คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
เจ็บ!! ความรู้สึกแรกที่หญิงสาวนึกออกในตอนนี้
ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึก มึน!...มึนยิ่งกว่าครั้งที่เธอบ้าเลือดดื่มไวท์ ปี80 ไปเกือบครึ่งลังเมื่อหลายปีก่อนเสียอีก
เปลือกตาสีสวย เนื่องจากเจ้าตัวเลือกใช้แต่เครื่องสำอางราคาแพง และต้องผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำหลายแห่งแล้วว่า เมื่อใช้แล้วจะไม่ทำให้ผิวที่แสนจะบอบบางของเธอเกิดอาการแพ้...เปิดออกช้าๆ
ภาพที่เห็นทำให้เปลือกตาที่เคลือบไว้อย่างดีปิดลงมาใหม่ สูดหายใจเข้าลึกๆและทำใจเย็นๆก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง
คราวนี้มือทั้งสองข้างต้องกำเข้าหากันแน่นอย่างไม่กลัวว่าเล็บที่อุตส่าห์ไปเพ้นต์แถมประดับด้วยเพชรรัสเซียมาใหม่ๆจะเป็นรอยถลอก
เพราะความกลัวว่าใบหน้างามจะเกิดริ้วรอย หากเธอเผลอเอามือขยี้ตาเพื่อให้เห็นภาพตรงหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น มีมากกว่า
ห้องขนาดใกล้เคียงกับห้องน้ำของเธอ (แต่ใหญ่กว่าห้องนอนของใครหลายๆคน) เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา...หลายตาจริงๆ เพราะบางคนที่เธอเห็นมีมากกว่า2ตา!
ไม่มีเวลาประหลาดใจ ว่าเธอหลงเข้ามานั่งหลับในงานเลี้ยงแฟนซีได้อย่างไร เพราะเวลานี้เธอต้องใช้สมองคิดแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าก่อน
สาวสวยแสนเลิศอย่างธุวพรไม่มีท่งจะปรากฏกายให้ผู้คนพบเห็นด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่สะดุด
...แม้แต่งานแฟนซี เธอก็ต้องสวย และโดดเด่นที่สุด!
ระหว่างที่คิดว่าจะเลือกชุดนางฟ้าที่ดูสวย และเข้ากับบุคลิกเธอที่สุด หากแต่ค่อนข้างโหล หรือชุดเพลย์เกิร์ลที่แสนเซ็กซี่ แต่เสี่ยงกับการถูกคุณหญิงคุณนายขี้อิจฉา วิจารณ์เสียๆหายๆ
มือที่สะกิดไหล่เธอเบาๆก็ทำให้คนที่สองจิตสองใจหันไปด้านข้าง และตะวาดเสียงแหลม "อย่ากวนได้ไหม! คนกำลังใช้ความคิดอยู่!"
เงียบ!!!
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เธอดุอีตาลุงแก่ๆที่ไม่ค่อยลงทุน เพราะแค่ใส่เขี้ยวยาวเหมือนแวมไพร์ เพิ่มจากชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวเท่านั้น ด้วยเสียงเบาแสนเบา(?) เสียงจอแจในห้องก็เงียบสนิททันที
สายตาทุกคู่(และคี่)พุ่งตรงมายังเธอ ทำเอาสาวสวยเริ่มประหม่า เพราะรู้ว่าไม่ค่อยถูกกาลเทศะนัก ที่จะใส่ชุดธรรมดามางานแฟนซี
ถ้าเป็นเวลาอื่น เรื่องตกเป็นเป้าสายตาของคนเยอะๆ สำหรับคุณหนูคนดังของวงการไฮโซที่พร้อมไปเสียทุกด้านอย่างเธอ แค่นี้ถือเป็นเรื่องที่แสนจะปกติ
กำลังคิดหาคำพูดแก้ตัว ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในชุดเดรสคอเลคชั่นใหม่ของดีไซน์เนอร์ชื่อดังของฝรั่งเศส แทนที่จะเป็นชุดว่ายน้ำสีดำที่มีหูและหางกระต่ายติดอยู่ (ตกลงใจแล้วว่าจะแต่งเป็นเพลย์เกิร์ล) เสียงทรงอำนาจก็เรียกความสนใจของคนในห้องไปจากเธอ "เกิดอะไรขึ้น"
ว้าว!...ธุวพรได้แต่อุทานอยู่ในใจเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มที่กวาดตามองไปรอบๆห้องเพื่อหาคำตอบ
...นายคนนี้นอกจากหน้าตาดีแล้ว หัวคิดยังดีอีกแฮะ แค่ใช้คอนแทคเลนส์สีเปลี่ยนให้ตาข้างหนึ่งสีแดง อีกข้างสีทอง แล้วโกรกผมสั้นรองทรงด้วยสีเทาควันบุหรี่ แค่นี้ก็ดูเก๋แล้ว แม้เจ้าตัวจะใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงขายาวสีเทาธรรมดาๆก็ตาม
ไว้เธอต้องจำไอเดียนี้ไปประยุกต์สำหรับงานหน้าบ้างแล้ว...
"ใครทำเสียงดัง" เสียงห้าวถามย้ำอีกครั้งเมื่อยังไม่มีใครให้คำตอบเขา
คนใจกล้าที่สุดคือผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อคอปกทหารเรือ กระโปรงจีบรอบ คล้ายชุดนักเรียนของเด็กญี่ปุ่น ทั้งที่ทั้งเหนือทั้งตัวคงมีเพียงตาชั้นเดียวของเจ้าหล่อนที่เข้ากับชุด ที่ตอบด้วยท่าทางที่ตัวเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน
"คืออย่างนี้ค่ะ ท่านมุราชนม์" คนเล่ากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พลางหันกลับมายังตัวต้นเสียง "...พอ156เรียกวิญญาณตนนั้นให้มาลงทะเบียน อยู่ๆเขาก็ส่งเสียงดังขึ้นมา"
"เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไง หรือยังมีห่วงอะไรอีก" ร่างสูงของชายเจ้าของความคิดสุดครีเอทมาหยุดยืนตรงหน้าธุวพร นัยน์ตาสีแดงและทองมอง'วิญญาณ'ตรงหน้าอย่างคาดคั้น
ต่อให้เป็นคนเก่ง ฉลาด มั่นใจตัวเองมาจากไหน แต่ใครมาเจออย่างเธอคงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแน่ๆ
วิญญาณ!!! คำๆนี้ดังก้องอยู่ในสมองที่เต็มไปด้วยรอยหยักของเธอ
...ภาพเห็นการณ์ก่อนหน้านี้ที่เธอจำได้ว่าตัวเองกำลังนั่งรถเพื่อเดินทางไปสนามบิน และระหว่างนั่งเธอผลอยหลับไปด้วยความเพลีย และสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงปะทะที่ตัว ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองหลงเข้ามาในงานแฟนซีบ้าๆนี้แล้ว
พอสังเกตรอบตัวดีๆ คน(?)ที่อยู่รอบตัวเธอเวลานี้ก็แปลกเกินกว่าจะเป็นชุดที่แต่งขึ้น เพราะต่อให้เอฟเฟคล่าสุดของฮอลลิวูดก็ไม่สามารถทำให้ตาที่สามที่อยู่บนหน้าผากกรอกไปมาโดยไม่มีรีโมทบังคับ และคงไม่สามารถทำให้ส่วนที่ควรจะเป็นขาของคน กลายเป็นขาของนกกระจอกเทศแน่ๆ
ข้อมูลจำนวนมากที่ถูกนำมาประมวลเข้าด้วยกันในเวลาอันสั้น ทำให้เกิด'over load' และความคิดสุดท้ายก่อนที่สมองของหญิงสาวจะดับลงก็คือ...
..พ่อขาแม่ขา ทอฟฟี่ยังไม่อยากตาย!!!!!!
...............................................................
"คนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้นแหละ" คำพูดที่แสดงถึงสัจจะธรรมที่ถูกยกมาปลอบใจเธอเป็นรอบที่สิบของวัน ทำให้หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มหน้างอลงกว่าเดิม
เสียงใสเหมือนกระดิ่งแก้ว (ระฆังมันใหญ่เกินไป) ตอบกลับอย่างเนื่อยๆ "ฉันรู้ๆ"
"รู้ แต่ก็ทำใจไม่ได้ซะที" เพื่อนที่ปลอบใจมาตั้งแต่สายจนค่ำย้อนกลับอย่างรำคาญ
"แกก็ลองมาเป็นฉันดูซิ คนไข้ที่ดูแลอยู่เกือบเดือนตาย ทั้งๆที่ตอนมาโรงพยาบาลใหม่ๆยังดีอยู่เลย แล้ว...ฉัน...ก็...ทำเต็มที่...แล้ว..." ช่วงหลังเสียงเริ่มขาดๆหายๆเพราะเจ้าตัวกำลังสะอื้นฮึกๆ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาเป็นรอบที่สี่ของวัน
เพื่อนร่วมห้องที่เรียนด้วยกัน กินนอนมาด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันจะจบปีที่ห้าของชีวิตนักศึกษาแพทย์ส่ายหน้าอย่างระอา "พวกเราเป็นหมอนะ ไม่ใช่พระเจ้า ตัวโรคเขาเป็นหนักขนาดนั้น นี้อยู่มาได้จนได้ฉลองวันเกิดไปเมื่อวานก็ดีเท่าไรแล้ว"
แม้จะเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนต้องการบอก แต่คนที่ร้องไห้ทุกครั้งที่คนไข้ในความรับผิดชอบเสียชีวิตก็ยังทำใจไม่ได้
...ความฝันของเธอคือเป็นหมอเพื่อช่วยชีวิตคน เหมือนพ่อ เหมือนพี่ชาย...ผู้ชายสองคนที่เธอทั้งรัก เคารพ และศรัทธา
หากแต่กว่าจะก้าวไปถึงจุดนั้น สิ่งที่เธอต้องฝ่าฝันก็ช่างหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
และสิ่งที่สาหัสที่สุดสำหรับเธอก็คือการที่เห็นชีวิตๆหนึ่งดับลงต่อหน้า...
สำหรับนักศึกษาหรือแพทย์คนอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญคือความรู้สึกล้มเหลว หรือความรู้สึกสงสาร ทั้งตัวผู้ป่วยและญาติพี่น้อง
หากแต่เธอต้องเจอกับสิ่งที่หนักยิ่งกว่านั้น!
"แกไปขึ้นเวรต่อเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะนอนเอาแรงแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปราวน์*แต่เช้า" คนที่หน้าตามอมแมมไปด้วยคราบน้ำตาจนดูเหมือนเด็กอายุ5ขวบมากว่าหญิงสาวอายุ23ปี พยายามฝืนยิ้มไปให้เพื่อน
(*การเดินเยี่ยมคนไข้ที่นอนโรงพยาบาล เพื่อประเมินอาการและให้การรักษา สำหรับนักศึกษาแพทย์ถือเป็นการเรียนอย่างหนึ่ง)
อีกฝ่ายมีท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบทำให้ต้องพยักหน้ารับ ก่อนจะไปหยิบข้าวของจำเป็น รวมทั้งตำราเรียน พลางย้อนอย่างรู้ทัน "อาทิตย์หน้าจะสอบแล้ว ฉันว่าแกจะอ่านหนังสือมากแล้วไม่อยากให้ฉันกวนมากกว่า เลยรีบไล่"
เสียงใสหลุดหัวเราะคิกกับท่าค้อนตากลับของเพื่อน เอ่ยอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าว่า "ถ้าฉันไม่อ่าน แล้วใครจะติวให้แก"
เท่านี้เพื่อนรักก็ปิดปากเงียบ และเดินออกจากห้องพักไปที่อาคารของโรงพยาบาลทันที
"ขอโทษนะคะ" เสียงใสเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งห้องเหลือเธอเพียง'คน'เดียว
นัยน์ตากลมโตที่ตอนนี้แดงกล่ำจากการร้องไห้มองตรงไปยังระเบียงห้องที่ไร้เงาของผู้คน แต่ในสายตาของคนพูก ตรงจุดนั้นมีเงาจางๆของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่
ใบหน้าเศร้าสร้อยและดวงตาแห้งพาของ'คนไข้ที่เสียชีวิต’วันนี้ ทำให้น้ำใสๆไหลลงมาอีกครั้ง
ในเวลานี้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไร แต่เสียงที่ก้องอยู่ในหูของเธอคือเสียงวิงวอน ขอร้อง...ขอให้เธอช่วยยื้อชื่อวิตเขาให้ได้ ณ ช่วงเวลาของวินาทีแห่งชีวิต
ขอทั้งๆที่รู้ดีว่าแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อวิญญาณของเขาหลุดออกมาจากร่างที่กล้ามเนื้อลีบ แต่ท้องกลับอืดโต ด้วยอาการของคนที่เป็นโรคตับแข็ง! ผลพวงจากน้ำเมาที่สร้างความสุขเพียงชั่วครั้งคราว หากสร้างความทุกข์แสนสาหัสในภายหลัง
ผู้ชายที่ครวญครางยามเห็นน้ำตาของภรรยาและลูกๆวัยกำลังโตที่กำลังจะกำพร้าพ่อเมื่อก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับดูสงบอย่างไม่น่าเชื่อ แต่นี้เป็นเรื่องที่ปลายฝันเคยพบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มากกว่าจำนวนครั้งที่มีคนตายไปต่อหน้าต่อตาเธอเสียอีก
คนเราเมื่อวิญญาณออกจากร่างใหม่จะมีปฏิกิริยาต่อต้าน ไม่ยอมรับความจริง หากแต่ผ่านไปซักพักก็จะเริ่มสงบ
และเมื่อปล่อยวางได้แล้ว วิญญาณทั้งหลายก็จะเดินทางไปยังโลกที่เธอไม่รู้จัก
"ขอบคุณนะ หมอทำดีที่สุดแล้ว อย่ารู้สึกผิดอีกเลย เพราะผมไม่อยากให้เราสร้างห่วงระหว่างกันเพิ่มขึ้นมาอีก" เสียงจาก'อดีต'คนไข้ค่อยๆเบาลง เมื่อเงาร่างนั้นลอยห่างออกไปเรื่อยๆ
จนสุดท้าย ปลายฝันต้องตะโกนตอบไปว่า "ค่ะ! ฉันขออโหสิทุกอย่าง เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน! "
เมื่อมั่นใจว่าเงาจางๆที่หายวับไปในความมีดได้ยินเธอแน่ รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏแทนที่คราบน้ำตา
โชคดีที่วันนี้เพื่อนร่วมห้องของเธอต้องไปอยู่เวรดูแลคนไข้พอดี ทำให้เธอมีโอกาส’พูด’กับวิญญาณของเขาได้ เพราะถ้ามีเพื่อนอยู่ เธอคงไม่กล้าพูดเรื่องความสามารถพิเศษของเธอที่เป็นความลับ
ความสามารถในการมองเห็นและติดต่อกับคนที่ตายไปแล้ว หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า’ผี’นั้นแหละ!
...ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เธอจำความได้
แต่ด้วยความเป็นเด็กทำให้เธอคิดว่า'พวกเขา'เป็นคนปกติเหมือนกับเธอ จะมารู้ความจริงเอาเมื่ออายุ7ปี เนื่องจากพี่ชายและเพื่อนเล่นสมัยเด็กของเธอคนหนึ่งสังเกตว่าเธอชอบพูดคนเดียว และกว่าจะเข้าใจว่าเธอคุยกับใครก็เล่นเอาอธิบายกันเหนื่อยทั้งสองฝ่าย
พี่ชายที่แก่กว่าเธอถึง8ปี ซึ่งรักน้องสาวคนเดียวมาก เมื่อรู้ความจริง ก็ยิ่งให้ความดูแลเอาใจใส่เธอขึ้นไปอีก เพราะกลัวว่าความสามารถนี้อาจจะนำอันตรายมาสู่ตัวเธอได้
ตรงข้ามกับอีกราย ที่ออกปากห้ามเธอไปที่บ้านของตนทันทีที่พิสูจน์แล้วว่าเธอพูดความจริง
แต่ปลายฝันไม่เคยน้อยใจหรือเสียใจ เพราะพวกเธอรู้จักกันมาตั้งแต่เกิด จนรู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้ว
...คนที่สังคมอาจมองว่าแปลกประหลาดอย่างเธอ ไม่คู่ควรที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพี่ทอฟฟี่...คุณหนูธุวพร!!!
.............................................................................
"แล้วท่านจะทำอย่างไงกับวิญญาณตนนี้" เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหูดังแว่วเข้ามารบกวนการนอนของเธอ ทำให้คิ้วเรียวได้รูปแบบที่ไม่ต้องอาศัยดินสอเขียนคิ้วเวลาแต่งหน้า เขยิบเข้าหากันนิดหนึ่ง พอให้รู้ว่าเธอกำลังใช้ความคิด แต่ไม่เป็นอันตรายกับรอยย่นบนหน้า
"เราตามท่านมาก็เพื่อให้ช่วยกันหาทางแก้ เพราะเรื่องนี้ท่านก็มีส่วนผิดด้วยนะ" เสียงห้าวที่เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ทำให้คนที่รู้สึกตัวแล้วยังไม่ยอมลืมตา "...ถ้าท่านไม่มายุ่งกับเอกสารบนโต๊ะเรา คงไม่มีการนำวิญญาณตนนี้มาผิดแบบนี้หรอก"
ประโยคหลังที่เอ่ยถึง'ความผิดพลาด'บางอย่าง ทำให้คนที่แกล้งหลับ ลุกพรวด
สมองอันชาญฉลาดเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว
และผลลัพธ์ที่ได้คือ..."หมายความว่าความจริงฉันยังไม่ตายใช่มั้ย"
ชายสองคนที่ยืนคุยกันอยู่กลางห้องหันมาจ้องหน้าเธอพร้อมกัน...
คนหนึ่งเป็นหนุ่มหล่อที่ก่อนหน้านี้เธอชื่นชมกับการแต่งตัวและรูปร่างหน้าตาของเขา ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่เธอไม่รู้จัก หากแต่หน้าตาที่หล่อไม่แพ้กัน ส่วนรสนิยมในเรื่องการแต่งกาย แม้เป็นคนละสไตร์ แต่ก็ดูดีไม่แพ้กัน
ชายที่เธอไม่คุ้นหน้าที่ดูเป็นมิตรมากกว่าส่งยิ้มละลายใจมาให้ แต่กับคนที่เห็นหนุ่มหล่อจนชินเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้ออกอาการเอียงอายแบบสาวๆทั่วไป ซึ่งสร้างความพอใจให้เจ้าของรอยยิ้มเป็นอันมาก
แต่คนที่ทนไม่ไหวคือเจ้าของห้อง ที่อุตส่าห์โกยเอกสารบางส่วนออกไปเพื่อให้มีที่สำหรับ'วิญญาณ'ที่หมดสติได้นอนพัก "ฟื้นก็ดีแล้ว เรามีเรื่องที่จะแจ้งให้เจ้าทราบ"
คนท่ามากกระแอมแล้วก็เงียบไป พยายามจะเรียบเรียงคำพูดให้ดูดีที่สุด "อืม...อย่างที่เจ้าเข้าใจน่ะถูกแล้ว มันเป็นความผิดพลาด..."
"กรี๊ด!!! พวกนายทำงานกันภาษาอะไร ตายแล้วๆ ตายๆๆ!!!" เสียงโวยวายจากคนที่ตายแล้วจริงขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบเรียกเสียงถอนหายใจเฮือกจากหนุ่มหล่อทั้งสอง
คนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับคนตาย และมีประสบการณ์มาบ้างพยายามปลอบ “ใจเย็นๆก่อนเถอะ ถึงเจ้าไม่ตายวันนี้ อีกหน่อยก็ต้องตายอยู่ดี”
แต่คำปลอบไม่มีผล และท่าจะไปกระตุ้นอะไรเข้า หญิงสาวยังคงส่งเสียงกรีดร้องอย่างขัดใจ
สาเหตุก็เพราะผู้เป็นใหญ่ทั้งสองเข้าใจผิดไปไกลโข...
เธอไม่ได้ฟูมฟาย เพราะตกใจที่ตัวเองตาย!
หากเรื่องนี้เกิดจากอายุขัยเธอหมดจริงๆ หญิงสาวคงยอมรับได้โดยไม่โต้แย้ง ถึงจะเป็นสาวยุคใหม่ไฮเทคขนาดไหน แต่ธุวพรก็โตมากับเรื่องความเชื่อของกรรม การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ
แถมเรื่องผีเรื่องวิญญาณก็เป็นเรื่องที่เธอเชื่อ และยอมรับว่ามีจริงมาตลอด เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ตรงอยู่บ้าง
อย่างมาก คนที่เธอจะเล่นงานก็มีเพียงไอ้คนขับรถบ้าที่ไร้ฝีมือ ขับรถแย่ไปชนอะไรก็ไม่รู้จนเธอต้องมาอยู่ที่นี้ แต่เจ้าตัวดันรอด (คิดว่ารอดนะ เพราะไม่เห็นหมอนั้นเสนอหน้ามาเป็นเพื่อนร่วมทางกับเธอเลย)
แต่ที่ตอนนี้เธอทั้งโมโหและขัดใจ เพราะสาเหตุของเรื่องบ้าๆดันเกิดจากความผิดพลาดต่างหาก
อย่างน้อยก็น่าจะบอกว่า การที่นำวิญญาณของเธอมาผิด เป็นเพราะพรหมลิขิตที่บันดาลเพื่อให้เธอได้เจอกับเนื้อคู่ แบบที่พระเอกนางเอกในนิยายหลายๆคนก็เคยประสบ
แต่เมื่อคนรับผิดชอบงานนี้ไม่รู้ความคิดของหญิงสาว สองเทพหนุ่มคนจึงต้องยืนอ้าปากค้าง รองรับอารมณ์โกรธของหญิงสาวอย่างไม่มีทางเลี่ยง...
"แล้วอย่างนี้ใครจะรับผิดชอบฮะ! ไปตามคนที่ใหญ่ที่สุดมาซิ" หญิงสาวสั่งสียงดังเหมือนเวลาที่เธอขัดใจเมื่อได้รับบริการที่ไม่เหมาะสมกับคุณหนูธุวพรสุดเลิศ คนที่เธอจะคุยด้วยคือเจ้าของร้านหรือผู้จัดการใหญ่เท่านั้น "...ใครใหญ่ที่สุดที่นี่ ยมทูต ยมบาล มัจจุราช ไปตามมาให้หมดเลยนะ!"
คนใหญ่สุดก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าฝืดเฝือน แต่เมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของ'อีกท่าน'ก็จำใจกล่าวรับด้วยท่าทีองอาจ น้ำเสียงกังวาลทรงอำนาจ "เราเอง! เราเป้นผู้ดูแลที่นี่"
"นายเนี่ยนะ ท่านฯบาล" ด้วยความหมั่นไส้ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์จนได้รับตำแหน่งครีเอทีฟของบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ในฝรั่งเศศ เลยใช้ความสามารถที่มีติดแน่นในวิญญาณ ตั้งชื่อย่อของท่าน’ยมบาล'ซะใหม่ "...ท่านฯบาลต้องอ้วนๆ แล้วก็มีเขาสองเขา มีไม้เท้าหัวกะโหลกไม่ใช่เหรอ"
คนที่มีภาพพจน์ห่างไกลพญายมที่เคยให้ในโทรทัศน์หรือภาพการ์ตูนล้อเลียนลิบลับชักสีหน้ากับคำเรียกขาน "ถ้าจะย่อตำแหน่งของเรา ขอเป็นท่านยมฯจะฟังดูดีกว่านะ แต่ถ้าจะให้ดีเรียกชื่อจะดีที่สุด เราชื่อมุราชนม์"
ส่วนเรื่องรูปร่างที่เป็นข้อกังขาของวิญญาณทั้งหลายนั้น เจ้าตัวก็ได้แต่นึกเคืองคนต้นคิดว่าพญายมต้องอ้วน แล้วก็ตอบเลี่ยงๆให้พ้นตัวไป "...ส่วนรูปร่างหน้าตาเราจะเป็นอย่างไร ความสามารถในการจัดการกับคนตายที่เดี๋ยวนี้สรรหาวิธีตายแปลกๆก็ไม่ลดลงหรอก”
ธุวพรพยักหน้ารับ เธอก็นึกสงสัยมานานแล้วว่า ใครเป็นคนกำหนดให้ยมบาลมีรูปร่างเหมือนตุ่ม นุ่งโจงกะเบนและคล้องสังวาล เพราะคนที่จะเจอตัวจริงได้ก็ต้องเป็นคนที่ตายแล้วเท่านั้น
และนึกย้อนไปถึงภาพห้องสี่เหลี่ยมที่อัดแน่นไปด้วยวิญญาณหลายหลายเชื้อชาติและสายพันธุ์ แล้วก็สรุปเอาเองในใจ...งานยุ่งแบบนั้นต่อให้เคยอ้วนแค่ไหนก็คงผอมโดยไม่ต้องจำกัดอาหารเหมือนที่เธอทำเวลาต้องการรักษารูปร่างหรอก
ด้วยความเห็นใจในชะตากรรมของอีกฝ่าย เสียงที่ใช้จึงลดระดับมาเหมือนคนปกติพูดกัน "แล้วตกลงท่านจะจัดการเรื่องของฉันอย่างไงค่ะ"
ท่านยมฯยุคใหม่หันไปมองหน้าเทพหนุ่มอีกท่านอย่างขอคำปรึกษา
...เพราะว่าไปตามจริง สาเหตุของเรื่องยุ่งๆก็มาจากคนที่เอาแต่ยืนยิ้ม มองดูเขาถูกวิญญาณสาวเล่นงานฝ่ายเดียว
ทันทีที่หญิงสาวเป็นลมไป มุราชนม์ ผู้รับผิดชอบการรับดวงวิญญาณคนตาย และตัดสินว่าจะส่งวิญญาณที่ยังไม่ได้ชำระบาปไปที่ไหน...ก็ให้คนตรวจสอบเกี่ยวกับวิญญาณสาว
เพราะวิญญาณคนตายปกติ เมื่อมาถึงที่นี้ซึ่งเป็นสถานที่ตัดสินความดีความชั่วที่ทำมาทั้งชีวิต แสดงว่าต้องยอมรับความตายของตนได้ และหมดห่วงแล้ว
ไม่เคยมีใครตกใจและมีอาการอย่างหญิงสาวมาก่อน
พอตรวจสอบไปถึงได้พบว่า รายชื่อของเธอหลงมาอยู่ในกองรายงานคนที่ชะตาถึงฆาต ที่เลขาของเขามาเอาไปเมื่อวานนี้ ทั้งที่ตามลิขิตหญิงสาวยังมีชีวิตได้อีกหลายสิบปี
จากนั้นจึงนึกภาพย้อนไปหาสาเหตุของความผิดพลาดแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคที่เขาบริหารงาน ก็พบว่าสาเหตุมาจาก'แขกไม่ได้รับเชิญ' ที่ถือวิสาสะย้ายเอกสารเพื่อหาที่นั่ง และเอาราบชื่อของธุวพรมาดูเล่น ทำให้มีการสลับกองกันเกิดขึ้น
พอทราบอย่างนั้นเขาก็รีบไปตามต้นเหตุที่แท้จริงมา และได้คำยืนยันเมื่ออีกฝ่ายทักขึ้นทันทีที่เห็นหน้าของวิญญาณสาว “อ้าว! หญิงสาวที่เราจะดูประวัติเมื่อวานนี้นี่ ทำไมดวงถึงฆาตเร็วจัง”
แต่ยังไม่ทันตกลงให้ต้นเหตุของเรื่องหาหนทางแก้ปัญหา ผู้เคราะห์ร้ายก็ตื่นขึ้นมาโวยวายเสียก่อน
"เจ้าใจเย็นๆก่อน เรากำลังตกลงกันอยู่" เสียงนุ่มฟังรื่นหูเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ที่ต้องตอบเงียบไปนาน และฝ่ายที่รอฟังอยู่ก็เริ่มมีควันออกหู
คราวนี้ตาวาวๆเลยหันมามองเขาแทน "นายเป็นใคร มีอำนาจตัดสินใจอะไรที่นี่ด้วยเหรอ"
"เอ้อ ท่านกันดิส...เขาจะเป็นผู้ดูแลเจ้าระหว่างที่เราหาวิธีแก้ไขเรื่องของเจ้าน่ะ" อยู่ความคิดบางอย่างก็ผลุดขึ้นในสมอ และไม่รอให้’ผู้ดูแล’ได้ปฏิเสธ เสียงห้าวก็กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า "...นี่ไง! ผู้ช่วยชั่วคราวที่ท่านขอไว้ พระพรหมท่านอาจจะเห็นใจพวกเรา เลยลิขิตให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ได้"
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบชมพูมองผู้ช่วยคนใหม่แล้วกรอกตาขึ้น ก่อนจะพยักหน้าตกลงเมื่อไม่เห็นทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้
ส่วนวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวก็ไม่คิดขัดเทพทั้งสอง เพราะรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้ระบายอารมณ์ไปบางส่วนแล้ว
บวกกับไม่เห็นประโยชน์จากการทะเลาะกับผู้ที่กุมชะตาเธอเอาไว้ สู้เก็บแรงไว้อาละวาดตอนที่เห็นว่าวิธีแก้ไขปัญหาของท่านยมบาลไม่ได้ดั่งใจเธอจะดีกว่า!!
.....................................................................
"ปลาย ปิดเทอมนี้แกจะไปเที่ยวที่ไหน" เสียงเรียกของรูมเมททำให้หญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับตำราภาษาอังกฤษเล่มหนา เงยหน้าขึ้นมาบิดขี้เกียจ ก่อนจะหันมาตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
"ยังไม่ทันสอบ แกถามเรื่องเที่ยวแล้วเหรอ"
คนที่ปากถามแต่สายตาไม่ละจากหนังสือที่หนาไม่แพ้ของเพื่อนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "ของอย่างนี้มันต้องวางแผนล่วงหน้า ยิ่งเป็นปิดเทอมสุดท้ายด้วยแล้ว"
เพราะเมื่อสอบภาควิชาสุดท้ายเสร็จ เธอและเพื่อนๆก็จะผ่านชั้นปีที่ห้าพอเปิดภาคเรียนใหม่ก็จะกลายเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่ต้องออกต่างจังหวัดเพื่อหาประสบการณ์เพิ่ม
ปลายฝันยักไหล่เล็กน้อย เพราะสำหรับเธอ ปิดเทอมคือเวลาพักผ่อนเอาแรงมากกว่าจะเป็นเวลาท่องเที่ยว "พ่อโทรมาบอกว่าจองตั๋วเครื่องบินไว้ให้แล้ว แต่ใจฉันอยากไปหาพี่กลางมากกว่า"
เอ่ยถึงพี่กลาง หรือนายแพทย์กลางรัก พี่ชายที่รักคนเดียวของเธอซึ่งเป็นหมออยู่ที่จังหวัดทางภาคเหนือ ขณะที่นายแพทย์สุภเวช บิดาของเธอที่ย้ายไปทำงานที่ประเทศอังกฤษหลังจากที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ขณะนี้เธอเลยอาศัยอยู่ที่หอของทางมหาวิทยาลัย
“น่าอิจฉาชะมัด คนมีญาติอยู่ต่างจังหวัดหรือเมืองนอกเนี่ย ไปเที่ยวก็มีที่พักฟรี” คนติดเที่ยวบ่นไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อนอย่างประจบ “...ฉันไปด้วยซิ”
แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงเคาะประตูห้องที่สองสาวพำนักอยู่ก็ดังขัดจังหวะพร้อมเพื่อนร่วมคณะโผล่หน้าเข้ามา “ใครสนใจไปออกค่ายบ้างจ๊ะ”
เพียงเท่านี้ความสนใจของเพื่อนร่วมห้องก็ไปจดจ่ออยู่กับค่ายอาสา
...สรุปว่าปิดเทอมสุดท้าย นางสาวปลายฝันคงต้องเดินทางไกลคนเดียวอีกแล้ว
นักศึกษาแพทย์สาวหลับตาลง พร้อมยกมือขึ้นนวดขมับทั้งสองข้าง ไล่มาที่หางตา เมื่อคิดว่าตัวเองนั่งอ่านหนังสือนานเกินไปแล้ว
พักสายตาซะหน่อยก็ดี อ่านหนังสือสอบจนหนังตากระตุกพร้อมๆกันทั้งสองข้างแล้ว!!!
....................................................................................
“คุณกันดิสคะ ทำไมบางคนที่นี้รูปร่างหน้าตาประหลาดจัง แต่บางคนก็ดูเหมือนคนปกติ” เสียงหวานถามขึ้นเมื่อเดินตามร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่เธอเพิ่งได้รู้ว่ามีอำนาจเทียบเท่าท่านยมบาล หัวหน้าของ’ศาลชีวิต’แห่งนี้
ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลชั่วคราวระหว่างที่การแก้ปัญหาเรื่องนำวิญญาณของคนที่ชะตายังไม่ถึงฆาตมาผิด ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
เพราะแม้อีกฝ่ายจะทำตัวว่า เลิศ เชิด หยิ่งแค่ไหน แต่พอได้เดินสำรวจไปตามห้องที่ถูกแบ่งย่อยๆ ดวงตากลมโตคมหากก็แฝงความอ่อนหวาน เหมือนคนที่มีเลือดผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออกก็เป็นประกาย ปากบางเจื่อยแจ้วถามเหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็น
"ร่างที่เป็นมนุษย์ปกติ ส่วนมากมักเป็นวิญญาณที่เสียชีวิตมาใหม่นาน ยังมีการยึดติดกับร่างเนื้อสุดท้ายของตัวเองอยู่" เสียงนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น "...แต่ร่างที่ต่างออกไปน่ะเป็นพวกเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการคัดเลือกเรื่องความเป็นกลางมาอย่างดี เพราะงานนี้ต้องอาศัยความยุติธรรมมาก"
"แล้วความยุติธรรมมันเกี่ยวอะไรกับการที่ต้องมีหูเป็นกระต่าย หางม้า ผมสิงโต ตาแมว หรือเขากวางบนหัวด้วยล่ะคะ" ธุวพรมองภาพเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ทำงานมือเป็นระวิง "...ดูแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนเอาเสือ สิง กระทิง กับสัตว์มีนอมาทำงานเลย"
เสียงหัวเราะกังวาลชวนฟังทำให้สาวๆรอบข้างหันมามองชายหนุ่มรูปงามเป็นตาเดียว "เจ้ายังยึดติดกับการเป็นมนุษย์อยู่มากนะ ธุวพร"
เทพที่อยู่ในร่างชายหนุ่มมองสตรีด้วยสายตาที่มองเด็กไม่รู้ประสา "...พวกมนุษย์มักคิดว่าตัวเองดีกว่าสัตว์อื่น เปรียบคนที่ทำความเลวกับสัตว์ต่างๆ ทั้งที่ความดีและความเลวไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ แต่อยู่ในจิตสำนึกต่างหาก"
"...แล้วก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ ชาติก่อนนั้นก็อาจเป็นสัตว์ที่พวกเจ้าเหยียดหยามก็ได้ หรือถ้าเกิดเป็นคนแล้วไม่ทำความดี ชาติต่อไปก็อาจจะต้องกลายเป็นสัตว์ที่ถูกรังเกียจ เจ้าว่าจริงไหม"
แม้จะยอมรับ แต่ด้วยทิฐิที่ฝังแน่น วิญญาณที่ตอนนี้ยังอยู่ในร่างสาวสวยเชิดหน้าเล้กน้อย "คุณตอบไม่ตรงคำถามนะ คุณกันดิส"
ผู้เป็นเทพไม่มีทีท่าจะโกรธเคียงกับอาการของอีกฝ่าย ใบหน้างามยังคงมีรอยยิ้มละมัยขณะเดินเอื่อยๆไปตามทางเดินที่ทอดยาวราวกับไร้จุดสิ้นสุด
"เรากำลังจะบอกเจ้าอยู่นี่ไง ว่ารูปลักษณ์ของเหล่าผู้ช่วยของท่านมุราชนม์ ล้วนเกิดจากการผสมผสานของร่างในชาติต่างๆ แล้วแต่ว่าจะนำส่วนไหนมาจากชาติไหน"
คนฟังตาโต หยุดเดินเสียดื้อๆ "หมายความว่า พวกเขาสามารถแปรงร่างได้ตามใจหรือคะ"
"จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ได้อีก" ตอบเหมือนไม่ได้ตอบแล้วก็รีบยกมือห้าม เมื่อหญิงสาวตกหน้าที่ชาติก่อนอาจเคยเห็นแม่เสือทำตาวาวใส่ "...เราตั้งใจจะบอกว่า วิญญาณไม่มีรูปร่างแน่นอน การจะปรากฏร่างอยู่ที่ดวงจิตของแต่ล่ะผู้"
"ว้าว! เยี่ยมไปเลย แล้วคุณเคยเกิดเป็นอะไรบ้างล่ะคะ ถึงมีสีผมกับตาสีนี้” ถามแล้วก็ไม่ยอมเว้นช่วงให้อีกฝ่ายตอบ “...ให้เดานะว่าต้องเคยเป็นคนสแกนดิเนเวียนแน่ๆ ถึงได้ผิวขาวอมชมพู สวยแบบนี้”
คนที่มีผิวสวยจนสาวๆอิจฉาส่ายหน้ายิ้มๆ “เรากับท่านมุราชนม์ และบางท่านแถวนี้เป็นข้อยกเว้นน่ะ แต่ถ้าเจ้าสนใจอยากกำหนดร่างเองได้ ก็มาเป็นผู้ช่วยเราเต็มตัวซิ”
ธุวพรที่ไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบอะไรจริงจังอยู่แล้ว เมื่อโดนเบี่ยงเบนประเด็นจึงคล้อยตามง่ายๆ “ให้ทำงานตัดสินความดีความชอบแบบผู้พิพากษาหรือค่ะ ฉันคงทำไม่ไหวหรอกค่ะ เกิดหมั่นไส้ใครแล้วยัดเหยียดข้อหาให้เขาเพิ่ม ท่านฯบาลเล่นงานฉันตายเลย”
“งานของผู้ช่วยเรา ไม่ใช่งานที่ศาลนี้หรอก” ผู้ที่รัผิดชอบงานที่ต่างออกไปหัวเราะเบาๆกับแววตางงงวย แต่เจ้าตัวไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้ามาก เพราะถ้าเลิกคิ้วมาก ก็กลัวว่าหน้าผากจะย่นก่อนวัยอันควร
“...งานของผู้ช่วยเราก็มีหน้าที่คล้ายๆแม่สื่อนั้นแหละ การทำให้คนรักกัน...เป็นหน้าที่ของตัวแทนกามเทพ!!!”
..........................................................................................
ความคิดเห็น