แปลว่าการบิดเบือนปั่นหัวให้ใครคนหนึ่งคิดว่าตัวเองจิตไม่ปกติหรือเป็นคนวิกลจริต "โทษ" อันนี้คือการโทษเธอสำหรับทุกสิ่ง เห็นได้บ่อยๆ ในความสัมพันธ์แย่ๆ ว่าฝ่ายหนึ่งมักบอกอีกฝ่ายว่า เธอทำตัวเอง หรือ มันเป็นเพราะเธอไม่ดีเอง ต่างๆ นานา "น้ำตา" อันนี้ชัด 

    โลกเลยจบความสัมพันธ์ และเธอก็ตั้งความทรงจำเกี่ยวกับฉันให้เป็นโมฆะ

    /**

    * I don't want to stop

    */

    me.getMemory(you, "positive");

    me.getMemory(you, "date");

    me.getMemory(you, "fun");

    me.getMemory(you, "travel");

    me.getMemory(you, "wedding");

    me.getMemory(you, "prenancy");

    me.getMemory(you, "kids");

    me.getMemory(you, "snuggle");

    me.getMemory(you, "netflix&chill");

    me.getMemory(you, "gaming");

    me.getMemory(you, "birthday");

    me.getMemory(you, "cooking");

    me.getMemory(you, "exercising");

    me.getMemory(you, "studying");

    me.getMemory(you, "gardening");

    me.getMemory(you, "chores");

    me.getMemory(you, "shopping");

    me.getMemory(you, "driving");

    me.getMemory(you, "daily");

    me.getMemory(you, "sad");

    me.getMemory(you, "angry");

    me.getMemory(you, "fight");

    me.getMemory(you, "forgiveness");

    me.getMemory(you, "makeup");

    me.getMemory(you);

    world.setRelationship(me, you, null);

    ทว่าตัว "ฉัน" ก็ยังไม่อยากหยุดแม้เธอจะหยุดไปแล้ว ยังเอาความทรงจำเกี่ยวกับเธอ "แง่บวก" "ไปเดต" "สนุก" "ไปเที่ยว" "แต่งงาน" (สะกดผิดด้วยแน่ะ รีบอีกแล้ว) "มีเด็ก" "คลอเคลีย" "เน็ตฟลิกซ์และชิล" (แสลงแปลว่ามีเซ็กซ์) "เล่นเกม" "วันเกิด" "ทำอาหาร" "ออกกำลัง" "ติวหนังสือ" "ทำงานบ้าน" "ไปซื้อของ" "ขับรถ" "ชีวิตประจำวัน" "เศร้า" "โกรธ" "ทะเลาะ" "ให้อภัย" "คืนดี" "" (อันท้ายๆ เหมือนคิดไปเองแล้ว)

    แต่สุดท้ายโลกก็ตั้งให้ฉันและเธอจบกัน

     

    //    a

    // u

    //     i

    //  s

    //         ;

    //     i

    //   t

    //  s      ;

    //    a n +

    //  s    + ;

    //s  t

    //  s a  +

    // u   in +

    //s        ;

    //   ta n+

    //       ++

    // u  t n +

    //s    in

    //    t n+ ;

    //  s a

    //s  t i  +

    // u    i+ ;

    //s   a n +

    //  s    + ;

    // u t i +

    //s st i  +

    // us a n +;

    //  s ain+

    //su  ai  +;

    //s  tain  ;

    // ust  n +

    //s stai + ;

    //su t in +;

    // ustain++

    //sustain++;

    //sustain++;

    //sustain++;

    //sustain++;

    //sustain++;

    //sustain++;

    //sustain++;

    }

    }

    sustain++ เป็นการเพิ่มค่าให้ความยั่งยืนไปเรื่อยๆ หรือในภาษา C++ (มั้ง) เป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้น (มั้ง)

    ทั้งท่อนสุดท้ายมี // นำหน้าหมด หมายความว่าคำสั่งเหล่านี้จะไม่ถูกอ่านและดำเนินการ แต่เหมือนตัว "ฉัน" ยังอยากยื้อไว้ถึงจะรู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้ก็ตาม

    (เพิ่มเติม) ถ้าสังเกตใน MV จะเห็นว่าสีของเพลงเปลี่ยนตามสภาพความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง พอเป็นความสัมพันธ์แบบที่คนคนหนึ่งควบคุมอีกคน MV จะเป็นสีเทา (น่าสนใจคือ ความสัมพันธ์ในลักษณะควบคุมอีกฝ่ายจะเรียกว่า gaslighting (ในเพลงมันโผล่มาตรงที่เขียนว่า me.manipulate(you, "gaslight"); คำว่า gaslight มีที่มาจากภาพยนตร์ขาวดำเรื่อง Gaslight ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำนี้ ตัวหนังเล่าเรื่องผู้หญิงที่ถูกคนรักควบคุมปั่นหัวจนเสียความเป็นตัวเอง การที่ MV เปลี่ยนเป็นสีเทาน่าจะเป็นการกล่าวถึงหนังเรื่องนี้ที่เป็นภาพยนตร์ขาวดำ) หลังจากนั้นพอไปถึงท่อน * Now darling, where do we go from here? ที่ “ฉัน” เริ่มหันไปฟังและปรึกษากับอีกคนแทนที่จะคอยแต่ควบคุมอย่างเดียว สีของ MV ก็กลับมา และพอไปถึงท่อน you turn my screen #0000ff สีหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเหมือนกับโค้ดสี #0000ff

     

    ก็จบประมาณนี้แหละค่ะ พอมานั่งอ่านดีๆ ก็ปรากฏว่าในเพลงนี้มีอะไรซ่อนอยู่เยอะเหมือนกัน ถ้ามีอะไรที่อยากให้เราแก้ก็เชิญได้เต็มที่ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×