คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5
ปลายฝันมองร่างที่ลอยอยู่เหนือพื้นตรงหน้าเล็กน้อย แล้วก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดถูก
ไม่ใช่เธอไม่เคยเห็นผีมาก่อน
...เห็นบ่อยจนชินเสียด้วยซ้ำ!
แต่ที่ตกใจก็เพราะ’ผี’ที่เธอเห็นอยู่เวลานี้ต่างหาก
แค่ธุวพรตอนเป็นคน เธอยังพยายามเลี่ยงมาตลอด เนื่องจากรับมือลูกสาวของเจ้านายพ่อไม่ค่อยไหว
แล้วสภาพของอีกฝ่ายตอนนี้ ที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คน ว่าที่คุณหมอสาวเลยไม่อยากคิดว่าจะ’เฮี้ยน’แค่ไหน!
สติที่พอรวบรวมได้สั่งการให้เธอถามคำถามที่ฟังเข้าท่าที่สุดออกไป “พี่ทอฟฟี่เสียตั้งแต่เมื่อไรค่ะ แล้วตายอย่างไง”
"ไม่โง่เท่าไรนี่ นึกว่าจะทักว่าฉันสบายดีไหม ทั้งๆที่เห็นว่าฉันตายแล้ว" ร่างโปร่งใส่ก้าวเท้าด้วยท่าทีกรีดกราย โดยที่เท้าไม่สัมผัสพื้นไม้อาบมันที่อาจจะสร้างความระเคืองให้ฝ่าเท้าบางๆของเธอ แม้จะแน่ใจว่ามันสะอาดดีก็ตาม แล้วไปนั่งโพสท่าอยู่บนเตียง
สีหน้าของ'คนไม่โง่เท่าไร'ที่เรียนหมอกลับมาเป็นปกติทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนจากตอนมีชีวิตอยู่เลย
ไม่ว่าจะการแต่งตัวที่ดูสวยเก๋ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และไม่ต้องเดาก็รู้ว่าของแต่ละชิ้น แพงระยับแค่ไหน
...เธอจะไม่แปลกใจเลยถ้าอีกฝ่ายตายเพราะโดนฆ่าชิงทรัพย์
หรือท่าทางที่กดทุกคนให้ต่ำกว่าตัวเองด้วยหน้าเชิดๆและสายตาดูหมิ่นคน รวมทั้งนิสัยช่างติและเอาแต่ใจก็ดูเหมือนจะยังอยู่ครบถ้วน
...ซึ่งท่าทางแบบนี้ ถ้าบอกว่าถูกไข้โป้งเพราะไปหาเรื่องใครเขาเข้า เธอเชื่อ100%
"ยัยปลาย นั่งลงเดี๋ยวนี่นะ ใครสั่งใครสอนให้ยืนคล้ำหัวผู้ใหญ่ฮะ" นินทาไม่ทันจบ คุณพี่ก็ออกอาการทันที
ผู้ที่อ่อนวัยกว่านั่งขัดสมาธิลงกับพื้นข้างๆเตียง และปิดปากเงียบ
ความที่โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนเล่นที่ลองรับอารมณ์ของธุวพรมาตั้งแต่จำความได้
ถึงจะมาห่างกันเอาตอนที่อีกฝ่ายรู้เรื่องความสามารถพิเศษของเธอ แต่สองสาวก็ยังต้องเจอหน้ากันอยู่เรื่อยๆ
แม้แต่ตอนที่คนแก่กว่าไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ทั้งสองก็ยังต้องเผชิญหน้ากันทุกครั้งที่ปลายฝันบินไปเยี่ยมบิดา ที่ทำงานกับครอบครัวของธุวพร
ซึ่งอีกฝ่ายเวลาเห็นหน้าเธอ ก็แค่ถามสารทุกข์สุกดิบพร้อมจิกกัดไปตามมารยาทสองสามประโยค โดยเน้นไปที่อย่างหลังมากกว่า เช่น
‘ดูสบายดีนี้ ฉันนึกว่าจะตกเขาตายไปเหมือนพี่ชายเธอแล้ว’ หรือ ‘เมื่อไรจะเรียนจบซะทีล่ะ ทั้งพี่ทั้งน้อง ไม่รู้จะบ้าเรียนไปถึงไหน’
...ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า วิธีรับมือกับนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ของธุวพรที่ดีที่สุดคือ การอยู่นิ่งๆไว้ ถ้าอีกฝ่ายมีธุระก็จะเข้ามาคุย(หรือหาเรื่อง)เอง
ถ้าไม่! ก็อย่าริอ่านไปเสนอหน้า(หาเรื่องใส่ตัว)เชียว
"เธอไม่รู้มาก่อนเหรอ ว่าฉันตายแล้ว" เวลานี้อารมณ์ของธุวพรคงอยู่ในโหมดแรก จึงไม่ประชดประชันเธอ แต่ถามตรงๆ
แต่เพื่อความปลอดภัย ปลายฝันก็ตอบให้สั้นที่สุดไว้ก่อน "ไม่ทราบคะ"
"มิน่า...ถึงทำตัวปกติกันเหลือเกิน" คนที่ตายแล้วพึมพำกับตัวเอง
"...แล้วอาหมอเวชไม่ได้บอกเธอเหรอ" เอ่ยถึงนายแพทย์ประจำครอบครัว บิดาของหญิงสาวที่เธอจะมาขอความร่วมมือ ที่น่าจะทราบข่าวการเสียชีวิตของเธอเป็นคนแรกๆ
"ตอนแรกปลายจะไปเยี่ยมคุณพ่อทางนู้น แต่คุณพ่อบอกว่ากำลังยุ่ง แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรค่ะ" และถ้าจะให้เดา ก็คงยุ่งเรื่องจัดงานศพของพี่ทอฟฟี่นั้นแหละ...ประโยคหลังปลายฝันไม่กล้าพูดออกมา ด้วยยังไม่อยากย้ายไปอยู่ภพเดียวกับอีกฝ่ายก่อนเวลาอันควร
ธุวพรฟังคำตอบแล้วก็ผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากเธอเป็นห่วงบุพการีทั้งสองว่าจะรู้สึกเช่นไร เมื่อเสียลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวเช่นเธอไปอย่างกะทันหัน
ตั้งใจว่าจะมาถามเรื่องนี้กับปลายฝัน เพราะเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนมาใจชอบ..ตามคำสั่งของหัวหน้าจอมโหดนั้นแหละ!
ที่ย้ำนักย้ำหนาก่อนส่งเธอกลับมายังโลกมนุษย์ ว่าห้ามออกนอกเขตจังหวัดนี้เด็ดขาด...
'ธุวพร เราส่งเจ้าไปทำงานนะ' เสียงเตือนดังจากต่างหูคู่เก๋ราวกับอ่านใจเธอได้ ทำให้วิญญาณสาวรีบเข้าเรื่อง
น้ำเสียงที่ใช้อ่อนลงเล็กน้อย "พี่ตายมาได้หลายวันแล้ว แต่บังเอิญมีปัญหาจากความผิดพลาดบางอย่าง เลยอยากได้ความร่วมมือจากปลายนะ" ให้อย่างไรคุณหนูสุดหยิ่งก็กระดากปากเกินกว่าจะขอร้องใคร โดยเฉพาะผู้หญิงที่เธอเห็นว่าเป็นเพียงลูกสาวของ'ลูกจ้าง'
"ถ้าปลายทำได้ ก็ยินดีค่ะ" ว่าที่คุณหมอแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะถ้ารับปากสุ่มสี่สุ่มห้า เธอนั้นแหละที่จะมีปัญหาแทนคนตาย
ก็ตอนมีชีวิต อีกฝ่ายยังสร้างความวุ่นวายให้คนรอบตัวรับเคราะห์ไม่เว้นวัน
แต่จะปฏิเสธไปเลย ธุวพรได้อาละวาดบ้านพังแน่
แม้ไม่เคยเห็นวิญญาณมีอิทธิฤทธิ์อื่น นอกจากหายตัว ลอย แล้วก็ทะลุกำแพงได้ แต่ฤทธิ์เดชอีกฝ่ายตอนยัง'เป็น'ก็สยองพอแล้ว
และปลายฝันก็ไม่แล้งน้ำใจพอที่จะบอกปัดคำขอ(ที่หวังว่าจะเป็น)ครั้งสุดท้ายของคนที่รู้จักกันมานานเท่าอายุของเธอ...
ประโยคสั้นๆที่เอ่ยออกมา สร้างความพอใจให้ธุวพรมาก "ปลายน่ารักที่สุด"...เป็นคำชมที่ออกจากใจจริง
เนื่องจากคำว่าน่ารักที่ธุวพรใช้ชมผู้หญิง ไม่ได้หมายถึงหน้าตา ซึ่งในสายตาเจ้าตัว ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะน่ารักไปกว่าเธอแน่นอน แต่คำๆนี้ขึ้นอยู่กับระดับความเอาใจ...ใครตามใจเธอมาก ก็น่ารักมาก ใครขัดใจเธอ น่าเกลียดก็พุ่งขึ้นราวกับใบหน้าของคนที่ถูกน้ำกรดราด
เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่กับพื้นตรงหน้าเธอทำตัว'น่ารัก' ธุวพรก็รีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับต้นด้วยเสียงที่หวานเป็นพิเศษ...
"พี่ก็เลยอยากให้ปลายเป็นคนกลางให้หน่อยนะ...ถ้าพี่พูดคุยกับคนอื่นรู้เรื่อง พี่คงไม่ต้องรบกวนปลายหรอก" ประโยคหลังคุณหนูมาดเยอะก็ออกตัว ป้องกันการเสียหน้า
...เธอมาพึ่งอีกฝ่ายเพราะความจำเป็นบังคับ ไม่ใช่เพราะไร้ความสามารถ
ปลายฝันที่นั่งเงียบมาตลอดกะพริบตาปริบๆ เพราะเรื่องที่ได้ฟังมันเหลือเชื่อมากๆ โดยเฉพาะเมื่อออกจากปากธุวพร...ที่พูดอะไรแล้วคนฟังควรถอดรูทรากที่ล้าน!
"ปลายเองก็อยากให้พี่ชายเป็นฝั่งเป็นฝาใช่มั้ย ถ้าปลายช่วยพี่ก็เหมือนปลายช่วยพี่ชายตัวเองนะ" เรื่องกล่อมให้คนอื่นทำตามความต้องการของเธอเป็นอีกหนึ่งงานถนัดที่ธุวพรมั่นใจ
พอๆกับเรื่องรวบรัดตัดความ มัดมือชก ที่เชี่ยวชาญไม่แพ้กัน "...เอาเป็นว่าคืนนี้พี่ใจดี อนุญาติให้ปลายพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มงานกันนะจ๊ะ"
ตบท้ายด้วยการปิดช่องทางปฏิเสธ เมื่อวิญญาณสาวใช้ความสามรถที่เพิ่งเรียนรู้มาใหม่ๆหายตัวไปทันที
ทิ้งให้คนที่เคยพูดมากและเถียงเก่งไม่แพ้ใคร หากต้องยอมยกธงขาวให้คุณหนูธุวพร ที่คงเกิดเป็นปลามาหลายชาติ(ถึงหายใจทางเหงือก) คร่ำครวญอยู่คนเดียว
"ชาติก่อนหนูทำกรรมอะไรไว้กับพี่ทอฟฟี่คะ พระพรหม! ท่านยมบาล! ท่านกามเทพ! ฮือ..."
.....................................................................
เสียงนกร้องที่ดังลอดหน้าต่างเข้ามา พร้อมๆกับแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาแย้งตา ทำให้คนที่ชินกับการตื่นไปเรียนแต่เช้าลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยผมเผ้ากระเซะกระเซิง
ปลายฝันเดินลงจากเตียงพลางอ้าปากหาวโดยไม่ได้ยกมือขึ้นปิดปาก เนื่องจากมือข้างหนึ่งกำลังขยี้ตา ส่วนอีกมือก็กำลังสางผมลวกๆให้พอเป็นทรง
แล้วตาก็สว่างโดยอัตโนมัติ เนื่องจากสมองหลั่งสารอะดรีนาลีนเพื่อเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือด เมื่อได้ยินเสียงจากร่างโปร่งใสที่เธออยากให้เป็นเพียงฝันร้าย!
"เป็นหมอภาษาอะไรยะ ยัยปลาย ไม่รู้หรือว่าขยี้ตาอย่างนั้นจะทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย" หญิงสาวที่ห่วงความสวยเป็นที่สุดอดตำหนิไม่ได้
เธอรับไม่ได้จริงๆกับผู้หญิงที่ปล่อยปละละเลยกับการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่คิดว่าตัวเอง'ขาย'ออกแล้ว เลยยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องความสวยความงาม
...ปล่อยให้หน้ามันแพลบเหมือนน้ำมันทอดอาหาร มีริ้วรอยยับย่นเหมือนผ้าขี้ริ้ว รอบเอวขยายจากหุ่นกระติกน้ำร้อนเป็นหม้อหุงข้าว...
หน้าที่ของผู้หญิงคือการเป็นแม่ที่ดีจนลูกเอาไปคุยกับเพื่อน เท่าๆกับเป็นภรรยาที่สามีเอาไปอวดคนอื่นได้ รวมถึงทำตัวให้เป็นที่เคารพและยกย่องของคนในบ้านด้วย...ประโยคนี้คุณหญิงแม่สอนเธอมาตั้งแต่เล็ก
เสียดายที่เธอไม่สามารถถ่ายทอดคำสั่งสอนนี้ไปให้ลูกของเธอได้แล้ว ธุวพรจึงตั้งใจจะสั่งสอนวิชาการเป็นผู้หญิงที่ดีให้คนตรงหน้าแทน เพื่อรักษาไม่ให้ความรู้ดีๆสูญหายไปจากโลก
รวมทั้งเป็นค่าตอบแทนให้ปลายฝันที่มาช่วยงานเธอ
เพราะคุณหนูทอฟฟี่ไม่เคยใช้งานใครฟรีๆ...
ตัดสินใจดีแล้วก็เริ่มบทเรียนแรกทันที "รู้ไหมว่าการหาวมากๆ รวมทั้งขยี้ตาหรือใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้ามากๆ จะทำให้หน้าแก่ก่อนวัย แถมยังทำให้บุคลิกเราเสียด้วย มีอย่างที่ไหนกัน อ้าปากกว้างจนเห็นลิ้นไก่แบบเนี่ย ไม่กลัวปากจะฉีกถึงหูเหรอยะ"
ตี๊ด! ตี๊ด!...เสียงที่ดังจากต่างหูของอาจารย์วิชากุลสตรีเหมือนระฆังช่วยชีวิตสำหรับคนเพิ่งตื่นนอน
ปลายฝันรีบขอตัวไปทำธุระส่วนตัวโดยไม่เปิดโอกาสให้วิญญาณสาวทักท้วง...ซึ่งวิชานี้ก็เรียนมาจากธุวพรนั้นแหละ
คุณหนูคนสวยเลยพาลเอากับเจ้าเสียงร้องน่ารำคาญ ที่เป็นสัญญาณเตือนมาจาก'หัวหน้า' ให้เธอเลิกนอกเรื่องและเริ่มทำงานจริงๆจังๆ ว่ามันช่างรบกวนโสตประสาทเธอเสียเหลือเกิน
แถมเจ้าต่างหูคู่นี้ยังลูกเล่นน้อยถึงน้อยมาก แค่เปลี่ยนเสียงเรียกเข้าแบบโทรศัพท์มือถือยังไม่ได้เลย
“ทราบแล้วค่ะ ท่านกามฯ จะเริ่มงานเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
นี่! ยังดีที่เครื่องมือสื่อสารในรูปเครื่องประดับนี้ก็ยังมีระบบแฮนด์ฟรีอยู่ เวลาพูดเลยไม่ต้องเอาต่างหูมาจ่อที่ปากด้วย!
...............
.........
..."พี่ทอฟฟี่จะให้ปลายทำอะไรบ้างคะ" เมื่อไม่มีทางเลี่ยง คนที่เด็กกว่าก็ถามขึ้นหลังจากแต่งตัวตามคำแนะนำแกมสั่งของธุวพร ซึ่งทำให้เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นตุ๊กตาที่อีกฝ่ายแต่งตัวให้เหมือนสมัยก่อนที่ยังสนิทกันอยู่
มือเรียวชี้ไปที่ติดผมที่ดูเข้ากับเสื้อที่เธอเลือกที่สุด "ขั้นแรก เธอต้องช่วยฉันตามหาเนื้อคู่ของสองคนนั้นให้ได้ก่อน...อะ รวบผมแค่ครึ่งหัวซิ" ประโยคหลังเอ่ยเสียงดุเมื่อเห็นว่าปลายฝันกำลังรวบผมเป็นหางม้า
‘ตุ๊กตา’ยิ้มแหย แต่ก็ทำตามโดยดี
...ถ้าอีกฝ่ายเป็นคน เธอคงไม่ทำตาม แค่อุดหูซะแล้วเดินหนีก็จบแล้ว
แต่นี่อีกฝ่ายเป็นวิญญาณ ให้เธอหนีไปไหน ธุวพรก็ตามไปบ่นได้อยู่ดี ตอนนี้เธอเลยต้องยอมๆไปก่อน
ไว้หาหมอผี...ที่เป็นหมอผีจริงๆ ไม่ใช่หมอผ่าศพได้นะ ฮึ่ม!!!
"แล้วปลายจะรู้ได้อย่างไงล่ะค่ะ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร"...หวังว่าคนที่เธอจะต้องตามหาคงเป็นผู้หญิงนะ
ถ้าเนื้อคู่ของพี่ชายเป็นชายหนุ่มแล้วละก็ เธอคงสงสารพ่อและเสียดายแทนผู้หญิงคนอื่นๆ
เจ้าของเรื่องที่ดูไม่ค่อยสนใจงานเท่าไร เพราะสายตามองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้อย่างพืจารณา เอามือชี้ไปที่ติ่งหู "เจ้านี้จะเป็นตัวบอกเราเอง..."
พูดไม่ทันจบประโยค เสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะขึ้น ตามด้วยเสียงทุ่มของเจ้าของบ้าน "เสร็จหรือยังปลาย รีบลงไปทานข้าวซะ แล้วพี่จะพาเราไปแนะนำกับพี่ๆในโรงพยาบาลก่อนออกตรวจคนไข้"
"ค่ะ เดี๋ยวปลายตามไป" คนในห้องตะโกนตอบ แล้วก็ได้ยินเสียงเดินลงบันไดของพี่ชาย
หญิงสาวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก ก่อนจะหันไปทาง'อดีต'เจ้านายอีกคนของพ่อ เห็นอีกฝ่ายบ่นพึมพำ "เฮอะ! คนบ้างานอย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนจะมาสน หายใจเข้าก็คนไข้ หายใจออกก็คนไข้ ไม่รู้ตอนนอนละเมอถึงคนไข้หรือเปล่า"
ปลายฝันได้แต่อมยิ้ม นึกอยากย้อนกลับไปว่า...อยากรู้ พี่ทอฟฟี่ก็แอบเข้าไปดูพี่กลางตอนนอนซิ
แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะกลัวว่าธุวพรจะทำจริง!
............................................................................
ร่างบางที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีขาว และกางเกงสามส่วนสีชนพูเดินลงบันไดมาช้าๆ ไม่ได้วิ่งเหมือนทุกทีที่อยู่บ้านกับพ่อหรือพี่ชาย เพราะมีวิญญาณสาวคอยกำกับท่าเดินอยู่ข้างๆ
"เวลาเดินบันไดเราต้องคอยๆเดินช้าๆ หน้าอย่ามัวแต่ก้มมองบันได เพราะจะดูไม่สง่า" พูดพลาง'ลอย'อย่างสง่าให้ดูเป็นตัวอย่าง
ปลายฝันทำหน้าเมื่อย ย้อนกลับด้วยเสียงกระซิบเพื่อไม่ให้พี่ชายที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ได้ยิน “เดินไม่มองก็ตกบันไดซิคะ”
หลุดปากไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตัวเองนัก เพราะ'อาจารย์'มองเธอตาเขียว แต่ยังดีที่ตัวช่วยรับรู้กระแสจิตที่เธอส่งไปให้
กลางรักเงยหน้าขึ้นมาทักน้องสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ๆ "กำลังสงสัยอยู่เชียว ว่าทำไมวันนี้แต่งตัวนานนัก ที่แท้ก็มัวทำสวยอยู่นี้เอง"
คนที่ปกติไม่ค่อยสวยย่นจมูกกับคำล้อเลียน และเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่าย ที่มีอาหารเช้าเตรียมไว้ให้แล้ว
"ก็พี่กลางบอกว่า วันนี้จะพาปลายไปโชว์ตัวนี่คะ ก็ต้องสวยหน่อยซิ" เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังเข้าท่าที่สุดที่คิดออกในตอนนี้
เพราะธุวพรย้ำหนักย้ำหนาว่าไม่ควรให้พี่ชายของเธอรู้เรื่องการตายของหญิงสาว รวมถึงเรื่องที่พวกเธอต้องตามหาเนื้อคู่ของกลางรักและเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่เข้าท่าที่สุด
...มันไม่โรแมนติกเลย ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้ตัวก่อนว่าเป็นพรหมลิขิต ไม่ใช่รักที่เกิดจากหัวใจจริงๆ
“จ๊ะ สวยวันแรก แล้ววันอื่นๆโทรมเหมือนเดิม” คำตอบรับง่ายๆของพี่ชายทำให้ปลายฝันรู้ดีว่ากำลังถูกล้อเลียน
...พี่ทอฟฟี่ต้องคิดผิดแน่ๆ ที่หวังความโรแมนติกจากพี่ชายเธอ
“อะแฮมๆๆ เข้าเรื่องได้แล้ว ยัยปลาย” เสียงกระแอมอย่างไม่พอใจดังมาจากธุวพร ที่มองสองพี่น้องหยอกกัน และทำเหมือนไม่มีเธออยู่ด้วย ซึ่งคนพี่ยกให้ก็ได้ เพราะเขาไม่เห็นเธอ แต่แม่คนน้องนี่ซิ!
ปลายฝันยิ้มแหยเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงมองเธอตาเขียวปั๊ด แล้วหันไปมองพี่ชายที่ตอนนี้หนังอ่านหนังสือพิมพ์รอให้เธอทานอาหารเสร็จ “พี่กลางทำอาหารเองเหรอคะ”
“อาหารเช้าพี่ทำเองน่ะ แต่กลางวันพี่ทานที่โรงพยาบาล แล้วเย็นก็ซื้อเอา หรือวันไหนขยันก็ออกไปที่ตลาดหรือทำเอง ทำไม เราจะอาสาทำให้หรือไง” คุณหมอหนุ่มตอบโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือในมือ
แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้ฝีมือการทำอาหารของน้องสาวดี และเขายังไม่อยากเปลี่ยนห้องครัวใหม่ตอนนี้
และก็เดาไม่ผิด คนตัวเล็กส่ายหน้าพรืด “ปลายยังไม่อยากส่งคุณหมอไปนอนให้น้ำเกลือเพราะอาหารเป็นพิษค่ะ กลัวโดนพยาบาลเขม็งเอา”
ปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายมีเพียงเสียงหัวเราะในคอ คนเป็นน้องจึงถามต่อ “แล้วเรื่องทำความสะอาดบ้านละคะ”
“พี่จ้างแม่บ้านของโรงพยาบาลมาทำให้อาทิตย์ละครั้งพร้อมซักผ้าด้วย ถามมากจริง รีบๆทานได้แล้วจะได้รีบไป” คราวนี้กลางรักพับหนังสือพิมพ์เก็บ แล้วเอ่ยเสียงดุเมื่อเห็นว่าอาหารในจานของน้องสาวพร่องไปไม่ถึงครึ่ง
ปลายฝันรีบทานด้วยความเร็ว’ปกติ’ แบบที่ใช้เวลาเรียนหนักๆ และมีงานยุ่ง ไม่สนใจเสียงโวยวายจากหญิงสาวข้างๆ
“ตายแล้ว ยัยปลาย ยังนี้เขาเรียกยัดแล้ว ไม่ใช่ทาน” หลังมือบางที่ไม่เคยผ่านการทำงานหนักยกขึ้นไปเตะหน้าผาก ด้วยท่าของคุณหญิงแม่เวลาจะเป็นลม “...ฉันต้องคิดผิดแน่ๆที่จะทำให้เด็กแบบเธอมาสืบทอดวิชาสมบัติผู้ดีประจำตระกูลฉัน”
คนที่ไม่ได้อยากเรียนแสร้งไม่สนใจ เมื่อจัดการอาหารในจานจนเกลี้ยงก็เงยหน้ามายิ้มให้พี่ชาย “เรียบร้อย! ปลายก็แค่ถามๆดู อยากรู้ว่าไม่มีสาวไหนอาสามาดูแลบ้านให้คุณหมอเลยหรือคะ”
“อ้อ! ถ้าจะเช็คว่าพี่ซ่อนสาวไว้ที่ไหนหรือเปล่า ก็ขอบอกว่าไม่มีจ๊ะ พี่ยังสนุกกับงานที่นี่อยู่ ไม่อยากให้ใครมาลำบากด้วย” พูดพลางลงมือเก็บจานเปล่าตรงหน้า โดยมีน้องสาวเป็นผู้ช่วย
“มัวคิดอย่างนี้ ชาตินี้จะมีแฟนเหรอ” เสียงค่อนขอดจากบุคคลที่สามที่ตามมาฟังด้วย แล้วก็เริ่มคิดหนักเมื่อเห็นเคล้าความยุ่งยาก
“...ปลาย ทำอย่างไงก็ได้ให้พี่ชายเธอเปลี่ยนความคิดนะ ไม่อย่างนั้นงานฉันจะเดินหน้าได้อย่างไงถ้าฝ่ายชายไม่สนใจมองสาวๆรอบตัวเลย เกิดเจอเนื้อคู่ พ่อคุณไม่เดินผ่านเฉยเหรอ”
คนที่ไม่มีทางปฏิเสธได้พยักหน้ารับ หันไปมองหลังของพี่ชายที่ยืนล้างจานอยู่ “ความจริงเป็นภรรยาของผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ไม่ลำบากเท่าไรนะ พี่กลาง คุณพ่อก็บ่นๆว่าอยากอุ้มหลานแล้ว พี่ไม่สงสารพ่อบ้างเหรอ”
...เมื่อเห็นพี่ชายยังมีท่าทางเฉยๆ คนเป็นน้องก็ต้องยกบิดามาอ้าง เพราะรู้ว่าเป็นคนที่กลางรักยอมฟังมากที่สุด
ซึ่งคนที่ยังไม่อยากมีพันธะก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบๆ “คุณพ่อคงไม่ต้องรอนานหรอก ปีหน้าปลายก็เรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ”
รอยยิ้มยินดีที่ได้ยินประโยคแรกจางลง พร้อมกับเลือดที่ไปเลี้ยงที่แก้มสองข้างเป็นพิเศษเมื่อปลายฝันตีความหมายของประโยคหลังที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้ ยกมือขึ้นทุบไหล่ของพี่ชายเบาด้วยความขัดเขิน
“พี่กลางบ้า! ปลายยังต้องเรียนต่ออีกนาน ไม่ต้องโยนมาให้น้องเลย แล้วก็อย่านอกเรื่อง พี่กลางไม่มีสาวที่หมายตาไว้จริงๆหรือ”
นายแพทย์หนุ่มวางจานใบสุดท้ายลงบนที่คว่ำ ซึ่งวางอยู่ข้างๆอ่างล้างจาน ปิดก๊อกน้ำ และเช็ดมือช้าๆ โดยไม่สนใจคน(และวิญญาณ)ที่รอฟังคำตอบอย่างลุ้นระทึก...ราวกับนักเล่นหวยรอฟังผลรางวัลที่หนึ่ง
ซึ่งทำหน้าเซ็งเหมือนคนถูกหวยกิน เมื่อชายหนุ่มวางมือที่เช็ดแห้งแล้วลงบนศีรษะเล็กๆของน้องสาว และตบเบาๆก่อนเดินออกจากห้องครัวไปที่ประตูหน้าบ้าน “พี่จะไปทำงานแล้วนะ ถ้าจะไปด้วยก็ตามมา”
คนที่เด็กว่าแลบลิ้นใส่ แต่ก็เดินตามพี่ชายออกไปโดยดี ในขณะที่วิญญาณสาวฮึดฮัดอย่างขัดใจ แล้วก็หายตัวไปพร้อมเสียงประตูบ้านที่ปิดลง...
....................................................................
“สวัสดีครับ พี่กลาง วันนี้ควงสาวสวยที่ไหนมาด้วยครับ” เสียงทักดังขึ้นทันทีที่สองพี่น้องเดินเข้ามาที่ห้องพักผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นห้องขนาดกลาง ที่มีเตียงผู้ป่วย10เตียง แบ่งเป็น3แถว สำหรับผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก โดยมีเคาน์เตอร์เล็กๆสำหรับให้พยาบาลนั่งพัก รวมทั้งเก็บประวัติของผู้ป่วย และอุปกรณ์การรักษาต่างๆ
ด้วยเสียงที่ไม่เบานัก ทำให้พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล คนไข้และญาติ ซึ่งล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี หันไปมองร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงขายาวสีดำของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก่อนจะเลยไปที่หญิงสาวหน้าตาน่ารัก แต่ไม่คุ้นหน้า ที่เดินตามหลังมา
“น้องสาวพี่ที่เคยเล่าให้ฟังไง ชื่อปลายฝัน ปลาย...นี่หมอกานนท์ แพทย์ใช้ทุนปี3” กลางรักกล่าวแนะนำเมื่อเห็นน้องสาวได้แต่ยิ้มเก่อๆกับสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างสนใจ
ทั้งสายตาอยากรู้อยากเห็นของพยาบาลมีอายุ และผู้เฒ่าผู้แก่ รวมถึงสายตาตัดพ้อของญาติคนไข้สาวๆที่หมายตาคุณหมอกลางรักอยู่
หนึ่งในคนกลุ่มแรกยิ้มกว้าง “สวัสดีครับ น้องปลาย ตัวจริงไม่เหมือนเด็กปี5เลยนะครับ ถ้าบอกว่าเป็นเรียนปรีคลินิก* พี่ก็เชื่อ”
“ปลายจะถือว่าเป็นคำชมนะคะ” ปลายฝันยิ้มรับ รู้สึกถูกชะตากับรุ่นพี่ร่วมวิชาชีพคนนี้มาก
“ปลายจะมาอยู่ที่นี่ตลอดปิดเทอม ถ้ามีอะไรก็เรียกใช้เค้าได้ ถือซะว่ามาฝึกงานก่อนขึ้นextern*” กลางรักเอ่ยเสียงไม่ค่อยนัก เพื่อให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆได้ยินด้วย
จากนั้นก็เริ่มมีพยาบาลที่ทำงานมานาน และสนิทสนมกับพี่ชายของเธอเข้ามาทำความรู้จักกับว่าที่คุณหมอสาว
(*นักศึกษาแพทย์จะแบ่งเป็น ปี1เรียนวิชาพื้นฐานเหมือนสมัยมัธยม ชั้นปี2-3 เรียกว่าปรีคลีนิก เรียนความรู้พื้นฐานต่างๆที่จำเป็นในการเป็นหมอ ชั้นปี4-5เรียกชั้นคลินิก ต้องเรียนและปฏิบัติงานกับผู้ป่วยจริงๆ และปี6หรือextern เน้นการปฏิบัติเพื่อหาประสบการณ์จริง)
...จากการเดินสำรวจรอบโรงพยาบาล และทำความรู้จักเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ โดยมีแพรวา พยาบาลสาวที่อายุเท่ากับเธอ น้องเล็กของที่นี่ และเป็นคนรักของกานนท์ เป็นคนนำทาง
เนื่องจากพี่ชายตัวดีต้องออกตรวจคนไข้นอก ร่วมกับกานนท์
โชคดีที่ที่นี้เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ที่เจ้าหน้าที่และผู้ที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น ช่วงปิดเทอมอย่างนี้จึงมีเด็กๆที่ตามพ่อแม่มาที่ทำงานด้วย และก็ไม่มีใครว่าอะไรถ้าเด็กๆเหล่านั้นไม่รบกวนการทำงาน
ทำให้ปลายฝันถูกเหมารวมไปในกลุ่ม’เด็ก’ที่ตาม’ผู้ปกครอง’มาด้วย ทุกคนจึงให้ความเป็นกันเอง และเอ็นดูเธอดี...
ซึ่งหญิงสาวก็พบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุ หรือไม่ก็มีครอบครัวแล้ว คนที่อายุน้อยกว่าท่านผู้อำนวยการและยังไม่แต่งงาน มีเพียงพยาบาลสาว2คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็ดันเป็นแพรวาที่มีคนจองอยู่แล้วด้วย
“คุณหมอกลางกับปลายมีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นเหรอ” แพรวาชวนคุยอย่างสนิทสนม เพราะความที่อายุเท่ากัน และมีนิสัยบางอย่างคล้ายๆกัน สองสาวจึงสนิทกันอย่างรวดเร็ว
ปลายฝันอมยิ้มกับคำถามที่เธอและพี่ชายเจอมานับครังไม่ถ้วน ซึ่งสาเหตุก็มาจากชื่อของพวกเธอ “อืม...ถ้าแพรจะถามว่าพวกเราไม่มีพี่ชื่อต้นอะไรซักอย่างเหรอ เราก็ต้องตอบว่าเรามีพี่คนเดียวคือ พี่กลาง”
เพราะนัยน์ตาที่เป็นประกายอย่างเจ้าเล่ห์ของคนพูด ทำให้อีกฝ่ายเพิ่มความอยากรู้ขึ้นไปอีก “อ้าว! แล้วทำไมหมอกลางไม่ชื่อต้นล่ะ”
มือบางเอื้อมไปหยิกแก้มคนช่างสงสัยอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะอธิบายช้าๆ “ชื่อพี่กลางก็ไม่ได้มาจากลูกคนกลาง แต่มาจาก คนที่เกิดท่ามกลางความรักต่างหาก”
“แล้วชื่อปลายล่ะ มีที่มาอย่างไง” แพรวาเอามือกุมแก้มที่เป็นสีเรื่อ แล้วถามต่ออย่างนึกสนุก
เจ้าของชื่อเลยยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ “คุณแม่อยากได้ลูกสาวมาก แล้วก็ต้องรอนานหลังจากมีพี่กลางหลายปี พอมีปลายก็เหมือนกับความฝันเป็นจริง ชื่อปลายก็เลยมาจาก ‘ปลายทางของความฝัน’ “
แพรวาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าทึ่งนิดๆ “คุณแม่ปลายช่างคิดจัง”
คนเป็นลูกยิ้มกว้างราวกับถูกชมเสียเอง แล้วก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียง’ดังใกล้ๆ “เชอะ! ชื่อเชยๆ ไม่เห็นต้องป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้เลย”
คนชื่อเชยเหลือบตาไปมองคุณหนูชื่อหรูที่ไม่รู้ตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะไม่อยากคนที่เดินมาด้วยกันผิดสังเกต จึงไม่ได้โต้ตอบอีกฝ่ายที่มาว่าเรื่องชื่อของเธอ
ปลายฝันหันไปคุยกับเพื่อนใหม่ จนสองสาวมาหยุดอยู่หน้าห้อง’ผู้อำนวยการโรงพยาบาล’
“ถ้าเย็นนี้แพรไม่ต้องอยู่เวรนะ จะพาปลายไปเที่ยวในตลาด”พยาบาลสาวบ่นด้วยความเสียดาย แล้วก็ขอตัวกลับไปทำงานเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเธอยังอยู่ที่นี้อีกหลายวัน ไม่จำเป็นต้องรีบ
เมื่อถูกทิ้งให้อยู่’คน’เดียวในห้องทำงานของพี่ชาย ที่เจ้าของไม่ค่อยได้เข้ามาใช้งานนัก เนื่องจากไปขลุกอยู่ที่ห้องตรวจคนไข้เสียมากกว่า เสียงหวานก็ดังขึ้นอย่างวางอำนาจ “เริ่มงานได้แล้วยัยปลาย ลองดูซิว่าพี่ชายเธอมีรูปสาวๆเก็บไว้บ้างไหม”
ว่าที่คุณหมอสาวเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินคำสั่ง เพราะมารยาทที่ถูกสอนมาตลอด บวกกับความเคืองที่อีกฝ่ายว่าชื่อของเธอ ปลายฝันจึงไม่ยอมค้นห้องทำงานของพี่ชาย
“ยืนเฉยทำไมยะ รีบหาดูซิ เราจะได้เริ่มงานกันต่อ” ธุวพรที่นั่งไขว้หาง ลอยอยู่กลางห้องส่งเสียงเร่งเมื่อเห็นปลายฝันนั่งเฉย นิ้วเรียวชี้ไปที่โต๊ะทำงานข้างล่าง
แต่คนที่อ่อนวัยกว่ายักไหล่น้อยๆ แบบที่เคยเห็นอีกฝ่ายทำ บอกเป็นนัยว่าเธอไม่สนใจ ไม่ว่ากลางรักจะมีแฟนหรือไม่
...คน เอ้ย! วิญญาณที่ต้องเดือดร้อนคือธุวพรต่างหาก
“แล้งน้ำใจ ฉันไม่นึกเลยว่าโตขึ้นเธอจะใจดำได้ขนาดนี้ นี้อาหมอรู้เข้าจะรู้สึกอย่างไงนะ ที่ลูกสาวคนเล็กมีนิสัยอย่างนี้ ตอนเด็กๆ กับพวกวิญญาณเร่ร่อน ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เธอยังทำตัวดีด้วย แต่กับวิญญาณของพี่สาวที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อยเธอกลับไม่สนใจ”
เสียงคร่ำครวญพร้อมน้ำตาที่ล่วงลงมาเหมือนฝนตกในห้อง ทำให้คนที่มี’พี่สาว’ขึ้นมากะทันหันเสียงอ่อยลง “ปลายไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องของพี่กลางน่ะค่ะ แล้วไหนพี่บอกว่าจะตามหาผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ของพี่กลางไงคะ”
ฝ่ายที่เห็นว่าใช้แผนบีบน้ำตาดูจะได้ผลกว่าชี้นิ้วสั่งซ่อนยิ้ม แล้วเอามือปิดหน้าร้องไห้ เพราะรู้ว่าการแสดงอันแนบเนียนของเธออาจหลอกใครต่อใครได้หมด ยกเว้นครอบครัวนี้ ที่มักจะรู้ทันเธอในบางครั้ง
(ความจริงเค้ารู้ทันทุกครั้ง แต่รำคาญ เลยแกล้งโง่เป็นบางครั้งต่างหาก - ปลายฝัน)
"ก็พี่มานึกดูดีๆแล้ว ถึงพี่หาผู้หญิงคนนั้นเจอ แต่พี่ชายปลายมีแฟนเป็นตัวเป็นต้นอยู่แล้ว แผนการสวยหรูที่พี่ตั้งใจไว้ว่าจะให้ทั้งสองพบรักกันอย่างโรแมนติกที่สุดก็เป็นหมันซิจ๊ะ"
...เพราะฉะนั้นเธอต้องป้องกันไว้ก่อน โดยการกำจัดผู้หญิงคนอื่นๆรอบตัวเป้าหมายออกไปให้หมด...ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอถนัดที่สุด!
ฝ่ายปลายฝัน เพื่อที่จะไม่ต้องทนฟังเสียงร้องราวกับโลกจะถล่มของธุวพร เธอเลยจำใจค้นตามลิ้นชักและตู้เอกสารต่างๆในห้องนี้ แม้จะรู้ดีว่า ไม่ว่าพี่กลางจะมีคนรักอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ แผนการของธุวพรก็คงเป็นหมันอยู่ดี
เพราะถ้าพี่ชายของเธอหวานกับสาวๆเป็นล่ะก็ คุณหมอกลางรักคงไม่อยู่บนคานสูงสามเท่าของคนทั่วไป เพราะมาสร้างอยู่บนดอยแบบนี้หรอก!
...สองสาวเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงๆก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จนคนหาและวิญญาณสาวที่ลุ้นอยู่ข้างๆต่างพากันถอดใจ “ฉันว่าเราปล่อยพี่ชายเธอไว้บนคานก่อนแล้วกัน ฉันขอไปดูลาดเลาของเบสก่อนดีกว่า รายนั้นดูจะมีหวังมากกว่า”
พูดจบ ร่างโปร่งแสงของฝ่ายที่มีความอดทนต่ำกว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งหญิงสาวอีกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อได้อยู่คนเดียว(จริงๆ) ปลายฝันก็เดินไปที่ชั้นหนังสือในห้องที่มีตำราแพทย์เรียงรายเต็มพื้นที่ กะจะเอามาอ่านฆ่าเวลา และทบทวนความรู้ไปในตัว
ไม่นานสมาธิของหญิงสาวก็จดจ่ออยู่กับตัวอักษรเล็กที่เรียงติดกันเป็นพรืดตรงหน้า...
....................................................................................
มือหนาที่คล้ำแดด และหยาบกร้านจากการทำงานหนักกำลังกดปุ่มเล็กๆ เพื่อไล่รายชื่อที่เขาบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในตอนนี้ และคงจะตกรุ่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เมื่อรายชื่อเลื่อนไปถึงบรรทัดสุดท้าย ชายหนุ่มก็แทบจะปาเจ้าอุปกรณ์สื่อสารเครื่องจิ๋วทิ้ง เป็นการระบายอารมณ์
เนื่องจากรายชื่อที่เขาบันทึกไว้เต็มหน่วยความจำหายไปเกินครึ่ง และเป็นครึ่งที่เป็นรายชื่อผู้หญิงเสียด้วย
เป็นหนึ่งมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม
...เอาเถอะ! โชคดีที่หมายเลขโทรศัพท์ของลูกค้าและคนที่เขาติดต่องานด้วย มีจดแยกไว้ต่างหากที่สำนักงานย่อยที่อยู่ในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ห่างจากไร่ของเขาไม่ไกลนัก ขับรถประมาณยี่สิบนาทีก็ถึง
เดี๋ยวค่อยเข้าไปเอาก็ได้...
ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ของสาวๆที่ถูกลบไป คงหาเบอร์(รวมถึงเจ้าของ)ใหม่ได้ไม่ยาก แค่คืนนี้ถ้าเขาเข้าไปในเมือง หน่วยความทรงจำของโทรศัพท์เครื่องเดียวอาจไม่พอก็ได้
แต่อย่างไรเขาก็ต้องไปจัดการกับปัญหานี้อย่างรีบด่วน ก่อนเจ้าหลานชายตัวแสบจะได้ใจจนก่อเรื่องมากกว่านี้!
“บอส ทำอะไรอยู่” เสียงของพ่อเลี้ยงหนุ่มทักขึ้น ทำเอาร่างเล็กของเด็กชายยืนลับๆล่อๆอยู่ข้างโทรศัพท์บ้านสะดุ้งเฮือก
คิ้วหนาที่เสริมให้ใบหน้าดูคมเข้มขมวดเข้าหากัน เมื่อหลานชายหันมาส่งยิ้มกว้าง “เปล่าครับ วันนี้น้าเบสไม่ไปทำงานหรือครับ"
“ว่างไหม น้ามีเรื่องจะคุยกับเรา” เป็นหนึ่งเดินเข้าไปยังส่วนรับแขก นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ปูด้วยเบาะสีครีม และตบลงข้างๆตัว “...มานั่งนี่ซิ”
เมื่อหลานชายนั่งเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เริ่มเกริ่นนำ "วันนี้น้าจะเข้าไปในอำเภอ บอสจะไปด้วยไหม"
"ไปครับ" เด็กชายเจ้านายขานรับทันที ก่อนจะหรี่ตามองผู้เป็นน้าอย่างจับผิด "...แล้วจะเข้าไปทำไมครับ วันนี้ไม่ต้องเข้าสำนักงานไม่ใช่เหรอครับ”
ตารางการทำงานของเป็นหนึ่งค่อนข้างแน่นอน คือทุกเช้าพ่อเลี้ยงหนุ่มจะเข้าไปดูแลในไร่ โดยมีหัวหน้าคนงานเป็นผู้ช่วย กว่าจะกลับมาก็เย็นหรือค่ำ
ยกเว้นวันพุธที่ชายหนุ่มจะเข้าไปที่สำนักงานในอำเภอ เพื่อจัดการงานเอกสารบางอย่างที่ผู้จัดการไร่ไม่มีอำนาจ และพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เจ้าของไร่ดอกไม้ที่ใหญ่อันดับต้นๆของจังหวัดก็จะเข้าไปในตัวเมือง เพื่อดูแลบริษัทส่งออกที่หุ้นกับเพื่อน...
เป็นหนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่สายตาจ้องหน้าหลานชายนิ่งเพื่อรอดูปฏิกิริยา “ก็ต้องเข้าไปเอาเบอร์โทรของลูกค้านะซิ เพราะมีมือดีมาลบหมายเลขที่น้าบันทึกไว้ในมือถือออกเกือบหมด”
แต่พอสบกับนัยน์ตาใสแจ๋วที่ดูไร้เดียงสาสมวัย10ปีที่ไม่ยอมหลบ ชายหนุ่มก็เริ่มไม่แน่ใจว่าใครคือ’มือดี’กันแน่
แม้จะสังหรณ์ใจว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่เพราะในใจลึกๆเขาก็ไม่อยากระแวงหลานชาย จึงไม่คิดจะซักไซ้ไล่เรียงต่อ
...อาจจะเป็นฝีมือของผู้หญิงคนใดคนหนึ่งที่เขาควงอยู่ตอนนี้ก็ได้
ผู้หญิงที่เขาเจอมา ส่วนมากก็เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ขี้หึง ขี้งอน พูดมาก แล้วก็เจ้าอารมณ์ทั้งนั้น
แล้วอยู่ๆภาพใบหน้าบูดบึ้งของหญิงสาวที่เขาได้ยินเรื่องราวของเธอบ่อยๆ แต่เพิ่งมีโอกาสเจอตัวจึงเมื่อวานก็ปรากฏขึ้น ทำให้อดยกมุมปากขึ้นไม่ได้
แต่พอรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมายังเขาเขม็ง ก็ตีหน้าเฉยกลบเกลื่อน "เอารีบไปกันเถอะ เผื่อตอนเย็นจะแวะไปหาอาหมอด้วย น้ายังติดหนี้อาหมอไว้มื้อหนึ่ง"
เจ้านายลุกขึ้นยืนตามคำสั่ง แล้วก็ชะงักเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่ศีรษะและต้นคอ
แต่เมื่อมองไปรอบๆก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกต จึงออกเดินตามผู้เป็นน้าไป
...สองน้าหลานเดินออกจากบ้านไม้หลังงามไปที่รถจี๊ปคันใหญ่ที่จอดอยู่ด้านหน้า โดยไม่มีใครเห็นว่ามีหญิงสาวร่างโปร่งยืนฟังบทสนทนาเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ความคิดเห็น