ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แปลเพลงของ Mili + AWAAWA

    ลำดับตอนที่ #72 : In Hell We Live, Lament [แปลไทย/Limbus Company] *แก้คำแปล 9/3/23

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 66


     

    [Verse 1: Cassie WeiKIHOW]
    I walked down a path

    ฉันเดินตามเส้นทาง
    Leading to the past

    ที่มุ่งสู่อดีต
    Stole from the tree’s hands

    ขโมยจากกิ่งของต้นไม้
    A regretter’s friend -- the forbidden fruit

    ผลไม้ต้องห้าม – มิตรแท้ของคนที่จะเสียใจภายหลัง
    I bite off the skin

    ฉันกัดเปลือกออก
    Chewing on its tender flesh

    ขบเคี้ยวเนื้อนุ่มของมัน
    Quaff down its lukewarm pus

    กลืนกินน้ำอุ่นๆ ของมัน
    You became the “me” who you despised

    เธอกลายเป็น “ฉัน” ที่เธอชิงชัง
    We swallowed the time

    เรากลืนกินกาลเวลา
    Let us rewind

    ขอให้เราย้อนกลับไป

    [Chorus: Cassie Wei, KIHOWCassie Wei & KIHOW]
    Lament

    จงคร่ำครวญ
    If you wanted me to speak

    ถ้าเธออยากให้ฉันพูด
    If you wanted me to think

    ถ้าเธออยากให้ฉันคิด
    If you wanted me to carry on our dreams

    ถ้าเธออยากให้ฉันสานฝันเราต่อไป
    Each loop we live through

    แต่ละลูปที่เราผ่านมา
    (Each loop we live through)

    (แต่ละลูปที่เราผ่านมา)
    The standards inside me

    มาตรฐานในตัวฉัน
    The line I drew for me

    เส้นแบ่งที่ฉันวาดไว้สำหรับตัวเอง
    Lowers to the earth

    ตกต่ำลงจนเรี่ยดิน
    Lament

    จงคร่ำครวญ
    Why’d you make my voice stutter?

    ทำไมจึงทำให้เสียงฉันขาดหาย?
    Why do truths never matter?

    ทำไมความจริงจึงไม่เคยสำคัญ?
    Why’d you curse me with “you’re a natural born genius”?

    ทำไมเธอจึงสาปฉันด้วยคำว่า “เธอเป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด”?
    Endless inferno (Inferno)

    ขุมนรกอันไร้ที่สิ้นสุด (ขุมนรก)
    Counter-clock we rose

    เราลุกขึ้นทวนเข็มนาฬิกา
    Counter-clock we reload

    เราเริ่มใหม่ทวนกาลเวลา*

     

    [Verse 2: Cassie Wei, KIHOWCassie Wei & KIHOW]
    Tick tick tock

    ติ๊ก ติ๊ก ตอก
    Replayed thoughts

    ความคิดเล่นซ้ำ
    Forget me not

    อย่าได้ลืมฉัน
    I’m inside the empathic light

    ฉันอยู่ในแสงแห่งความเข้าอกเข้าใจ
    I bite off your skin

    ฉันกัดผิวของเธอทิ้ง
    Exposing the angels on your ribs

    เผยให้เห็นเหล่าเทวทูตบนซี่โครงของเธอ
    They stare at us

    พวกเขาจ้องมองเรา
    Hello, how may I help you today?

    สวัสดี วันนี้มีอะไรให้รับใช้?
    Please, a one-way ticket to heaven

    ได้โปรด ขอตั๋วทางเดียวสู่สวรรค์


    Buckled up on velvet seats

    คาดเข็มขัดบนที่นั่งบุกำมะหยี่
    Sceneries were passing by

    ทิวทัศน์แล่นผ่านไป
    Not so different from our hell

    ไม่ต่างจากนรกของเราเท่าไร
    Not so different from our home

    ไม่ต่างจากบ้านของเราเท่าไร
    Then I realized

    จากนั้นฉันตระหนักได้
    Someone’s heaven could be the source of my torment

    สวรรค์ของใครบางคนอาจเป็นบ่อเกิดความทรมานของฉัน
    Life is allowing yourself

    ชีวิตคือการยอมให้ตัวเอง
    Allowing yourself to step on fire

    ยอมให้ตัวเองเดินลุยไฟ
    (Life is to consume)

    (ชีวิตคือการกลืนกิน)
    (Life is to become food for each other)

    (ชีวิตคือการกลายเป็นอาหารให้กันและกัน)
    Shed tears on bloodied routes

    หลั่งน้ำตาบนเส้นทางที่อาบด้วยโลหิต
    (No matter evil or good)

    (ไม่ว่าจะเลวหรือดี)
    (Life is fairness, life is inequality)

    (ชีวิตคือความเท่าเทียม ชีวิตคือความไม่เท่าเทียม)
    Eternally in hell

    ชั่วนิรันดร์ในนรกขุมนี้
    (Life is in the motion)

    (ชีวิตอยู่ในการเคลื่อนไหว)
    We live by default

    เรามีชีวิตอยู่โดยธรรมชาติ**

     

    [Chorus: Cassie Wei, KIHOWCassie Wei & KIHOW]
    Lament (Nell)

    จงคร่ำครวญ (ใน)
    If you wanted me to live (Inferna)

    หากต้องการให้ฉันมีชีวิต (ขุมนรก)
    If you want me to forgive

    หากต้องการให้ฉันอภัย
    If you want us to pretend like we’re civilized humans

    หากต้องการให้เราแสร้งทำเป็นมนุษย์ศิวิไลซ์
    Each loop we die through (Ques te anim?)

    แต่ละลูปที่เราตายผ่านพ้น (อะไรให้วิญญาณกับเธอ?)
    (Each loop we die through)

    (แต่ละลูปที่เราตายผ่านมา)
    (Ques sej mentalle?)

    (หัวใจเธออยู่ที่ไหน?)
    The justice inside me

    ความยุติธรรมในตัวฉัน
    The ego fending me (Ques io fuocca?)

    อีโก้ที่คอยปกป้องฉัน (เปลวเพลิงของฉันหรือ?)
    Rationalize my sin (Ques qui Diavola?)

    คิดถึงบาปของฉันแบบเข้าข้างตัวเอง (ใครกันคือปีศาจ?)
    Lament

    จงคร่ำครวญ
    Why do deaths end my torture?

    เหตุใดความตายจึงหยุดความทรมานของฉัน?
    (Cossa non naturha)

    (มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว)
    Why can’t anyone feel my hurt?

    เหตุใดจึงไม่มีใครสัมผัสความเจ็บปวดของฉันได้?
    (Via si violenzalle)

    (หนีจากเงาสะท้อนความรุนแรง)
    Why’d you crown the most violent to be champions?

    เหตุใดจึงให้คนที่กระทำรุนแรงโหดร้ายที่สุดเป็นผู้ชนะ?
    (Bruschia sej diva, verha ignisa)

    (ได้รับนิมิตจากทวยเทพ เปลวเพลิงแห่งปัญญา)
    In this inferno (Inferno)

    ในขุมนรกนี้ (ขุมนรก)
    (A! Lamenta, lamenta)

    (อา! จงคร่ำครวญ จงคร่ำครวญ)
    We built for ourselves (Cis senza)

    เราได้สร้างมันขึ้นมาเอง (ปราศจากฝั่งเรา)
    Reviving each other in this hell

    ชุบชีวิตให้กันและกันในขุมนรกนี้
    (Lamenta, lamenta, lamenta)

    (จงคร่ำครวญ จงคร่ำครวญ จงคร่ำครวญ)

    (Nell inferrna)

    (ในขุมนรกนี้)

     


    วู้วววว ครั้งแรกที่เราลองแปลภาษามั่วของวงนี้ลงไปในเนื้อเพลงเลย

    เพลงนี้เป็นเพลงที่คนเดียวกันร้อง แต่แบ่งเป็นตัวเองในอดีตกับตัวเองในปัจจุบัน/อนาคต เนื้อหาเพลงเกี่ยวกับมุมมองที่เรามีต่อโลกและ “อีโก้” ของคนเรา ฉะนั้นมองได้ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่ทรมานตัวเองไม่จบสิ้น ไม่ว่าจะย้อนมองตัวเองกี่คราก็ยังติดอยู่ในขุมนรกที่สร้างขึ้นมาเอง (หรือก็คือมุมมองต่อโลกเดิมๆ ของตัวเอง) 

     

    เพลงนี้มีการกล่าวถึงผลไม้ต้องห้าม (ที่อดัมกินเข้าไป) คำว่า regretter’s friend สำหรับเราให้ฟีลแบบเหล้า (นึกภาพคนถึงขวดเหล้าในห้องมืดๆ แล้วยกกรอกปาก) รู้ว่าดื่มแล้วไม่ดีแต่ยังจะดื่มแล้วมาเสียใจภายหลัง regretter ไม่ใช่คำศัพท์มาตรฐานแต่เป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง หมายถึงคนที่นั่งเสียใจภายหลัง

    จะว่าไป ท่อนที่บอกว่า “ถูกสาปโดยคำว่าเธอเป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด” นี่เรื่องจริงเลยนะ เพื่อนเราที่เรียนเก่งๆ หลายคนเหมือนโดนความเก่งของตัวเองสาป โดนทุกคนมองว่าเป็นอัจฉริยะทั้งที่เพื่อนเราทุกคนมาถึงจุดนั้นได้เพราะตั้งใจเรียน(เหมือนความพยายามโดนมองข้ามและโดนเข้าใจผิดว่าแค่เพราะเกิดมาเก่ง) ทีนี้พอเป็นแบบนั้น เพื่อนเราเลยตกลงไปในลูปที่คาดหวังแต่ความสมบูรณ์แบบจากตัวเอง (perfectionist) จนเครียด เสียสุขภาพ ตอนก่อนเข้ามหาลัยเราก็เป็นแบบนั้น แต่พอเข้ามาแล้วเราถึงเข้าใจว่าสุดท้ายสิ่งที่ทรมานเรามากที่สุดไม่ใช่ความยากของวิชาเรียน แต่คือความคาดหวังของตัวเราเอง เราเลยเลิกคาดหวังจะได้ A ล้วนเหมือนแต่ก่อน

     

    กลับเข้าเรื่องก่อน 555

    * counter-clock we reload อันนี้เราตึ้บมาก เหมือนประโยคจะพยายามพูดว่า เราย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง แต่เราไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า ส่วน counter-clock we rose มีคนในยูทูปเมนต์ไว้ว่าคงหมายถึง ถ้าเราย้อนทวนเวลา เราจะขึ้นไปอยู่ในจุดที่ดีที่เราเคยอยู่ (rose ในที่นี้คือ rise นึกภาพว่าถ้าเราตกต่ำลงเรื่อยๆ หากเราเอาภาพไปกรอกลับ จะมองเห็นว่าเรากำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลับไปอยู่ในที่เดิมตอนแรก)  ซึ่งก็จะไปต่อกับอันที่ร้องว่า The standards inside me lowers to the earth

    ** โดยธรรมชาติอันนี้เราหมายถึงค่าเริ่มต้น คือจะให้ทำอะไรยังไงก็ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจมีชีวิตอยู่ แค่มันเป็นอย่างนั้น

     

    มีคนในยูทูปสังเกจว่า วรรคที่ขึ้นต้นด้วย If you wanted me… จะต่อกับวรรคที่ขึ้นต้นด้วย Why do…

    If you wanted me to speak Why’d you make my voice stutter?

    ถ้าเธออยากให้ฉันพูด ทำไมจึงทำให้เสียงฉันขาดหาย?
     

    If you wanted me to think Why do truths never matter?

    ถ้าเธออยากให้ฉันคิด ทำไมความจริงจึงไม่เคยสำคัญ?
     

    If you wanted me to carry on our dreams Why’d you curse me with “you’re a natural born genius”

    ถ้าเธออยากให้ฉันสานฝันเราต่อไป ทำไมเธอจึงสาปฉันด้วยคำว่า “เธอเป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด”?
     

    If you wanted me to live Why do deaths end my torture?

    หากต้องการให้ฉันมีชีวิต เหตุใดความตายจึงหยุดความทรมานของฉัน? 
     

    If you want me to forgive Why can’t anyone feel my hurt?

    หากต้องการให้ฉันอภัย เหตุใดจึงไม่มีใครสัมผัสความเจ็บปวดของฉันได้?
     

    If you want us to pretend like we’re civilized human Why’d you crown the most violent to be champions?

    หากต้องการให้เราแสร้งทำเป็นมนุษย์ศิวิไลซ์ เหตุใดจึงให้คนที่กระทำรุนแรงโหดร้ายที่สุดเป็นผู้ชนะ?

     

     

    ภาษามั่วในเพลงนี้คือการเอาภาษาอิตาลี ฝรั่งเศส กับละตินมายำรวมกันแล้วเปลี่ยนตัวสะกดเป็นบางคำ เราพยายามเอาใส่แปลภาษาทีละคำและเอามามโนความหมายเอง ฉะนั้นอาจจะไม่ได้ถูกต้อง คนที่รู้คำแปลมีแต่ตัวคุณโมโม่เท่านั้นแหละ

    Cossa non naturha อันที่จริงอันนี้แปลได้ทำนองว่า สิ่งนั้นไม่เป็นธรรมชาติ (หมายถึงการให้ความตายหยุดความทรมาน) แต่เราแปลว่ามันไม่ปกติเพราะจะเห็นความหมายได้ชัดกว่า 

    Bruschia sej diva อันนี้มีคนแปลไว้ว่า brutely receive divine knowledge (ได้รับความรู้จากทวยเทพแบบรุนแรง ประมาณว่าพอได้ความรู้ทีกระอักเลือด??)

     

    ใน MV มีภาพสาวน้อยนั่งบนเก้าอี้ที่ดูเหมือนมดลูก/ช่องคลอด...หรือเราคิดมากไปเองวะ เราชอบตอนพอผ่านไปครึ่งเพลง ตาซ้ายนางสว่างพรึบขึ้นมา

     

    เอาเป็นว่าถ้าอยากเข้าใจความหมายเพลงนี้มากขึ้น(รวมถึงเพลงจาก Library of Ruina ด้วย) ลองไปฟังบทสัมภาษณ์ดีที่สุด 

    แต่โห เพลงนี้ท่อนสุดท้ายแบบ สุดแสนจะอลัง เพราะมากกกกกกกกกกกก 

    (เกร็ดเล็กน้อย เวลามีเมโลดี้หลายๆ ไลน์พร้อมกันแบบนี้ศัพท์ทางดนตรีเรียก polyphony)

     

    *แก้ไขวันที่ 6/3/2566 เราลองเล่น Limbus Company นิดนึงให้พอเก็ตพล็อตเกม (เล่นไปนิดเดียวจริงๆ ประมาณ 10 นาทีเองมั้ง ไม่ถนัดเกมเพลย์แบบนี้จริงๆ) เลยกลับมาแก้คำผิดกับแก้บางประโยคค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×