ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประวิตศาสตร์ที่โลกต้องตะลึง!!!

    ลำดับตอนที่ #1 : บุคคลสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ สอง(ฝ่ายอักษะ)

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 50



    ฝ่ายอักษะ

    เยอรมัน


    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)

    เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 เวลา 06.30 น. ที่ Braunau-am-Inn ในประเทศออสเตรีย บิดาของเขาชื่อ Alois Shiklgruber มารดาชื่อ Klara เป็นภรรยาคนที่ 3 ในวัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่นจากบิดาและมารดา แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์พ่อของเขาในทางที่ไม่ดี แม่ของเขาแม้จะไม่ค่อยมีเวลาให้เขา แต่ก็จะคอยตามใจเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ให้เขาในทุกๆสิ่งที่เขาต้องการ ว่ากันว่า การเอาใจอย่างเกินเหตุนี้เอง ที่เป็นสาเหตุของการก้าวไปสู่ความเป็นจอมเผด็จการแห่งยุคในที่สุด




    (ภาพบน) ฮิตเลอร์ขณะชมเมืองปารีสของฝรั่งเศส ภายหลังที่ฝรั่งเศสประกาศยอมแพ้ และประกาศให้ปารีสเป็นเมืองเปิด เพื่อป้องกันความเสียหายของเมือง ฮิตเลอร์เป็นผู้ที่ชื่นชอบในงานศิลปะเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังชื่นชมในตัวนโปเลียน อดีตจักรพรรดิของฝรั่งเศส และเขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินทางไปเยือนกรุงปารีส ในฐานะผู้พิชิต

    ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาด แม้ว่าจะขี้เกียจอย่างมาก ในงานที่ต้องใช้เวลานานๆ เขาเป็นเด็กช่างฝัน มีเพื่อนไม่มากนัก พรรคนาซีของเขามักจะทำการประชาสัมพันธ์อยู่เสมอว่า ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก มีความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ โดยเขามักจะนำเพื่อนๆทุกคนในสนามเด็กเล่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังว่า ฮิตเลอร์สนใจในการค้นคว้าประวัติศาสตร์ ซึ่งที่จริงแล้ว มีคนแย้งอยู่เสมอว่า เขาไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การบุกรัสเซียของนโปเลียนเลย แม้แต่ผิวเผิน ทำให้เขาประสบกับความพ่ายแพ้ในรัสเซียเช่นเดียวกับนโปเลียน หนึ่งในวีรบุรุษที่เขาโปรดปราน

    บิดาของฮิตเลอร์ตายในปี ค.ศ. 1903 ครอบครัวของเขาย้ายไปเมือง Linz ที่นี่ฮิตเลอร์ตัดสินใจเรียนวาดภาพ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ในการวาดภาพของเขา ได้ถูกทำลายลงด้วยการขาดความเพียรพยายามของเขา ปี ค.ศ. 1907 เขาไม่ประสบความสำเร็จ ในการสอบเข้าเรียนศิลปะที่สถาบัน Vienna ในช่วงที่เขากำพร้าพ่อ เขาก็ดูมีความสุขดีกับการอยู่กับแม่ของเขา แม้ว่าเขาจะเขียนในหนังสือเรื่อง การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf) ว่า เขาต้องออกไปทำงานไกลๆ เพื่อหาเลี้ยงตัวเองก็ตาม (forced to go far from home to earn his bread) ในโรงเรียน ฮิตเลอร์ทำคะแนนตกหลายวิชา และถูกปฏิเสธที่จะให้เลื่อนชั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเขาตั้งใจที่จะไปเป็นศิลปินวาดภาพ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก

    ต่อมาเขาเลือกที่จะเรียนเปียนโน แล้วก็ถอดใจ เลิกเรียนอีก เขาย้ายมาเวียนนาเมืองหลวงของออสเตรีย (ฮิตเลอร์เป็นคนออสเตรีย ไม่ใช่คนเยอรมัน) ที่นี่เองที่เขาได้พบกับลัทธิชาตินิยม (Nationalism) และลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ (Racism) อันนำมาซึ่งชนวนแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มวลมนุษยชาติเคยรู้จัก


    ฮิตเลอร์ แสดงความเคารพตอบฝูงขน ในการขุมนุมใหญ่ของพรรคที่เมืองนูเรมเบอร์ก ซ้ายสุดคือ รูดอล์ฟ เฮสส์ ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีอำนาจในอันดับต้นๆ ของพรรคนาซี บางแหล่งข่าวยกให้เขามีอำนาจลำดับที่สาม รองจากฮิตเลอร์


    สมาชิกรัฐสภาเยอรมัน (Reichstag) แสดงความเคารพแบบนาซีต่อฮิตเลอร์ ภายหลังการประกาศผนวกดินแดนออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน มีผู้วิเคราะห์์ว่า ฮิตเลอร์ใช้การปลุกระดมความรักชาติด้วยการใช้ Theater เช่น สัญญลักษณ์อินทรีเหนือสวัสดิกะที่ตื่นตา รวมทั้งการสวนสนามที่ปลุกเร้าความรักชาติ และการประชาสัมพันธ์ที่มีแบบแผนดีเยี่ยม (โลกตะวันตกมักพูดถึงการประชาสัมพันธ์ของฮิตเลอร์ว่า เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda) รวมไปถึงการปลูกฝังอุดมการณ์ลัทธินาซี ให้กับเยาวชนตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไป ในนามของ ยุวชนฮิตเลอร์ จึงทำให้อุดมการณ์นาซี หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของชาวเยอรมันทุกระดับชั้น ไม่ต่างจากการปลูกฝังอุดมการณ์ลัทธิบางลัทธิ ที่สามารถทำให้สมาชิกลัทธิยอมเสียสละชีวิตของตนเองได้ อย่างไรก็ตามคงไม่มีใครปฏิเสธว่า การปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติของนาซี ก็สามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างได้ หากรู้จักการแบ่งแยกระหว่าง ความรักชาติ ออกจากความหลงชาติ และความคลั่งชาติ


    ฮิตเลอร์และมุสโสลินี จอมเผด็จการแห่งอิตาลี ที่มีความอิจฉาในตัวฮิตเลอร์ พยายามทุกอย่างที่จะเลียนแบบ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ กลับถูกชาวอิตาลีโค่นล้ม และสังหารอย่างโหดเหี้ยมในที่สุด กล่าวกันว่า การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองของอิตาลี นอกจากจะไม่ช่วยให้เยอรมันประสบชัยชนะแล้ว ยังเป็นการบั่นทอนทรัพยากรต่างๆ ในการทำสงครามของเยอรมันลงอีกด้วย เนื่องจากประสิทธิภาพของกองทัพอิตาลี ยังไม่มีความพร้อม อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ล้า่สมัย เยอรมันต้องเข้าไปช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาตั้งแต่การยุทธในบอลข่าน มาจนถึงการรบในแอฟริกา และการรบในอิตาลีเอง


    ฮิตเลอร์อาสาสมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพเยอรมันภายใต้การนำของพระเจ้าวิลเฮล์ม ไกเซอร์ (Kaiser) โดยอยู่ในกรมบาวาเรียนที่ 16 (the 16th Bavarian Regiment) ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งๆที่เขามีปัญหาด้านสุขภาพ

    ในกองทัพนี่เอง ที่ทำให้ชีวิตที่เพ้อฝัน และขาดการเอาจริงเอาจังของเขาเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัย สนุกสนาน ร่าเริง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ พร้อมที่จะรับภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย จนได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 (the Iron Cross Second Class) ซึ่งภายหลังถูกยกระดับให้เป็นเหรียญชั้นที่ 1 เป็นที่น่าสังเกตุคือ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารับเหรียญกล้าหาญนี้ โดยฝ่ายเสนาธิการประจำกรมของเขา ซึ่งเป็นคนยิว ชนชาติที่จะถูกเขาทำลายล้างในห้วงเวลาต่อมา ฮิตเลอร์มีความภาคภูมิใจในเหรียญกล้าหาญนี้มาก เขาจะประดับเหรียญตรานี้เพียวเหรียญเดียวอยู่เสมอ


    ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้สิ้นสุดลง พร้อมๆกับความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฮิตเลอร์เองก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษจากฝ่ายอังกฤษ เยอรมันถูกจำกัดในทุกๆด้าน ด้วยสนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of Versailles)

    ฮิตเลอร์มีความเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของเขา และกองทัพเยอรมัน เกิดขึ้นมาจากศัตรูที่อยู่ภายใน (Enemy within) มากกว่า ความพ่ายแพ้ต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร เขาเชื่อว่าศัตรูที่อยู่ภายในนั้น หักหลังประเทศเยอรมัน พวกนั้นก็คือ พวกยิว พวกคอมมิวนิสต์ หรือมาร์กซิส และพวกนักการเมือง สนธิสัญญาแวร์ซายจำกัดทุกอย่าง กองทัพเยอรมันถูกลดลงเหลือเพียง 100,000 คน เศรษฐกิจของประเทศเยอรมันถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง

    ในขณะเดียวกัน ลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการล้มราชวงศ์โรมานอฟ ของพระเจ้าซาร์ในประเทศรัสเซีย และแผ่ขยายเข้าสุ๋เยอรมัน มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในเยอรมัน ฮิตเลอร์ซึ่งสังกัดอยู่ในลัทธิชาตินิยมขวาจัด ได้นำกำลังเข้าโจมตีสหภาพแรงงานซึ่งเป็นหัวหอกของพวกคอมมิวนิสต์ ตลอดจนกลุ่มธุรกิจของฝ่ายคอมมิวนิสต์

    ผู้นำกลุ่มของฮิตเลอร์ในขณะนั้นคือ Anton Drexler ประกาศว่า พรรคชาตินิยมของเขาจะไม่มีชนชั้นเหมือนพวกคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรสังคมนิยมชาตินิยม (คอมมิวนิสต์เองก็เป็นสังคมนิยมเช่นกัน แต่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งอยู่ในซีกซ้ายจัด) มีการก่อตั้งลัทธิสังคมนิยมชาตินิยมขึ้น เรียกว่า National Socialist German Workers' Party หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมันว่า National Sozialistische Deutsche Arbeiter Partei ภายหลังเรียกสั้นๆว่า National Sozialist หรือ NAZI นั่นเอง

    11 พ.ย. 1923 ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีของเขาพยายามทำการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ เขาถูกจับพร้อมกับพรรคพวกของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ Munich Putch เขาถูกจำคุก ด้วยโทษ 5 ปี แต่จริงๆ เขาถูกจำคุกเพียงแค่ 9 เดือนเท่านั้น หนังสือพิมพ์ต่างตีพิมพ์คำให้การ คำสัมภาษณ์ของเขา ที่ต้องการฟื้นฟูประเทศเยอรมัน ระหว่างที่ติดคุก เขาเขียนหนังสือชื่อ การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf) ความพ่ายแพ้ของเขาในครั้งนี้ กลับทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้น

    ในเดือน พ.ค. 1927 ถึง 1928 ฮิตเลอร์ถูกห้ามกล่าวคำปราศรัยในที่สาธารณะ และในปี 1928 นี่เองที่ฮิตเลอร์เช่าวิลล่าที่ Obersalzberg ที่นี่เขาได้พบกับ Angela Raubal พี่สาวต่างมารดาของฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาในฐานะแม่บ้านพร้อมด้วยลูกสาวคือ Geli Raudal เป็นครั้งแรกที่ฮิตเลอร์ตกหลุมรักสาวน้อย Geli อย่างบ้าคลั่ง บางทีอาจจะเป็นครั้งเดียวที่เขาตกหลุมรักในชีวิตของเขาทั้งชีวิต

    พรรคนาซีเริ่มได้รับความนิยมอีกครั้งจากการนำทางของ Gregor Strasser ผู้ร่วมงานของฮิตเลอร์ จากยอดของสมาชิกพรรคนาซี ในปี 1927 ที่มีอยู่ประมาณ 72,000 คน ได้เพิ่มเป็น 178,000 คนในปี 1929 หรือเพียง 2 ปีต่อมา

    ในปี 1929 นี้เอง ที่ Heinrich Himmler นักธุรกิจที่ร่างกายอ่อนแอ และล้มเหลว ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้นำระดับสูงสุดคนหนึ่งของพรรคนาซี ได้ทิ้งฟาร์มเลี้ยงไก่ของเขา เข้าร่วมกับฮิตเลอร์ และได้เป็นหัวหน้าหน่วย Waffen SS (Armed SS) ซึ่งเป็นหน่วยอารักขาของฮิตเลอร์ (Hitler bodyguarde) โดยในขณะนั้นมีจำนวนเพียง 200 คน แต่ก็เป็นสองร้อยคนที่คัดสรรมาเป็นอย่างอย่างดี เพื่อคานอำนาจกับห่วย SA

    ในขณะเดียว เออร์เนส โรห์ม (Ernest Rohm) คนสนิทของฮิตเลอร์ ที่ได้ก่อตั้งกองกำลัง SA (Strumabtielung) -สตุมอับไทลุง- เพื่อเป็นกองกำลังส่วนตัวของฮิตเลอร์ แต่โรห์ม เริ่มทำตัวเป็นเอกเทศ และมีทีท่าว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ กองกำลัง SA เองก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังโรห์ม มากกว่า ฮิตเลอร์ ในปี 1930 จำนวนของ SA และ SS มียอดเพิ่มสูงขึ้นถึง 100,000 คน ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากองทัพเยอรมัน (Reichswehr) ในขณะนั้น ที่ถูกจำกัดโดยสนธิสัญญาแวร์ซายเสียอีก

    ตอนนี้หนทางสู่ความสำเร็จ ดูเหมือนจะถูกวางอยู่ข้างหน้าของฮิตเลอร์แล้ว เขาเริ่มวางแผนการจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 1928 แฮร์มาน เกอริง (Herrmann Goering) ซึ่งต่อมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน หรือ ลุฟวาฟ (Luftwaffe) และ โจเซฟ เกบเบิล (Goebbels) ซึ่งต่อมารับผิดชอบงานด้านการประชาสัมพันธ์ของพรรคนาซี ได้รับเลือกเข้าสู่สภาไรซ์สตาค (Reichstag)

    ฮิตเลอร์รู้ดีว่า เศรษฐกิจของเยอรมันขณะนั้น อยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคง เต็มไปเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจหลังสงครามของรัฐบาลเยอรมันในขณะนั้น ก็ไม่ได้มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรม ฮิตเลอร์มองว่า ความมั่งคั่งทางอุตสาหกรรม จะเป็นหนทางนำไปสู่ความเติบโตทางเศรษฐกิจ และส่งผลให้เยอรมัน มีอิสรภาพทางการเงิน ฮิตเลอร์จึงประกาศว่า พรรคนาซี เป็นพรรคที่นิยมการค้าเสรี (Free Enterprise) และจะใช้อุตสาหกรรมนำความมั่งคั่งมาสู่เยอรมัน







    ปลายปี 1930 ฮิตเลอร์ได้รับทุนจาก Emil Kirdorf ผู้นำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของเยอรมัน เงินจำนวนนี้ได้สร้างพรรคนาซีให้ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ พระราชวัง Barlow ถูกเช่าเป็นสถานที่ต้อนรับแขกของพรรค เปลี่ยนชื่อเป็น The Brown House นอกจากนี้ฮิตเลอร์ยังใช้เงินจำนวนนี้ รณรงค์ทางการเมือง และพิมพ์ใบปลิวปลุกจิตสำนึกของคนเยอรมันอย่างมากมาย ส่งผลให้พรรคนาซีมีสมาชิกเพิ่มเป็นกว่าครึ่งล้านคน ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะหยุดยั้งฮิตเลอร์ได้อีกต่อไปแล้ว

    ในทางตรงกันข้าม ประเทศเยอรมันกลับวิ่งสวนทางกับพรรคนาซี ผลจากเศรษฐกิจตกต่ำ (the great depression) ส่งผลให้เยอรมันกลายเป็นหนี้อย่างมหาศาล ค่าเงินมาร์กตกต่ำ สภาไรซ์สตาค ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก



    เดือน ก.ย. 1930 มีการเลือกตั้งทั่วไป พรรคนาซีประสบความสำเร็จอย่างมาก จากนโยบายที่ฮิตเลอร์ใช้หาเสียง ความสำเร็จนี้สร้างความแปลกใจให้กับทุกคน แม้กระทั่งตัวฮิตเลอร์เอง โดยพรรคนาซีได้รับเสียงถึง 6,500,000 เสียง ได้ที่นั่งถึง 107 ที่นั่งในสภา เป็นพรรคใหญ่อันดับสอง จากเดิมที่เคยมีเพียง 12 ที่นั่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 1928 ไม่เพียงแต่พรรคนาซีเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จ พรรคคอมมิวนิสต์ก็เช่นเดียวกัน ที่ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 23 ที่นั่งเป็น 77 ที่นั่ง แสดงให้เห็นว่าประชาชนเยอรมันเริ่มแตกออกเป็นสองฝ่าย เพื่อหาทางสู้กับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ

    ผู้นำพรรคนาซีทั้งหกคน ประกอบด้วย ฮิตเลอร์ สตราสเวอร์ (Strasser) โรห์ม (Roehm) เกอริง (Goering) เกิบเบิล (Goebbels) และ ฟริค (Frick) ต่างช่วยกันบริหารงานพรรค และขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง ในเดือน ก.ค. 1932 พรรคนาซีได้รับความนิยมสูงทึี่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยสามารถครองที่นั่งในสภาได้ถึง 230 ที่นั่งจากที่นั่งทั้งหมด 608 ที่นั่งในสภา

    อย่างไรก็ตาม จากการบริหารที่ผิดพลาดของ เกอริง ที่ได้รับเลือกเป็นประธษนสภา ได้นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ส่งผลให้ที่นั่งของพรรคนาซีลดลงเหลือ 196 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์กลับได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นเป็น 100 ที่นั่ง และแม้จะมีความพยายามในการหยุดยั้งฮิตเลอร์จากหลายๆฝ่าย ในวันที่ 30 มกราคม 1933 ฮิตเลอร์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี (Chancellor)

    24 ก.พ. 1933 พลพรรคนาซีของฮิตเลอร์ ในสังกัดของเกอริง บุกเข้าไปในที่ทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งพบหลักฐานว่า พวกคอมมิวนิสต์กำลังวางแผนจะปฏิวัติ อีก 3 วันต่อมา คือ 27 ก.พ. เกิดไฟไหม้รัฐสภา ผู้นำนาซีหลายคนเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุกลางดึก พร้อมทั้งประกาศว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดจากการกระทำของพวกคอมมิวนิสต์


    รุ่งขึ้นฮิตเลอร์เข้าพบประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์ก เพื่อออกกฏหมายฉุกเฉิน ยกเลิกสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อปกป้องประเทศชาติและประชาชน จากนั้น พวกคอมมิวนิสต์กว่า 4,000 คนก็ถูกจับและถูกกวาดล้างอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในภายหลังมีหลักฐานว่าผู้วางเพลิงรัฐสภานั้น ก็คือคนของพรรคนาซี ที่กระทำตามบัญชาของเกอริง






    ช่วงนี้เองที่หน่วย เอส เอ (SA) ของโรห์มมีอำนาจมาก และแสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงความไม่ภักดีต่อฮิตเลอร์ และมุ่งภักดีต่อโรห์ม ในที่สุด ฮิตเลอร์ก็ตัดสินใจทำลายองค์กร SA ในวันที่ 6 มิ.ย. 1934 ณ โรงแรม Tegernsee ซึ่งอยู่ห่างออกไป 50 ไมล์จากมิวนิค โรห์ม พร้อมกับเด็กหนุ่มคู่ขาของเขา (โรห์มเป็นเกย์ และใช้ SA ในการหาเด็กหนุ่มมาเป็นคู่ขา) ถูกจับ ทหารเอส เอส ได้รับคำสั่งจากฮิตเลอร์ ให้ยื่นโอกาสแห่งเกียรติยศด้วยการฆ่าตัวตายกับโรห์ม ทหารเอส เอส วางปืนให้เขา แล้วออกมา เวลาผ่านไป 10 นาที โดยที่ไม่มีเสียงปืน ทหารเอส เอส จึงเดินเข้า แล้วจ่อยิงโรห์มจนเสียชีวิต พร้อมกันนั้น หัวหน้าหน่วย SA ก็ถูกจับตัว บ้างถูกขัง บ้างถูกสังหารโดยทหารเอส เอส ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาแทนกองกำลัง SA

    กองกำลังเอส เอส ถูกฝึกขึ้นมาเพื่อให้จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างปราศจากคำถามใดๆทั้งสิ้น และเขาก็ภูมิใจในหน่วยนี้เป็นอย่างมาก
    เดือนเม.ย. 1934 สุขภาพของประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์ก (Hindenburg) ประธานาธิบดีเยอรมันในขณะนั้นไม่สู้ดีนัก เขาเสียชีวิตในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 สามชั่วโมงหลังจากนั้นฮิตเลอร์ได้ประกาศรวมตำแหน่งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี (บางทีเรียกว่าอัครมหาเสนาบดี - Chancellor) เข้าด้วยกันและตั้งตัวเองเป็นประมุขของรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกว่า ผู้นำ (Fuhrer) ทำให้เยอรมันก้าวเข้าสู่ความเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบนับแต่นั้นเป็นต้นมา


    ในขณะที่ฮิตเลอร์ขึ้นดำรงตำแหน่งนั้น เยอรมันกำลังอยู่ในสภาวะล้มละลาย เศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากมายมหาศาล เมื่อเขาได้เป็นผู้นำ ระหว่างปี 1934 - 1938 เขาทำการสร้าง และฟื้นฟู อุตสาหกรรมภายในประเทศ อย่างขนานใหญ่ มีการสร้างอาวุธ อย่างชนิดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน การพัฒนาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด เขาฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้ง อย่างไม่เกรงกลัว ชาวเยอรมันต่างพากันยกย่องฮิตเลอร์ ในฐานะผู้ที่พลิกโชคชะตาของชาติ จากความล้มละลาย กลับสู่ความเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง ฮิตเลอร์ประกาศว่า อาณาจักรไรซ์ที่สามของเขา จะมีอายุยืนยาวนับพันปี

    ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มสร้างความมั่นคงภายนอก เพื่อประวิงเวลาการรุกรานจากภายนอกออกไป ทำให้เยอรมันไม่ต้องพะวักพะวนกับสงครามที่อาจจะมีขึ้น และสามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่ เช่น เซ็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกันและกันระหว่างเยอรมันกับโปแลนด์ เพื่อทำให้มั่นใจว่า โปแลนด์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสจะไม่รุกรานเยอรมัน หากเยอรมันรบกับฝรั่งเสส หรือในกรณีที่เยอรมันบุกฝรั่งเศส

    ในเดือนมีนาคม 1935 ฮิตเลอร์เริ่มสร้างกองทัพอย่างขนานใหญ่ กองทัพอากาศ หรือ Luftwaffe ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ จริงๆแล้วเยอรมันมีการฝึกนักบินมาล่วงหน้านี้อย่างลับๆ มากว่าสองปีแล้ว ในนามนักบินพลเรือน

    ขณะเดียวกันชาวเยอรมันที่อยู่ในออสเตรีย โปแลนด์ และเชคโกสโลวาเกีย ต่างก็พากันสนับสนุนรัฐบาลให้เข้าร่วมกับเยอรมัน



    ปี 1933 ฮิตเลอร์วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของเยอรมัน โดยมอบให้ Dr. Schacht อดีตผู้ว่าการธนาคารไรซ์ (Reichbank) เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งแผนการดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก และส่งผลให้ ปี 1937 เยอรมันสามารถลดจำนวนคนว่างงานลงได้จำนวนมาก สร้างผลผลิตทางอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมหาศาล ยกระดับคูณภาพชีวิตของชาวเยอรมันให้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชาวเยอรมันล้วนต่างภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติเยอรมัน ซึ่งคงจะโทษชาวเยอรมันไม่ได้ ที่มีความรู้สึกภาคภูมิใจเช่นนี้ เพราะสิ่งมหัศจรรย์ที่ฮิตเลอร์สร้างขึ้นให้กับประเทศเยอรมันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ในพื้นที่ใดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นในประเทศที่พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 และถูกควบคุมในทุกรูปแบบจากสนธิสัญญาแวร์ซาย อย่างเช่นประเทศเยอรมัน มันก็เป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันควรจะภาคภูมิใจ และยกย่องฮิตเลอร์อย่างสุดขั้ว ในฐานะผู้สร้างชีวิตใหม่ ผู้สร้างอนาคตและความหวังของชาติ

    เมื่อเยอรมันมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว ฮิตเลอร์ก็เริ่มมองไปที่การครอบครองยุโรปและการสร้างอาณาจักรไรซ์ที่สาม โดยแผนการแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 1936 ฮิตเลอร์เซ็นสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมัน กับรัสเซีย เพื่อสร้างความมั่นใจว่า สงครามทางด้านรัสเซียจะไม่เกิดขึ้น ในขณะที่เยอรมันยังไม่พร้อม

    ขณะเดียวกัน กองทัพเยอรมันก็กำลังเตรียมการครั้งใหญ่สำหรับสงคราม กรมทหารใหม่ถูกจัดตั้งขึ้น ทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกเรียกเข้ามาเป็นครูฝึกให้กับทหารใหม่

    วันที่ 7 มี.ค. 1936 ฮิตเลอร์เคลื่อนกำลังเข้ายึดครอง Rhineland โดยอังกฤษและฝรั่งเศสไม่มีการต่อต้าน และเป็นการพิสูจน์ว่า สนธิสัญญาแวร์ซายที่จำกัดสิทธิทุกอย่างของเยอรมัน ได้ถูกฉีกทิ้งอย่างสิ้นเชิงโดยเยอรมัน และสันนิบาตชาติ (League of Nations) หมดสิ้นอำนาจลงอย่างสิ้นเชิง


    ขณะเดียวกัน กองทัพเยอรมันได้เพิ่มจำนวนถึงกว่าหนึ่งล้านคน ฮิตเลอร์เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า ไม่ว่าอังกฤษ หรือฝรั่งเศส หรือใครก็ตาม ไม่สามารถหยุดยั้งอาณาจักรไรซ์ที่สามได้อีกแล้ว

    เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ได้ประกาศเตือนโลกว่า สงครามกำลังใกล้เข้ามา อันตรายรออยู่ข้างหน้า แต่ผู้คนที่หวาดกลัวสงคราม ต่างก็พยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเตือนนี้ โดยเชื่อว่า การประนีประนอมกับเยอรมัน จะทำให้โลกพ้นจากสงครามได้
    ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองในสเปน ฮิตเลอร์ไม่รอช้าที่จะส่งรถถัง เครื่องบิน และช่างเทคนิค เข้าไปช่วยในนาม คอนดอร์ (Condor Legion)



    ฮิตเลอร์ส่งกองกำลังคอนดอร์ ลีเจี้ยน (Condor Legion) เข้าไปสนับสนุนสงครามกลางเมืองในสเปน ฝ่ายของนายพลฟรังโก จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกำลังพลของเขา ในขณะเดียวกันอิตาลี ภายใต้การนำของจอมเผด็จการมุสโสลินี ก็ส่งทหารเข้าร่วมกับนายพลฟรังโก กว่า หกหมื่นคน กองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) ได้ทำการทดลองการใช้เครื่องบินแบบสตูก้า (Stuka) ในการดำทิ้งระเบิด เพื่อพัฒนาเทคนิคต่างๆ เมื่อนำมาใช้ในการเตรียมการรุกแบบสายฟ้าแลบที่เยอรมันได้เตรียมการไว้

    ภายหลังสงครามกลางเมืองในสเปน กล่าวกันว่า กองทัพอากาศเยอรมันมีนักบินที่มีประสบการณ์มากกว่าชาติใดๆในโลกทีเดียว

    การร่วมกันในสงครามกลางเมืองในสเปน ยังทำให้อิตาลีเข้ามาร่วมเว็นสัญญาเป็นฝ่ายอักษะกับเยอรมันในวันที่ 21 ต.ค. 1936 ทั้งๆที่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อิตาลีอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเยอรมัน แผนการดึงอิตาลีออกจากฝ่ายสัมพันธมิตรของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จเกินคาด

    ในเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน เยอรมันก็เซ็นสัญญา Anti-Comintern กับญี่ปุ่น เพื่อเป็นการรับประกันว่า ญี่ปุ่นจะไม่ทำสัญญาใดๆกับรัสเซีย โดยปราศจากการยินยอมของคู่สัญญา โลกได้เกิดฝ่ายอักษะขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือ เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น



    วันที่ 30 ม.ค. 1937 ฮิตเลอร์ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาไรซ์สตาร์ค (Reichstag) ว่า เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่สงคราม หากแต่อยู่ที่การสร้างชาติเยอรมัน การยกระดับความอยู่ดีกินดีของชาวเยอรมัน การสร้างความมั่นใจให้กับชาวเยอรมันในชีวิตและความเป็นอยู่ รวมไปถึงการสร้างความเป็นมหาอำนาจทางทหารทั้งทางบก เรือและอากาศของเยอรมัน

    ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 1937 ฮิตเลอร์อุทิศเวลาให้กับการสร้างความสัมพันธ์กับอิตาลี มุสโสลินีตกลงที่จะเดินทางมาเยือนเยอรมันเป็นครั้งแรก

    ในปี 1938 นายกรัฐมนตรีของออสเตรียได้รับเชิญให้ไปเยือนเยอรมัน ฮิตเลอร์เรียกร้องให้มีการรวมประเทศ(anexation) Schuschnigg นายกรัฐมนตรีของออสเตรีย ไม่กล้าให้คำตอบ ฮิตเลอร์สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมการโจมตี



    รัฐสภาออสเตรีย ทำการขอมติประชาชนชาวออสเตรียว่าจะผนวกดินแดนกับเยอรมันหรือไม่ (ฮิตเลอร์เกิดในออสเตรีย และในออสเตรียก็มีชนชาวเยอรมันเป็นจำนวนมาก) แม้จะมีเสียงคัดค้าน วันที่ 11 มีนาคม 1938 ฮิตเลอร์เรียกร้องให้มีการรวมประเทศ วันต่อมา กองทัพเยอรมันก็ยาตราเข้าสู่ออสเตรีย ประกาศผนวกดินแดนภายใต้ชื่อ Anschluss แท้ที่จริงแล้ว ผลการออกเสียง ชาวออสเตรียลงคะแนน 99 เปอร์เซนต์ให้ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน นับการรวมดินแดนที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้ออีกครั้งหนึ่งของฮิตเลอร์
    เมื่อทหารเยอรมันกรีธาทัพเข้าไปในออสเตรีย ชาวยิวจำนวนมากถูกจับ ค่ายกักกันที่ Mauthausen ได้ถูกจัดตั้งขึ้น และสังหารชาวยิวไปถึง 35,318 คน จนสิ้นสุดสงคราม

    ฮิตเลอร์เริ่มมองไปที่เชคโกลโลวาเกียเป็นเป้าหมายต่อไป ในขณะเดียวกัน ชาวเยอรมันต่างก็พากันชื่นชมความสำเร็จของฮิตเลอร์และพรรคนาซีของเขา โดยเฉพาะการขยายดินแดนโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ อะไรจะน่าภาคภูมิใจไปกว่า การขยายดินแดนโดยไม่มีการสู้รบ และการสูญเสีย

    ซูเดเตน (Sudeten) คือแคว้นหนึ่งในเชคโกสโลวาเกีย มีประชากร กว่าสามล้านครึ่งเป็นเยอรมัน จากประชากรทั้งหมด 10 ล้านคน ผู้คนพูดภาษาเยอรมัน มีวัฒนธรรมเยอรมัน แต่ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันเลย


    กรุงลอนดอนถูก Hitler ส่่งฝูงบิน Luffwaffe ถล่มอย่างหนัก ตามแผนสิงโตทะเล (Sealion) แต่ก็ไม่สามารถทำให้อังกฤษยอมจำนนได้ ในทางตรงกันข้าม กองทัพอากาศของเยอรมัน (Luftwaffe) กลับเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก ในที่สุดฮิตเลอร์ก็สั่งยกเลิกแผนบุกเกาะอังกฤษ และหันไปเปิดสงครามด้านรัสเซียแทน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า การที่ฮิตเลอร์ไม่สามารถพิชิตอังกฤษได้ และปล่อยให้อังกฤษเป็นสปริงบอร์ดของฝ่ายพันธมิตร ในการโจมตียุโรป มีผลอย่างมากต่อโฉมหน้าของสงคราม เพราะหากฮิตเลอร์ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดกับอังกฤษ โดยไม่เปิดแนวรบด้านรัสเซียเป็นแนวรบที่สอง โอกาสที่ฮิตเลอร์จะครองยุโรปอย่างถาวรมีสูงมาก เพราะพันธมิตรจะไม่มีฐานในอังกฤษ เพื่อการเตรียมการยกพลขึ้นบกในวันดี เดย์ ซึ่งวันดี เดย์นี้ ได้เปลี่ยนทิศทางของสงครามอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพันธมิตรจะไม่มีฐานบินในอังกฤษ เพื่อโจมตีทางอากาศต่อเยอรมัน ซึ่งการโจมตีของพันธมิตรจากเกาะอังกฤษ สร้างความเสียหายทางอุตสาหกรรมให้แก่เยอรมันอย่างมาก อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการผลิตอาวุธเกือบทั้งหมดในเยอรมัน ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ส่งผลให้เยอรมันไม่สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อนำไปใช้ในการรบได้อย่างเต็มที่


    เรือสินค้าในแอตแลนติคเหนือ ถูก Hitler สั่งการให้เรือดำน้ำ U Boat โจมตี เพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลจากอเมริกาสู่อังกฤษ แต่ภายหลังจากที่ฝ่ายพันธมิตร มีการปรับยุทธวิธีในการล่าเรือดำน้ำของเยอรมัน โดยอาศัยเครื่องบินลาดตระเวณระยะไกลเป็นปัจจัยเสริม เรือดำน้ำของเยอรมันก็เริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเปลี่ยนสถานะจากผู้ล่า เป็นผู้ถูกล่าในที่สุด


    จรวด V 1 (ขวา) ของเยอรมัน ถูกตามประกบโดยเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษ จรวด V 1 นับเป็นอาวุธอีกชนิดหนึ่งที่นาซีเยอรมัน เป็นผู้บุกเบิกและนำมาใช้ ฮิตเลอร์เชื่อ ด้วยอานุภาพของอาวุธที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ จะทำให้โฉมหน้าของสงครามเปลี่ยนไป


    แผนที่ประเทศเยอรมันในปี ค.ศ. 1933

    ในวันที่ 28 มีนาคม 1938 ผู้นำนาซีในซูเดเตน คอนราด เฮนไลน์ (Konrad Henlein) เข้าพบฮิตเลอร์ ในขณะนั้นซูเดเตนเป็นส่วนหนึ่งของเชคโกสโลวะเกีย และเชคโกสโลวะเกียเอง ก็ปกครองโดยชนกลุ่มน้อย ในขณะที่ชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ เป็นชาวเยอรมัน ฮิตเลอร์บอกคอนราด ให้เรียกร้องต่อรัฐบาลเชคโกสโลวะเกียว่า ชาวซุเดเตนต้องการปกครองตนเอง ซึ่งทุกฝ่ายต่างก็รู้ว่า ข้อเรียกร้องนี้รัฐบาลเชค ไม่สามารถจะยอมรับได้

    ในเดือนเมษายน และพฤษภาคม 1938 อังกฤษและฝรั่งเศส ขอให้รัฐบาลเชค มอบซูเดเตนให้กับเยอรมัน เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งที่อาจจะมีขึ้น ฮิตเลอร์ยินดีกับการเรียกร้องดังกล่าว พร้อมๆกับให้สัมภาษณ์ถึงความแข็งแกร่งของกองทัพเยอรมันที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายแดนเ
    ชคโกสโลวะเกีย

    ปลายเดือนพฤษภาคม ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษเชื่อว่า เยอรมันเตรียมพร้อมที่จะบุกเชคโกสโลวะเกีย ในขณะที่รัฐบาลเชคเอง ก็พร้อมที่จะสู้ มาถึงตอนนี้ ฮิตเลอร์ถอยหลังมาหนึ่งก้าว พร้อมประกาศว่า เยอรมันไม่มีความตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรงในกรณีซูเดเตน ทั้งลอนดอนและปารีส ต่างพอใจกับการสั่งสอนฮิตเลอร์ในครั้งนี้ โดยหารู้ไม่ว่าแผนขั้นต่อไปของฮิตเลอร์พร้อมอยู่แล้ว



    แผนการโจมตีเชคโกสโลวะเกียถูกวางไว้ ให้เปิดฉากในวันที่ 1 ตุลาคม 1938 ขณะที่ฝ่ายเสนาธิการของเยอรมันก็ขัดแย้งกันเองอย่างหนัก โดยอีกฝ่ายหนึ่งเกรงว่าการบุกเชคโกสโลวะเกีย จะทำให้เกิดสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะอังกฤษคงไม่ยอมให้เยอรมันครอบครองซูเดเตน โดยปราศจากการต่อสู้

    เดือนมิถุนายน นายกรัฐมนตรีเนวิล แชมเบอร์เลน (Naville Chamberlain) ของอังกฤษในขณะนั้น กลับแสดงท่าทีออกมาว่า ประชาชนในซูเดเตนส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมัน จึงไม่สมควรที่อังกฤษจะเข้าไปก้าวก่ายปัญหาในซูเดเตน ฮิตเลอร์บินไปพบแชมเบอร์เลนถึงอังกฤษ แชมเบอร์เลนรับประกันถึงการที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายปัญหาดังกล่าว แต่ปัญหาอาจจะมีขึ้นได้ หากรัสเซียสนับสนุนเชคโกสโลวะเกีย เมฆหมอกแห่งสงครามปกคลุมไปทั่วยุโรป ทุกฝ่ายคาดกันว่า การบุกของเยอรมันจะนำมาซึ่งสงคราม เด็กนักเรียนในลอนดอน และปารีส เตรียมการอพยพ หน้ากากกันแก๊สพิษถูกนำออกมาแจกจ่าย

    อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ได้แสดงออกมาว่า เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาในการเปิดสงครามของนาซี เนื่องจากเขาตระหนักดีว่า เยอรมันยังไม่พร้อมกับสงครามครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการซูเดเตน โดยปราศจากสงคราม ปัญหาก็คือ เขาจะทำอย่างไร

    ช่วงนี้เยอรมันและอิตาลีต่างร่วมกันเดินเกมทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างสุดความสาม
    ารถ โดยเฉพาะการแสดงออกมาว่า ซูเดเตนคือเป้าหมายสุดท้ายของฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้ต้องการสงคราม เช่นเดียวกับชาติยุโรปอื่นๆ ที่ต้องการสันติ จนในที่สุดเมื่อเวลา 0100 ของวันที่ 30 กันยายน 1938 อังกฤษและฝรั่งเศสก็ตกลงกันในข้อตกลงมิวนิค (the Munich Agreement) ที่จะมอบทุกสิ่งที่ฮิตเลอร์ต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม โดยจะยินยอมมอบดินแดน 10,000 ตารางไมล์ให้ ส่งผลให้เชคโกสโลวะเกียสูญเสียแหล่งถ่านหิน 66 เปอร์เซนต์ของตน พร้อมทั้งอีก 70 เปอร์เซนต์ของแหล่งพลังงานไฟฟ้า 86 เปอร์เซนต์ของแหล่งเคมี 70 เปอร์เซนต์ของแหล่งแร่เหล็ก

    แชมเบอร์เลนกลับไปยังกรุงลอนดอน พร้อมด้วยถ้อยวาจาอมตะที่ว่า "สันติภาพในเวลาของเรา" (Peace in our time) เขาไม่รู้เลยว่า ในขณะที่เขากำลังตกลงกับฮิตเลอร์ที่มิวนิคนั้น ฮิตเลอร์ได้ตกลงกับมุสโสลินี ผู้นำอิตาลีว่า เมื่อเวลาแห่งสงครามมาถึง เยอรมันและอิตาลี จะร่วมกันต่อสู้กับอังกฤษ และฝรั่งเศส

    ในที่สุดเยอรมันก็เข้าครอบครองซูเดเตน ตามด้วยการเข้าผนวกเชคโกสโลวะเกียทั้งประเทศ รัฐบาลเชคต่อสู้อย่างสิ้นหวัง โดยปราศจากความช่วยเหลือจากโลกภายนอก 15 มีนาคม 1939 ฮิตเลอร์ส่งทหารเข้ายึดโบฮีเมีย (Bohemia) และมอราเวีย (Moravia) และรุกเข้าสู่กรุงปราค (Prague) ยึดปราสาทโบราณของกษัตริย์โบฮีเมีย เป็นที่พำนักของฮิตเลอร์ ตามมาด้วยการเข้ายึดสโลวะเกียใน 16 มีนาคม 1939 เป็นอันว่า ด้วยกลยุทธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ยอดเยี่ยมของฮิตเลอร์ เชคโกสโลวะเกียก็ถูกครอบครองโดยเยอรมันในที่สุด และสุดท้ายหากใครได้อ่านหนังสือเรื่อง การต่อสู้ของข้าพเจ้า ของฮิตเลอร์ ก็จะทราบว่า เป้าหมายต่อไปของฮิตเลอร์ คือ โปแลนด์ นั่นเอง


    งานชุมนุมของพรรคนาซี ที่นูเรมเบอร์ก ในปี 1936 เส้นทางแห่งความสำเร็จของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในช่วงนี้ ไม่มีอะไรจะมาขวางได้อีกแล้ว



    ปี ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก เขาแสดงถึงความเป็นอัจฉริยะบนหมากกระดาน แห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขาสามารถทำให้มหาอำนาจของโลก ต้องรอฟังคำปราศรัยแต่ละครั้งของเขา อย่างใจจดใจจ่อ

    14 เม.ย. หลังจากอิตาลีส่งทหารรุกเข้าสู่อัลบาเนีย ประธานาธิบดีรูสเวลท์ (Roosevelt) ของสหรัฐอเมริกา ได้แสดงสุนทรพจน์ถึงฮิตเลอร์ เรียกร้องให้ฮิตเลอร์รับประกันว่า เยอรมันไม่มีความต้องการดินแดนในยุโรปมากกว่าที่เป็นอยู่ ฮิตเลอร์ตอบรูสเวลท์ ด้วยสุนทรพจน์ในรัฐสภาไรซ์สตาคของเยอรมัน กล่าวกันว่า สุนทรพจน์นี้ เป็นหนึ่งในยอดสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์เท่าที่เคยแสดงมา เขาเปรียบเทียบพื้นที่การอยู่อาศัย (lebensraum - living space) ในสหรัฐอเมริกาว่า แม้อเมริกาจะมีประชากรมากกว่าเยอรมัน เพียงหนึ่งในสาม แต่ก็มีพื้นที่อยู่อาศัยมากกว่า เยอรมันถึงสิบห้าเท่า พื้นที่ที่กว้างใหญ่นี้ มิใช่ได้มาด้วยการเจรจาบนโต๊ะเจรจา หากแต่ได้มาด้วยการยึดครองและสงคราม (by occupation and war) ฮิตเลอร์กล่าวอีกว่า ข่าวลือที่ว่าเยอรมันจะบุกสหรัฐนั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นข่าวที่ผิดพลาด

    ในระยะนี้ ฮิตเลอร์มีชื่อเสียงมาก เขาสามารถครอบครองดินแดนต่างๆ โดยแทบจะไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย สิ่งที่เขามองเป็นก้าวต่อไป ก็คือ โปแลนด์ โดยมองไปที่ดานซิก (Danzig) ซึ่งตามสนธิสํญญาแวร์ซาย กำหนดให้ดานซิก ซึ่งเคยเป็นของเยอรมันมาก่อน กลายเป็นเมืองเปิด เยอรมันและโปแลนด์มีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้า ออก ฮิตเลอร์เรียกร้องให้โปแลนด์คืนดานซิกให้กับเยอรมัน คำตอบจากโปแลนด์คือ คำตอบปฏิเสธ พร้อมทั้งมีสํญญาณให้เยอรมันเห็นว่า โปแลนด์พร้อมจะสู้



    อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับฮิตเลอร์ก็คือ อังกฤษประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า จะช่วยปกป้องโปแลนด์ หากถูกเยอรมันโจมตี แต่อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ยังเชื่อว่า แชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษนั้น อ่อนแอเกินกว่าที่จะเข้าร่วมในสงครามหากเขาบุกโปแลนด์


    ฮิตเลอร์ ถ่ายที่หน้ามหาวิหารในเมืองนูเรมเบอร์ก (Nuremberg) ในปี 1934 ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่พรรคนาซีของเขากำลังเรืองอำนาจอย่างมาก

    ฮิตเลอร์รู้ดีว่า ถ้าเขาสามารถโดดเดี่ยวโปแลนด์ออกจากอังกฤษ และฝรั่งเศสได้ การเข้าครอบครองโปแลนด์ของเยอรมันจะไม่เกิดปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะแสนยานุภาพของนาซีเยอรมันในขณะนั้น กองทัพโปแลนด์ไม่อาจจะต้านทานได้เลย ปัญหาอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรที่จะไม่ให้อังกฤษเข้ามายุ่งเกี่ยวในปัญหานี้

    เดือนเมษายน 1939 รัสเซียยื่นข้อเสนอไปยังอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อขอทำสนธิสัญญาสามฝ่าย คือ รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ในการร่วมมือทางทหาร หากโปแลนด์ถูกโจมตีจากเยอรมัน แต่อังกฤษปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวของรัสเซีย การปฏิเสธดังกล่าว เท่ากับเป็นการยืนยันสมมติฐานของฮิตเลอร์ที่ว่า อังกฤษจะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม



    เมื่ออังกฤษปฏิเสธข้อเสนอของตน รัสเซียซึ่งนำโดยโมโลตอฟ (Molotov) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ก็ยื่นข้อเสนอมายังเยอรมัน เพื่อขอทำสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน (a Mutual Non-Aggression Pact) ฮิตเลอร์มองวัตถุประสงค์ของสตาลิน ผู้นำรัสเซียออกว่า การยื่นข้อเสนอมายังเยอรมันนั้น ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกับเยอรมัน และเพื่อหาโอกาสเข้าครอบครองดินแดนในยุโรปตะวันออก หากเกิดสงครามขึ้น เพราะหากรัสเซียเข้าครอบครองดินแดนใด เยอรมันก็ไม่สามารถขัดขวางได้ เพราะต่างมีสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน

    ฮิตเลอร์นั้นยังคงจำประสบการณ์การลงนาม ในสนธิสัญญาร่วมกันทางทหาร ระหว่างเยอรมันกับอิตาลีได้ดีว่า มุสโสลินี ผู้นำอิตาลีได้คัดค้านการลงนามของฝ่ายอิตาลี เนื่องจากเกรงว่า อิตาลีจะถูกชักนำเข้าไปสู่สงครามร่วมกับเยอรมัน แต่ฮิตเลอร์ก็ต้องการหลักประกันความมั่นคง ทางชายแดนตอนใต้ของยุโรป จึงส่งริบเบนทรอป (Ribbentrop) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมันไปเกลี้ยกล่อมมุสโสลินี โดยให้เหตุผลว่า เยอรมันก็ต้องการสันติภาพเช่นกัน เพียงแต่รอให้สถานการณ์ในฉนวนดานซิกยุติลงก่อน มุสโสลินีถึงยินยอมให้เคาน์ ซิอาโน (Count Ciano) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี ลงนามในสนธิสัญญาเหล็ก (the Pact of Steel) ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมัน เมื่อ 21 พฤษภาคม 1939

    เมื่อฮิตเลอร์จัดการปัญหาทางใต้ได้แล้ว เขาก็ต้องการความมั่นคงทางชายแดนด้านรัสเซีย อย่างน้อยตอนนี้ ก็ยังไม่ถึงเวลาที่เยอรมันจะรบกับรัสเซีย ในวันที่ 22 สิงหาคม 1939 ฮิตเลอร์ก็ส่งริบเบนทรอปไปมอสโคว์ เมืองหลวงของรัสเซีย เพื่อร่วมลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย ในวันที่ 23 สิงหาคม ท่ามกลางความงุนงงของโลก เพราะต่างรู้ดีว่า นาซีเยอรมันนั้นเป็นศัตรูกับคอมมิวนิสต์อย่างสิ้นเชิง เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ถึงกับกล่าวว่า สนธิสัญญานี้ไม่ใช่สนธิสัญญาธรรมดาแน่นอน

    เมื่อจัดการทางด้านรัสเซียเรียบร้อยแล้ว ฮิตเลอร์ก็ส่งข้อเสนอไปยังอังกฤษ ผ่านทางเอกอัครราชฑูตอังกฤษประจำกรุงเบอร์ลินว่า เยอรมันจะรับรองความปลอดภัยของเครือจักรภพอังกฤษ และจะจำกัดการเติบโตทางทหารของเยอรมัน หากอังกฤษสัญญาจะไม่เข้าร่วมในปัญหาโปแลนด์ อย่างไรก็ตามในวันเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ฮิตเลอร์กำลังพบกับเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศส เขาก็ได้ข่าวว่า อังกฤษได้ลงนามความร่วมมือทางทหารกับโปแลนด์ ในกรณีที่คู่สัญญาถูกรุกรานที่กรุงลอนดอนแล้ว เป็นอันว่าความพยายามที่จะโดดเดี่ยวโปแลนด์ของเขาไร้ผล แผนการที่จะบุกโปแลนด์ในวันที่ 26 สิงหาคม 1939 ก็หยุดชะงักลงไปด้วยเช่นกัน


    ฮิตเลอร์ ในการชุมนุมใหญ่ของพรรคนาซี เมื่อ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1936 ที่นครเบอร์ลิน

    หลังจากที่อังกฤษลงนามความร่วมมือทางทหารกับโปแลนด์ ฮิตเลอร์มีความเครียดเป็นอย่างมาก คนใกล้ชิดถึงกับกล่าวว่า เขาดูแก่ลง เก็บตัวเงียบ นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานานๆ จากอาการดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า เขาไม่ต้องการสงคราม ไม่ต้องการให้เกิดการล้มตาย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการครอบครองโปแลนด์ หรืออาจจะครอบครองทั้งยุโรป โดยที่ไม่มีสงคราม ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มันเป็นไปไม่ได้



    สาเหตุ 3 อย่างที่สร้างความเครียดให้กับฮิตเลอร์ในช่วงนี้ คือ
    1. แรงกดดันจากอังกฤษที่มีต่อเยอรมัน เกี่ยวกับปัญหาในโปแลนด์ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสงคราม
    2. ฮิตเลอร์กำลังพยายามหาเงื่อนไข ที่จะขจัดความร่วมมือทางทหารระหว่างอังกฤษและโปแลนด์
    3. ท้ายที่สุด ในกรณีที่หาทางออกอื่นใดไม่ได้ ฮิตเลอร์ต้องการพิชิตโปแลนด์ให้ได้เร็วที่สุด โดยใช้ สงครามสายฟ้าแลบ (Lightning war - Blitzkrieg) เพื่อให้การรบยุติลงก่อนที่อังกฤษและฝรั่งเศสจะส่งกำลังเข้ามาช่วย หรือเปิดแนวรบตามชายแดนเยอรมัน ฝรั่งเศส

    ฮิตเลอร์ขบคิดปัญหาทั้งสามข้อตลอดเวลา 9 วันก่อนการบุกโปแลนด์ วันที่ 27 สิงหาคม 1939 ฮิตเลอร์ประกาศเส้นตายในการบุกโปแลนด์ว่าคือวันที่ 1 กันยายน 1939 ครั้นพอวันที่ 28 กันยายน อังกฤษก็ตอบปฏิเสธข้อเสนอของฮิตเลอร์ ที่จะรับประกันความปลอดภัยของเครือจักรภพอังกฤษ เพื่อแลกกับการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในปัญหาโปแลนด์ของอังกฤษ พร้อมกันนี้อังกฤษได้เปิดช่องทางออกให้เยอรมันว่า อังกฤษพร้อมที่จะเจรจากับเยอรมันในปัญหาดังกล่าว

    ฮิตเลอร์แปลความหมายในการเสนอทางออกของอังกฤษโดยการเจรจาผิดพลาด เขามองว่าอังกฤษกำลังจะส่งสัญญาณว่า อังกฤษจะเจรจามากกว่าการทำสงคราม หากโปแลนด์ถูกโจมตี อันเป็นการยืนยันถึงความคิดของฮิตเลอร์ที่มองว่า แชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษนั้น อ่อนแอเกินกว่าที่จะนำประเทศเข้าสู่สงคราม มันเป็นความผิดพลาดของฮิตเลอร์ครั้งใหญ่ และผู้ที่จะได้รับผลกรรมจากการตัดสินใจผิดพลาดครั้งนี้คือ มวลมนุษยชาติทั้งโลก ที่จะต้องเผชิญกับมหาสงครามโลกครั้งที่สอง มหาสงครามแห่งการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประสบมา

    เมื่อใกล้ถึงเส้นตาย ฮิตเลอร์ประกาศให้โปแลนด์ยอมแพ้ ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้นแก่ประเทศโปแลนด์ รัฐบาลโปแลนด์ปฏิเสธ โดยหวังว่า อังกฤษและฝรั่งเศสจะส่งทหารเข้าช่วยตนเอง หากเยอรมันเปิดฉากบุกโปแลนด์



    และแล้วในรุ่งอรุณของวันที่ 1 กันยายน 1939 การบุกของเยอรมันก็เปิดฉากขึ้น ยานเกราะจำนวนมากมาย พร้อมทหารราบรุกข้ามพรมแดนเข้าสู่โปแลนด์ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศเยอรมันหรือลุฟวาฟ (Luftwaffe) กองทหารโปแลนด์ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ด้วยประสิทธิภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต่างกันลิบลับ ทหารโปแลนด์จึงถูกกวาดล้างไปจากแนวรบอย่างไม่ยากเย็นนัก

    ฮิตเลอร์รอคอยอย่างใจจดใจจ่อต่อปฏิกริยาของอังกฤษและฝรั่งเศส จนกระทั่งเวลา 0900 น. ของวันที่ 3 กันยายน 1939 เขาก็ได้รับข่าวจากลอนดอนว่า อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมันแล้ว ความวิตกของฮิตเลอร์เป็นความจริง ข่าวนี้แพร่ไปทั่วเยอรมัน ประชาชนต่างฟังข่าวด้วยความเงียบงัน ไม่มีใครต้องการให้สงครามเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เป็นสาเหตุของสงครามในครั้งนี้อย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์



    จอมพล เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel)


    จอมพลเออร์ วิน รอมเมล เป็นทั้งนักรบ นักวางแผน และนักยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถสูง อย่างชนิดที่เรียกว่า หาตัวจับยากคนหนึ่งของโลกทีเดียว ภาพนี้ถ่ายขณะที่เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแอฟริกา (Afrika Korps) ซึ่งเป็นสมรภูมิที่สร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้รับสมญาว่า "จิ้งจอกทะเลทราย" (Desert Fox)






    เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) เกิดเมื่อ 15 พ.ย. 1891 ที่เมือง Heidenheim ในเยอรมัน แรกๆเขาต้องการจะเรียนวิศวกรรม แต่พ่อของเขาไม่ยอม และในปี 1910 เขาก็เข้าสู่กองทัพบกเยอรมัน จนเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเปิดฉากขึ้น รอมเมลก็อยู่ในชั้นยศ และออกสู่สมรภูมิด้านตะวันตก จนได้รับเหรียญกางเขนเหล็กในเดือน ม.ค. 1915
    ในปี 1917 รอมเมลเข้าสู่สมรภูมิกับอิตาลี (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมันเป็นศัตรูกับอิตาลี) โดยการนำทหารของเขาโจมตี Monte Matajur จนกระทั่งได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็แสดงความกล้าหาญ โดยการนำทหารข้ามแม่น้ำ Piave เพื่อเข้ายึด ป้อมของทหารอิตาลี ที่ Lognaroni
    สงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงในปี 1918 รอมเมลยังคงอยู่ในกองทัพเยอรมัน จนกระทั่ง ปี 1929 เขาได้รับ การแต่งตั้ง ให้เป็นครูสอนวิชาทหารราบที่ Dresden และในเดือน ต.ค. 1935 เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพันโท สอนวิชาทหารราบที่สถาบันสงคราม Potsdam
    ด้วยความเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม คำสอนและแนวคิดของเขาเกี่ยวกับ ยุทธวิธีทหารราบ ได้รับการตีพิมพ์ ในปี 1937 หนังสือเล่มนี้เป็นที่สนใจของ อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมัน ฮิตเลอร์อ่านหนังสือดังกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากมีความประทับใจ ในแนวความคิดของ รอมเมลมาก จนในที่สุด ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งเขาให้เป็นฝ่ายเสนาธิการประจำกองบัญชาการ ของฮิตเลอร์ในออสเตรีย เชคโกสโลวะเกีย และโปแลนด์ในปีต่อมา




    ในปี 1940 รอมเมลได้รับมอบหมาย ให้เป็นผู้บัญชาการ กองพลแพนเซอร์ที่ 7 (the 7th Panzer Division) ยศ พลตรี (Major General) รุกเข้าไปในฝรั่งเศส รอมเมลได้แสดงให้เห็นถึง ความสามารถอันโดดเด่น ด้วยการนำ กองพลยานเกราะของเขาเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว เจาะทะลวงแนวตั้งรับของฝรั่งเศสเร็วกว่าและไกลกว่า หน่วยใดๆในประวัติศาสตร์ สงครามเลยทีเดียว โดยเฉพาะใน 21 พ.ค. 1940 ทหารของรอมเมลรุกไปถึงเมือง Arras และต้องพบกับการตอบโต้ของทหารยานเกราะอังกฤษ ที่มีรถถังมาทิลด้า 16 คัน ทหารเยอรมันใช้ปืนใหญ่ขนาด 88 มม. ต่อสู้กับทหารอังกฤษ เป็นการต่อสู้อย่างดุเดือดครั้งแรกๆ ระหว่างทหารเยอรมันกับอังกฤษ แต่ทหารของรอมเมลก็สามารถเอาชนะได้ ท่ามกลางความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย รอมเมลรุกต่อไปจนถึงชายแดนสเปน สงครามครั้งนี้ สร้างชื่อให้รอมเมลเป็นอย่างมาก







    รอมเมลขณะออกตรวจแนวหน้าของกองทัพแอฟริกา กล้องส่องทางไกล และแว่นตากันฝุ่น ดูจะถูกหลอมรวมไปกับบุคคลิกที่โดดเด่นของเขา กล่าวกันว่า รอมเมลจะนอนกลางดินกินกลางทรายเหมือนทหารของเขา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษมากกว่ากัน นี่เป็นเหตุหนึ่งที่รอมเมลสามารถครองใจผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้อย่างถาวร

    จากผลงานในฝรั่งเศส รอมเมลสร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมาก และได้รับการเลื่อนยศ ให้เป็นพลตรี ในช่วงนี้เอง อิตาลี ภายใต้การนำของ เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ที่กำลังประสบกับ ปัญหาในแอฟริกาเหนือ ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากเยอรมัน ในฐานะประเทศฝ่ายอักษะด้วยกัน (Axis) ให้ส่งกำลังไปช่วย ฮิตเลอร์ตัดสินใจ ส่งกองทัพน้อยแอฟริกา (Afrika Korps) ไปช่วย โดยมีรอมเมลเป็นผู้บัญชาการ
    เมื่อรอมเมลไปถึงแอฟริกา สถานการณ์ของอิตาลีกำลังย่ำแย่ อังกฤษเป็นฝ่ายมีชัยทุกหน ทุกแห่ง รอมเมลต้องทำการปรับยุทธวิธีใหม่และตอบโต้ กองทัพที่ 8 ของอังกฤษ จนล่าถอยออกไปจากลิเบีย ความสำเร็จของรอมเมลในแอฟริกา ส่งให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่ว ไม่เฉพาะฝ่ายเยอรมันด้วยกันเอง แต่ยังรวมถึงฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเป็นศัตรูของเขาด้วย เขาได้รับการตั้งฉายาว่า จิ้งจอกทะเลทราย (Desert Fox)
    อย่างไรก็ตาม ความขาดแคลนยุทโธปกรณ์ของ Afrika Korps เป็นสิ่งที่ทำให้ หน่วยทหารที่เพียบพร้อมไปด้วยวินัย และความกล้าหาญ ตลอดจนประสบการณ์ ต้องเริ่มประสบกับความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะการยุทธที่ เอล อลาเมน ที่รอมเมลพ่ายแพ้ให้แก่ นายพลมอนทโกเมอรี่ ของอังกฤษ รวมถึงการยกพลขึ้นบกของสหรัฐอเมริกาที่มอรอคโค และอัลจีเรีย ที่มาพร้อมกับอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายมหาศาล รอมเมลและ Afrika Korps ก็ต้องล่าถอยไปจากตูนิเซีย
    ในช่วงต้นปี 1944 นาซีเยอรมันพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ ทหารรัสเซียที่มีจำนวนมากมาย หลั่งไหลมาทางด้านตะวันออก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ตอบโต้เยอรมันจนกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ ชัยชนะของอาณาจักรไรซ์ที่ สาม ของฮิตเลอร์มีแต่รอวันล่มสลาย นายทหารกลุ่มหนึ่ง จึงวางแผนที่จะลอบสังหารฮิตเลอร์ และได้เข้าปรึกษากับรอมเมล
    รอมเมลปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกระบวนการโค่นล้มฮิตเลอร์ ด้วยวิธีการลอบสังหาร แต่เห็นว่าควรนำตัวฮิตเลอร์ขึ้นศาลมากกว่า
    ในช่วงนี้ รอมเมลเข้ารับหน้าที่ผู้บัญชาการกองทัพกลุ่ม บี ในฝรั่งเศส ดูแลการสร้างกำแพงแอตแลนติค (Atlantic Wall) เพื่อป้องกันยุโรปที่เยอรมันยึดครอง จากการบุกของฝ่ายสัมพันธมิตร บนแนวคิด ป้อมปราการยุโรป (Europe Fortess) แต่เยอรมันก็ไม่สามารถหยุดยั้งการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในวัน ดี เดย์ได้ ตามยุทธการ Overlord ของฝ่ายพันธมิตร มาถึงตอนนี้ รอมเมลแนะนำฮิตเลอร์ว่า สงครามมาถึงจุดวกกลับแล้ว ฮิตเลอร์ควรหาทางยุติสงครามเสีย
    กลางปี 1944 แผนการสังหารฮิตเลอร์ล้มเหลว ในวันที่ 14 ต.ค. 1944 นายพลเยอรมันสองคน เข้าพบรอมเมล พร้อมยื่นข้อเสนอจากฮิตเลอรให้รอมเมล ในฐานที่มีส่วนรู้เห็นในแผนสังหารฮิตเลอร์ มีทางเลือกสองทาง คือ ฆ่าตัวตาย พร้อมการจัดงานศพอย่างมีเกียรติ ครอบครัวจะได้รับการยกเว้นโทษ หรือเลือกที่จะขึ้นศาลทหารในข้อหากบฎ รอมเมลเลือกการปลิดชีวิตตัวเองด้วยไซยาไนท์ ฮิตเลอร์จัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ โดยมีการออกข่าวว่า รอมเมลถูกเครื่องบินขับไล่พันธมิตรยิงขณะออกตรวจแนวหน้า จนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิอย่างวีรบุรุษของประเทศในเวลาต่อมา
    จอมพลเออร์วิน รอมเมล คือ นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของศตวรรษนี้อย่างแท้จริง เขาจะปรากฏกายอยู่ในแนวหน้า เคียงข้างกับกำลังพลของเขาอยู่เสมอ การตัดสินใจของเขา เต็มไปด้วยเหตุผล เด็ดขาด และเฉียบแหลม เขาเป็นตัวอย่างของผู้นำทางทหารรุ่นใหม่ เกียรติประวัติและความสามารถของเขาจะถูกจดจำไปอีกตราบนานเท่านาน



    รอมเมลในเครื่องแต่งกายชุดจอมพล ของกองทัพเยอรมัน พร้อมด้วยคธาประจำตำแหน่ง ที่คอมีเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ประดับใบโอ็ค ดาบและเพชร (Knight Cross with Oakleaves, Swords and Diamonds) ซึ่งเป็นเหรียญตรากางเขนเหล็กชั้นรองสูงสุด จากเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คทองคำ ดาบและเพชร (Knight Cross with gold oakleaves, Swords and Diamonds) นอกจากนี้ที่กระเป๋าด้านขวาของภาพ หรือด้านซ้ายของเขา ยังติดเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 อีกหนึ่งเหรียญ (the 1st Class Iron Cross)


    เหรียญตราทรงกลมและทรงรีที่อยู่บริเวณกระเป๋าเสื้อของรอมเมลเป็นเหรียญที่น่าสนใจไม่
    น้อย เหรียญทรงกลมที่อยู่ต่ำที่สุด เกือบติดกับสายเข็มขัด เป็นเหรียญสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ (Wound Badge) เป็นรูปหมวกเหล็ก ล้อมรอบด้วยใบโอ็ค เหรียญนี้มี 3 ระดับ คือชั้นที่ 1 เป็นโลหะรมดำ ชั้นที่ 2 เป็นโลหะสีเงิน และชั้นสูงสุด เป็นโลหะชุบทอง ส่วนเหรียญรูปทรงรีที่อยู่เหนือขึ้นไป ค่อนไปที่เอวเป็น เหรียญสำหรับผู้ที่เข้าทำการสู้รบด้วยรถถัง (Tank battle badge) เหรียญเป็นรูปรถถัง มีนกอินทรีอยู่บนรถถัง ผู้ที่ได้รับเหรียญนี้ต้องผ่านการสู้รบโดยรถถังมาก่อน มีหลายระดับ เริ่มตั้งแต่ สู้รบ 3 ครั้ง 25 ครั้ง 50 ครั้ง และ 75 ครั้ง ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับเหรียญนี้มักจะอยู่หน่วยยานเกราะ Panzer




    นายพล ไฮน์ กูเดเรียน (Heinz Guderian) บิดาแห่ง Panzer



    นายพลไฮน์ กูเดเรียน เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1888 ที่เมืองคลุม (Culm) ซึ่งตอนนั้นอยู่ในปรัสเซียตะวันตกของเยอรมัน ปัจจุบันชื่อเมือง Chelmno อยู่ในประเทศโปแลนด์ จบการการศึกษาทางทหาร จากโรงเรียนนายร้อยในเบอร์ลิน ในปี 1908 ได้รับการประดับยศเป็นร้อยตรี ต่อมา ในปี 1913 สมรสกับภรรยาชื่อ Margarete Goerne มีบุตรชายสองคน ซึ่งทั้งตัวเขาและลูกชายทั้งสองคน ต่างก็ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชายคนโต ซึ่งต่อมาได้เป็นพลตรีของกองทัพเยอรมันในช่วงหลังสงคราม

    ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กูเดเรียน เป็นครูฝึกในโรงเรียนนายร้อยในเบอร์ลิน เขาเริ่มแสดงแนวความคิดใหม่ๆในการใช้ยานยนต์ในการเคลื่อนที่ โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นพันตรี ในปี 1927 เยอรมันถูกจำกัดด้วยสนธิสัญญาแวร์ซาย หน่วยของเขามีแต่มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุก เพราะเยอรมันไม่ได้รับอนุญาติให้พัฒนาอาวุธสงคราม เขาพยายามพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการเคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว เขาเดินทางไปดูการพัฒนารถถังของนาซีอย่างลับๆในรัสเซีย แล้วกลับมาติดตั้งรถบรรทุกของเขาด้วยป้อมปืนไม้ แล้วใช้รถบรรทุกเหล่านี้แบบรถถัง เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แนวความคิดของการใช้รถถังในการรุก และเป็นผู้ให้กำเนิด หน่วย Panzer หรือ หน่วยยานเกราะของเยอรมัน โดยกูเดเรียนได้อ่าน แนวคิดการใช้ยานเกราะของอังกฤษ ซึ่งเขียนโดย J.F.C Fuller ในปี 1929 และนำมาปรับใช้อย่างจริงจังครั้งแรกในกองทัพนาซีเยอรมัน

    เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ฮิตเลอร์ได้เดินทางไปชมการฝึกซ้อมของหน่วยยานเกราะเล็กๆ ของกูเดเรียน ซึ่งมีความคล่องตัว แตกต่างไปจากรถถังในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รถถังจำลองของกูเดเรียนวิ่งไปรอบสนามฝึก สร้างความประทับใจให้กับฮิตเลอร์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการใช้รถถังเป็นกำลังหลักในการรุกนั้น กูเดเรียนต้องประสบกับการต่อต้าน แนวความคิดนี้ จนในปี 1937 ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง 3 ปี กูเดเรียนได้เขียนหนังสือชื่อ Achtung Panzer (อาคตุง แพนเซอร์ - ระวัง ยานเกราะ) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอแนวคิด ในการใช้รถถังเป็นกำลังหลักในการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ หรือที่เรียกว่า Blitzkrieg

    ต่อมาฮิตเลอร์ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย เริ่มสะสมอาวุธ และสร้างกองทัพอย่างขนานใหญ่ กองพลยานเกราะ (Panzer Division) 3 กองพลถูกตั้งขึ้นอย่างเปิดเผย กูเดเรียนซึ่งขณะนั้นมีความโดดเด่นจากแนวคิดการใช้ยานเกราะนี้ ทำให้เขาใกล้ชิดกับฮิตเลอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 2 (2nd Panzer Division) พร้อมๆกับครองยศ พลตรี (Major General) และอีกไม่ถึงปีครึ่ง เขาก็ได้เป็นพลโท พร้อมกับตำแหน่งแม่ทัพกองทัพน้อยที่ 16 (XVI Army-Corps)

    อีกเพียงสิบเดือนต่อมา เขาก็ดำรงพลเอก ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว (Chief of fast troops) ซึ่งรับผิดชอบการจัดตั้ง การฝึก และการใช้ยุทธวิธีในการรุกด้วยยานเกราะ ซึ่งตำแหน่งนี้ ส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การรบสมัยใหม่ ด้วยยานเกราะ มาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งส่งผลให้ หน่วย Panzer กลายเป็นหน่วยรบที่น่ากลัวที่สุดในโลกขณะนั้น


    กูเดเรียน ได้มีโอกาสใช้ทฤษฎี สงครามสายฟ้าแลบ หรือ Blitzkrieg อย่างแท้จริง เมื่อเยอรมันรุกเข้าสู่ฝรั่งเศส เขาคุมกำลังยานเกราะของเขา รุกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจคำสั่งจากฝ่ายเสนาธิการในเบอร์ลิน ที่ให้เขาหยุดกำลังเอาไว้ก่อน กูเดเรียนสั่งยานเกราะของเขาเจาะแนวตั้งรับของฝรั่งเศส บริเวณแม่น้ำเมิร์ส (Meuse) ที่เมืองซีดาน (Sedan) แล้วใช้ความเร็วพุ่งเข้าสู่กองบัญชาการของข้าศึก จับกุมฝ่ายเสนาธิการของฝรั่งเศส ในกองบัญชาการ ทิ้งให้กำลังทหารฝรั่งเศสที่เหลือตามแนวรบ ตกอยู่สภาพไร้หัว หรืออยู่ในสภาพไร้การควบคุมสั่งการ ก่อให้เกิดการสับสน ขวัญเสีย และยอมจำนนในที่สุด การรุกที่แม่น้ำเมิร์ส ถือเป็นเรื่องราวความมหัศจรรยของกูเดเรียน และหน่วย Panzer ที่เล่าขานกันไม่รู้จบเลยทีเดียว

    บางทฤษฎีอาจกล่าวว่าชัยชนะที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากแสนยานุภาพที่มีอย่างท่วมท้น ของนาซีเยอรมัน จริงๆแล้ว เยอรมันขณะนั้นมีรถถัง Panzer IV เท่านั้นที่มีความทันสมัย ส่วนที่เหลือเป็น Panzer I Panzer II Panzer III ที่มีสมรรถนะเท่าๆกับ รถถังของฝรั่งเศส และอังกฤษ หรืออาจจะด้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ เช่นรถถังมาทิลด้าของอังกฤษ ที่ประจำการ อยู่ในฝรั่งเศส มีปืนใหญ่และเกราะที่เหนือกว่ารถถังเยอรมันมาก ฝ่ายเยอรมันต้องใช้ปืน 88 มม.ในการหยุดยั้งมัน เมื่อปะทะกันครั้งแรกๆ

    เหตุผลที่แท้จริงของชัยชนะเหนือฝรั่งเศส ก็คือ ยานเกราะของเยอรมัน มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูง บำรุงรักษาตัวมันเองในสยามได้ระดับหนึ่ง มีความคล่องตัว และใช้ยุทธวิธีที่เหนือชั้นของกูเดเรียนในการเจาะแนวข้าศึก และกระจายกันออกในแนวหลัง แต่ละหน่วยปฏิบัติการอย่างเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับหน่วยทหารราบ แต่ใช้การประสานงานด้วยวิทยุประจำรถ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ในขณะนั้น ที่สำคัญที่สุด คือนายทหารที่บังคับบัญชาหน่วย Panzer ในขณะนั้น ล้วนแต่ได้รับการปลูกฝังแนวความคิด และได้รับการฝึกฝนในการรบในสงครามสายฟ้าแลบจากตัวผู้คิดค้นทฤษฎีเอง นั่นคือ ไฮน์ กูเดเรียน นั่นเอง เกียรติยศนี้ถือเป็นเกียรติสูงสุด เมื่อรถถังทุกคันในหน่วย Panzer กลุ่มกูเดเรียน ต่างพร้อมใจกัน ประดับตัวอักษร G ไว้ที่ตัวรถถัง ยานยนต์ และมอเตอร์ไซค์

    ในยุทธการบาร์บาร์รอสซ่า เมื่อเยอรมันบุกเข้าไปในรัสเซีย กูเดเรียน ในฐานะผู้บัญชาการ หน่วย Panzer กลุ่ม 2 (Panzergruppe 2) ฝากผลงานไว้มากมาย จนได้รับกางเขนเหล็ก ประดับใบโอ็ค แต่ในที่สุด เขาก็ขัดแย้งกับนายพล ฟอน บ็อค (Von Bock) ผู้บัญชาการ กลุ่มกองทัพกลางในรัสเซีย ที่พยายามหยุดการเคลื่อนที่ของกูเดเรียน จนในที่สุด กูเดเรียน ก็ถูกถอดออกจากตำแหน่ง เมื่อขัดคำสั่งของฟอน บ็อค ในการถอนกำลัง Panzer ของเขา ออกจากจุดอันตราย และเสี่ยงต่อการสูญเสียอย่างไม่คุ้มค่า

    ในเดือน ก.พ. 1943 หลังจากกองทัพที่ 6 ของนายพล ฟอน เปารุส พ่ายแพ้ในสตาลินกราด กูเดเรียนถูกเรียกกลับมาอีกครั้ง ในฐานะผู้รับผิดชอบในการพัฒนายานเกราะให้มีความทันสมัย เขาเริ่มต้นด้วยการเพิ่มอัตราการผลิตยานเกราะในแต่ละเดือน นอกจากนี้ ยังไม่ยอมให้มีการยกเลิกสายการผลิต Panzer IV เพื่อหันไปผลิต Panzer V หรือรู้จักกันในนาม Panther และ Panzer VI หรือ Tiger ซึ่งแม้ Panzer IV จะด้อยกว่ารถถังของรัสเซีย ที่ออกมาใหม่เกือบทุกอย่างก็ตาม แต่กูเดเรียนก็ให้เหตุผลว่า Panzer IV นั้นมีเครื่องยนต์ที่ไว้ใจได้ พลประจำรถถังเยอรมันมีความคุ้นเคยกับมันขนาดบังคับได้ แม้เวลาหลับ (could handle it in their sleep) ต่างจากรถถังรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนพลประจำรถใหม่ ในเวลาปกติคงไม่น่าเป็นปัญหา แต่ในขณะที่รัสเซียกำลังรุกเข้ามาทุกทิศทุกทางเช่นนี้ คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะนัก สำหรับการมานั่งฝึกการบังคับรถรุ่นใหม่ๆ

    กูเดเรียน จบการรับใช้กองทัพนาซีเยอรมัน ในตำแหน่ง เสนาธิการทหารบก (Chief of army staff) และยอมจำนนต่อกองทัพอเมริกา ในเดือน พ.ค. 1945 เขาถูกส่งตัวขึ้น ศาลอาชญากรสงคราม ที่นูเรมเบอร์ก ฝ่ายรัสเซียต้องการดำเนินคดีเขาในฐานะ อาชญากรสงคราม แต่ฝ่ายอังกฤา อเมริกา ไม่เห็นด้วย เขาถูกคุมขังที่ Neustadt และได้รับการปล่อยตัวใน 3 ปีต่อมา คือ ปี 1948 นายพล ไฮน์ กูเดเรียน เสียชีวิต เมื่อ 14 พ.ค. 1954 ในเยอรมันตะวันตก (ขณะนั้น) เป็นเวลา 14 ปีหลังจากการรุกที่แม่น้ำเมิร์ส อันยิ่งใหญ่ของเขา ในฝรั่งเศส



    ร้อยเอก ไมเคิล วิทท์มาน(SS. Hauptsturmfuhrer Michael Wittmann)


    Wittmann ถ่ายภาพกับรถถัง Panzer VI - Tiger ในเครื่องแบบร้อยเอกของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 (1st SS. Panzer Division Leibstandart Adolf Hitler) ที่แขนเสื้อซ้าย บริเวณข้อมือ มีแถบนามหน่วย Adolf Hitler ติดอยู่ ที่คอเสื้อประดับเหรียญกางเขนชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค (Knight Cross of the Iron cross with Oakleaves) ที่กระเป๋าเสื้อมีเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 (Iron Cross 1st Class) และติดเหรียญกล้าหาญสำหรับการต่อสู้ด้วยรถถัง (Tank badge) และเหรียญกล้าหาญสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ (Wound badge)

    วิทมาน เป็นเสือรถถังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาซีเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามีสถิติในการทำลายรถถังของข้าศึกได้สูงถึง 138 คัน รถติดปืนใหญ่และปืนใหญ่อีก 132 กระบอก เป็นสถิติที่สูงที่สุดที่ไม่มีีใครจะลบลงได้ ตลอดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะเสียชีวิตในการรบกับทหารแคนาดาใกล้เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ภายหลังจากการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรในวันดี เดย์ ที่นอร์มังดี เขาเกิดเมื่อปี 1914 ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกองทัพเยอรมันในฐานะทหารราบในปี 1934 และพอถึงปี 1937 เขาก็ย้ายมาอยู่หน่วยองครักษ์ที่ทำหน้าที่อารักขาฮิตเลอร์ (Hitler Bodyguard) ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ หน่วย Leistandarte Adolf Hitler - LAH ซึ่งต่อมาก็ได้รับการยกระดับให้เป็นกองพล เอส เอส แพนเซอร์ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด อดอฟ ฮิตเลอร์ (1st SS. Panzer Division Leibstandarte - Adolf Hitler) หรือกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 (Panzer ในภาษาเยอรมันแปลว่า Armour หรือยานเกราะ)
    ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไมเคิล วิทมาน เข้าร่วมรบในแนวหน้าในการรุกเข้าสู่โปแลนด์ และฝรั่งเศส ในฐานะผู้บังคับรถยานเกราะ และรถติดปืนใหญ่ ต่อมาเมื่อมีการรบขึ้นในคาบสมุทรบอลข่าน ในกรีซและยูโกสลาเวีย ในปี 1941 เขาได้เป็นผู้บังคับรถถังเป็นครั้งแรก ชื่อเสียงของเขามาโดดเด่นเอาจริงๆจัง เมื่อเยอรมันบุกเข้่ารัสเซียตามยุทธการบาร์บารอสซ่า (Barbarossa) เขาสามารถทำลายรถถังของรัสเซียได้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็ก (Iron Cross) พอมาถึงปี 1944 ก็ได้รับรถถังรุ่นใหม่อันทรงประสิทธิภาพ นั่นคือ Panzer VI - Tiger พร้อมๆกับยอดการทำลายรถถังข้าศึก และปืนใหญ่ของข้าศึกก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค (Knight Cross of the Iron Cross with Oakleaves)
    ในเดือนเม.ย. 1944 ไมเคิล วิทมาน ได้ย้ายไปอยู่กองพันรถถังหนัก เอส เอส ที่ 101 (Waffen SS. 101st Heavy Tank Battalion) ในนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ด้วยความสามารถของเขา บวกกับประสิทธิภาพของรถถังไทเกอร์ ทำให้เขาสามารถทำลายรถถังของฝ่ายอังกฤษที่รุกเข้ามาใน Villers - Bocage ได้เป็นจำนวนมาก ในการยุทธที่นอร์มังดี ทั้งที่วิทมานมีรถถังในการบังคับบัญชาเพียง 5 คัน แต่ก็สร้างความสับสนให้กับฝ่ายอังกฤษ จนการรุกต้องชะงักลง จากผลการรบครั้งนี้ วิิทมานได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คและดาบ พร้อมกับได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก และในวันที่ 8 ส.ค. 1944 วิทมานก็ตกอยู่ในวงล้อมของรถถังแคนาดาทางตอนใต้ของเมืองคานส์ เขาต่อสู้อย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่า รถถังไทเกอร์อันทรงอานุภาพของเขาถูกยิงจากทุกทิศทุกทาง จนป้อมปืนฉีกออกจากตัวถังรถ ทำให้ไมเคิล วิทมานพร้อมพลประจำรถทั้งหมดเสียชีวิตทันที
    ร้อยเอก ไมเคิล วิทมาน เป็นเสือรถถังที่ยิ่งใหญ่ การรบของเขาถูกนำไปเป็นบทเรียนในโรงเรียนยานเกราะของประเทศต่างๆ ความกล้าหาญและเสียสละของเขา ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนในปัจจุบัน กล่าวถึงเสมอๆ หลุมศพของเขา พร้อมทั้งพลประจำรถ ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยฝ่ายพันธมิตร ซึ่งเป็นศัตรูของเขา ในบริเวณที่เกิดการปะทะ ทางตอนใต้ของเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส สถิติการทำลายรถถังของเขา จะเป็นสถิติที่ถือว่าเป็นที่สุดในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ด้วยรถถัง และยากที่จะมีใครทำลายลงได้


    ไมเคิล วิทมาน พร้อมทั้งพลประจำรถของเขา ถ่ายรูปหน้ารถถัง Panzer VI - Tiger โปรดสังเกตุว่าพลประจำรถของเขาได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กทุกคน ที่ลำกล้องของปืนใหญ่รถถัง จะมีวงขีดสีขาวเป็นวงๆ 1 วงใช้แทนการทำลายรถถังข้าศึก 1 คัน


    สภาพรถถังของไมเคิล วิทมานที่ถูกทำลายโดยรถถังของทหารแคนาดา ระหว่างการสู้รบทางตอนใต้ของเมืองคานส์ ในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 1944 ภายหลังจากการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่นอร์มังดี ในวันดี เดย์ ป้อมปืนรถถังไทเกอร์ของเขาถูกยิงจนฉีกหลุดออกจากตัวรถถัง ส่วนภาพล่างเป็นตัวรถถังที่ได้ีับความเสียหายจากการระดมยิงของรถถังแคนาดา ส่งผลให้ไมเคิล วิทมาน พร้อมพลประจำรถทั้งหมดเสียชีวิตทันที





    ด้านอิตาลี


    เบนิโต มุสโสลินี((Benito Amilcare Andrea Mussolini )



    เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2426เรียกชื่อโดยทั่วไปว่า “อิลดูเช” (Il Duce) แปลว่า “ท่านผู้นำ” เป็นจอมเผด็จการและนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลี (พ.ศ. 2465 – 2486) เกิดที่เมืองเปรแดปปิโอ โรแมกยา ในครอบครัวที่ยากจน เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน 2 ครั้ง ด้วยเหตุก่อการวิวาทกับนักเรียนคนอื่นโดยใช้มีด แต่ด้วยเวลาไม่นาน มุสโสลินีได้กลายเป็นนักสังคมนิยมยุวชนที่หลักแหลมและมีอันตราย แต่ต่อมาต้องลาออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลีเนื่องจากสนับสนุนการเข้าแทรกแซงสงครามโลกค
    รั้งที่ 1

    ในปี พ.ศ. 2462 มุสโสลินีได้เข้าร่วมการก่อตั้งพรรค “ฟาซิดี คอมแบตติเมนโต” หรือพรรคฟาสซิสท์เพื่อเตรียมเป็นกองกำลังปฏิวัติ ในปี พ.ศ. 2465 ได้เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งฉลองชัยชนะด้วย “การเดินสวนสนามแห่งโรม” (เดือนตุลาคม) ล่วงมาถึงปี พ.ศ. 2468 เขาได้สถาปนาตนเองเป็นเผด็จการเต็มรูป บังคับให้ยกเลิกระบบรัฐสภาทดแทนด้วย “รัฐบรรษัท” (Corporate State) และวางระบบรวบอำนาจอย่างเป็นทางการ จัดตั้งรัฐวาติกัน (พ.ศ. 2472) ยึดอบิสซีเนียเป็นเมืองขึ้น (พ.ศ. 2478-79) และอัลบาเนีย (พ.ศ. 2482) พร้อมกับการประกาศเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะกับอดอฟ ฮิตเลอร์แห่งประเทศเยอรมนีนี


    การประกาศสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศสโดยที่กองทัพยังไม่พร้อมทำให้กองทัพอิตาลีได้รั
    บความพ่ายแพ้ในเกือบทุกสนามรบ ทั้งในอัฟริกาเหนือและอัฟริกาตะวันออก และแถบบอลข่าน การรุกเข้ายึดเกาะซิซิลีในปีเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2486 และการเอาออกหากของผู้ที่เคยสนับสนุน มุสโสลินีจึงถูกโค่นล้มและถูกจับตัวได้ในเดือนต่อมา แต่ก็หนีได้ออกมาได้ด้วยการบุกจู่โจมที่คุมขังโดยพลร่มเยอรมันและได้ตั้งจัดตั้งรัฐบ
    าลหุ่นสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีโดยการสนับสนุนของฮิตเลอร์

    มุสโสลินีถูกจับได้อีกครั้งโดยพวกอิตาลีฝ่ายต่อต้านเมื่อ พ.ศ. 2488 ถูกเป้าเสียชีวิตในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2488นำศพไปแขวนประจานที่เมืองโคโมและเมืองมิลาน







    ด้านญี่ปุ่น


    จักรพรรดิฮิโระฮิโตะ (「裕仁」, Hirohito, – ฮิโระฮิโตะ)



    (29 เม.ย. 2444-7 ม.ค. 2532 ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 124 ของญี่ปุ่น ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2469-2532 ภายหลังจากการสวรรคตขององค์จักรพรรดิได้รับขนานนามว่า จักรพรรดิโชวะ หรือ โชวะเทนโน (「昭和天皇」, Shōwa Tennō, 昭和天皇?)

    จักรพรรดิฮิโระฮิโตะมีบทบาทที่สำคัญในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นผู้นำญี่ปุ่นเข้าร่วมฝ่ายอักษะร่วมกับนาซีเยอรมันและฟาสซิสต์ของอิตาลี

    จักรพรระฮิโระฮิโตะเสด็จพระราชสมภพ ณ ปราสาทอะโอะยะมะ ในกรุงโตเกียว ทรงเป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิโยะชิฮิโตะ(จักรพรรดิไทโช) และเจ้าหญิงซะดะโกะ โดยมีพระนามในวัยเด็ก ว่า เจ้าชายมิจิ (「迪宮」, Michi, 迪宮?)

    ในปี พ.ศ. 2464(ค.ศ. 1921) เจ้าชายฮิโระฮิโตะในฐานะมกุฎราชกุมารได้เสด็จประพาสทวีปยุโรปเป็นเวลาครึ่งปี ซึ่งประกอบด้วย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี นครรัฐวาติกัน เนเธอร์แลนด์ และ เบลเยียม ซึ่งการเสด็จประพาสในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นมกุฎราชกุมารพระองค์แรกที่ได้เสด็จไปยุโร


    พระองค์ทรงได้อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงนางาโกะ คุนิ(จักรพรรดินีโคจุง) พระธิดาพระองค์โตในเจ้าชายคุนิ คุนิโยะชิ เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2467(ค.ศ. 1924) และทรงมีพระราชโอรส 2 พระองค์ และพระราชธิดา 5 พระองค์

    เจ้าหญิงเทะรุ หรือ เทะรุโนะมิยะ ชิเงะโกะ(照宮成子 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2504)
    เจ้าหญิงฮิซะ หรือ ฮิซะโนะมิยะ ซะจิโกะ(久宮祐子 10 กันยายน พ.ศ. 2470-8 มีนาคม พ.ศ. 2471)
    เจ้าหญิงทะกะ หรือ ทะกะโนะมิยะ คะซุโกะ(孝宮和子 30 กันยายน พ.ศ. 2472-28 พฤษภาคม พ.ศ. 2532)
    เจ้าหญิงโยะริ หรือ โยะริโนะมิยะ อิสึโกะ(順宮厚子 7 มีนาคม พ.ศ. 2474-ปัจจุบัน)
    มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ หรือ สึกุโนะมิยะ อะกิฮิโตะ องค์พระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน(継宮明仁 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476-ปัจจุบัน)
    เจ้าชายโยะชิ หรือ โยะชิโนะมิยะ มะสะฮิโตะ(義宮正仁 28 ธันวาคม พ.ศ. 2478-ปัจจุบัน) ในปัจจุบันมีพระนามว่า เจ้าชายฮิตะชิโนะมิยะ(常陸宮
    เจ้าหญิงซุงะ หรือ ซุงะโนะมิยะ ทะกะโกะ(清宮貴子 2 มีนาคม พ.ศ. 2482-ปัจจุบัน)



    เครดิต :: http://www.thaisamkok.com/forum/index.php\s=af9925aa9aa0f79e3305ceea34ce0944&showtopic=3983

    -*-*-*--*-*-
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×