ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกถึงจันทราในค่ำคืนไร้แสงดาว

    ลำดับตอนที่ #2 : วันที่1-3

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 50


           

                    กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าเด็กนักเรียนชายหลายคนกำลังนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่บริเวณสวนหลังโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ลับที่ใครหลายคนต่างแอบมาหลบซ่อนจากอาจารย์ เสียงก่นด่าหยาบคายดังขึ้นเป็นระยะ บ้างก็เป็นเสียงตะโกน บ้างก็เสียงหัวเราะ แต่ในบางวันกลับเงียบกริบเพราะคนในกลุ่มนำไพ่มาเล่น

     

    ชีวิตของผมในตอนนั้น... ไม่มีคำบรรยายใดที่ใช้ได้ดีไปกว่า ไร้แก่นสาร

     

                    แต่ครั้งนั้นเองที่เธอเดินมา พร้อมกับรอยยิ้มที่มักจะประดับอยู่บนใบหน้านวลนั้นเสมอ ทำเอาผมผู้ซึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ต้องชะงักงันด้ยความงุนงง

     

                    เจ้าหล่อนเป็นคนสวย ผมสีดำขลับยาวตรงถึงกลางหลัง ดวงตากลมโต ประกอบริมฝีปากได้รูปที่ชอบคลี่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมติดใจแต่แรกเห็น เหมือนกับว่าเคยพบเธอมาก่อน

     

                    นั่งด้วยคนนะ

     

                    ยังไม่ทันจะฟังเสียงตอบรับอันใดทั้งสิ้น เธอก็นั่งลงกลางวงล้อมของผู้ชายซึ่งกำลังสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และนั่งเล่นไพ่ ผมเลิกคิ้วน้อยๆพลางพิจารณาเด็กสาวข้างๆที่ส่งยิ้มมาให้

     

                    ฉันชอบเธอ

     

                    และนั่นคือประโยคที่สองที่เจ้าหล่อนพูดกับผม นริศ เด็กนักเรียนม.6ที่ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายในชีวิต

     

    ………………………………

     

    วันที่ 1

     

                ได้ยินว่าแกเลิกกับผู้หญิงนั่นแล้วเหรอไอ้นะ เสียงตะโกนนั่นเป็นของเข็ม เพื่อนสนิท เสียงนั่นดังลั่นเสียจนผมได้ยินเสียงอื้ออึงในหู

                    ยัง…”

                    เอ๊า! ก็ไหนแกบอกจะเลิก สงสารผู้หญิงคนอื่นที่เขาต้อคิวรอแกกันมั่งดิ๊

                    ก็เจ้าหล่อนไม่ยอมเลิก จะให้ทำยังไง?” คำพูดเหล่านั้นทำให้เข็มต้องแอบกลั้นหัวเราะและพยายามอย่างถึงที่สุดไม่ให้ผมเห็น

                    ขำอะไร?” แต่ถึงกระนั้นความพยายามก็ยังไม่เป็นผล ก็เล่นกลั้นยิ้มเสียจนตัวสั่นอย่างนั้น คนตาบอดกระมัที่จะไม่เห็น

                    ขำแกสิวะ เห็นบอกเลิกผู้หญิงเป็นงานอดิเรก พอมาเจอรายนี้จะเลิกกลับเลิกไม่ได้ สงสัยกรรมตามทันมั้งแก

     

                    ผมถอนใจยาวเพราะคำพูดของเพื่อนสนิท เฮ้อ กรรมตามทันงั้นรึ?

     

                    วันนี้ไปดวดเหล้ากันไหมไอ้นะ?” ในที่สุดหัวข้อของการสทนาก็เปลี่ยนไปทันที คิ้วที่เคยขมวดมุ่นเมื่อครู่กลับคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น

                    เอ่อ ก็ดีเหมือนกัน

     

                    แต่แล้วก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวเดินไปจากบริเวณ ร่างบางแสนคุ้นเคยก็วิ่งมาแต่ไกลลิบ เส้นผมสีดำขลับปลิวละลิ่วไปตามสายลม ใบหน้านั้นแดงจัดเพราะอากาศร้อนอบอาวของประเทศไทย เธอมาหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสองก่อนจะทรุดตัวนั่งยองๆลงบนพื้นพลางหอบแฮ่ก

     

                    นะ หลังเลิกเรียนจะไปไหน ว่าแล้วใบหน้านั้นก็แหงนขึ้นมาฉีกยิ้มเช่นเคย ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นใบหน้านั้นแล้วเขาต้องใจอ่อนทุกที หรืออาจจะเป็นเพราะดวงตาวิงวอนคู่นั้นก็เป็นได้

     

                    ไม่ไปหรอก เขาเอื้อมมือไปพยุงร่างบางขึ้นจากพื้นพลางเหลือบมองเจ้าเพื่อนตัวดีที่กำลังยิ้มกริ่มราวกับรู้ทัน

                    สลายโต๋ดีกว่าฟ่ะ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ ไปล่ะ! แช่แว่บ~” ว่าแล้วก็ดั่งคำพูดที่ได้กล่าวไว้ เข็มหายไปแทบจะภายในพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่างสองร่ากับความเงียบงัน

                    นี่ไปเที่ยวกันไหม เด็กสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ราวลูกแมวน้อยที่กำลังร้องขออาหาร

                    ไปก็ไป…” เพราะสายตาวิงวอนนั้นเองที่ทำให้ผมขัดเจ้าหล่อนไม่ได้ อันที่จริงผมไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบขัดใจผู้หญิงเสียเท่าไหร่นัก...

     

                    ผมต้องลอบถอนใจกับตนเอง เพราะรู้ดีว่าต้องเป็นข้ารับใช้คอยแบกถุงเสื้อผ้าอีกตามเคย

     

                   

                    สิ่งที่คาดเดานั้นผิดถนัด เจ้าหล่อนไม่ได้เหลียวแลเสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมุ่งหน้าไปยังร้านเกมส์ที่ผมชอบไปเล่นประจำ ความแปลกประหลาดของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไร้ขอบเขตจริงๆ

                เล่นเป็นด้วยรึ?”

                    อื้ม!!”

     

                    จะว่าไร้เดียงสาก็ไม่เชิง อ่อนต่อโลกคงไม่ใช่ ผมมักจะแปลกใจเสมอว่าอะไรกันนะที่ทำให้เธอยิ้มได้ตลอดเวลา

                    ผมมารู้เอาก็ในภายหลังว่าเธออยู่ในโรงเรียนของผมมาตั้งแต่ม.ต้น ทั้งๆที่ผมอยู่มาตั้งแต่ประถมแต่น่าแปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นเธอเลย ไม่เคยแม้แต่จะคุยกันมาก่อนจนกระทั่งในวันที่เธอมาบอกว่าชอบผม

     

                    เอาเถอะ สามเดือนก็สามเดือน

     

                    ผมคิดพลางสูดลมหายใจลึก ก็แค่สามเดือน ทนๆไปหน่อยจะเป็นไรไปเล่า?

     

                    ผมไม่รู้ว่าเกิดแรงผลักดันอะไรให้ผมคบกับเธอต่อ แต่ เหมือนจะมีอะไรบางสิ่งในตัวผมที่บอกให้ทำตามคำขอของเธอเสีย หรืออาจเป็นเพราะว่าแววตาของเธอช่างดูเศร้าเหลือเกินก็เป็นได้ ผมไม่รู้เลยจริงๆ

     

    วันที่ 2

     

                    ขอเบอร์หน่อยสิ เสียงหวานทำให้ผมต้องเบือนสายตาจากถนนหนทางข้างหน้ามายังคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังกระจกหน้าต่อ ปีนี้ผมก็อายุครบสิบแปดแล้ว การที่มีรถขับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียเท่าไหร่

                    06-xxx-xxxx”

                    แล้วจะโทรไป รีบกลับบ้านนะ น้ำเสียงนั้นยังคงความเริ่งร่าอยู่ทุกครั้ง จนผมชักจะสงสัยว่ามีวันไหนบ้างไหมที่เจ้าหล่อนจะเศร้าเสียใจ เมื่ออยู่กับเธอปัญหาทุกเรื่องมันช่างดูเล็กจ้อยเสียเหลือเกิน ผมมักจะอิจฉาในความกล้าและความร่าเริงของเธออยู่บ่อยครั้ง

     

                    ในที่สุดรถสีดำก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วสีขาวที่แปรอะไปด้วยรอยฝุ่นควัน เธอก้าวลงจากรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำคันใหญ่ก่อนจะโบกมือน้อยๆและวิ่งหายไปหลังประตูรั้วสีขาวนั่น บ้านของเธอเป็นบ้านสามชั้น เบื้องหลังรั้วสูงคือสวนใหญ่กับสระว่ายน้ำ ขนาดของตัวบ้านใหญ่พอๆกับบ้านของเขาด้วยซ้ำ เขามองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความสงสัยที่เป็นเพียงปัญหาเล็กๆของชีวิต

     

                    ตามท้องถนนที่ติดขัดของกรุงเทพมหานคร ผมนั่งมองออกไปนอกรถอย่างเบื่อหน่าย รถติดเสมอในช่วงบ่ายหลังจากที่ทุกคนกลับจากการทำงาน อีกทั้งบ้านเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผมอยากกลับไปแต่ผมก็ต้องกลับ ใจจริงว่าจะกลับรถไปหาไอ้เข็มเสียหน่อย แต่

     

                รีบกลับบ้านนะ…’

     

                    ไม่รู้ทำไมผมต้องทำตามคำขอร้องของเจ้าหล่อนด้วยไม่รู้จริงๆ

     

                    เมื่อหลับถึงบ้านที่แสนจะว่างเปล่า คุณแม่นั่งอย่บนฝั่งหนึ่งของโต๊ะยาว ดวงตาที่ถูกประดับด้วยอายแชโดว์หนานั่นจ้องมองผมอย่างเอาเรื่อง

     

                    วันนี้ครูเขาส่งจดหมายมา คพูดเหล่านั้นทำให้ผมต้องกลอกตาขึ้นฟ้า เรื่องเดิมๆอีกแล้ว

                    แล้วไง?”

                    แกจะเหลวไหลไปถึงไหนกัน ไอ้นะ!” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของแม่ แต่ป็นเสียงของพ่อที่เพิ่งก้าวผ่านประตูห้องนั่งเล่นมา เกรดเฉลี่ยเทอมนี้2.3!! ทำมาได้ยังไง2.3?! หากแกไม่พยายามแล้วจะต่อมหาลัยดีๆที่ต่างประเทศได้ไหม!?”

                    เรื่องของผมน่า!! ก็บอกแล้วไงว่าผมจะไม่เรียนต่อมหาลัย!”

                เหลวไหล! วันๆเอาแต่สูบบุหรี่ดื่มเหล้าเที่ยวดึกดื่น พ่อแม่ไม่ได้ให้ชีวิตแกมาเพื่อให้แกทำลายตัวเองนะ!” เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และระดับความหงุดหงิดของผมก็เช่นกัน

                วุ่นวาย!! อย่ามายุ่งเรื่องของผม!”

     

                    ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นบันไดและมุ่งหน้าไปยังห้องนอนทันที ภาพของพื้นพรมสีน้ำเงินกับผนังวิลเปเปอร์สีฟ้าคุ้นตาปรากฎให้เห็น ตียงที่ถูกปูด้วยผ้าคลุมสีฟ้ารูปเรือใบเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่มุมห้อง กีตาร์ไฟฟ้าตัวโปรดก็ยังคงพิงผนังอยู่เหมือนเดิม

     

                    แต่แล้วก่อนที่ผมจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมกดรับก่อนจะกรอกน้ำเสียงหงุดหงิดใส่มือถือเครื่องเล็ก

                    ฮัลโหล?” ผมกระชากเสียง แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ผมชะงัก

                    ใครเอ่ย?”

                    จันทร์….”

                    ถูกต้องค่า!” น่าแปลก ทั้งที่เมื่อครู่รู้สึกทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดเสียเกินประมาณ แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงเริงร่าความรู้สึกเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะถูกลบไปจนหมดสิ้น

                    นะทำอะไรอยู่?”

                    เพิ่งกลับถึงบ้านเนี่ยแหละ ว่าจะเล่นกีตาร์

     

                    เขาเสมองไปยังกีตาร์ไฟฟ้าตัวเก่ง เพราะเจ้ากีตาร์นี่แหละที่ทำให้เขากับพ่อทะเลาะกันยกใหญ่

     

                    ว้าว! นะเล่นกีตาร์ด้วยรึ เก่งจังเลย เสียงตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกม่าไม่ได้ พ่อกันแม่ไม่เคยชื่นชมเขาอย่างนี้เลยสักครั้ง

     

                    เล่นให้ฟังหน่อยได้ไหม?” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ทั้งๆที่คิดว่าเธอเป็นคนแปลกแต่กลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

                    ได้สิ…”

     

                    และแล้วผมก็คว้าเครื่องดนตรีที่ผมไม่ได้จับมานับเดือนมานั่งเล่นอีกครั้ง บางสิ่งมันจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนเห็นค่าของมัน แม้นสักคนก็ยังดี

     

                    แม้นเสียงตบมือจะเป็นแค่คลื่นเสียงของวัตถุสองสิ่งที่กระทบกัน แต่มันก็เป็นสิ่งมีค่ายิ่งสำหรับผม

     

    วันที่3

     

                    ไม่ใช่นะ! ต้องทำแบบนี้ต่างหาก!” ว่าแล้วกระดาษในมือของผมก็โดนฉกฉวยไปด้วยมือบอบบางทั้งสองคู่ ไม่ว่าใครที่เดินผ่านไปมาในห้องสมุดก็ต้องงุนงงเพราะพวกเขาเห็นของแปลก เหล่าคณาจารย์ต่างมองมาที่ผมเป็นสายตาเดียวกันราวกับต้อการจะถามว่า วันนี้หิมะจะตกในกรุงเทพหรือเปล่า!?’ หรือมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือพรุ่งนี้โลกจะแตก?’

     

                เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมเหยียบย่างเข้าห้องสมุดและเป็นครั้งแรกที่ผม.... ดูหนังสือ

     

                    สมการทั้งหลายแหล่ถูกจัดวางอยู่ตรงหน้า กระดาษแบบฝึกหัดมากมายที่ผู้หญิงข้างๆไปซีรอกซ์มาอยู่เบื้องหน้า อีกทั้งยังมีบทสรุปเนื้อหาการเรียนของอีกหลายวิชาอีกต่างหาก

     

                    แล้วทำไมจันทร์ต้องให้ผมมาทำแบบนี้ด้วย?” ถึงกระนั้นเข้าหล่อนก้ดูเหมืนจะไม่ใส่ใจกับคำพูดนั้น

                    ข้อนี้ก็ผิดนะคะ! โอ๊ย สมองของนะมันยัดไปด้วยอะไรเนี่ย! แก้ใหม่เดี๋ยวนี้เลย คำพูดแกมด่าแกมแซวนั่นทำให้ผมอดที่จะขำไม่ได้

                    ยัดไปด้วยขี้เลื่อยไงถามได้ เพราะงั้นไม่ว่าจันทร์สอนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเข้าสมองผมหรอก ไปเที่ยวกันดีกว่า

                    ไม่ต้องมาติดตลกเลย ทำต่อไป!!”

     

                    ท่าทีแง่งอนของเธอเรียกรอยยิ้มจากผมได้ไม่น้อย น่าแปลกใจจริงๆว่าทำไมเธอต้องมาเสียเวลากับคนอย่างผมด้วย ทั้งๆที่เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่สวยสักหน่อย ผู้ชายดีๆมีอยู่ถมเถ แต่ทำไมเธอถึงเลือกผม?

     

                    ดั่งจันทราที่ทอแสงในค่ำคืนมืดมิดไร้แสงดาว ที่ฉุดดึงผมขึ้นจากความมืดมิดและเผยทางสว่างที่ถูกบดบังด้วยราตรี...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×