ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แปลเพลงของ Mili + AWAAWA

    ลำดับตอนที่ #85 : Between Two Worlds [แปลไทย / Limbus Company - Sinclair]

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 66


     

    Between Two Worlds – Realm of Light - 

    (ระหว่างสองโลก -อาณาจักรแห่งแสง-)

     

    Ooh

    โอ

    It's this time of the year

    ถึงเวลานี้ของปีแล้ว

    A very so merry night we hold dear

    ค่ำคืนแสนสุขีที่แสนสำคัญ

    So many, so many regrets bring me to tears

    ความเสียใจภายหลังมากมายทำให้ฉันหลั่งน้ำตา

    Not many, not many notice nor care

    มีไม่กี่คน มีไม่กี่คนที่สังเกตเห็นหรือสนใจ

    Ooh

    โอ

    My savior

    ผู้กอบกู้ของฉัน

    Ooh

    โอ

    Why does a common fire hold so much power?

    เหตุใดเปลวเพลิงธรรมดาสามัญจึงมีพลังถึงเพียงนี้?

    If only we could be forever naive and pure

    หากเพียงเราสามารถบริสุทธิ์ไร้เดียงสาได้ตลอดกาล

    If only we could lead painless futures

    หางเพียงเราสามารถนำพาอนาคตอันไร้ความเจ็บปวด

    If only there could be a forgiving world

    หากเพียงมีโลกที่อ่อนโยนกับเราละก็

     

    Between Two Worlds – Realm of Darkness –

    (ระหว่างสองโลก -อาณาจักรแห่งอนธกาล-)

     

    Maybe that was when

    บางทีนั่นอาจเป็นตอนที่

    I chose to stay fallen

    ฉันเลือกที่จะร่วงหล่นอยู่เช่นนี้

    Lights

    แสงสว่าง

    A star

    ดวงดาว

    A voice

    เสียงหนึ่ง

    A twisted thought

    ความคิดบิดเบี้ยว

    A touch

    สัมผัสหนึ่ง

    A kiss

    จูบหนึ่ง

    A distorted dream

    ความฝันที่ถูกบิดเบือน

    Ripples

    ระลอกคลื่น

    A well

    บ่อน้ำ

    A stone

    ก้อนหิน

    A multiplying desire

    กิเลสตัณหาที่เพิ่มพูน

    A fruit

    ผลไม้ลูกหนึ่ง

    A sin

    บาป

    A holy mother

    พระแม่องค์หนึ่ง

    I'm infected, I'm infected

    ฉันติดเชื้อ ฉันติดเชื้อ

    You have invaded and re-created me

    เธอรุกล้ำเข้ามาและสร้างฉันขึ้นมาใหม่

    Stepped over my body

    เหยียบข้ามร่างของฉัน

    Found a sunny spot

    เจอจุดที่แดดดี

    Curled into a ball

    ขดตัวเป็นก้อนกลม

    Spinning out the silk

    ถักทอรังไหม

    From my head to toe

    จากหัวจรดเท้า

    Inside the warm cocoon, I dreamt to be like you

    ในดักแด้อบอุ่น ฉันฝันว่าจะเป็นอย่างเธอ

    Though I know there's no undo

    ถึงจะรู้ว่าไม่มีการย้อนกลับไป

    What do I have left to lose?

    ฉันจะยังเหลืออะไรให้เสียอีก?

     

    Split

    แยกผ่า

    A sky

    ผืนฟ้า

    An earth

    ผืนดิน

    I fell into a crack

    ฉันร่วงลงไปในรอยแตก

    A birth

    การเกิดหนึ่ง

    An egg

    ไข่ฟองหนึ่ง

    A freshly opened membrane

    เนื้อเยื่อที่เพิ่งเปิดออก

    A cell

    เซลล์หนึ่ง

    A rot

    รอยเน่า

    A face returned to ashes

    ใบหน้าที่คืนสู่เถ้า

    An art

    งานศิลป์

    A wound

    บาดแผล

    A sentient canvas

    ผืนผ้าใบที่มีความสำนึก

     

    Breaking breaking breaking the shell

    กะเทาะ กะเทาะ กะเทาะเปลือก

    Breaking out, oh break it now

    ฝ่าออกมา ทำลายมันเดี๋ยวนี้

    Show me how, show me how

    สอนฉันทีว่าทำยังไง

    Listen up, my broken child

    จงฟัง เด็กผู้พังทลายของฉัน

    Let's lament, let's lament

    มาร้องกำสรวล

    Let's lament, let's lament

    จงมาร้องกำสรวล

    The life, the death, the good, the bad

    ชีวิต ความตาย ความดี ความชั่ว

    The never ending curse we cast

    คำสาปอันไม่สิ้นสุดที่เราร่าย

    Control, control, control, release

    ควบคุม ควบคุม ควบคุม ปลดปล่อย

    Control, betray, control, let go

    ควบคุม หักหลัง ควบคุม ปล่อยวาง

    Conceal, reveal, unreal, surreal

    ปกปิด เปิดเผย มายา เหนือจริง

    Invoke, evoke, decode, reload

    เรียกหา รำลึก แปลสาร เริ่มใหม่

    Let's lament, let's lament

    มาร้องกำสรวล

    Let's lament, let's lament

    มาร้องกำสรวล

    The past that only got to live in the incomplete holy land

    อดีตที่ได้อาศัยอยู่แค่ในแดนศักดิ์สิทธิ์อันไม่สมบูรณ์

     

    Celestial (Ayiah)

    สรวงสวรรค์

    We're astral (Ayiou)

    เราคือดวงดาว*

    I'm reborn (Le rheaiah)

    ฉันเกิดใหม่ 

    Total liberation (Katre o lamenta)

    การหลุดพ้นโดยสมบูรณ์

    My tender skin

    ผิวหนังนุ่มของฉัน

    A vagitus song (Essential)

    ทำนองการร้องไห้ของเด็กแรกเกิด (อันจำเป็น)

    I breathed (Eventual)

    ฉันหายใจ (ในที่สุด)

    And screamed (Eternal)

    และกรีดร้อง (นิรันดร์กาล) 

    From my new lungs (Inevitable freeing of the soul)

    จากปอดใหม่ของฉัน (การหลุดพ้นของวิญญาณอันหลีกเลี่ยงไม่ได้)

     

     

     


    *astral ในที่นี้เราว่าหมายถึงกายทิพย์ พวกเทวทูตหรือ celestial being ทั้งหลายที่อยู่บนหลังคาสวรรค์ แต่เรางงบรรทัดถัดมาว่าทำไมมีกายทิพย์แล้วยังมีผิวอีกวะ 55555+

    ขอโทษที่ไม่ได้แปลภาษามั่วนะคะ สุดจะเดาจริงๆ ว่ามาจากคำว่าอะไร เดาได้แค่ว่า rheaiah อาจจะเกี่ยวอะไรกับคำว่า raqiya (สวรรค์/เส้นแบ่งระหว่างท้องฟ้ากับสวรรค์)

    ตัวละครใน Limbus Company มีต้นแบบมาจากตัวละครในหนังสือ/วรรณกรรม ตอนเราเข้าไปเล่นแล้วเจอชื่อแบบ อินเฟอร์โน/ดันเต้/เวอร์กิลเลียส เราก็เริ่มแบบ ใช่รึเปล่าน้า ใช่ Dante’s Inferno รึเปล่าน้า

    ส่วนซินแคลร์ มาจากนวนิยายของเฮอร์มานน์ เฮสเส เรื่องเดเมียน เอมิล ซินแคลร์เป็นตัวเอกผู้เล่าเรื่อง รวมทั้งเป็นนามปากกาที่เฮสเสใช้ตีพิมพ์เรื่องนี้ด้วย เดเมียนฉบับที่คุณสดใสแปลไว้ใช้ชื่อตอนตามนี้

    1. สองโลกสองอาณาจักร (Two Realms)
    2. เคน (Cain)
    3. ผู้ร้าย (Among Thieves)
    4. เบียทรีส (Beatrice)
    5. นกดิ้นรนพ้นเปลือกไข่ (“The Bird Fights Its Way Out of the Egg”)
    6. การต่อสู้ของยาโคบ (Jacob Wrestling)
    7. อีวา (Eva)
    8. จุดเริ่มต้นของการสิ้นสุด (The End Begins)

    ขออนุญาตยกส่วนหนึ่งของบันทึกการอ่านเรื่องเดเมียนจากเฟซบุ๊กของคุณสดใสมาไว้ตรงนี้

    “วันครึ่งอ่านเรื่องราววัยหนุ่มของซินแคลร์

    วัยสับสนท้อแท้น่าใจหาย

    โลกสว่างไสวไร้มลทินของชนชั้นกลาง

    กับโลกมืดของชาวบ้านทั่วไป

    โลกใสของคำสอนศาสนา

    กับโลกมายาชีวิตจริงน่าสงสัย

    ไหนโลกจริงไหนมายาใครตัดสินได้” 

     

    เราแนะนำว่าถ้ามีโอกาส อยากให้ลองอ่านเรื่องเดเมียนเอง เพราะมันเป็นหนังสือประเภทที่แต่ละคนอ่านแล้วจะได้สารไม่เหมือนกัน พล็อตโดยรวมของเดเมียนคือ เด็กชายเอมิล ซินแคลร์เติบโตมาในบ้านที่เคร่งศาสนาที่เปรียบเสมือน “สวนสีทอง” อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่แล้วการถูกรังแกโดยเด็กชายอีกคนที่ชื่อฟรานส์ โครเมอร์ ทำให้เอมิลเริ่มทำบาปและได้รับรู้ถึงความชั่ว เขาได้เดเมียน เพื่อนร่วมห้องอีกคนช่วยไว้ และได้ฟังการตีความพระคัมภีร์ที่ผิดแผกจากชาวบ้านของเดเมียน แต่ซินแคลร์ก็ชอบมากและภูมิใจที่ได้รับรู้ไปด้วย

    พอโตขึ้นเรื่อยๆ ซินแคลร์เริ่มทำตัวเองให้ตกต่ำลง ปฏิเสธโลกบริสุทธิ์จอมปลอม และเริ่มมองหาจิตวิญญาณของตัวเอง รวมทั้งยอมรับกิเลสตัณหาของตัวเองว่าเป็นเรื่องธรรมดาแทนที่จะกดมันไว้ เขาแยกทางกับเดเมียนพักหนึ่ง แต่เมื่อค้นหาจิตวิญญาณของตัวเองโดยการวาดภาพ (น่าจะเป็นการทำจิตวิเคราะห์ประเภทหนึ่ง ว่ากันว่าในตัวเรามีทั้งจิตวิญญาณผู้ชาย ผู้หญิง (anima/animus) อยู่ อะไรทำนองนั้น) แต่ภาพที่เขาวาดออกมาจากในจิตเป็นภาพที่รวมเอาหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้เขาหวั่นไหว (เบียทริส) เดเมียน และตัวเขาเองไว้ด้วยกัน คือวิญญาณและชะตากรรมของเขา

    ตลอดเรื่อง การตามหาตัวตนของซินแคลร์ก็มีเดเมียนเป็นคนตั้งคำถามและคอยชี้นำ จนกระทั่งจบลงที่ภาพสะท้อนชะตากรรมของซินแคลร์ว่าคือเดเมียนนั่นเอง

    ซึ่งยอมรับว่าตอนเราอ่านรอบแรก เรารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก ทั้งที่ไม่เข้าใจ(ห่าน)อะไรเลย

    ในนิยายเรื่องนี้มีการอ้างบทประพัทธ์อื่นๆ เช่นเฟาสต์ (เจ๊ผมขาวนั่นแหละ) และ Dante’s Inferno (เบียทริสในเดเมียนนั้น ซินแคลร์ตั้งชื่อให้เองตามสตรีที่ดันเต้เดินทางตามหา) 

    ตอนกลับไปอ่านซ้ำ เราเห็นเลยว่าคุณโมโม่ใส่รายละเอียดในเรื่องเดเมียนเข้าไปในเพลงเยอะมาก เช่น ส่วนแรกที่เป็น Realm of Light ฟังเหมือนเพลงคริสต์มาส จะโยงไปถึงงานคริสต์มาสของบ้านซินแคลร์ที่เปรียบเสมือนโลกแห่งแสงสว่าง ต่างจากงานคริสต์มาสหลังตอนที่เขา “ร่วงหล่น” แล้ว ในตอนแรกที่ซินแคลร์ยังอยู่ในแสงสว่าง เขาต้องทรมานกับบาปของตัวเองที่บอกใครไม่ได้และไม่มีใครสังเกตเห็น มีแค่เดเมียนที่รู้ ตอนนั้นเขาคิดว่าถ้าบริสุทธิ์ต่อไปและใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจ็บปวดได้ก็ดี แต่สุดท้ายเขาเลือกออกจากโลกนั้นมาด้วยตัวเอง (เข้าไปโยงกับท่อน Realm of Darkness) 

    ซึ่งเรื่องของจูบ (อีวา (แม่เดเมียน) และตัวเดเมียนเองเคยจูบซินแคลร์ จูบปากเลยจ้ะ) บาป กิเลส พระแม่ การออกจากไข่ (ชื่อบท) ภาพที่มีจิตใจ (ที่ซินแคลร์วาด) ทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสือช่วงหลังซินแคลร์ “ร่วงหล่น” แล้วทั้งนั้น สุดท้ายนำไปสู่การค้นพบตัวเองและกลายเป็นคนใหม่

    อันนี้เราไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเกมรึเปล่า แต่ในเดเมียนจะมีการตีความเรื่องเคนกับอาเบล (คาอิน/อาเบล) ที่เราชอบมาก ทั้งคาอินและอาเบลเป็นบุตรของอาดัมและเอวา/อีวา พระเจ้าทรงโปรดเครื่องเซ่นบูชาของอาเบลมากกว่า คาอินริษยาจึงสังหารอาเบล พระเจ้าทรงลงโทษด้วยการทำเครื่องหมายไว้บนหน้าผากเขาและไล่ไปเป็นคนเร่ร่อน 

    เดเมียนตีความไว้ว่า ตรานี้ไม่ใช่เครื่องหมายแปะบนหน้าผากที่คนเห็นแล้วจะรู้เลยว่า โอ้ คนนี้ทำบาปต่อพระเจ้าเลยต้องโดนลงโทษ แต่เป็นการที่คนอื่นสามารถเห็นบางอย่างในตัวเขา มีความเหนือกว่าที่ทำให้คนกลัวเกรง คนที่แตกต่างจากคนอื่นแบบนี้มักจะโดนว่าร้ายเพื่อให้น่ากลัวน้อยลง พูดง่ายๆ คือคาอินอาจเป็นคนดี แต่เพราะคนอื่นกลัวเกรงเขาเลยสร้างเรื่องให้เขาเป็นคนเลว ตราของพระเจ้าที่ทำเอาไว้บนตัวคาอินที่ว่า หากใครทำร้ายเขาจะได้กรรมคืนสนอง 7 เท่า ก็อาจเป็นเรื่องที่ว่าคนอื่นขี้ขลาดไม่กล้าไปยุ่งกับเขาเลยสร้างเรื่องแบบนั้นขึ้นมาให้ตัวเองสบายใจก็ได้

    ไม่รู้ในเกมได้ใส่ตรงนี้ลงไปไหมนะ แต่เป็นเนื้อหาของเดเมียนที่เราจำได้ดีที่สุดเลย 55555 (รองจากเรื่องอิหยังวะที่ซินแคลร์รู้สึกซัมติงกับแม่เดเมียนและฉากเดเมียนจูบซินแคลร์)

    ปล. ตอนเราแปลเพลง In Hell We Live, Lament เราแปลคำว่า Lament ไว้ว่าคร่ำครวญ แต่อันนี้เราแปล Lament ไว้ว่ากำสรวลเพราะมันให้ฟีลแบบร้องเพลงมากกว่า 5555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×