คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วันที่1-3
กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าเด็กนักเรียนชายหลายคนกำลังนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่บริเวณสวนหลังโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ลับที่ใครหลายคนต่างแอบมาหลบซ่อนจากอาจารย์ เสียงก่นด่าหยาบคายดังขึ้นเป็นระยะ บ้างก็เป็นเสียงตะโกน บ้างก็เสียงหัวเราะ แต่ในบางวันกลับเงียบกริบเพราะคนในกลุ่มนำไพ่มาเล่น
ชีวิตของผมในตอนนั้น... ไม่มีคำบรรยายใดที่ใช้ได้ดีไปกว่า ไร้แก่นสาร
แต่ครั้งนั้นเองที่เธอเดินมา พร้อมกับรอยยิ้มที่มักจะประดับอยู่บนใบหน้านวลนั้นเสมอ ทำเอาผมผู้ซึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ต้องชะงักงันด้ยความงุนงง
เจ้าหล่อนเป็นคนสวย ผมสีดำขลับยาวตรงถึงกลางหลัง ดวงตากลมโต ประกอบริมฝีปากได้รูปที่ชอบคลี่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมติดใจแต่แรกเห็น เหมือนกับว่าเคยพบเธอมาก่อน
“นั่งด้วยคนนะ”
ยังไม่ทันจะฟังเสียงตอบรับอันใดทั้งสิ้น เธอก็นั่งลงกลางวงล้อมของผู้ชายซึ่งกำลังสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และนั่งเล่นไพ่ ผมเลิกคิ้วน้อยๆพลางพิจารณาเด็กสาวข้างๆที่ส่งยิ้มมาให้
“ฉันชอบเธอ”
และนั่นคือประโยคที่สองที่เจ้าหล่อนพูดกับผม นริศ เด็กนักเรียนม.6ที่ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายในชีวิต
วันที่ 1
“ได้ยินว่าแกเลิกกับผู้หญิงนั่นแล้วเหรอไอ้นะ” เสียงตะโกนนั่นเป็นของเข็ม เพื่อนสนิท เสียงนั่นดังลั่นเสียจนผมได้ยินเสียงอื้ออึงในหู
“ยัง ”
“เอ๊า! ก็ไหนแกบอกจะเลิก สงสารผู้หญิงคนอื่นที่เขาต้อคิวรอแกกันมั่งดิ๊”
“ก็เจ้าหล่อนไม่ยอมเลิก จะให้ทำยังไง?” คำพูดเหล่านั้นทำให้เข็มต้องแอบกลั้นหัวเราะและพยายามอย่างถึงที่สุดไม่ให้ผมเห็น
“ขำอะไร?” แต่ถึงกระนั้นความพยายามก็ยังไม่เป็นผล ก็เล่นกลั้นยิ้มเสียจนตัวสั่นอย่างนั้น คนตาบอดกระมัที่จะไม่เห็น
“ขำแกสิวะ เห็นบอกเลิกผู้หญิงเป็นงานอดิเรก พอมาเจอรายนี้จะเลิกกลับเลิกไม่ได้ สงสัยกรรมตามทันมั้งแก”
ผมถอนใจยาวเพราะคำพูดของเพื่อนสนิท เฮ้อ กรรมตามทันงั้นรึ?
“วันนี้ไปดวดเหล้ากันไหมไอ้นะ?” ในที่สุดหัวข้อของการสทนาก็เปลี่ยนไปทันที คิ้วที่เคยขมวดมุ่นเมื่อครู่กลับคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น
“เอ่อ ก็ดีเหมือนกัน”
แต่แล้วก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวเดินไปจากบริเวณ ร่างบางแสนคุ้นเคยก็วิ่งมาแต่ไกลลิบ เส้นผมสีดำขลับปลิวละลิ่วไปตามสายลม ใบหน้านั้นแดงจัดเพราะอากาศร้อนอบอาวของประเทศไทย เธอมาหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสองก่อนจะทรุดตัวนั่งยองๆลงบนพื้นพลางหอบแฮ่ก
“นะ หลังเลิกเรียนจะไปไหน” ว่าแล้วใบหน้านั้นก็แหงนขึ้นมาฉีกยิ้มเช่นเคย ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นใบหน้านั้นแล้วเขาต้องใจอ่อนทุกที หรืออาจจะเป็นเพราะดวงตาวิงวอนคู่นั้นก็เป็นได้
“ไม่ไปหรอก” เขาเอื้อมมือไปพยุงร่างบางขึ้นจากพื้นพลางเหลือบมองเจ้าเพื่อนตัวดีที่กำลังยิ้มกริ่มราวกับรู้ทัน
“สลายโต๋ดีกว่าฟ่ะ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ ไปล่ะ! แช่แว่บ~” ว่าแล้วก็ดั่งคำพูดที่ได้กล่าวไว้ เข็มหายไปแทบจะภายในพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่างสองร่ากับความเงียบงัน
“นี่ ไปเที่ยวกันไหม” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ราวลูกแมวน้อยที่กำลังร้องขออาหาร
“ไปก็ไป
” เพราะสายตาวิงวอนนั้นเองที่ทำให้ผมขัดเจ้าหล่อนไม่ได้ อันที่จริงผมไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบขัดใจผู้หญิงเสียเท่าไหร่นัก...
ผมต้องลอบถอนใจกับตนเอง เพราะรู้ดีว่าต้องเป็นข้ารับใช้คอยแบกถุงเสื้อผ้าอีกตามเคย
สิ่งที่คาดเดานั้นผิดถนัด เจ้าหล่อนไม่ได้เหลียวแลเสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมุ่งหน้าไปยังร้านเกมส์ที่ผมชอบไปเล่นประจำ ความแปลกประหลาดของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไร้ขอบเขตจริงๆ
“เล่นเป็นด้วยรึ?”
“อื้ม!!”
จะว่าไร้เดียงสาก็ไม่เชิง อ่อนต่อโลกคงไม่ใช่ ผมมักจะแปลกใจเสมอว่าอะไรกันนะที่ทำให้เธอยิ้มได้ตลอดเวลา
ผมมารู้เอาก็ในภายหลังว่าเธออยู่ในโรงเรียนของผมมาตั้งแต่ม.ต้น ทั้งๆที่ผมอยู่มาตั้งแต่ประถมแต่น่าแปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นเธอเลย ไม่เคยแม้แต่จะคุยกันมาก่อนจนกระทั่งในวันที่เธอมาบอกว่าชอบผม
เอาเถอะ สามเดือนก็สามเดือน
ผมคิดพลางสูดลมหายใจลึก ก็แค่สามเดือน ทนๆไปหน่อยจะเป็นไรไปเล่า?
ผมไม่รู้ว่าเกิดแรงผลักดันอะไรให้ผมคบกับเธอต่อ แต่ เหมือนจะมีอะไรบางสิ่งในตัวผมที่บอกให้ทำตามคำขอของเธอเสีย หรืออาจเป็นเพราะว่าแววตาของเธอช่างดูเศร้าเหลือเกินก็เป็นได้ ผมไม่รู้เลยจริงๆ
วันที่ 2
“ขอเบอร์หน่อยสิ” เสียงหวานทำให้ผมต้องเบือนสายตาจากถนนหนทางข้างหน้ามายังคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังกระจกหน้าต่อ ปีนี้ผมก็อายุครบสิบแปดแล้ว การที่มีรถขับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียเท่าไหร่
“06-xxx-xxxx”
“แล้วจะโทรไป รีบกลับบ้านนะ” น้ำเสียงนั้นยังคงความเริ่งร่าอยู่ทุกครั้ง จนผมชักจะสงสัยว่ามีวันไหนบ้างไหมที่เจ้าหล่อนจะเศร้าเสียใจ เมื่ออยู่กับเธอปัญหาทุกเรื่องมันช่างดูเล็กจ้อยเสียเหลือเกิน ผมมักจะอิจฉาในความกล้าและความร่าเริงของเธออยู่บ่อยครั้ง
ในที่สุดรถสีดำก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วสีขาวที่แปรอะไปด้วยรอยฝุ่นควัน เธอก้าวลงจากรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำคันใหญ่ก่อนจะโบกมือน้อยๆและวิ่งหายไปหลังประตูรั้วสีขาวนั่น บ้านของเธอเป็นบ้านสามชั้น เบื้องหลังรั้วสูงคือสวนใหญ่กับสระว่ายน้ำ ขนาดของตัวบ้านใหญ่พอๆกับบ้านของเขาด้วยซ้ำ เขามองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความสงสัยที่เป็นเพียงปัญหาเล็กๆของชีวิต
ตามท้องถนนที่ติดขัดของกรุงเทพมหานคร ผมนั่งมองออกไปนอกรถอย่างเบื่อหน่าย รถติดเสมอในช่วงบ่ายหลังจากที่ทุกคนกลับจากการทำงาน อีกทั้งบ้านเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผมอยากกลับไปแต่ผมก็ต้องกลับ ใจจริงว่าจะกลับรถไปหาไอ้เข็มเสียหน่อย แต่
‘รีบกลับบ้านนะ ’
ไม่รู้ทำไมผมต้องทำตามคำขอร้องของเจ้าหล่อนด้วย ไม่รู้จริงๆ
เมื่อหลับถึงบ้านที่แสนจะว่างเปล่า คุณแม่นั่งอย่บนฝั่งหนึ่งของโต๊ะยาว ดวงตาที่ถูกประดับด้วยอายแชโดว์หนานั่นจ้องมองผมอย่างเอาเรื่อง
“วันนี้ครูเขาส่งจดหมายมา” คพูดเหล่านั้นทำให้ผมต้องกลอกตาขึ้นฟ้า เรื่องเดิมๆอีกแล้ว
“แล้วไง?”
“แกจะเหลวไหลไปถึงไหนกัน ไอ้นะ!” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของแม่ แต่ป็นเสียงของพ่อที่เพิ่งก้าวผ่านประตูห้องนั่งเล่นมา “เกรดเฉลี่ยเทอมนี้2.3!! ทำมาได้ยังไง2.3?! หากแกไม่พยายามแล้วจะต่อมหาลัยดีๆที่ต่างประเทศได้ไหม!?”
“เรื่องของผมน่า!! ก็บอกแล้วไงว่าผมจะไม่เรียนต่อมหาลัย!”
“เหลวไหล! วันๆเอาแต่สูบบุหรี่ดื่มเหล้าเที่ยวดึกดื่น พ่อแม่ไม่ได้ให้ชีวิตแกมาเพื่อให้แกทำลายตัวเองนะ!” เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และระดับความหงุดหงิดของผมก็เช่นกัน
“วุ่นวาย!! อย่ามายุ่งเรื่องของผม!”
ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นบันไดและมุ่งหน้าไปยังห้องนอนทันที ภาพของพื้นพรมสีน้ำเงินกับผนังวิลเปเปอร์สีฟ้าคุ้นตาปรากฎให้เห็น ตียงที่ถูกปูด้วยผ้าคลุมสีฟ้ารูปเรือใบเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่มุมห้อง กีตาร์ไฟฟ้าตัวโปรดก็ยังคงพิงผนังอยู่เหมือนเดิม
แต่แล้วก่อนที่ผมจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมกดรับก่อนจะกรอกน้ำเสียงหงุดหงิดใส่มือถือเครื่องเล็ก
“ฮัลโหล?” ผมกระชากเสียง แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ผมชะงัก
“ใครเอ่ย?”
“จันทร์ .”
“ถูกต้องค่า!” น่าแปลก ทั้งที่เมื่อครู่รู้สึกทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดเสียเกินประมาณ แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงเริงร่าความรู้สึกเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะถูกลบไปจนหมดสิ้น
“นะทำอะไรอยู่?”
“เพิ่งกลับถึงบ้านเนี่ยแหละ ว่าจะเล่นกีตาร์”
เขาเสมองไปยังกีตาร์ไฟฟ้าตัวเก่ง เพราะเจ้ากีตาร์นี่แหละที่ทำให้เขากับพ่อทะเลาะกันยกใหญ่
“ว้าว! นะเล่นกีตาร์ด้วยรึ เก่งจังเลย” เสียงตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกม่าไม่ได้ พ่อกันแม่ไม่เคยชื่นชมเขาอย่างนี้เลยสักครั้ง
“เล่นให้ฟังหน่อยได้ไหม?” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ทั้งๆที่คิดว่าเธอเป็นคนแปลกแต่กลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ได้สิ ”
และแล้วผมก็คว้าเครื่องดนตรีที่ผมไม่ได้จับมานับเดือนมานั่งเล่นอีกครั้ง บางสิ่งมันจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนเห็นค่าของมัน แม้นสักคนก็ยังดี
แม้นเสียงตบมือจะเป็นแค่คลื่นเสียงของวัตถุสองสิ่งที่กระทบกัน แต่มันก็เป็นสิ่งมีค่ายิ่งสำหรับผม
วันที่3
“ไม่ใช่นะ! ต้องทำแบบนี้ต่างหาก!” ว่าแล้วกระดาษในมือของผมก็โดนฉกฉวยไปด้วยมือบอบบางทั้งสองคู่ ไม่ว่าใครที่เดินผ่านไปมาในห้องสมุดก็ต้องงุนงงเพราะพวกเขาเห็นของแปลก เหล่าคณาจารย์ต่างมองมาที่ผมเป็นสายตาเดียวกันราวกับต้อการจะถามว่า ‘วันนี้หิมะจะตกในกรุงเทพหรือเปล่า!?’ หรือ ‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือพรุ่งนี้โลกจะแตก?’
เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมเหยียบย่างเข้าห้องสมุดและเป็นครั้งแรกที่ผม.... ดูหนังสือ
สมการทั้งหลายแหล่ถูกจัดวางอยู่ตรงหน้า กระดาษแบบฝึกหัดมากมายที่ผู้หญิงข้างๆไปซีรอกซ์มาอยู่เบื้องหน้า อีกทั้งยังมีบทสรุปเนื้อหาการเรียนของอีกหลายวิชาอีกต่างหาก
“แล้วทำไมจันทร์ต้องให้ผมมาทำแบบนี้ด้วย?” ถึงกระนั้นเข้าหล่อนก้ดูเหมืนจะไม่ใส่ใจกับคำพูดนั้น
“ข้อนี้ก็ผิดนะคะ! โอ๊ย สมองของนะมันยัดไปด้วยอะไรเนี่ย! แก้ใหม่เดี๋ยวนี้เลย” คำพูดแกมด่าแกมแซวนั่นทำให้ผมอดที่จะขำไม่ได้
“ยัดไปด้วยขี้เลื่อยไงถามได้ เพราะงั้นไม่ว่าจันทร์สอนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเข้าสมองผมหรอก ไปเที่ยวกันดีกว่า”
“ไม่ต้องมาติดตลกเลย ทำต่อไป!!”
ท่าทีแง่งอนของเธอเรียกรอยยิ้มจากผมได้ไม่น้อย น่าแปลกใจจริงๆว่าทำไมเธอต้องมาเสียเวลากับคนอย่างผมด้วย ทั้งๆที่เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่สวยสักหน่อย ผู้ชายดีๆมีอยู่ถมเถ แต่ทำไมเธอถึงเลือกผม?
ดั่งจันทราที่ทอแสงในค่ำคืนมืดมิดไร้แสงดาว ที่ฉุดดึงผมขึ้นจากความมืดมิดและเผยทางสว่างที่ถูกบดบังด้วยราตรี...
ความคิดเห็น