ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสั่งรักกามเทพ (สัญญาลับยมทูต)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 49


    เสียงฝีเท้าของคนที่เดินไปมาขวักไขว่ เสียงพูดคุยของคนที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้พลาสติกสีซีด บ่งบอกถึงอายุการใช้งาน ซึ่งวางเรียงเป็นแถวยาวซ้อนกันหลายแถว ดังสลับกับเสียงล้อเหล็กของรถเข็น กลบเสียงเรียกชื่อจากหญิงสาวร่างเล็กบางในชุดเครื่องแบบสีขาว

    ทำให้เธอต้องตะโกนซ้ำอีกครั้ง “คุณแม้นค่ะ ป้าแม้น...เข้าตรวจที่ห้องเบอร์สองค่ะ”

    สิ้นเสียงเรียกจากพยาบาลคนสวย หญิงวัยกลางคนรูปร่างเจ้าเนื้อก็เดินเขยกออกมาจากเก้าอี้สำหรับให้ผู้ป่วยและญาตินั่งรอ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องที่มีหลายเลข 2 ติดเอาไว้ ตามคำบอกของคุณพยาบาล

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มีโต๊ะไม้ขนาดเล็ก แต่ก็กินพื้นที่เกือบครึ่งความกว้างห้อง และเตียงนอนที่ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ทำให้ห้องเล็กๆดูคับแคบไปอีก

    ร่างที่เต็มไปด้วยไขมันนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกที่วางอยู่ได้ข้างโต๊ะ พลางยกมือไหว้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ “สวัสดีค่า คุณหมอ ป้ามารับยาความดันต่อจ้า”

    คุณหมอหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ แต่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอเล็กๆในจังหวัดห่างไกลความเจริญ รับไหว้ผู้สูงวัยกว่าพร้อมทักทายอย่างสนิทสนม ก่อนจะเริ่มตรวจรักษา

    และเมื่อตรวจผู้ป่วยคนหนึ่งเสร็จเรียบร้อย ผู้ป่วยคนต่อไปก็เข้ามา วนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

    แต่'คุณหมอ'ก็ยังยิ้มแย้ม และพูดคุยกับคนไข้อย่างเป็นกันเอง เพราะส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคนในอำเภอนี้

    เสียงเคาะประตูพร้อมพยาบาลสาวหน้าอ่อนที่เพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงานไม่นานโผล่หน้าเข้ามา ส่งยิ้มหวานหยด "หมอกลางคะ คนไข้หมดแล้ว ไปทานข้าวได้แล้วค่ะ"

    "ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมเซ็นเอกสารของฝ่ายการเงินเสร็จก่อน แล้วจะปิดห้องตรวจให้เอง แพรกับหมอนนท์ไปพักกันก่อนได้เลยครับ" ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่รับผิดชอบทั้งงานบริหารและงานรักษาคนไข้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแสดงความสนิทสนม

    เพราะที่นี้เป็นโรงพยาบาลเล็กๆที่มีแค่ 10 เตียง และมีแพทย์ประจำ 2 คน คือตัวเขาเอง และแพทย์ที่ทำงานใช้ทุนอีกคน ส่วนพยาบาลก็มีเพียง 20 คนเท่านั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงรู้จักกันดี

    ไม่นับว่ากลางรักเคยทำงานใช้ทุนที่นี้สองปีก่อนจะไปเรียนต่อ จากนั้นก็กลับมาทำงานที่นี้หลังเรียนจบในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล


    ...เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ตรงกับจังหวะที่คนในห้องเซ็นชื่อในกระดาษแผ่นสุดท้ายเสร็จพอดี

    "พี่หมอว่างไหมครับ" ประตูห้องที่เปิดออกอีกครั้ง เป็นฝีมือของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แบบคนที่ออกกำลังเป็นประจำ หากไม่ดูบึกบึนมากเกินไปเหมือนนักเล่นกล้าม ผิวคล้ามแดดแบบคนที่เคยขาวหากต้องมาอยู่กลางแดด ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลาแบบชายหนุ่มแท้ๆ ไม่ใช่หล่อแบบหนุ่มหน้าสวยที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ดูคมเข้มมากขึ้นอีก

    "เข้ามาซิ เบส" นายแพทย์หนุ่มทักชายหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนที่จะยกมือรับไหว้จากร่างเล็กที่เดินตามเข้ามาที่หลัง "...สวัสดีครับ บอส ปิดเทอมแล้วใช่มั้ย ถึงได้ตามน้าชายเรามาได้"

    เด็กชายวัย 10 ปี ที่มีรูปร่างผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันเล็กน้อยรับคำสั้นๆ แล้วหันไปทางน้องชายของมารดา "น้าเบสครับ ผมออกไปเดินเล่นข้างนอกนะครับ"

    และร่างเล็กที่อยู่ในชุดนักเรียนก็วิ่งออกไปทันทีที่ผู้เป็นน้าพยักหน้ารับ

    "มีปัญหาอะไรอีกล่ะ" คุณหมอหนุ่มเปิดประเด็นขึ้น เมื่อในห้องเหลือกันอยู่เพียงสองคน

    ทำให้เป็นหนึ่งยิ้มแหย "ผมแสดงออกขนาดนั้นเลยหรือครับ"

    คนแก่กว่าส่ายหน้าน้อยๆ "สีหน้าไม่บอก แต่ตานายบอก" คนอื่นอาจไม่ทันสังเกตว่าดวงตาที่เคยเป็นประกายแพรวพราวโดยเฉพาะเมื่อเจอสาวๆ เวลานี้ดูหม่นลงกว่าเดิม

    ความที่รู้จักกับคนตรงหน้ามาหลายปี เนื่องจากเขาและพี่เขยของอีกฝ่ายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยม ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นายแพทย์หนุ่มตัดสินใจมาทำงานใช้ทุนที่อำเภอเล็กๆแห่งนี้ เพราะเป็นบ้านเกิดของเพื่อนรัก

    ทำให้กลางรักได้มีโอกาสรู้จักกับภรรยาของเพื่อน และน้องชายคนเดียวของเธอ นั้นคือ...เป็นหนึ่ง

    และสองหนุ่มต่างวัยก็มาสนิทสนมกันมาก หลังจากที่ฝ่ายหนึ่งเสียเพื่อน และอีกฝ่ายเสียทั้งพี่สาวและพี่เขยไปในอุบัติเหตุเมื่อ 4 ปีก่อน

    ทำให้เป็นหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นเพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศใหม่ ต้องรีบเดินทางกลับมาดูแลกิจการไร่ดอกไม้เมืองหนาวของครอบครัวตัวเอง และของฝ่ายพี่เขย รวมถึงดูแลหลานชายคนเดียว...เด็กชายเจ้านาย หรือน้องบอส ซึ่งไม่มีญาติที่ไหนอีก...โดยมีกลางรักเป็นที่ปรึกษา

    ทั้งสองยิ่งสนิทกันมากขึ้น หลังจากที่นายแพทย์หนุ่มย้ายกลับมาประจำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ทันทีที่เรียนต่อเฉพาะทางจบ

    ส่งผลให้ ณ เวลานี้เป็นหนึ่งนับถือนายแพทย์หนุ่มเหมือนพี่ชายแท้ๆ...

    "วันนี้ผมไปฟังผลสอบของบอสที่โรงเรียนมาครับ แล้วคุณครูก็บอกว่าบอส เอ้อ...มีปํญหามาก" คนพูดทำหน้าเหมือนกำลังเล่าเรื่องเหลือเชื่ออยู่

    ในขณะที่คนฟังก็ดูจะแปลกใจไม่แพ้กัน จึงย้อนถามเสียงสูง "บอสเนี่ยนะ!!!" เพราะในสายตาของเขา เด็กชายเป็นคนฉลาด รู้จักการใช้เหตุผล

    แม้จะเป็นเด็กที่ค่อนไปทางเอาแต่ใจ เพราะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสองไร่ใหญ่ ทำให้ใครต่อใครพากันเอาใจ แต่หลานชายคนนี้ก็ถูกสอนให้ไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า มิฉะนั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก

    เขาจึงไม่อยากเชื่อนัก ว่าเด็กชายที่เขาเห็นตั้งแต่เกิด(จริงๆ) เพราะเป็นคนทำคลอดให้จะมีปัญหา ทั้งเรื่องการเรียนและการเข้าสังคมกับเพื่อนๆ

    “คุณครูบอกว่าบอสมีปัญหากับผู้หญิง แรกๆก็พูดจาดูถูก หลังๆก็เริ่มแกล้งหนักขึ้น” คนพูดทำหน้าลำบากใจ

    คนเป็นหมอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ถ้าเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นปกติของเด็กวัยนี้นะ ที่เขาจับกลุ่มเฉพาะเพศเดียวกัน และมีอคติกับเพศตรงข้ามบ้าง คุยดีๆบอสน่าจะเข้าใจ” เอ่ยแนะนำตามความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กที่เคยเรียนมาบ้าง

    ญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเด็กชายถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนเล่าต่อ “แต่เจ้าบอสไม่ได้มีปัญหากับเพื่อนวัยเดียวกันนะซิครับ พี่หมอ เจ้าตัวแสบดันมีปัญหากับสาวๆ อย่างพวกครูเด็กๆที่เพิ่งมาสอน หรือแม่ค้าในโรงเรียนบางคน”

    “แต่ตอนอยู่บ้าน บอสก็ไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ” กลางรักย้อนถามตามที่เห็น เพราะกับคนที่บ้านและไร่ของเป็นหนึ่ง ไม่เคยมีข่าวว่าเด็กชายมีปัญหาด้วย

    คนเป็นน้าส่งยิ้มฝืดๆมาให้ “กับพวกคนงานและลูก ต่อหน้าผมนะไม่มีครับ แต่ลับหลังนี้ไม่รู้ แล้วส่วนใหญ่ที่บ้านก็มีแต่เด็กกับคนแก่ หรือไม่ก็คนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว”

    “แล้วกับสาวๆของนายล่ะ” กลางรักถามด้วยใบหน้ายิ้มๆ

    แต่อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนโดนล้อเลียนในเรื่องที่เขามีสาวๆไม่เคยขาด และเปลี่ยนผู้หญิงแทบไม่ว้ำหน้าตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี้เมื่อ 4 ปีก่อน

    นิ่งคิดไปครู่ เจ้าของไร่ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอก็เอ่ยเสียงแห้ง “ไม่รู้ซิครับพี่ ผมไม่ค่อยพาสาวๆเข้าบ้านเท่าไร เพราะไม่อยากให้มีปัญหากับนายบอส”

    “แสดงว่าเคยมีเรื่องใช่ไหม” เสียงเรียบๆเหมือนกำลังถามอาการคนไข้ทั่วๆไป แบบที่คนถูกถามต้องตอบตามจริงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

    เป็นหนึ่งพยักหน้ารับ แล้วยกมือกุมขมับ “เรื่องมันตั้งสองสามปีแล้วครับ บอสเคยอาละวาดใส่สาวที่ผมควงด้วย แต่นั้นเพราะผู้หญิงคนนั้นพูดทำนองว่าผมไม่ยอมมีใครจริงๆจังๆเพราะมีหลานเป็นห่วงผูกคอ”

    คนที่ไม่ยอมมีตัวจริงเพราะเหตุผลอื่นอดไม่ได้ที่จะแก้ตัวแทนหลานรัก “...แล้วตอนนั้นบอสก็ยังเล็กมาก”

    “แสดงว่าเป็นเพราะผมหรือเปล่าครับ ที่ทำให้หลานมีอคติกับผู้หญิงสาวๆ”

    เห็นน้องชายร่วมโลกทำท่าจะโทษตัวเอง คุณหมอหนุ่มก็ตบบ่าหนาอย่างปลอบใจ “เรื่องนี้พี่ว่า เราน่าจะเรียกบอสมาคุยจะดีกว่านะ ทิ้งไว้จะยิ่งแก้ยาก”

    “หวังว่าบอสคงไม่เกลียดผู้หญิงจนกลายเป็นกระเทยไปซะก่อนนะครับ“ หางเสียงทอดยาวเหมือนจะถามความเห็นของคนฟัง

    แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้ใจของเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ยังบอกไม่ได้หรอก แต่ก็มีโอกาส"

    "เฮ้อ! แล้วผมจะทำอย่างไงดีครับเนี่ย"

    ถ้าใครมาเห็นสภาพพ่อเลี้ยงเป็นหนึ่งเวลานี้ คงนึกภาพชายหนุ่มที่เป็นที่ย้ำเกรงของคนงานหลายร้อยคน และนักเที่ยวตัวยงที่เป็นที่หมายปองของสาวๆไม่ออก เพราะท่าที่เจ้าตัวเอามือเสยผมของตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม เหมือนเด็กหนุ่มที่โตกว่าหลานชายตัวเองไม่กี่ปีมากกว่า

    "เอาน่า! ไว้พี่จะถามเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์เด็กให้ว่าจะแก้อย่างไง แต่ตอนนี้นายก็ค่อยๆคุยกับหลานไปก่อน อธิบายดีๆบอสคงเข้าใจ" คนเป็นหมอเอ่ยปลอบ กลัวว่าจะต้องส่งคนเป็นน้าไปพบจิตแพทย์ก่อนหลาน

    พ่อเลี้ยงหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้ยินคำแนะนำจากคนที่เขานับถือ

    "ก็ได้ครับ แล้วพี่หมอทานข้าวหรือยังครับ" ถามอย่างนึกขึ้นได้เมื่อมองนาฬิกา และเห็นว่าใกล้บ่ายโมงแล้ว

    แพทย์หนุ่มส่ายหน้า เอ่ยแบบไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ "ไว้วันหลังนายก็เลี้ยงพี่ซักมื้อแล้วกัน"

    "เสาร์หน้าเป็นไงครับ พอดีอาทิตย์นี้ผมมีนัดตลอด" คนที่มีคิวนัดจากสาวๆยาวเหยียดเสนอขึ้น

    กลางรักมองหน้าเพื่อนรุ่นน้องอย่างระอานิดๆ น้ำเสียงตำหนิน้อยๆ "นายน่าจะหาเวลาอยู่กับบอสบ้าง"

    "ครับผม ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนพี่หมอแล้วนะครับ" ผู้ที่อ่อนวัยกว่ารีบไหว้ลา โดยมีเจ้าของห้องลุกตามไปส่งที่ประตู


    …เมื่อล่ำลาเพื่อนรุ่นน้องและหลานชายนอกสายเลือดแล้ว กลางรักจึงแยกตัวไปที่ห้องอาหารของโรงพยาบาล ที่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ฝากท้องไว้โดยเหมาจ่ายเป็นรายเดือน

    "อ้าว! แพรกำลังจะไปตามคุณหมอพอดีเลยค่ะ" พยาบาลสาวหน้าใสทักขึ้นเมื่อเห็นผู้อำนวยการเดินส่วนเข้ามาในห้องอาหารที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนแล้ว เพราะใกล้หมดเวลาพักเต็มที่ และที่นี้ก็ใช้ระบบสลับกันพัก เผื่อเวลามีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามา

    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวแบบคนที่ไปได้ออกแดด เพราะชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับตำราในห้องสมุด และห้องตรวจของโรงพยาบาล เดินไปหยิบถาดอาหารที่แม่ครัวตักให้มากเป็นพิเศษ แล้วเดินไปนั่งโต๊ะที่มีชายหนุ่มร่างท้วมนั่งอยู่ก่อน โดยมีพยาบาลสาวเดินตาม

    "พี่กลางครับ ผมขอแลกเวรอาทิตย์หน้านะครับ พอดีแพรได้ออฟเวร เราเลยจะเข้าเมืองกัน" ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเกรงใจ “...แล้วอาทิตย์นี้ผมจะอยู่แทนให้”

    เนื่องจากที่นี้มีหมอแค่2คน ส่วนมากจึงใช้ระบบแบ่งเวรกันอยู่คนละสัปดาห์สลับกัน ยกเว้นใครมีธุระด่วนก็เลือกกันเป็นวันๆไป

    แต่นานๆแฟนสาวที่เป็นพยาบาลจะได้หยุดยาวโดยไม่ต้องขึ้นเวรดูแลคนไข้ เขาก็อยากใช้เวลาด้วยกันกับคนรัก

    "เอาซิ พี่ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร" คนที่อาวุโสกว่าสบตาเป็นประกายอย่างคาดหวังของเพื่อนร่วมงานแล้วก็ต้องใจอ่อน

    ...นัดกับนายเบสก็ไม่ได้สำคัญมาก เลื่อนไปวันหลังคงได้


    ..........
    ......
    ...ขณะเดียวกัน คนที่กำลังจะถูกเบี้ยวนัดก็ขับรถจี๊ปคันใหญ่ พาหลานชายกลับมาถึงบ้านไม้หลังขนาดกำลังพอเหมาะสำหรับครอบครัวเล็กๆที่มีเพียงพ่อ แม่และลูก

    แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ว่าราคาของบ้านหลังนี้ไม่ได้เล็กตามขนาดเลย เมื่อบ้านทั้งหลังสร้างด้วยไม้สักทอง รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านก็ล้วนแต่เป็นของที่คัดมาอย่างดี ทั้งแบบและคุณภาพ

    ซึ่งทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าของบ้านคนเก่าที่จากไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งบ้านที่อบอวลไปด้วยความรักให้น้องและลูกชาย...

    "บอสจะเข้าไปในไร่กับน้าไหม" เป็นหนึ่งถามหลานชายหลังจากที่ทั้งสองเข้ามานั่งพักดื่มน้ำในบ้านจนหายเหนื่อยแล้ว

    เด็กชายขมวดคิ้วมุ่นอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็ตอบปฏิเสธ "ไว้พรุ่งนี้นะครับ น้าเบส วันนี้ขอบอสนอนพักก่อน เมื่อคืนมัวแต่ลุ้นผลสอบจนนอนไม่หลับ"

    ...มาแล้วๆไง! ลูกเล่นของเจ้าตัวแสบ ที่กำลังจะทวงรางวัลที่สอบได้ที่หนึ่ง ตามที่เคยสัญญากันไว้...

    ชายหนุ่มโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ แต่นัยน์ตาคมฉายแววภูมิใจในตัวหลานรัก "คิดไว้แล้วกันว่าอยากได้รางวัลอะไร แล้วอาทิตย์หน้าน้าจะพาไปซื้อในเมือง"

    แม้เพื่อนรุ่นพี่อย่างกลางรักจะเคยเตือนว่าไม่ควรใช้วิธีติดสินบนในการเลี้ยงเด็ก เพราะจะเป็นการปลูกฝังให้มีนิสัยวัตถุนิยมได้ แต่เขาว่า นานๆครั้งคงไม่เป็นไร

    ยิ่งเห็นเจ้าหลานชายที่ตอนนี้ตัวชักไม่น้อยกระโดดเหย่งๆไปรอบห้อง พร้อมส่งเสียงตะโกนจนคนงานที่จ้างมาทำความสะอาดบ้านและทำอาหารให้ โผล่หน้ามาดู พ่อเลี้ยงหนุ่มยิ่งมั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิด

    แต่ที่ชายหนุ่มคาดไม่ถึงคือ เจ้านายไม่ได้ดีใจเพราะจะได้ของรางวัล หากแต่ดีใจที่นานๆจะได้ไปเที่ยวกับน้าชายซักที

    เพราะผู้เป็นน้ามักยุ่งอยู่กับดอกไม้ต่างๆที่ผลัดกับออกดอกเป็นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ทั้งปี อีกทั้งบรรดาผู้หญิงที่เสนอตัวมาเป็นเพื่อนเที่ยวให้ชายหนุ่มเลือกไปเคยขาด เวลาที่จะให้กับญาติเพียงคนเดียวจึงเหลือน้อยเต็มที

    ...และนี้คือสาเหตุที่เด็กชายมีอคติกับผู้หญิงสาวๆทุกคน


    ภาพของชายหนุ่มผิวคล้ำ หน้าตาคมเข้ม หากแต่ดูน่ามองเมื่อริมฝีปากหยักได้รูปแย้มยิ้ม ขณะที่มือหนาขยี้หัวเด็กชายวัยสิบปีด้วยความหมั่นเขี้ยวแกมเอ็นดู ทำให้นัยน์ตากลมโตที่มองอยู่หม่นลง

    ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลุกวาว เมื่อเสียงทุ้มนุ่ม ทรงเสน่ห์ เอ่ยแทงใจดำของเธอเข้าอย่างจัง "ถ้ารู้สึกผิดที่เคยคิดแยกน้ากับหลาน ตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะแก้ตัวนะ ธุวพร"

    หญิงสาวที่ตอนนี้อยู่ในชุดสูทกางเกงสำหรับทำงานสีครีมตวัดค้อนไปยัง'หัวหน้า'

    "เป้าหมายอื่นไม่มีแล้วหรือคะ ทำไมต้องเป็นผู้ชายคนนี้" ผู้ชายคนแรกที่เธอคบด้วยขณะเรียนปริญญาโทอยู่ และเลิกกันทั้งๆที่เป็นแฟนกันไม่ถึงปี ด้วยสาเหตุที่ว่า อีกฝ่ายเลือกจะกลับไปทำงานในที่ๆห่างไกลความเจริญ เพื่อจะได้ดูแลหลานชายคนเดียว

    และเมื่อเธอยื่นคำขาดให้เขาเลือกระหว่างเธอกับงาน แล้วเขาเลือกงาน ผู้หญิงที่มีผู้ชายต่อคิวให้เลือกอีกมากอย่างเธอก็สะลัดอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ใยดี...

    กามเทพหนุ่มอมยิ้มกับอาการกระฟัดกระเฟียดของหญิงสาว

    “การที่เจ้าตายก่อนถึงเวลา ส่งผลกระทบต่อชะตาความรักของผู้ชายคนนี้มากที่สุด เพราะจากลิขิตเดิม เป็นหนึ่งจะได้พบเนื้อคู่โดยมีเจ้าเป็นผู้ชักนำมาให้ในอีกหลายปีข้างหน้า แต่เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้ เราจึงต้องหาทางอื่นให้เขาได้พบกับเนื้อคู่ให้ได้”

    “แสดงว่าเนื้อคู่ของบอสเป็นคนที่ฉันรู้จัก” หลังจากศึกษางานได้ระยะหนึ่งแล้ว หญิงสาวก็ได้ความรู้ใหม่ว่า รายชื่อของเนื้อคู่จะปรากฏเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น

    ...ถ้ายังไม่ถึงเวลา ต่อให้เป็นท่านกามเทพก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นเนื้อคู่ของใคร

    “ผู้หญิงคนนั้น เจ้ารู้จักแน่นอน แต่จะรู้จักเมื่ออดีต ปัจจุบัน หรือ’จะ’รู้จักในอนาคต เรายังบอกไม่ได้” คำตอบของเทพหนุ่มทำให้ธุวพรทำหน้าม่อย เพราะเท่ากับว่า เธอไม่สามารถเดาได้เลยว่าผู้หญิงที่เป็นเป้าหมายของเธอนั้น เป็นใคร!

    เห็นความยุ่งยากอยู่รำไรก็อดโทษเจ้าของความคิดที่ให้เธอมาเป็นกามเทพจำเป็นไม่ได้ “ไม่รู้ทำไมฉันต้องมาเหนื่อยเรื่องของคนอื่นด้วยเนี่ย”

    "ก็ถ้าเจ้าสามารถชักพาให้นายเป็นหนึ่งได้พบกับเนื้อคู่สำเร็จ ก็ถือว่าเจ้าได้ชดใช้ความผิดของเจ้าอย่างไรล่ะ แบบที่มนุษย์เรียกว่าใช้กรรมน่ะ"

    "ฉันทำความผิดอะไรกับเบสฮะ! ท่านกามฯ" คนที่ไม่เคยยอมรับความผิดของตนเอง ถึงเป็นวิญญาณก็ไม่ถึงนิสัยเดิม แยกเขี้ยวใส่เทพหนุ่ม ก่อนจะยิ้มเยาะอย่างสะใจกับสีหน้ากระอีกกระอ่วนของอีกฝ่าย

    "ถ้าเจ้าคิดว่าชื่อเรายาวหรือเรียกยากนัก จะย่อว่าท่านเทพเฉยๆ เราก็ไม่ว่าหรอกนะ" พูดไปแล้วก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนเรียกย่อๆเหมือนกัน

    ฝ่ายที่ถนัดเปลี่ยนชื่อ หรือคิดฉายายิ้มหวาน แกล้งทำหน้าใสซื่อ(แบบที่รู้ว่าเสแสร้ง)สุดฤทธิ์ "อ้าว! ก็ทีฉันเรียกท่านมุราชนม์ย่อๆว่าท่านฯบาล ก็บอกให้เรียกว่าท่านยมฯดีกว่า แล้วทำไมท่านกามเทพถึงไม่อยากให้ฉันย่อว่าท่านกามฯล่ะคะ"

    เทพหนุ่มยกมืออย่างยอมแพ้ เพราะรู้ว่าเถียงไปก็เสียเวลา แล้วเปลี่ยนมาเข้าเรื่องงานต่อ

    "เจ้าจะเรียกอย่างไรก็ตามสบาย แต่เรื่องเป้าหมาย อีกสาเหตุหนึ่งที่เราให้เจ้ารับผิดชอบเป็นหนึ่งกับกลางรัก เพราะรู้ว่าเจ้าเคยรู้จักและสนิทสนมกับสองคนนี้มาก่อน น่าจะรู้นิสัยและข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงานนี้ดี"

    "หมายความว่าฉันต้องหาเนื้อคู่ให้พี่กลางด้วย?!!" ธุวพรร้องเสียงดัง ไม่สนใจว่าจะรบกวนใคร จนตอนนี้ผู้ช่วยของท่านกามเทพต้องมีที่ปิดหูประจำตัวกันไว้ ตั้งแต่ต้องทำงานร่วมกับสาวสวยจอมโวยวาย

    เธอกำลังจะปลงได้แล้วกับเป้าหมายแรก เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ และในบรรดาชายหนุ่มที่เธอเคยคบเคยควงด้วย เป็นหนึ่งก็เป็นคนดีที่สุด

    แม้เธอจะค่อนข้างแปลกใจว่าผู้ชายที่เคยเป็นสุภาพบุรุษ และให้เกียรติผู้หญิงมากๆ ทำไมถึงกลายเป็นคนที่ควงสาวๆไม่เลือกหน้าแบบที่เธอเห็นในจอภาพที่ท่านกันดิสเอามาให้ดู เพื่อศึกษาข้อมูลในการทำงาน

    แต่คิดไปคิดมา การที่ชายหนุ่มมีนิสัยเปิดรับผู้หญิงทุกคนที่เสนอตัวเข้ามา ก็อาจจะทำให้งานจับคู่ของเธอง่ายยิ่งขึ้นไปอีก...

    อีกอย่าง การที่คนรัก’เก่า’จะเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเก็บมาให้รกสมอง

    หากเป้าหมายอีกคนนี้ซิ!

    ณ เวลานี้ธุวพรต้องยอมรับทฤษฎีโลกกลม...

    เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเป็นหนึ่งจะรู้จัก และสนิทสนมกับกลางรัก ลูกชายคนโตของอาหมอสุภเวช แพทย์ประจำตระกูลของเธอ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของปลายฝัน แม่หนูน้อยผู้มีความสามารถอันแปลกประหลาด ที่เธอตั้งใจให้มาเป็นผู้ช่วยของเธอ

    แถมสองพี่น้องยังเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กที่'เคย'สนิทกับเธอมาก่อน

    และความสนิทที่เคยมีนี้เอง ทำให้ธุวพรแน่ใจว่าตัวเองรู้จักนิสัยของกลางรักดี ไม่แพ้ที่เธอมั่นใจว่ารู้จักเป็นหนึ่ง

    "คนบ้างานอย่างพี่กลางมีเนื้อคู่กับเค้าด้วยเหรอคะ" อดไม่ได้ที่จะเอ่ยประชดออกไป เพราะเท่าที่ติดตามพฤติกรรมของสองหนุ่มมา ทั้งคู่ดูจะตรงกันข้ามกันในเรื่องผู้หญิง

    เป็นหนึ่งมีสาวๆไม่เคยขาด แม้จะไม่ได้เป็นคนเข้าไปหา แต่ก็ไม่ปฏิเสธใครที่เข้ามาเสนอตัว

    ในขณะที่กลางรักเก็บตัว และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาล

    หญิงสาวที่คุณหมอคนเก่งสนิทด้วยก็มีเพียง แพรวา พยาบาลสาวหน้าใสที่เป็นคนรักของคุณหมอกานนท์ นอกนั้นก็เป็นผู้หญิงที่เรียกว่าเลยวัยสาวมาแล้วหลายปี...

    ผู้ที่กำหนดเป้าหมายยังดูใจเย็น "เจ้าไม่ต้องห่วง เราสังหรณ์ว่าเนื้อคู่ของสองคนนั้นคงอยู่ไม่ไกล!"

    ......................................................

    เสียงจอแจของเหล่านักศึกษาที่ทยอยออกจากห้องสอบเมื่อหมดเวลา ส่วนใหญ่ที่พอจะจับใจความได้คือประโยคถามไถ่เกี่ยวกับข้อสอบที่เพิ่งทำ และคำเฉลย

    "เหลือแค่แล๊ปกริ๊ง*ตอนบ่ายก็จบซะทีนะ" น้ำเสียงที่จะบอกว่าดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่เชิงของเพื่อน ทำให้สาวน้อยหน้าใสยิ้มกว้าง เพราะเธอก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนที่อยากจะให้สอบเสร็จเร็ว จะได้ปิดเทอมเสียที แต่ก็ไม่อยากเข้าห้องสอบ เพราะให้อ่านหนังสือเท่าไร ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม

    (*การสอบภาคปฏิบัติที่จะให้นักศึกษาเดินวนกันไปทำข้อสอบในแต่ละฐาน ที่จะมีเวลาให้3-5นาที แล้วแต่กำหนด)

    "สอบเสร็จก็ได้ไปเที่ยวกันแล้วหน่า" ปลายฝันปลอบใจตัวเองและเพื่อนไปพร้อมๆกัน

    แล้วก็ต้องหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อนร่วมห้อง "แล้วตกลงแกจะไปเยี่ยมพ่อเมื่อไร"

    "ไม่ไปแล้ว...พ่อบอกว่าตอนนี้ทางนู้นยุ่งมาก ให้เราไปหาพี่กลางแทน" เมื่อเอ่ยถึงพี่ชาย หน้าที่งอง้ำก็ดูสดใสขึ้น

    รอยยิ้มกว้างที่ทำให้ใบหน้ารูปหัวใจ ที่ประกอบด้วยดวงตาใสเหมือนเด็กแรกเกิด จมูกเล็ก และริมฝีปากรูปกระจับ ดูอ่อนเยาว์และน่าเอ็นดูจนอีกฝ่ายอดห่วงไม่ได้

    "แล้วแกจะไปอย่างไงคนเดียว" เพราะตัวคนถามรู้ดีว่าโรงพยาบาลที่พี่ชายของเพื่อน ตั้งอยู่ในอำเภอที่ห่างไกลค่อนไปทางชายแดน การเดินทางก็ลำบากไม่น้อย เนื่องจากต้องเดินทางข้ามภูเขาหลายลูก

    "เราว่าจะนั่งรถไฟไป แล้วก็ให้พี่กลางมารับ" ปลายฝันตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องยาก แม้จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะเป็นฝ่ายไปหาพี่ชาย

    เพราะส่วนใหญ่เมื่อมีเวลาว่าง เธอกับพี่จะนัดกันไปเยี่ยมบิดาที่ต่างประเทศ หรือไม่พี่ชายก็เป็นฝ่ายมาเยี่ยมเธอเวลาที่เข้ามาประชุมเรื่องงานที่กรุงเทพฯ

    แต่เธอไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้จะยากเกินความสามารถ

    อีกไม่นานเธอก็จะเรียนจบ และต้องออกไปรับผิดชอบชีวิตของตนเอง รวมถึงชีวิตของคนอีกหลายคนที่จะต้องมาอยู่ในมือเธอ โดยไม่มีเวลานั้นจะไม่มีใครคอยประคับประคองและให้ความช่วยเหลือเธอ ไม่เหมือนเวลานี้ ที่ยังมีอาจารย์และรุ่นพี่คอยให้คำแนะนำอยู่

    "...นั่งเครื่องบินไปเมืองนอกคนเดียวเรายังไปมาแล้ว แค่ไปต่างจังหวัดคงไม่มีปัญหาหรอก"

    ...มั้ง!!!


    แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อปลายฝันเดินทางมาถึงตัวเมืองของจังหวัดที่พี่ชายอยู่โดยสวัสดิภาพ

    แต่เธอดันประมาทเกินไป เมื่อวางแผนว่าจะเซอร์ไพสร์อีกฝ่าย โดยการโทรศัพท์ไปบอกว่าเธอจะมาอยู่ด้วยในช่วงปิดภาคเรียนเอาตอนก่อนขึ้นรถไฟไม่นาน

    ผลปรากฏว่าพี่ชายสุดที่รักไม่ว่าง เพราะต้องอยู่เวรที่โรงพยาบาล และไม่สามารถแลกเวรได้

    ...ยังดีที่พี่ชายเธอบอกว่าจะวานให้คนรู้จักมารับ

    ถึงจะต้องรอนานหน่อย แต่ก็ปลอดภัยกว่าที่เธอจะนั่งรถประจำทางที่วิ่งระหว่างอำเภอ แบบที่เรียกว่ารถหวานเย็น ที่จะจอดทุกๆที่ที่มีเงาคน(ไม่ว่าเขาจะโบกหรือไม่)

    ฟังดูปัญหาน่าจะหมดแค่นี้ ถ้าเธอไม่ลืมถามว่าคนที่มารับเป็นใคร มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร

    พอจะโทรศัพท์ไปถามอีกรอบ พี่ชายคนดีก็ไม่รับโทรศัพท์จากเธอเสียอย่างนั้น และถ้าให้เดาคุณหมอคนเก่งคงกำลังดูแลคนไข้หนักอยู่ ถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอเสียที

    ...นี่แหละน้า!! ผลของความขี้ลืม

    ถ้าคุณพ่ออยู่ด้วย คงได้ฟังคำบ่นเกี่ยวกับคุณสมบัติของแพทย์ที่ดี ที่ข้อหนึ่งคือความละเอียดรอบคอบเป็นแน่


    ปลายฝันกวาดตามองไปรอบๆสถานีรถไฟที่มีผู้คนเดินไปมาประปราย ไม่ได้พลุกพล่านแบบสถานีรถไฟหัวลำโพงที่เป็นสถานีต้นทางที่เธอขึ้น เพราะที่นี้เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่มีประชากรไม่หนาแน่น

    เมื่อเห็นเก้าอี้สำหรับผู้โดยสารนั่งรอ เธอก็ไม่ลังเลที่จะลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่บรรจุเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้สำหรับมาอยู่ที่นี่ตลอดช่วงปิดเทอม 2 เดือน

    และความเพลียจากการอดหลับอดนอนอ่านหนังสือสอบ รวมกับความล้าจากการเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตร หนังตาที่หนักๆมาตั้งแต่แรกค่อยๆเคลื่อนลงมาจนบดบังดวงตาคู่ใสจนมิด

    แต่ก่อนที่สติสัมปะชัญญะทั้งหมดจะดับไป เธอก็ไม่ลืมที่จะหันไปทางร้านค้าที่ตั้งอยู่ติดกับศาลพระภูมิ ยกมือไหว้และทำปากขมุบขมิบ

    และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ “แล้วจะช่วยดูให้จ๊ะ”

    ..................................................................................

    "น้าเบสครับ ผมหิวแล้ว" เด็กชายที่กำลังพลิกรถบังคับวิทยุคันใหม่ในมือเพื่อสำรวจ เงยหน้ามาบอกกับน้าชาย เมื่อทั้งสองเดินผ่านร้านอาหารเล็กๆที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเพียงแห่งเดียวของจังหวัด

    แล้วก็ต้องทำปากยื่นอย่างขัดใจเมื่อเห็นน้าชายเอาแต่คุยโทรศัพท์มือถือโดยไม่สนใจตนเลย

    เป็นหนึ่งกดตัดสายโทรศัพท์ ทันเห็นสีหน้าไม่พอใจของหลานชายพอดี มือหนาลูบบนผมสั้นเกรียนอย่างปลอบใจ

    "บอสครับ เดี๋ยวน้าต้องไปทำธุระให้อาหมอก่อน ทนหิวนิดหนึ่งนะครับ"

    เมื่อทราบว่าปลายสายคือคุณอาคนโปรด ไม่ใช่สาวๆอย่างที่คิด เด็กชายก็มีสีหน้าดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้รับสินบนเพิ่ม "...บอสอยากทานอะไรบอก วันนี้น้าให้สิทธิ์บอสเต็มที่"

    "ตกลงครับ ผมอยากลองทานหูฉลามกับพระกระโดดกำแพง" เจ้านายยิ้มร่า พลางวิ่งนำไปที่รถ

    โดยมีเสียงพ่อเลี้ยงหนุ่มโอดครวญตามมา "กะจะล้มทับน้าให้จนเลยใช่มั้ย นายตัวแสบ"

    ...............................................................................

    "หนู...หนู ตื่นได้แล้ว มีคนมารับแล้ว" เสียงกระซิบเย็นๆ และลมที่เป่ารดตรงไหล่ ทำให้แพขนตางอนยาวขยับตามเปลือกตาที่ค่อยๆลืมขึ้น

    แล้วร่างเล็กที่สบอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบโตก็ผงะจนตกเก้าอี้ เมื่อเห็นดวงตาคมเข้มอยู่ห่างกับเธอไม่ถึงคืบ

    เสียงหัวเราะสองเสียงดังประสานกันเมื่อเห็นหญิงสาวล้มก้นกระแทกพื้น

    แล้วคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ยื่นมือไปฉุดคนเจ็บให้ยืนขึ้น แต่ก็ถูกปัดมือออก

    "ไม่ต้อง ฉันยืนเองได้" ปลายฝันค่อยๆใช้มือยันพื้น และทรงตัวขึ้นยืน เมื่อความเจ็บบรรเทาลงแล้วก็ใช้มือปัดฝุ่นที่เกาะตามกางเกงออก พลางส่งค้อนไปให้ผู้ชายสองวัยที่ยังคงหัวเราะไม่เลิก

    ก่อนจะคว้าหูกระเป๋าไว้เมื่อเห็นคนตัวโตกว่าที่กลั้นหัวเราะสำเร็จแล้ว เอื้อมมือมาจับกระเป๋าของเธอ "...คุณจะทำอะไรน่ะ"

    แม้อีกฝ่ายจะมีเด็กมาด้วย แต่มิจฉาชีพสมัยนี้ บางครั้งก็เอาเด็กหรือคนแก่มาบังหน้า ดังนั้นหญิงสาวจึงมองสองหนุ่มต่างวัยด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

    ...เมื่อกี้อีตาผู้ชายที่ตัวใหญ่ยังจ้องหน้าเธอซะใกล้ ไม่รู้จะเอายากล่อมประสาทให้เธอดมหรือเปล่า แล้วยังมีหน้ามาจ้องตาเธออีก!

    "น้าเบส ผมหิวแล้วนะ จะไปกันหรือยังครับ" เสียงเล็กๆเพราะยังไม่ถึงวัยแตกหนุ่มประท้วงขึ้น เมื่อเห็นผู้ใหญ่สองคนจ้องตากันจนไฟแล๊บ

    เป็นหนึ่งจึงได้สติ ดึงกระเป๋าจากมือบาง แล้วลากออกไป อีกมือก็ตบหลังหลานชายให้เดินตาม

    "ตามไปเถอะ พี่ชายของหนูส่งเค้ามา ไม่มีอันตรายหรอก" เสียงเย็นๆที่ปลุกเธอในตอนแรกดังขึ้นข้างหู

    ปลายฝันหันไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นคุณป้าแก่ๆแต่ก็ดูสง่า ที่สวมชุดผ้าไหมทั้งตัว ยืนอยู่ข้างศาลพระภูมิ และส่งยิ้มมาให้

    ริมฝีปากชมพูระเรื่อจึงขยับขึ้นลงช้าๆ แบบที่พออ่านออกได้ว่า "ขอบคุณนะคะ" ก่อนจะพนมมือไหว้ลา และเมื่อร่างของคุณป้าค่อยๆย่อเล็กลงและลอยกลับขึ้นไปในศาลแล้ว จึงรีบวิ่งตามคนที่ลากประเป๋าเธอไปลิบๆแล้ว


    ...”นี่! คุณ ใจคอจะไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอ ทำไมเพื่อนพี่กลางไร้มารยาทขนาดนี้เนี่ย” คนที่วิ่งตามจนหอบบ่นกระปอดกระแปด แล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง เมื่อคนที่กำลังยกกระเป๋าของเธอไปเก็บที่ท้ายรถจี๊ปคันใหญ่ หันมามองเธออย่างพิจารณา

    “คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นเพื่อนพี่หมอ”

    ปลายฝันถึงได้รู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว เพราะมัวแต่โมโหจนไม่ได้กลั่นกรองคำพูดให้ดีเสียก่อน เธอจึงแก้ไขสถานการณ์โดยการหันไปยิ้มให้เด็กชายที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

    “สวัสดีครับ สุดหล่อ ชื่ออะไรครับ พี่ชื่อปลายฝัน” แนะนำตัวแล้วก็ส่งยิ้มหวานอย่างพยายามเชื่อมความสัมพันธ์เต็มที่

    เด็กชายเองก็เริ่มรู้สึกดีกับอีกฝ่าย เพราะน้อยครั้งนักที่จะมีหญิงสาวให้ความสำคัญกับตนมากกว่าน้าชาย แต่ความคิดที่ว่าคนตรงหน้าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหิ้วท้องรอ

    คนถูกถามจึงตอบรับอย่างแกลนๆว่า “ชื่อเจ้านาย ชื่อเล่นชื่อบอส...ครับ” กัดฟันพูดคำสุดท้ายออกมา เมื่อน้าชายยกมือกอดอก และมองเป็นเชิงปราม

    ว่าที่คุณหมอสาวยังยิ้มหวานเพื่อผูกมิตรต่อ “อย่างนั้นพี่ขอเรียกบอสนะครับ แล้วบอสก็เรียกพี่ว่าพี่ปลายก็ได้”

    “เป็นน้องสาวอาหมอก็ต้องเป็นอาของผมซิ จะเป็นพี่ได้ไง” คำย้อนจากผู้อ่อนวัยทำเอาคนไม่อยากแก่หน้าเจือ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

    “ค่ะ เรียกอาปลายก็ได้ แต่อายุเราก็คงห่างกันไม่มาก ถ้าไม่ลำบากเรียกพี่ก็ดีนะคะ”

    คนตัวใหญ่เห็นทั้งคู่ยังคงไม่จบเสียที จึงต้องขัดขึ้นมา “เรื่องแค่นี้ เอาไว้ไปตกลงในรถก็ได้ เราหิวอยู่ไม่ใช่หรือ บอส”

    พ่อเลี้ยงหนุ่มเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนักว่าเขาหงุดหงิดเรื่องอะไร แต่ส่วนหนึ่งเพราะ’น้องสาวของพี่หมอ’ไม่สนใจเขาแบบสาวๆคนอื่น...

    ปลายฝันเลยหันไปแยกเขี้ยวให้คนตัวโต แล้วยังชอบทำหน้าดุ ขณะที่เจ้านายรีบปีนขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็ว

    เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการต้องนั่งรถไปหาพี่ชายเอง หญิงสาวจึงรีบปีนไปนั่งที่เบาะด้านหลังทันทีที่เห็นชายหนุ่มสตาร์ทรถ

    ...เอาน่า! พระภูมิท่านว่าปลอดภัย ก็คงปลอดภัยจริงๆแหละ!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×