คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #71 : Salt, Pepper, Birds, and the Thought Police [แปลไทย To Kill a Living Book -for Library of Ruina-]
Bamboo basket, reflector, working brakes
ตะกร้าไผ่ แผ่นสะท้อนแสงติดจักรยาน เบรกที่ใช้งานได้
Never forget your helmet, trusty Mips
ห้ามลืมหมวกกันน็อก เจ้าหมวกยี่ห้อมิปส์ที่ไว้ใจได้
See ya, I’m off to the morning market
ไปก่อนนะ ฉันไปตลาดเช้าแล้ว
Thirty-three lemons*
มะนาว 33 ลูก
A healthy looking chicken and a dozen of free range eggs
ไก่ที่ดูสุขภาพดีหนึ่งตัว และไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยหนึ่งโหล
Thanks, keep the change
ขอบคุณ ไม่ต้องทอน
Whistling a tune, (attempting) pffhw
ผิวปากเป็นเพลง (กำลังพยายาม) ฮืมมมม
I’m home
ถึงบ้านแล้ว
What a perfect day
เป็นวันที่ดีอะไรอย่างนี้
I hanged the sheets out in the yard
ฉันเอาผ้าปูมาตากที่สนาม
Oiled up my baking tray
ทาน้ำมันที่ถาดอบ
Thinking about you, Mother
คิดถึงคุณนะ คุณแม่
To recite her famous words
คุณแม่เคยพูดเอาไว้ว่า
All you need are salt and pepper
สิ่งที่ต้องใช้ในการลิ้มรสความสุขของชีวิตตลอดไป
To taste the happiness of life forever
มีแค่เกลือกับพริกไทย
Then the moon rose
จากนั้นพระจันทร์ก็กระจ่างฟ้า
And creamed lemon chicken roasted in the oven
และไก่อบครีมมะนาวกำลังถูกอบอยู่ในเตา
Men in black kicked down my front door
กลุ่มชายใส่ชุดดำถีบประตูหน้าเข้ามา
Hey! Who? What? Why?
เฮ้! ใคร? อะไรกัน? ทำไม?
“You violated act 617 – Illegal Thoughts”
“คุณฝ่าฝืนมาตรการ 617 - ความคิดผิดกฎหมาย”
“You’re under arrest”
“คุณถูกจับแล้ว”
We all know the real answer was
ทุกคนรู้ว่าคำตอบที่แท้จริงคือ
“You shouldn’t have been born the way you are”
“แกไม่ควรเกิดมาเป็นแบบนี้”
And we’re packed in a cargo choo choo train
และเราถูกยัดใส่รถไฟปู๊นๆ สำหรับขนของ
Squeezing against the bodies similar to me
อัดแน่นอยู่กับร่างของเหล่าคนที่คล้ายกับฉัน
With tears rolling down our faces
ในสภาพที่น้ำตานองหน้า
We began to sing
เราเริ่มร้องเพลง
“They can never take anything from our souls”
“พวกมันไม่มีทางเอาอะไรไปจากหัวใจเราได้”
Louder and louder
ดังขึ้นและดังขึ้น
“They can never take anything from our souls”
“พวกมันไม่มีทางเอาอะไรไปจากหัวใจเราได้”
Louder and louder
ดังขึ้นและดังขึ้น
They shaved off my hair
พวกเขาโกนผมฉันทิ้ง
Fed me a foreign language
ยัดเยียดภาษาต่างถิ่นให้
Looking on the bright side, I’m alive
มองโลกในแง่ดีหน่อยก็ ฉันยังไม่ตาย
I still remember all the people I love
ฉันยังจำทุกคนที่ฉันรักได้อยู่
So come at me, and do your worst
ฉะนั้นจงเข้ามา และใส่มาให้หมด
All this pain and suffer
ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานนี้
Don’t stand a chance against our iron hearts
ทำอะไรหัวใจเหล็กกล้าของพวกเราไม่ได้หรอก
As the morning came and went
ยามเช้ามาถึงและผ่านไป
And the people stayed and left
และผู้คนมาอยู่และจากไป
And the earth went ‘round and around
และโลกหมุนไปและหมุนไป
The stars never looked so kind
ดวงดาราไม่เคยดูอ่อนโยนเท่านี้
The wind ever so fragrant
สายลมมีกลิ่นหอมกว่าที่เคย
Through the tiny slit on the wall
ผ่านช่องเล็กๆ ตรงกำแพง
Every night I was invited to watch
ทุกคืน ฉันได้รับเชิญให้มอง
A theater played by moonlit birds
ละครที่แสดงโดยเหล่าปักษาที่อาบแสงจันทร์
They spread their wings
พวกมันกางปีก
Carrying our silenced voices
ส่งเสียงที่โดนทำให้เงียบของพวกเรา
Singing our historic songs
ขับขานเพลงดั้งเดิมของพวกเรา
Letting everyone in the future know
ให้ทุกคนในอนาคตได้รู้ว่า
That we existed
เราเคยอยู่ตรงนี้
What a perfect night
เป็นค่ำคืนที่ดีอะไรอย่างนี้
I felt the urge to write a book
ฉันรู้สึกอยากเขียนหนังสือขึ้นมา
Pass down my life
ส่งต่อชีวิตของฉัน
Until recently, time didn’t feel so fast
จนกระทั่งเร็วๆ นี้ เวลาไม่เคยรู้สึกว่าผ่านไปเร็วเลย
With my bloody finger tip
ด้วยปลายนิ้วเปื้อนเลือดของฉัน
All I needed were sticks and paper
สิ่งที่ต้องการมีเพียงแท่งไม้และกระดาษ
I started to write, poems after poems
ฉันเริ่มเขียน บทกลอนแล้วบทกลอนเล่า
Then the moonlit birds came to meet me
จากนั้นเหล่านกที่มีประกายแสงจันทร์ก็มาหาฉัน
They stole the key and opened the gates
พวกมันขโมยกุญแจและเปิดประตู
We’re finally free
ในที่สุด เราเป็นอิสระ
I picked up my bicycle
ฉันหยิบจักรยานมา
Riding home to Mother
ขี่กลับไปหาแม่ที่บ้าน
Writing my delusion world
เขียนโลกปลอมๆ ของฉัน
I saw a version of heaven
ฉันมองเห็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์
Where I sat in my yard
จากสนามหญ้าหน้าบ้านที่ฉันนั่งอยู่
Reading a paperback print of my book
ขณะอ่านหนังสือฉันที่ตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม
On a hillside, your little fist clutching sweat
ที่เนินแห่งหนึ่ง มือเล็กๆ ที่กำหมัดของเธอชื้นเหงื่อ
Walking to the memorial park
ขณะเดินไปยังสวนอนุสรณ์
You put down freshly cut white chrysanthemums
เธอวางดอกเบญจมาศสีขาวที่เพิ่งตัดมาใหม่ๆ
A former Thought Police lowers her hat
อดีตตำรวจความคิดลดหมวกลง
Children lying on the grass
เด็กๆ นอนแผ่บนผืนหญ้า
Singing to poems written by me
ร้องทำนองตามกลอนที่ฉันเขียน
*พูดถึงเพลง Lemonade ในภาพประกอบเพลงมีมะนาวอยู่ 33 ลูก
ปล. Mips เป็นยี่ห้อบริษัททำหมวกกันน็อก
เพลงนี้เรางมอยู่นานว่าหมายถึงอะไร ตอนแรกนึกว่าเกี่ยวกับชาวยิว(หรือแอน แฟรงก์) คิดไปคิดมาหรือหมายถึงชาวอุยกูร์หรือชาวรัสเซียที่โดนส่งไปค่ายกักกัน(โดยเฉพาะท่อนรถไฟนี่ใช่เลย) แต่พอเลื่อนๆ คอมเมนต์ในยูทูปก็เจอชื่อของ Yun Dong-ju (ยุนดงจู ถ้าสะกดผิดขออภัย) ที่เป็นนักกวีชาวเกาหลี ในเกม Library of Ruina มีการยกบทกวีของเขามากล่าวถึงหลังจบเนื้อเรื่องแต่ละบท (ใครเล่นช่วยคอนเฟิร์มด้วยคร้าบว่าใช่รึเปล่า) เขาเขียนบทกวีเกี่ยวกับการมองดูจนเองและการต่อต้านการถูกยึดครองในยุคนั้น อนุสรณ์รำลึกถึงเขาถูกสร้างไว้บนเนินซึ่งตรงกับเนื้อหาเพลงพอดี
ยุนดงจูเกิดที่มยองดงในแมนจูเรียในปี 1917 และเข้าศึกษาในวิทยาลัยยอนฮี (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยยอนเซ) สาขาวรรณกรรม ในปี 1943 ขณะศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เขาถูกจับในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายความสงบเรียบร้อย (น่าจะประมาณกฎอัยการศึก) และถูกจับขังในข้อหาพยายามประท้วงเรียกร้องอิสรภาพ เขาเสียชีวิตในปี 1945 ที่เรือนจำฟุกุโอกะ และได้รับการฝังไว้ที่บ้านเกิด บทกวีของเขาได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนชาวเกาหลีสู่อิสรภาพ
ชื่อเพลงนี้ Salt, Pepper, Birds, and the Thought Police เป็นการอ้างอิงถึง Sky, Wind, Stars, and Poem (ท้องฟ้า/สวรรค์ สายลม ดวงดาว และบทกวี) ซึ่งเป็นหนังสือรวมคำกลอนเล่มแรกและเล่มเดียวของยุนดงจู ในช่วงนั้นญี่ปุ่นสั่งห้ามตีพิมพ์ภาษาเกาหลี เขาจึงคัดหนังสือเล่มนี้ด้วยมือรวมสามฉบับด้วยกัน มันได้รับการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายในปี 1948 (ในเพลงนี้กล่าวถึงการที่มีคนได้อ่านหนังสือของเขาหลังเขาเสียชีวิตแล้ว)
วรรคทองที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดคงเป็น Prelude (โหมโรง) ซึ่งวรรคหนึ่งมีเนื้อหาตามนี้:
I will love all that is dying
With a heart that sings of stars,
And walk the path that
is given me.
Even tonight a star is rustled by the wind.
(อ่านประโยคนี้ครั้งแรกแล้วนึกถึงคำพูดของเซียว Tonight, a star of the city shall fall.)
คำแปล (อ้างอิงจาก https://hmong.in.th/wiki/Yun_Dongju)
ด้วยหัวใจที่ร่ำร้องถึงดวงดาว
ฉันจะรักทุกสิ่งที่กำลังจะตาย
และฉันต้องเดินไปตามทางที่
มอบให้ฉัน
คืนนี้ ลมยังพัดผ่านดวงดาว
อีกบทที่เพลง Salt, Pepper อ้างถึงน่าจะเป็นกลอน One Night, Counting the Stars ที่มีเนื้อหาที่พูดถึง “แม่” ตามนี้:
[…]
Mother,
and, you are distant in Bukkando. (บ้านเกิดของยุนดงจู)
For whatever longing
On a hill showered with the rays of numerous stars,
I spelled out my name on the earth
and covered it over with soil.
[…]
อ้างอิงจาก
นอกจากชื่อเพลงและเนื้อหาที่กล่าวถึงชีวิตโดยรวมของยุนดงจู การถูกกดขี่ และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเขา ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นในท่อน Whistling a tune เป็นการกล่าวถึงการที่ยุนดงจูผิวปากเก่ง และบนแผ่นหินหน้าหลุมฝังของเขายังมีการเขียนเปรียบเปรยเขาว่าเหมือนนกที่ถูกขังในกรง
โห... แต่คอมเมนต์ใน Youtube โคตรเดือด อ่านแล้วอยากตะโกนบอกทุกคนให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันเรื่องการเมืองในนี้
ท่อนที่เราฟังแล้วเจ็บสุดคงเป็น “You shouldn’t have been born the way you are” หมายถึง แค่เกิดมาเป็นแบบนี้/เป็นคนชนชาตินี้ก็ผิดแล้ว ซึ่งมันโหดร้ายมาก
เอาล่ะ เพลงนี้มีอะไรให้วิเคราะห์เยอะแต่เราจะพอแค่นี้ก่อน ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ
ความคิดเห็น