ตอนที่ 5 : บทที่ 4 คนธรรมดา กับ ทายาทจอมมารที่(ไม่)ธรรมดา (รีไรท์)
บทที่ 4
คนธรรมดา กับ ทายาทจอมมารที่(ไม่)ธรรมดา
บริเวณหน้าอาคารสอบ
ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบสีขาวล้วน ริวกำลังนั่งพิงต้นไม้พร้อมเล่นเกม PSP.R ที่เอาพบติดตัวมาจากโลกมนุษย์ ขณะที่เขากำลังสนุกกับการเล่นเกมอยู่นั้น ผู้เข้าสอบคนอื่นๆก็ทยอยกันเดินออกมาจากอาคารทีละคน เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่เทียน่าก็ยังไม่ออกมา เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อไป เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาว่า
“เฮ้อ ขอโทษนะ”
ริวหยุดเล่นเกม ก่อนจะมองไปทางต้นเสียง สิ่งที่เขาเห็นคือคนที่สูงประมาณ 150-160 ซม. เขาสวมเสื้อคลุมสีดำคลุมร่างกาย ส่วนใบหน้ามีฮูดยังปิดเอาไว้ทำให้มองเห็นหน้าคนพูดไม่ชัด ริวได้แต่ถามออกไปว่า
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นเรียกผมหรือ?”
คนสวมฮูดพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าฉันขอนั่งข้างๆจะได้ไหม”
ริวมองไปรอบๆ ตอนนี้มีผู้เข้าสอบเริ่มเดินออกมาอยู่ข้างนอกพอสมควร แถมจุดที่น่าจะเป็นร่มเงาพอจะพักได้ก็เต็มไปด้วยผู้เข้าสอบเกือบหมดแล้ว ที่เหลือพอจะให้นั่งหลบแดดได้ก็มีแต่ตรงที่เขานั่งอยู่เท่านั้นเอง ริวขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ได้พื้นที่ในร่มเงามากขึ้นพร้อมกล่าวเชิญให้คนที่คุยด้วยนั่งลงข้าง
“เชิญตามสบายครับ ผมไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว”
คนสวมผ้าคลุมนั่งลงข้างริวอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้สนใจคนสวมผ้าคลุมอีก เขาเอาเครื่องเกมขึ้นมาเล่นต่ออย่างสบายอารมณ์ คนสวมฮูดหันมามองริว ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปจ้องมองไปที่เครื่องเกมด้วยสายตาอึ้งๆ สักพักเสียงของคนสวมฮูดก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า
"ท่าทางคุณจะสบายใจจังเลยนะ คุณคงทำข้อสอบออกมาได้ดีเลยซินะ"
ริวหันไปมองคนสวมผ้าคลุม"มันก็ประมาณนั้นล่ะครับ" แน่นอนว่าสิ่งที่เขาตอบไปเป็นการตอบแบบส่งเดชเพราะเขาต้องการตัดบทสนทนากับคนที่พูดให้เร็วที่สุด ชายหนุ่มยังคงก้มหน้าเล่นเกมต่อไปโดยไม่สนใจคนสวมผ้าคลุมแม้แต่น้อย แต่คนสวมผ้าคลุมกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาจ้องมองริวอย่างสนใจโดยเฉพาะเครื่องเกมในมือของริว เสียงที่เจือปนด้วยความสงสัยถามขึ้นมาว่า
"สนุกไหม "
คำถามของคนสวมฮูดทำให้ริวที่กำลังเล่นเกมต้องหยุดเล่นอีกครั้ง “คุณจะลองเล่นดูไหม บอกตามตรงผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเรียกว่าสนุกได้ไหม เกมที่ผมเล่นตอนนี้เป็นเกมที่เกี่ยวกับการปลูกผัก ถ้าเทียบกับเกมต่อสู้แล้วค่อยข้างจะหน้าเบื่อ แต่เวลาผมเล่นเกมนี้ทีไร มันจะวางไม่ลงทุกที"
ริวส่งเครื่องเกมที่กำลังเปิดเครื่องอยู่ให้คนสวมผ้าคลุม คนร่างเล็กมองเครื่องเกมอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือออกไปรับแต่พอเครื่องเกมหลุดออกจากมือของริวเท่านั้น เครื่องเกมที่เปิดอยู่ก็ดับลง คนสวมผ้าคลุมได้แต่ส่งเครื่องเกมคืนให้ริว
"ฉันคงไม่มีความสามารถพอที่จะเล่นมัน ถ้ายังไงขอคืนให้กับคุณเลยก็แล้วกัน"
ริวรับเกมคืนมาอย่างงงๆ แต่พอเครื่องเกมกลับมาอยู่ในมือของชายหนุ่ม มันก็กลับมาติดอีกครั้ง เขาที่ไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ก็ยังคงเล่นเกมต่อไปอย่างสบายอารมณ์ คนสวมผ้าคลุมที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นถึงกับกลืนน้ำลายอย่างอึ้งๆ ก่อนจะคิดขึ้นมาว่า
(ทำไมเทคโนโลยีของโลกถึงมาใช้ที่ริเดียได้ ของแบบนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย หรือว่าชายคนนี้จะเป็น สิ่งนั้น )
ขณะที่คนสวมผ้าคลุมกำลังคิดเป็นแบบนั้น เสียงตะโกนของใครบางคนก็ดังขึ้นมาว่า “ใครก็ได้รีบตามจอมเวทขาวมาด่วน มีคนได้รับบาดเจ็บ!!!”
เสียงร้องตะโกนนี้ทำเอาผู้เข้าสอบบริเวณนั้นต่างหันไปมองทางต้นเสียงทันที สิ่งที่เห็นคือผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังแบกคนเจ็บ5คนมาที่สนามสอบ โดยมีคนร้องตะโกนเรียกหาจอมเวทขาวอย่างต่อเนื่อง ริวลังเลอยู่สักพักก่อนจะเดินเข้าไปมุงดูด้วยกับเหล่าริเดียมุง คนสวมผ้าคลุมก็เดินตามไปติดๆ ชายหนุ่มพยายามเดินไปในจุดที่พอจะมองเห็นได้บ้างแม้จะไม่ชัดก็ตาม เขามองมาที่คนเจ็บ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อมีคนเจ็บแบบนี้ ทำไมไม่พาพวกเขาไปโรงพยาบาล ดันมาร้องหาจอมเวทขาวที่นี้ทำไมกันนะ”
คนสวมผ้าคลุมได้ยินคำพูดนี้ของริว เขาจึงพูดออกมาว่า “ไม่ไหวหรอก ดูจากบาดแผลของคนเจ็บแล้ว น่าจะสาหัสพอสมควร โรงพยาบาลก็ค่อนข้างอยู่ไกลจากจุดนี้ การที่พวกเขาตัดสินใจมาหาจอมเวทขาวน่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้วล่ะ อีกอย่างแผลขนาดนี้ต่อให้ไปถึงมือหมอก็ไม่แน่ว่าจะรักษาให้หายได้ ดังนั้นแทนที่จะหวังพึ่งหมอสู้มาหาจอมเวทขาวเพื่อให้เวทรักษาน่าจะมีโอกาสรอดมากกว่านะ”
ริวจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่ร้องตะโกนในเวลานี้ สักพักจอมเวทในชุดสีขาวกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏตัวออกมาทำการรักษาคนเจ็บโดยมีคนอีกกลุ่มกำลังดันริเดียมุงให้ถอยออกห่าง จากนั้นก็ใช้เชือกเพื่อทำเป็นเขตห้ามเข้า ริวมองเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมคิดขึ้นมาว่า
(ผมอยากจะบ้าจริงๆนี่มันโลกงี่เง่าอะไรกัน คนบาดเจ็บเจียนตายดันไม่พาไปโรงพยาบาล แต่ดันพามาหาจอมเวทขาวซะได้ แสดงว่าจอมเวทขาวมีความสามารถในการรักษาเก่งกว่าหมอหรือ? ถ้าเช่นนั้นริเดียจะมีคณะแพทย์ไปทำไหมกันฟะ สู้เรียนเป็นจอมเวทขาวไปเลยไม่ดีกว่าหรือ? ปวดหัวโว้ย ทำไมตรรกะของริเดียถึงได้สับสนวุ่นวายอย่างนี้ คอยดูเถอะสอบเสร็จเมื่อไร ผมรับรองเลยว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี้เป็นครั้งที่ 2 แน่ๆ)
คนสวมผ้าคลุมเห็นริวไม่ยอมพูดอะไรต่อ เขาจึงกล่าวต่อว่า “ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะไปดูการรักษาของจอมเวทขาวในระยะใกล้กว่าไหมล่ะ”
ริวพยักหน้าเล็กน้อยเนื่องจากเขาก็สนใจว่าจอมเวทขาวจะรักษาคนป่วยยังไง คนสวมผ้าคลุมรีบเดินนำหน้าไป ริวเปลี่ยนมาเดินตามไปช้าๆ คนร่างเล็กพาชายหนุ่มมาถึงจุดที่น่าจะเห็นการรักษาอย่างชัดเจน บริเวณนั้นเองก็มีคนมุงดูเป็นจำนวนมาก แต่พอคนสวมผ้าคลุมเดินตรงไปยังกลุ่มคนที่มุงดูอยู่นั้น ริเดียมุงต่างก็รีบหลีกทางให้คนร่างเล็กเดินผ่านไปได้อย่างสบายๆ สีหน้าของริวดูจะมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้ง 2 คนเดินมาหยุดตรงเส้นเชือกสีเหลืองที่ล้อมรอบบริเวณที่คนเจ็บและจอมเวทขาวรักษาอยู่
ภาพที่เห็นในขณะนี้คือ คนเจ็บทั้ง 5 คนกำลังนอนอยู่บนผ้าขาว โดยแต่ละคนน่าจะเรียกได้ว่าบาดเจ็บสาหัสจริงๆ บางคนแขนขาดเสมอไหล่ บางคนถูกอะไรบางอย่างกัดเข้าที่ขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ ที่พอดูดีหน่อยน่าจะเป็นพวกอาเจียนเป็นเลือดตลอดเวลา บางคนก็มีบาดแผลที่คล้ายถูกอะไรบางอย่างกัดเข้าที่ไหล่ซ้าย ขณะนั้นเองที่เสียงของบรรดาจอมเวทขาวก็ดังขึ้นมาว่า
"ใครก็ได้รีบไปตามศ. เอมี่มาที ทางนี้จะไม่ไหวแล้ว "
"ขอคนมาช่วยทางนี้ที คนไข้หมดสติไปแล้ว รีบไปเอาเลือดมาสำรองมาด่วน คนไข้เสียเลือดเกินขีดจำกัดแล้ว”
"ติดต่อไปหาหน่วยสนับสนุนหรือยัง? ถ้ายังรีบตามด่วนเลย พวกเราเริ่มจะรับมือกับเหตุการณ์นี้ไม่ไหวแล้วนะ"
ขณะที่บรรดาจอมเวทขาวกำลังพูดสั่งงานกันอยู่นั้น หญิงสาวคนหนึ่งก็ลอยลงมาจากท้องฟ้า เธอเป็นหญิงสาวที่ไว้ผมบอบ สวมแว่นตากรอบสีดำ ทั้งยังสวมเสื้อกราวสีขาวล้วน อายุน่าจะประมาณ 20 ต้นๆ เธอดูต่างจากจอมเวทขาวคนอื่น ตรงที่ต้นแขนขวาเธอมีปลอกแขนคลิปทอง บนปลอกแขนมีการปักรูปไม้เท้าจอมเวททับกันเป็นกากบาทตรงกลางด้านบนก็เป็นรูปหมวกจอมเวท สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของผู้ที่เป็นจอมเวทระดับ Leader (จอมเวทชั้นสูง) เมื่อจอมเวทคนนี้ปรากฏออกมา เธอรีบสั่งงานจอมเวทขาวคนอื่นในทันที เสียงของคนสวมผ้าคลุมดังขึ้นมา
“อาการของคนพวกนี้คงจะหนักมากเลย ขนาดศ.เอมี่ที่เป็นจอมเวทขาวระดับ Leader ยังต้องทำหน้าเครียดแบบนั้น ฉันชักอยากรู้แล้วซิ คนเหล่านี้ไปเจออะไรมาถึงได้บาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้นะ"
ริวได้แต่พยักหน้าตามไปโดยไม่พูดอะไรเลยเพราะเขายังดูไม่ออกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแย่ตรงไหนกัน ขณะที่พวกริวกำลังคุยกัน เสียงของจอมเวทขาวคนหนึ่งก็พูดออกมาว่า
"ศ.เอมี่ค่ะ รบกวนช่วยมาดูทางนี้ด้วย คนไข้อาการทรุดหนักมากค่ะ"
ศ.เอมี่รีบเดินไปตามเสียงเรียก เมื่อมาถึงสิ่งแรกเห็นคือจอมเวทขาวคนที่เรียกเธอมากำลังเอามือทาบกับหน้าอกของหญิงกลางคนที่แขนถูกกัดจนเห็นกระดูก เลือดยังคงไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด สีหน้าของหญิงกลางคนเริ่มซีดขาวลง ลมหายใจขาดหายไปเป็นช่วงๆ ศ.เอมี่รีบเข้ามาเปลี่ยนตัวกับจอมเวทขาวคนนั้น เธอเอามือขวาทับมือซ้ายที่หน้าอกของผู้ป่วย เสียงร่ายเวทดังออกมา แสงสีขาวส่องสว่างจากมือที่ทาบกับหน้าอก แสงห่อหุ้มตัวของผู้ที่ได้บาดเจ็บ บาดแผลเริ่มสมานตัวกันทีละน้อย แต่มันก็ยังไม่เร็วพอกับเลือดที่สูญเสียไป การเต้นของชีพจรเริ่มจะไม่สม่ำเสมอ ก่อนที่หญิงกลางคนจะหมดสติไป
ศ.เอมี่ยิ่งร่ายเวทเร็วขึ้นจนแทบจะฟังไม่เป็นประโยคแล้ว ใบหน้าของเธอเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไปอีก 10 นาที ใบหน้าของจอมเวทระดับ Leader เริ่มซีดเฝือกลงเรื่อยๆ เสียงหอบดังออกมาเป็นระยะ แสงสีขาวที่คลุมตัวคนเจ็บกับไม่มีท่าทีจะจางลงเลย ทกอย่างดำเนินไปอีกสักพักศ.เอมี่ก็ทรุดตัวลงด้วยอาการเหนื่อยอย่างสุดๆ เธอยังไม่ยอมหยุดรักษา เนื่องจากทุกครั้งที่แสงสีขาวแผ่วลง แผลที่สมานไปแล้วก็เริ่มจะฉีกขาดขึ้นมาอีกครั้ง เสียงเรียกของจอมเวทขาวคนอื่นก็ดังขึ้น
"ศ.เอมี่ ทางนี้เองก็แย่แล้ว กรุณามาช่วยด้วยค่ะ"
ศ.เอมี่หน้าเสียไปทันทีที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้ เธอจ้องมองหญิงกลางคนที่รักษาอยู่ ก่อนจะหันไปมองผู้ป่วยอีกคนที่ถูกเรียกให้ไปช่วย จอมเวทขาวระดับLeaderลังเลอยู่พักใหญ่ เธอจึงสลายแสงสีขาวเพื่อไปช่วยผู้ป่วยอีกคนแทน การทำแบบนี้หมายถึงหญิงกลางคนที่เธอกำลังรักษาอยู่หมดทางรอดแล้ว จอมเวทขาวที่อยู่รอบๆได้แต่ส่ายหน้ากับสิ่งที่เห็น ขณะที่ทุกคนได้ตัดใจไปแล้ว เสียงของเด็กคนหนึ่งก็ร้องขึ้นมา
"แม่ค่ะ! แม่อย่าตายนะ ใครก็ได้ช่วยแม่หนูด้วย"
เสียงร้องนี้เป็นของเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 7-8 ขวบ เธอเป็นลูกของหญิงกลางคนที่บาดเจ็บ เด็กสาวยืนมองแม่ที่ถูกรักษาอย่างใจจรดใจจ่อ แต่เมื่อเห็นว่าศ.เอมี่หยุดรักษา เธอจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปจับชายเสื้อกราวพร้อมหลั่งน้ำตาขอให้ศ.เอมี่ช่วยรักษาแม่ต่อที จอมเวทขาวระดับLeaderไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองดวงตาเด็กสาวที่มาข้อร้อง สิ่งเดียวที่ทำได้คือการหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบๆ เด็กหญิงรีบวิ่งไปข้อร้องจอมเวทขาวคนอื่นแทน ทุกครั้งที่เธอหันไปหาจอมเวทขาวทุกคนต่างเบือนหน้าหนี เธอได้แต่หันไปหาผู้เข้าสอบที่อยู่รอบๆแทน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าจ้องมองเด็กสาวในเวลานี้เลย ริวก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่กล้าสบตากับเธอ เขาจ้องมองกำไลข้อมือ ก่อนจะคิดขึ้นว่า
(ดอกกุหลาบ 1 ดอกต่อ 1การรักษา แม้จะไม่ได้ผลแต่ก็ยังมีดอกกุหลาบดอกใหญ่อีก จริงอยู่ถ้าใช้ไปโอกาสที่จะรอดอาจจะน้อยลง แต่ถ้าแกยังคิดจะลังเลอีกก็สมควรตายได้แล้วล่ะ ไอ้ริว)
ริวรีบยกเชือกที่กั้นอยู่ตรงหน้าขึ้น ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปหาเด็กหญิง เขาลูบผมของเธอ พร้อมพูดออกมาว่า
"หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะช่วยแม่ของหนูให้เอง"
"จริงหรือคะ?”
จอมเวทขาวที่อยู่ใกล้สุดทำท่าจะพูดอะไรออกมา ริวก็ได้แสดงท่าเลียนแบบศจ.เอมี่โดยเอามือขวาทับมือซ้าย จากนั้นเขาแกล้งทำปากเหมือนกับจะพูดอะไรออกมาตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้ว เขาแอบใช้จังหวะนี้ดึงดอกกุหลาบขนาดเล็กมาจากกำไล ชายหนุ่มวางมือที่มีดอกกุหลาบพร้อมบีบให้แตกบนร่างของหญิงกลางคน แสงสีเงินกระจายออกมาห่อหุ้มร่างของคนเจ็บอยู่พักใหญ่ เมื่อแสงสีเงินหายไปหญิงวัยกลางคนที่เคยหมดทางรักษาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จอมเวทขาวรวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น ศ.เอมี่ถึงกับคิดขึ้นมาว่า
( เวทรักษาระดับสูง ไม่สิ แค่เวทรักษาระดับสูงไม่น่าจะมีพลังรักษาได้ขนาดนี้ มันต้องเป็นอะไรที่สูงกว่านั้นอีกแน่ๆ ทำไมผู้เข้าสอบถึงใช้เวทระดับนี้ได้ล่ะ เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่)
ขณะที่ศ.เอมี่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงร้องของจอมเวทขาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างเร่งรีบว่า
“ศ.เอมี่ค่ะ ได้โปรดมาช่วยทางนี้ด่วนเลย คนไข้มีอาการทรุดหนักลงอีกแล้ว "
ศ.เอมี่พยายามจะลุกขึ้นเดินไปทางนั้นทันที แต่เสียงของจอมเวทขาวอีกคนก็ดังขึ้นว่า"ศ.เอมี่ค่ะ รบกวนทางนี้ด้วยค่ะ"
"ทางนี้ก็เช่นกันค่ะ คนไข้กำลังแย่แล้ว"
เสียงของจอมเวทขาว 3 คนดังขึ้นมาพร้อมกันจน สีหน้าของศ.เอมี่เครียดลงทันที เธอรีบวิ่งไปดูคนที่น่าจะเจ็บหนักที่สุดก่อน ก่อนจะพยายามเค้นเอาพลังเวทที่มีอยู่ออกมารักษาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอรักษาไปได้สักพัก ร่างกาของศ.เอมี่ก็เริ่มหนักขึ้น การหายใจเริ่มติดขัด ก่อนจะตามมาด้วยอาการหน้ามืดจนในที่สุดก็ลมลงหมดสติไป
“โครม”
ศ.เอมี่หมดสติไปเพราะเธอฝืนใช้เวทมนตร์รักษามากเกินไป พอจอมเวทระดับLeaderกลายเป็นแบบนั้น สายตาของจอมเวทขาวเกือบทั้งหมด รวมไปถึงคนที่อยู่รอบๆกลับจ้องมายังริวที่กำลังจะเดินจากไปแทน เขาได้แต่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะคิดขึ้นมาว่า
( ซวยแล้วไง ลืมคิดถึงผลที่ตามเลย พอเจอสายตาแบบนี้ ไอ้ผมจะปฏิเสธไม่รักษาก็คงจะไม่ได้ซินะ ทำไมถึงซวยแบบนี้โว้ย!!!! )
30 นาทีต่อมา
ริวกำลังยืนยิ้มแหยๆอยู่ต่อหน้าผู้ที่เคยป่วยทั้ง5คน พวกเขาทุกคนต่างเดินเข้ามาขอบคุณที่ช่วยชีวิต ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะหลังจากศ.เอมี่สลบไป ชายหนุ่มที่ทนต่อสายตาของส่วนรวมไม่ได้ เขาจึงจำเป็นต้องช่วยรักษาผู้บาดเจ็บทั้งหมด พอทุกคนทยอยกันกลับไปแล้ว ริวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาว่า
"ขอบคุณมากค่ะ ถ้าไม่ได้เธอช่วยไว้ ทุกคนคงตายหมดแล้ว"
ริวหันไปมองทางต้นเสียง คนที่พูดประโยคนี้ก็คือ ศ.เอมี่ นั้นเอง เขาได้แต่ฝืนยิ้มเพราะการช่วยคนทั้งหมดเอาไว้ มันทำให้เขาต้องเสียดอกกุหลาบไป 5 ดอกเลย พอคิดถึงจุดนี้ทีไร ริวได้ปวดใจทุกที สักพักเสียงอันราบเรียบก็ดังขึ้นมาว่า
"ไม่เป็นไรครับ ผมทำแค่ในส่วนที่ทำได้เท่านั้นเอง ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวเลยละกัน"
คำพูดอันราบเรียบ และการกระทำที่ไม่หวังผลตอบแทนของริว (ความจริงแค่อยากจะหนีไปให้ไกลก่อนจะถูกจับได้ต่างหาก)ทำให้ศ.เอมี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะร้องเรียกริวเอาไว้
“อย่าเพิ่งไปซิ เธอยังไม่แนะนำตัวเลยว่าชื่ออะไร ดูจากบัตรที่หน้าอกแล้ว น่าจะเป็นเด็กที่มาสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ใช่ไหมล่ะ ถ้ายังไงเธอบอกชื่อและรหัสมาละกัน เดี๋ยวฉันเพิ่มคะแนนพิเศษให้ในฐานะที่ช่วยเหลืองานนะ"
"ไม่จำเป็นครับ ผมบอกแล้วว่าทำในสิ่งที่ทำได้เท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวเลยละกัน ผมจำเป็นต้องเตรียมตัวสอบในวันต่อๆไปนะครับ" ใช่ ใครมันจะไปอยากได้คะแนนที่จะทำให้สอบผ่านกัน ตอนนี้ผมแค่อยากจะสอบตกจะตายอยู่แล้ว จากนั้นจะได้บอกลาริเดียเสียที ริวคิดต่อในใจหลังจากที่พูดจบ
ศ.เอมี่ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ริวพูด แต่ขณะที่เธอเป็นอย่างนั้น เขาก็ได้เดินจากไปแล้ว จอมเวทขาวที่อยู่รอบๆต่างเดินเข้าสมทบกับศ.เอมี่ หนึ่งในจอมเวทขาวตำหนิการระทำของริวขึ้นมา
“เด็กอะไรก็ไม่รู้ช่างไร้มารยาทจริงๆ เขาไม่รู้หรือยังไงว่าศ.เอมี่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของผู้อำนวยการ การที่ศาสตราจารย์ยอมคุยด้วยก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว”
“ใช่ แค่ศ.เอมี่ยอมพูดด้วยก็น่าจะดีใจมากแล้ว เด็กอะไรช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลย”
ขณะที่พวกจอมเวทขาวกำลังพูดเรื่องของริวกันสนุกปาก ศ.เอมี่ก็คิดอะไรบางอย่างออก เธอหัวเราะออกมาเบาๆ จอมเวทขาวที่อยู่ใกล้ที่สุดได้แต่ถามออกมาว่า
"ศ.เอมี่ครับ ไม่ทราบว่าคุณหัวเราะเรื่องอะไรหรือ?"
ศ.เอมี่ยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฉันหัวเราะตัวเองนะ ฉันนี้แย่จริงๆ เธอรองคิดดูซิ ถ้าฉันเพิ่มคะแนนสอบให้เขาเพราะเหตุการณ์นี้ อะไรมันจะเกิดขึ้นหรือ?”
“ไม่ทราบครับ” จอมเวทขาวตอบออกมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ศ.เอมี่ถาม
ศ.เอมี่ยิ้มบางๆ“ในกรณีเบาที่สุด ผู้เข้าสอบที่เห็นเหตุการณ์จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การสอบในครั้งนี้ไม่ยุติธรรมต่อพวกเขาเพราะมีคนได้คะแนนพิเศษจากฉันนะซิ “
“แต่ว่าเขาสมควรได้รับมันนี้ครับ”
“ใช่ ทั้งเธอและฉันล้วนคิดเหมือนกัน แต่เธอมั่นใจไหมว่าผู้เข้าสอบทุกคนต่างคิดแบบเดียวกัน เธออย่าลืมว่าผู้เข้าสอบบางคนเป็นถึงลูกหลานผู้มีอำนาจในรัฐต่างๆ พวกเขาต่างอยากเข้ามหาวิทยาลัยโอรีเฟียกันทั้งนั้น เธอคิดว่าพวกเขาจะยอมรับเพราะเหตุผลแค่นี้หรือ? ไหนจะคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อีก พวกเขาจะเชื่อเรื่องที่พวกเราเล่าหรือ?”
จอมเวทขาวที่พูดด้วยถึงกับส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ศ.เอมี่พยักหน้าพร้อมกล่าวต่อว่า“ถ้าการไม่ยอมรับเรื่องคะแนนพิเศษนี้กระจายตัวออกไป มันอาจจะส่งผลให้มีการสอบใหม่ทั้งหมดเลยก็ได้”
“อ้า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมหาวิทยาลัยได้เสียชื่อเสียงแน่ๆ เดี๋ยวก่อนนะครับ ศาสตราจารย์กำลังจะบอกผมว่าเด็กคนนั้นคิดถึงเรื่องนี้ถึงได้ไม่ยอมรับคะแนนพิเศษ เพิ่มหรือครับ?”
รอยยิ้มที่เหมือนกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ได้แสดงขึ้นบนใบหน้าของศ.เอมี่ ตามมาด้วยน้ำเสียงอันสดชื่นของเธอ“ฉันไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคิดอย่างนี้หรือไม่ แต่เท่าที่มั่นใจได้คือเขาไม่ต้องการคะแนนพิเศษอย่างแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ถูกโกรธเพราะเรื่องแบบนี้ ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ "
"ผมว่าเจ้าเด็กนั้นมั่นใจในตัวเองมากเกินไปซะมากกว่า”
"มันอาจจะเป็นอย่างที่เธอพูดก็ได้ เอาเป็นว่าเรื่องนี้หยุดเอาไว้แค่นี้เถอะ พวกนายได้ถามไหมว่าคนที่บาดเจ็บทั้ง5คนไปได้รับแผลพวกนี้มาจากไหน ยิ่งบาดแผลของผู้หญิงที่พาลูกมาด้วย มันเป็นรอยแผลที่เกิดจากรอยฟันของไลแคนชัดๆ ทำไมเวลากลางวันแบบนี้ถึงมีไลแคนอาละวาดทำร้ายคนได้นะ”
จอมเวทขาวทำหน้าเคร่งเครียดแล้ว ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดออกไปว่า “จากที่ได้สักถามพวกเขาทั้ง5คนไปเก็บสมุนไพรและล่ากระต่ายเขาเดียวที่หุบเขามังกรตามปกติ ขณะที่กำลังหาสมุนไพรอยู่นั้น ไลแคนตัวหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าไปทำร้ายพวกเขา แต่โชคดีที่ทหารเฝ้าเขตแดนเห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาช่วยได้ทันเวลา แต่พวกเขาก็รอดมาได้ในสภาพที่เห็นนั้นล่ะครับ ส่วนไลแคนตัวปัญหาก็ถูกจัดการไปแล้วครับ”
รอยยิ้มถูกแทนที่ด้วยสีหน้าแห่งความกังวล น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงดังออกจากปากของศ.เอมี่ว่า
“ถ้าเป็นอย่างที่คนเหล่านั้นพูด นี้ก็เป็นครั้งที่5ของเดือนนี้แล้ว ที่มีสัตว์อสูรหลุดออกมาจากหุบผามังกร สงสัยฉันคงต้องไปตรวจสอบเขตแดนตรงจุดนั้นด้วยตัวเองบ้างแล้วล่ะ“
“ศ.เอมี่ครับ แต่ว่าการจะตรวจสอบเขตแดนระหว่างหุบผามังกร และหุบเขามังกร ต้องได้รับอนุญาตจากผู้นำทั้ง7รัฐก่อนไม่ใช่หรือ? ถ้าคุณไปตรวจสอบโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้นะครับ”
“ช่างหัวไอ้ผู้นำเหล่านั้นซิ เดือนนี้มีคนตายเพราะสัตว์อสูรที่หลุดออกมาจากหุบผามังกร 3คนแล้วนะ ขืนรอขออนุญาตจำนวนคนตายได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆแน่ และยังไม่รู้อีกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปตรวจสอบไหม”
“แต่ว่า....”
“หุบปากไปเลย ถ้ายังคิดที่จะห้ามฉันอีก นับจากนี้ไปนายไม่ต้องมาประจำที่หน่วยจอมเวทรักษาเลย”ศจ.เอมี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“เข้าใจแล้วครับ ”จอมเวทขาวคนนั้นตอบด้วยสีหน้าอับจน
“เอา เป็นว่าเดี๋ยวฉันขอตัวไปตรวจสอบที่นั้นเลยละกัน พวกเธอก็จัดการเก็บข้าวของให้เรียบร้อยด้วยละ ถ้าเกิดคุณพ่อถามอะไรขึ้นมา พวกนายก็บอกว่าฉันไปรักษาคนที่นอกเมืองละกัน"
"รับทราบครับ/ค่ะ"เสียงของเหล่าจอมเวทขาวตอบออกมา
ศ.เอมี่พูดเบาๆว่า"พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันขอดูคะแนนสอบข้อเขียนของเธอหน่อยก็แล้วกัน ผู้เข้าสอบ AR85023"
อีกด้านหนึ่ง
ริวรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้นอีกเป็นสองเท่าของปกติ เขาเดินกลับไปยังต้นไม้ที่มีใบสีขาวตามที่ได้นัดกับเทียน่าเอาไว้ สิ่งแรกที่เห็นคือคนสวมผ้าคลุมได้มายืนรออยู่ก่อนแล้ว เสียงถอนหายใจของริวดังขึ้นว่า
“คุณยังอยู่อีกหรือครับ ตกลงคุณต้องการอะไรจากผมหรือเปล่า?”
คนสวมผ้าคลุมค่อยๆเอาฮูดที่คลุมหัวออก สิ่งที่เห็นคือเด็กผู้หญิงอายุน่าจะราวๆ 12-13 ปี ผมยาวสีทอง เธอผูกผมเป็นเปียกเอาไว้ทำให้ดูน่ารักมากๆ ดวงตาของเธอก็เป็นสีน้ำเงินเข้มราวมหาสมุทร ใบหน้ารูปไข่ ถ้าไม่ติดที่ว่าเธอมีเขาเล็ก 2 อันที่หัว ริวคงคิดว่าเด็กคนนี้เป็นมนุษย์เหมือนเขาแน่ๆ ชายหนุ่มต่างโลกมองเธออย่างละเอียด เขาจะสังเกตเห็นที่หน้าผากของเธอมีดาว 6 แฉกเรืองแสงอ่อนๆอยู่ 1ดวง
“เฮ้อ นี่เธอเป็นผู้หญิงหรือ?”
เด็กสาวที่อยู่ข้างหน้าพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมพูดออกมาว่า"ฉันชื่อ ฟรานเซ็ตก้า ลีโอ ดราฟ ที่ 9 นายจะเรียกว่า ฟราน ก็ได้นะ”
ริวได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะแนะนำตัวเองออกไปว่า “ผมชื่อ อรุณ เทพพิทักษ์ มีชื่อเล่นว่า ริว แล้วไม่ทราบว่าเธอมีเรื่องธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
ฟรานใช้นิ้วชี้มาที่หน้าของชายหนุ่มต่างโลกพร้อมพูดว่า“ริว ฉันขอสั่งให้นายมาแต่งงานกับฉันซะดีๆ "
คำพูดของฟรานทำเอาริวอ้าปากค้างไปเลย แต่ไม่นานเขาก็หุบปากลงพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
“ขอโทษครับ ผมมีแฟนอยู่แล้ว ไม่ว่ายังผมก็ไม่อาจจะแต่งงานกับเธอได้หรอก ตัดใจจากผมซะเถอะ เธอดีเกินไปนะ”
ริวตอบแบบไม่คิดเลย ตอนนี้เขาต้องการไปจากฟรานให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะซวยเพราะเธอเป็นได้ ชายหนุ่มหันหลังเตรียมเดินออกห่างจากฟรานไปทันที
ฟรานหัวเราะเบาๆแล้ว “หึๆๆ ฉันบอกแล้วไงว่านี้เป็นคำสั่ง ถ้าปฏิเสธรู้ไหมว่านายต้องโดนอะไรบ้าง"
"ผมไม่สนครับ"เสียงเย็นยะเยือกของริวดังขึ้นมา โดยที่เขาไม่ได้หันกลับมาสนใจฟรานแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันริวก็คิดขึ้นมาว่า
(นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ผมกับเธอเจอหน้ากันยังไม่ถึง 50 นาทีเลย ยัยเด็กคนนี้ก็จะบังคับให้แต่งงานกับเธอแล้วหรือ? ตกลงว่าตรรกะของโลกใบนี้มันอยู่ตรงไหนกันฟะ หรือว่าที่ริเดียแค่ถูกใจก็ขอแต่งงานได้เลย ไหนจะเรื่องอายุอีก ไม่ว่ามองยังไงยัยคนนี้ก็เป็นเด็ก 12-13 ปีเองนะ ขืนแต่งงานไปมีหวังติดคุกหัวโตเลย ปวดหัวจริงโว้ย เอาเป็นว่าตอนนี้ต้องเผ่นก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นผมอาจจะต้องเข้าไปนอนในคุกเพราะยัยเด็กคนนี้ก็ได้ )
ริวรีบก้าวเท้าเดินต่อไปด้วยความเร็วเป็น 10 เท่าของปกติ แต่เสียงของฟรานก็ดังขึ้นว่า“ ไม่มีทางซะหรอก นายคิดว่าจะหนีจากทายาทจอมมารอย่างฉันไปได้หรือ? นายจงมาเป็นเจ้าบ่าวของฉันซะดีๆ "
ฟรานรีบขยับปากร่ายเวทออกมา ฝ่ามือของเธอมีลำแสงสีแดงพุ่งตรงเข้าใส่ริว เขาที่ไม่คิดว่าฟรานจะทำแบบนี้จึงทำให้หลบแสงสีแดงไม่ทัน เฮ้อ แต่ถ้าพูดกันตามจริง ถึงจะรู้ล่วงหน้าเขาก็ยังคงหลบไปทันอยู่ดีนั้นล่ะ คิดแล้วน้อยใจชะมัดเลย แสงสีแดงเข้าปะทะอย่างเต็มที่ ในตอนแรกริวก็ทำท่ากลัวๆแต่เมื่อเวลาผ่านไป ความกลัวก็เริ่มคลายไปชายหนุ่มจากต่างโลกเริ่มสำรวจร่างกายว่ามีอะไรเปลี่ยนไปไหม ดูเหมือนแสงสีแดงจะไม่มีผลต่อริวแม้แต่น้อย เสียงของฟรานดังขึ้นครั้งว่า
"เอาละ ฉันจะถามอีกครั้ง นายจะแต่งงานกับฉันไหม"
"ไม่ครับ"เสียงที่เต็มเปลี่ยมไปด้วยความมั่นใจดังขึ้นจากปากของริว
ฟรานถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่จริงน่า ทำไมคำสาป ด้ายแดงคล้องใจ ถึงไม่เป็นผล หรือว่าเมื่อกี้ฉันร่ายคำสาปผิดบทไป ถ้าเช่นนั้นแบบนี้เป็นไงบ้างละ”
ฟรานแบมือออกข้างลำตัว คทาสีเขียวมรกตได้ปรากฏออกมาบนมือ ปากของเธอเริ่มร่ายเวทอีกครั้งพร้อมหันปลายคทาไปทางริว แสงสีเขียวจากคทาพุ่งไปห่อหุ้มตัวของริวเอาไว้อีกครั้งก่อนจะหายไป เขาเริ่มสำรวจร่างกายอีกครั้ง แต่ดูเหมือนแสงสีเขียวก็ดูจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเช่นกัน เสียงของฟรานถามขึ้นมาอีกครั้งว่า
"ริว นายต้องการจะแต่งงานกับฉันไหม"
ริวถูกถามเป็นครั้งที่ 3 แม้เขาจะควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่เจอคำถามเดิมซ้ำกัน 3 ครั้ง มันก็ทำให้เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ริวตะคอกกับไปว่า
“ผมบอกไปแล้วว่าไม่เอาครับ คุณอย่าถามซ้ำถามซากจะได้ไหม มันรำคาญ ถ้าคุณฟรานอยากจะหาคนแต่งงานด้วยก็ไปหาคนอื่นเถอะครับ ผมไม่ได้มีรสนิยมรักเด็ก”
เสียงร้องตกใจของฟรานดังขึ้นมา“ไม่จริง!!!! คำสาปมหาเสน่ห์ก็ใช้ไม่ได้ผลหรือ? ตกลงว่านายมีจิตใจที่ยึดมั่นต่อความรักถึงเพียงนี้เลยหรือ?"
ริวเหล่มองกำไลข้อมือ“ไม่รู้สิครับ เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนละกันนะ” ตอนนี้ผมอยากจะไปไกลจากฟรานให้มากที่สุด เพราะถ้าเธอไม่สมหวัง เธออาจจะลงมือจับผมมัดแขน มัดขาและพาเข้าห้องหอเลยก็เป็นได้ ชายหนุ่มที่คิดแบบนั้น เขาก็รีบจ้ำเท้าเดินห่างออกมาอย่างสุดชีวิต
“เดี๋ยวก่อน นายรอฉันด้วย พวกเราต้องมาพูดกันให้รู้เรื่องนะ ทำไมคำสาปถึงไม่มีผลกับนายบอกมาเดี๋ยวนี้เลย"เสียงของฟรานดังตามหลังมา แต่ขณะที่เป็นแบบนั้นเสียงของผู้เข้าสอบคนอื่นก็ดังขึ้นมา
"นั้นทายาทจอมมารไม่ใช่หรือ? ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี้ล่ะ”
ฟรานรีบยกฮูดขึ้นมาปิดหน้าเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้ใครเห็นใบหน้าของเธอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ผู้เข้าสอบทุกคนในบริเวณนั้นต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว สิ่งของต่างๆถูกขว้างเข้าใส่ทายาทจอมมารอย่างไม่เกรงใจ ทุกคนต่างทำเหมือนไม่ต้องการให้ฟรานอยู่ตรงนี้ เสียงโห่ไล่ดังออกจากปากของผู้เข้าสอบแทบทุกคน
“ไป”
“ออกไปเลยนะ”
“ ไอ้ทายาทจอมมารออกไปให้พ้นจากที่นี้ซะ”
"โป๊กๆๆ"
ของสิ่งแรกที่ขว้างใส่เธอคือกระดาษที่ปั้นเป็นก้อน ตามด้วยก้อนหิน ปากกาหรือไม่ก็เศษไม้ ฟรานไม่ได้โต้ตอบอะไร ตรงกันข้ามเธอกลับยืนนิ่งเพื่อให้ผู้เข้าสอบขว้างของใส่เธอ การขว้างปาข้าวของดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ ยิ่งเวลาผ่านไปสิ่งของที่ใช้ปาก็ดูจะมากขึ้น บางคนเริ่มขยับปากร่ายเวทบ้างแล้ว ริวกวาดตามองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นคือผู้เข้าสอบหลาย 10คนกำลังหยิบทุกอย่างที่ใกล้ตัวปาใส่ทายาทจอมมาร ที่น่าแปลกคือทุกคนที่เขามองล้วนมีดาว6แฉกเรืองแสงอยู่ที่หน้าผากแทบทุกคน สิ่งที่ต่างกันคือสีของดาวที่ส่องออกมา บางคนเข้มจนเห็นได้ชัด บางคนจางจนแทบมองไม่เห็น ริวทนเห็นภาพที่เด็กสาวตัวเล็กถูกรังแกต่อไปไม่ไหว เขาจึงตะโกนออกมาว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเองนะ ทำไมทุกคนถึงได้มารุมรังแกเธอแบบนี้ พวกคุณยังมีหัวใจของความเป็นมนุษย์อยู่อีกเหรอ?”
ริวไม่เพียงแต่ตะโกนห้ามเท่านั้น เขายังเอาตัวไปบังฟรานเอาไว้อีกด้วย แต่การกระทำแบบนั้นยิ่งทำให้อารมณ์โกรธผู้เข้าสอบรอบข้างต่างพุ่งสูงขึ้น ใครบางคนได้ตะโกนออกไปว่า
“พวกเราขว้างไอ้บ้านั้นเลย ฉันได้ยินว่ามันโดนคำสาปมัดหัวใจของยัยทายาทจอมมารเข้าไปแล้ว มันถึงได้กล้าปกป้องยัยนั้นจนออกนอกหน้าแบบนี้ จัดการพวกมันทั้งคู่เลย”
เสียงตะโกนทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ริวแทน ก้อนหิน กิ่งไม้ ขยะและสิ่งของต่างๆถูกขว้างมาที่เขาอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่สิ่งของจะถูกริว ของเหล่านั้นกลับชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นจนล่วงลงพื้นก่อน ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างไปเลย ไม่นานเขาก็เหล่มองกำไลข้อมือ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของเทียน่าที่เคยบอกไว้ว่า คุณพ่อได้ร่ายเวทป้องกันเสริมเข้าไปในตัวกำไลด้วย แต่ที่คิดไม่ถึงว่า มันไม่เพียงแต่จะป้องกันเวทกับคำสาปเท่านั้น มันยังสามารถป้องกันสิ่งของที่ปาได้อีกด้วย ริวถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยที่ไม่ทราบเลยว่าดวงตาของสิงโตที่อยู่บนแหวนมีแสงสีแดงจางๆปรากฏขึ้นมา
เมื่อสิ่งของไม่อาจจะทำอะไรพวกริวได้ จึงเริ่มมีผู้ใช้เวทมนต์โจมตีใส่พวกริวแทนเศษขยะ แถมระดับเวทที่ใช้ก็ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากเวทลมธรรมดา กลายเป็นแท่งน้ำแข็งอันแหลมคม ก้อนหินติดไฟ ไม่ก็ลูกศรระเบิดตามลำดับ กำแพงที่มองไม่เห็นยังคงสลายเวทได้ทุกครั้ง ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถทำอะไรพวกริวได้ บางคนถึงกับถอดใจ บางคนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นเพราะความเหนื่อยล้า ในขณะที่ทุกคนกำลังถอดใจกับสิ่งที่เห็น เสียงของใครบางคนพูดขึ้นมาว่า
“นี่มัน เวทบาเรียศักดิ์สิทธ์นี้!!!”
เสียงตะโกนนั้นทำเอาหลายคนที่ปาของต่างหันมาจับจ้องริวเป็นตาเดียว แน่นอนว่า ฟรานเองก็เป็น 1 ในนั้น เธอมองริวด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก เนื่องจากเวทบาเรียศักดิ์มีแต่ผู้ที่เป็นจอมเวทย์ระดับ Mega Magician ขึ้นไปจึงจะใช้ได้ แล้วทำไมคนเข้าสอบคนนี้ถึงใช้มันได้ล่ะ นี้คือสิ่งที่ผู้เข้าสอบรวมไปถึงฟรามต่างคิดขึ้นมาตรงกัน หนึ่งในพวกที่ยังไม่ยอมถอดใจก็เริ่มโมโหขึ้นมา
"แกเก่งนักใช่ไหม ในเมื่อแกคิดจะเข้าข้างทายาทจอมมารมากนัก แกก็จงรับเวทบทนี้ไปซะเถอะ มหาบอลเพลิงพระกาฬ"
บอลเพลิงที่มีขนาดพอๆกับล้อรถยนต์ถูกปาใส่พวกฟรานในทันทีที่เสียงตะโกนเงียบลง ริวพยายามที่จะวิ่งหนีแต่ขากับสั่นจนไม่อาจจะก้าวไปไหนได้เลย ด้านฟรานเมื่อเห็นริวไม่ยอมหนี เธอก็ไม่ยอมหลบเช่นกัน บอลเพลิงตรงเข้าปะทะกับบาเรียที่มองไม่เห็น
“ตูม!!!!”
บอลเพลิงลูกแรกหายไปในพริบตาที่ปะทะกับบาเรีย ชายคนนั้นเดิมยังไม่ยอมแพ้ เขาสร้างบอลเพลิงแบบเดียวกันขึ้นมาอีก 7- 8 ลูก ก่อนจะใช้มันโจมตีใส่ริวอย่างไม่หยุด
“ตูมๆๆ”
บอลเพลิงแต่ละลูกที่ตรงเข้ามาปะทะต่างมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั้งมาถึงลูกสุดท้าย ชายที่สร้างบอลเพลิงแสดงอาการหอบอย่างเห็นได้ชัด เขามองบอลเพลิงที่สร้างขึ้นมาด้วยพลังเวททั้งหมดที่เหลืออยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อยว่า
“นี่คือ มหาบอลเพลิงที่รุนแรงที่สุดของฉัน จงรับไปซะ มหาบอลเพลิง DX “
“ตูม”
บอลเพลิงมาปะทะกับบาเรียเวทอีกครั้ง ก่อนที่จะทะลุผ่านไปยังริว สีหน้าของผู้ที่สร้างดีใจขึ้นมาแวบหนึ่ง จังหวะที่เขากำลังดีใจอยู่นั่น ริวได้เอามือขึ้นมาบังหน้าพร้อมหลับตาลงด้วยความกลัว บอลเพลิงพุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มจากต่างโลกโดยห่างไม่ถึง10ซม. แต่ขณะที่เป็นแบบนั้นแหวนรูปราชสีห์กลับอ้าปากกว้างขึ้นมา และมันดูดกลืนลูกบอลไฟขนาดยักษ์ให้หายไปในพริบตา
“ซูบ”
เวลาผ่านไปเล็กน้อย ริวที่ไม่รู้สึกเจ็บอะไร เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาสภาพโดยรอบอย่างงงๆเพราะตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมายังชายหนุ่มจากต่างโลกแทนที่จะเป็นฟรานแล้ว ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ปาบอลเพลิงออกมา ผู้เข้าสอบคนนั้นชี้นิ้วมาที่ริวด้วยอาการสั่นไปทั้งตัว น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ายังไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นดังขึ้นว่า
“เป็นไปไม่ได้!!! แกสลายเวทบทนั้นได้อย่างไรกัน”
ขณะที่เสียงชายคนนั้นดังจบ เสียงจากผู้เข้าสอบที่อยู่รอบๆก็เริ่มดังขึ้นแทนว่า “นั้นมันบอลเพลิงขั้นสูงสุดไม่ใช่หรือ? ทำไมแต่ถูกปัดนิดเดียวถึงกับสลายไปเลยล่ะ ไอ้บ้านี้มันเป็นใครกันแน่”
“สุดยอด!! ชายคนนั้นใครกัน แค่ตบเบาๆก็สลายเวทระดับสูงได้แล้ว”
"เอ๊ย นั้นคนที่ช่วยผู้คนเจ็บเมื่อสักครู่ไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นได้ล่ะ เขาไม่ใช้จอมเวทขาวหรอกหรือ?"
“ไอ้บ้าจอมเวทขาวแบบไหนกันที่สลายเวทบอลเพลิงขั้นสูงสุดได้โดยการปัดอย่างนี้ ชายคนนี้เป็นจอมเวทดำต่างหาก”
“แกนั้นละบ้า แกคงไม่รู้ซินะว่าชายคนนี้เพิ่งจะใช้เวทรักษาขั้นสูงช่วยรักษาคนป่วยที่ใกล้ตายจนหายเป็นปกติ ถ้าชายคนนี้ไม่เป็นจอมเวทขาวก็ไม่มีใครสมควรจะเป็นแล้ว”
“จอมเวทดำ”
“จอมเวทขาว”
เสียงของผู้เข้าสอบรอบข้างดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนมามุงดูมากขึ้น ริวได้แต่ทำหน้างงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น สักพัก ฟรานก็กระตุกเสื้อของเขา ก่อนจะพูดว่า
“จังหวะนี้ล่ะ พวกเรารีบหนีกันเถอะ”
ขณะที่ฟรานพูดจบ ใครบางคนก็เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาหาพวกริว คนที่เดินเข้ามาเป็นชายผมสีแดงเพลิง ดวงตาสีแดง ส่วนสูงพอๆกับริว หน้าตาคมสัน แม้จะไม่หล่อมากนักแต่ท่าทางและใบหน้าดูเข้มสุดๆ เขาสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีดำไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็ดูหล่อเหมือนนายแบบเลย เมื่อเอาชายคนนี้มายืนเทียบกับริวแล้ว มันทำให้เขากลายเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุงในทันที ชายคนนั้นชี้หน้าฟราน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
"แกนะรู้ไหมว่าคนที่อยู่ข้างหลังแกเป็นใคร ถ้าแกรู้ก็จงรีบหลบไปซะ คนอย่างยัยนั้นไม่ควรมาอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้"
ริวหันมามองฟรานด้วยสายตางงๆ เพราะเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟรานจริงๆ ไม่ซิ เขาไม่สนใจเรื่องของเธอเลยต่างหาก การที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำร้ายอย่างไม่มีเหตุผลจากคนรอบข้าง มันก็มากเกินพอที่จะให้เขายื่นมือมาปกป้องแล้ว ริวจ้องหนุ่มผมแดง ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ไม่ทราบครับ และไม่อยากจะรับรู้ด้วย ยิ่งคำพูดของคนที่เสนอหน้ามาออกมาเพื่อจะรังแกเด็กผู้หญิงแบบนี้ด้วยแล้ว ผมไม่คิดจะฟังแม้แต่น้อย เชิญคุณกลับไปเถอะครับ ”
ชายที่พูดด้วยเริ่มมีสีหน้าที่แดงขึ้นมา หมัดถูกกำแน่น ดวงตาเริ่มแข็งกร้าวขึ้น อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคำพูดของริวได้ทำให้ชายคนนี้โกรธขึ้นมาแล้ว ผู้เข้าสอบที่อยู่รอบๆต่างอึ้งไปตามกันเพราะพวกเขาทราบดีว่าชายหนุ่มผมแดงคนนี้คือใคร มีเพียงคนบ้ากับคนโง่เท่านั้น ที่จะทำการต่อปากต่อคำกับคนผู้นี้ ทุกคนที่อยู่รอบๆเริ่มถอยห่างออกไปเพราะพวกเขาทราบว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ ฟรานเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เสียงของชายเดิมดังก้องขึ้น
"แก!!! มันจะมากไปแล้วนะ ในเมื่อแกมาดูถูกกันขนาดนี้ก็อย่าอยู่ต่อไปอีกเลย"
ชายหนุ่มผมแดงสร้างกงจักรเพลิงขึ้นมาในมือซ้าย เขาจัดการขว้างมันออกมา กงจักรเพลิงเริ่มแตกตัวออกจาก 1 ไปเป็น 2 จาก 2 ไปเป็น 4 ละจาก 4 ไปเป็น 16 อัน ทุกอันล้วนตรงเข้ามาทำร้ายทั้ง 2 คน กงจักรเพลิงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางนั้นจนไม่สามารถหาทางหลบหลีกได้เลย แม้ริวจะเห็นกงจักรชัดเจน แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ยอมทำตามที่สั่งแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็แค่เอามือขึ้นมาป้องกันตัวอีกครั้ง แหวนราชสีห์กลับอ้าปากออกมาอีกครั้ง
“ซูม”
กงจักรเพลิงหายเข้าไปในปากสิงโตอีกครั้ง ภาพที่คนรอบข้างและชายหนุ่มผมแดงเห็น คือ ริวยกมือขึ้นมาป้องกันตัวเพียงเล็กน้อย กงจักรเพลิงทั้ง16 อันก็สลายไปจนหมด แถมเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือขยับปากเพื่อร่ายเวทออกมาช่วยเลย สิ่งที่เห็นทำเอาคนที่อยู่รอบๆเงียบลงไปพร้อมกัน ทุกคนต่างจับจ้องมาที่ริวด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน คนเพียงคนเดียวที่ดูจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือเจ้าของกงจักรเพลิง ขณะนั้นเองเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาว่า
"พวกเธอกำลังทำอะไรกันน่ะ พวกเธอไม่รู้หรือยังไงว่าที่นี่คือสถานที่สอบไม่สมควรใช้กำลัง หรือ ทะเลาะวิวาทกันเองแบบนี้"
คนที่พูดออกมาคืออาจารย์ผู้คุมสอบริวโตะ การที่อาจารย์มาอยู่ที่นี้เพราะมีผู้เข้าสอบได้แจ้งเรื่องการต่อสู้ในบริเวณนี้ เขาจึงต้องมาทำหน้าที่ตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง พอมาถึงก็ได้เห็นริวกำลังปกป้องฟรานอยู่ ในตอนแรกอาจารย์ริโตะคิดจะออกมาห้ามแต่อีกใจก็อยากทราบฝีมือของริวยิ่งคู่ต่อสู้เป็นชายผมแดงด้วยแล้ว การต่อสู้นี้จึงน่าสนใจทีเดียว เขาจึงเปลี่ยนจากการเข้าไปช่วยมาเป็นการเฝ้ามองอยู่ห่างๆแทน เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงแล้ว อาจารย์ผู้คุมสอบจึงค่อยได้ออกมา
อาจารย์ริวโตะจ้องมองริว ก่อนจะหันไปมองชายที่ใช้กงจักรเพลิง ก่อนกล่าวว่า“เธอคงรู้ซินะว่าการใช้เวททำร้ายคนอื่นในสถานที่สอบจะมีผลอย่างไง ต่อให้เธอเป็นองค์ชายแห่งรัฐพระเพลิงก็ไม่อาจจะหนีบทลงโทษไปได้หรอกนะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะไอ้หมอนี้ต่างหาก ถ้ามันไม่ปกป้องทายาทจอมมาร ผมก็ไม่จำเป็นต้องลงมือ คนที่ทำผิดคือหมอนั้นต่างหาก” องค์ชายแห่งรัฐพระเพลิงชี้นิ้วไปที่หน้าของริวอย่างไม่เกรงใจอาจารย์ริวโตะแม้แต่น้อย ผู้สมัครสอบบางคนถึงกับพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้
ฟรานพยายามก้มหน้าลงเพื่อปิดหน้าอย่างสุดชีวิต ริวมองเธออย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะกวาดตาไปมองทุกคนอีกครั้ง สิ่งเดียวที่แปลกไปจากตอนแรกคือ ดาว6แฉกที่อยู่บนหน้าผากของผู้เข้าสอบ บางคนเริ่มมีสีเข้มขึ้นตามอารมณ์โกรธ บางคนกลับหายไปพร้อมสีหน้าที่ดูตกใจ
ริวได้แต่คิดขึ้นมาว่า(ตกลงว่าไอ้ดาว6แฉกที่อยู่บนหน้าผากของผู้เข้าสอบบางคนนี้มันอะไรกัน แฟชั่นของที่นี้หรือยังไงกัน มีกันเกือบทุกคนเลย ไม่ว่าจะหญิง ชาย พวกต่างเผ่าพันธุ์ ไหนจะพวกเอลฟ์อีก ล้วนมีกันเกือบหมด ดาว6 แฉกยังสามารถเปลี่ยนสีไปตามอารมณ์ของคนอีกด้วย น่าสนใจจริงๆ ดูไปก็เท่ดีเหมือนกัน)
ระหว่างริวที่กำลังสนใจดาว6แฉกอยู่นั้น อาจารย์ริวโตะตะโกนขึ้นมาว่า “ไอ้พวกเด็กบ้า!! พวกเธอเอาสมองส่วนไหนคิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ จริงอยู่เด็กผู้หญิงคนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับจอมมารในอดีต แต่เธอก็ไม่ใช่จอมมารหรือคนที่ร่ายคำสาปเพื่อทำลายรัฐทั้ง 7 สักหน่อย พวกเธอทั้งหมดเอาความโกรธแค้นไปลงกับเด็กคนนี้ มันถูกต้องแล้วหรือยังไงกัน ตระกูลฟรานเซ็ตก้าได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐแห่งนี้ พวกเขามีสิทธ์และฐานะเหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเธอ การที่ทุกคนไปรุมทำร้ายเด็กตัวแค่นี้ไม่เพียงแต่ผิดกฎของสนามสอบเท่านั้น มันยังผิดกฎหมายแห่งรัฐนี้อีกด้วย พวกเธออยากจะให้ฉันเรียกตามหน่วยรักษาความปลอดภัยมาจับตัวไปลงโทษเลยไหมล่ะ"
"แต่ว่า........."เสียงของชายผมแดงดูอ่อนลงเล็กน้อย แต่เขายังจ้องมาทางริวและฟรานด้วยสีหน้าโกรธแค้นไม่หาย
อาจารย์ริวโตะพูดออกมาว่า “ท่าทางเธอจะไม่สำนึกผิดอะไรเลย ถ้าเช่นนั้นฉันจะขอตัดสิทธิ์ในการสอบรอบ 2 เพื่อเป็นการลงโทษแล้วกัน ส่วนคนอื่นๆที่สนับสนุนการกระทำในครั้งนี้ก็เตรียมใจโดนทำโทษโดยการหักคะแนนเอาไว้ด้วยล่ะ"
ริวยิ้มบางๆ พร้อมคิดขึ้นมาว่า(สมน้ำหน้า ถ้าพวกแกไม่รังแกคนอื่นก่อน มันก็คงไม่ต้องลงเอยแบบนี้หรอก น่าเสียดายที่ลงโทษเบาไปหน่อย ถ้าจะให้ดีต้องไล่ออกจากสนามสอบไปเลย เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าพวกนั้นโดนทำโทษขึ้นมาจริงๆ เรื่องมันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ แถมไอ้ผมแดงคงยอมจบเรื่องแค่นี้แน่ ทางที่ดีต้องทำให้เรื่องเงียบโดยเร็วเพื่อตัวเองแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นผมได้ถูกยัยเทียน่าบ่นจนหูชาแน่ๆ )
ริวที่คิดแบบนั้น เขาแกล้งถอนหายใจ ก่อนจะพูดออกไปว่า"ขอโทษนะครับ อาจารย์ผู้คุมสอบ ท่าทางคุณจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว นี้ไม่ใช่การทะเลาะกันหรอกครับ พวกเราแค่แลกเปลี่ยนความรู้กันเฉยๆ”
“เธอพูดแบบนี้ มันหมายความว่ายังไงกัน”น้ำเสียงสงสัยของอาจารย์ริวโตะถามขึ้น
ริวยิ้มพร้อมอธิบายออกมาว่า”แม้เรื่องในครั้งนี้จะมีการใช้เวทมนตร์จริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้แม้แต่น้อย ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเหมือนกัน เมื่อไม่มีคนเจ็บจะเรียกว่า การหาเรื่อง หรือทะเลาะกันได้ยังไง น่าจะเรียกว่าการแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันมากกว่านะครับ ถ้าไม่เชื่ออาจารย์จะถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ดูก็ได้นี่ครับ”
แน่นอนว่าคำพูดของริวทำเอาผู้ที่คิดจะทำร้ายฟรานต่างนิ่งเงียบไปตามกัน แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกตัวทัน พวกเขารีบตะโกนบอกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามที่ริวบอก เสียงตะโกนจาก 1 เสียงกลายเป็น 2 เสียง 4 เสียง ก่อนจะลามไปยังคนเกือบทั้งหมด
อาจารย์ริวโตะหันมาจ้องริว พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า“เธอรู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา การที่พูดอย่างนั้นเท่ากับว่าเธอกำลังจะช่วยคนที่คิดร้ายต่อพวกเธออยู่นะ”
"แล้วมันเป็นยังไงหรือ? จริงอยู่พวกเขาอาจจะทำร้ายพวกผม แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสักหน่อย การที่อาจารย์ตัดสินลงโทษเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ผมว่ามันดูหนักเกินไปนะครับ อาจารย์ว่าจริงไหมละ”
อาจารย์ ริวโตะเงียบลงทันที คำพูดของริวทำเอาเขาพูดอะไรต่อไม่ได้เลย ไม่นานเขาก็พูดออกมาว่า“ตกลงว่าเธอไม่คิดจะเอาผิดกับคนที่คิดร้ายเลยใช่ไหม”
“ถูกต้องแล้วครับ” ใช่ อาจารย์รีบจบเรื่องให้เร็วๆเลย ไม่เช่นนั้นยัยน้องตัวแสบของผมรู้เข้ามีหวังหูชาแน่ๆ ริวคิดต่อในใจ
“ฮ่าๆๆๆ”เสียงหัวเราะของอาจารย์ริวโตะดังขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ช่างน่าสนใจจริงๆ ในเมื่อเธอไม่สนใจ ฉันก็จะไม่ลงโทษพวกเขาตามที่ขอก็ละกัน แต่ขอให้เธอต้องเข้าใจด้วยว่าการทำดีกับพวกไร้เหตุผล มันอาจส่งผลเสียย้อนกลับมาทำร้ายเธอในวันหน้าก็ได้ เมื่อเป็นแบบนี้เธอยังอยากจะทำอีกไหม"
"มันก็ไม่แน่เสมอไปนี่นะครับ จริงอยู่อาจจะมีคนแบบนั้นปนอยู่ในคนหมู่มาก แต่ในทางกลับกัน คนที่สำนึกผิดในการกระทำของตัวเองต้องมีอยู่แน่ๆ แล้วจะให้ผมปล่อยคนเหล่านั้นไปได้ยังไง”อีกอย่างหนึ่งนะต่อให้คนทั้งหมดคิดจะทำร้ายผมอีก พวกเขาคงไม่ทำร้ายผมในช่วงวันสอบอีกแล้วละ ส่วนหลังจากสอบจบเสร็จ ผมคงไม่อยู่ในริเดียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกมันจะไปหาผมได้ที่ไหน ริวคิดต่อในใจโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ตอบได้ดี ถ้าเธอยืนยันแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ขอให้เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดต่อไปก็แล้วกัน ส่วนบทลงโทษทั้งหมด ฉันจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”อาจารย์ริวพูดออกมาก่อนจะเดินจากไปทันที เมื่ออาจารย์จากไปแล้ว เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ดังขึ้นไปทั่ว แน่นอนว่าผู้เข้าสอบต่างทยอยกันจากไป บางคนส่งสายตาขอบคุณมาให้ริว บางคนมองเขาด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก แต่ก็มีบางคนที่สะบัดหน้าจากไปทันทีโดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน
ริวไม่ได้สนใจอะไรกับคนพวกนั้น เขาเดินกลับไปยืนที่ต้นไม้สีขาวเหมือนเดิม โดยลืมเป้าหมายในตอนแรก(เรื่องหนีจากฟรานให้ไกลที่สุด)ไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่เป็นแบบนั้นชายผมแดงได้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมพูดขึ้นว่า"ฉันจะไม่ขอบคุณนายหรอกนะ เพราะฉันไม่ผิด การมีตัวตนของยัยทายาทจอมมารต่างหากที่ฝ่ายผิด"
เจ้าของกงจักรเพลิงมองไปยังฟรานที่อยู่ใกล้ๆด้วยสายตาไม่เป็นมิตร สักพักเขาก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่ก่อนที่ชายผมแดงจะจากไป เขาหันมาพูดกับริวว่า
"ฉันชื่อ ชาง เฟยหู่ ทายาทแห่งพระเพลิง นายละชื่ออะไร"
"ริว"
ชางยิ้มก่อนจะเดินจากไป คนที่อยู่รอบๆก็เริ่มจะสลายตัวไปอย่างช้าๆ ฟรานหันมามองชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้หยิบเกมออกมาเล่นอีกครั้งโดยไม่สนใจเธอหรือคนที่อยู่รอบๆแม้แต่น้อย เสียงของฟรานดังขึ้นว่า
"ขอโทษนะ เพราะฉันแท้ๆนายถึงได้เดือดร้อนแบบนี้"
“ช่างเถอะ ในเมื่อทุกอย่างจบแล้ว เธอก็ไม่ต้องพูดอะไรหรอก”ริวตอบออกมาทั้งที่ตายังจับจ้องอยู่ที่เกม
ฟรานจ้องมองริว ก่อนจะถามอย่างช้าๆว่า “ทำไมนายต้องช่วยฉันด้วยล่ะ ”
“การช่วยคน มันต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”
"หึๆ นายคงไม่รู้ซินะว่าฉันเป็นทายาทของจอมมารที่คิดจะทำลายโลกใบนี้ แถมยังเป็นทายาทจอมมารที่ร่ายคำสาปใส่รัฐแห่งนี้เอาไว้ คราวนี้นายเริ่มจะกลัวฉันบ้างหรือยัง”
ริวถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เนื่องจากเขาคงไม่ได้เล่นเกมต่อแน่ ถ้ายังทำให้ฟรานหุบปากไม่ได้ ชายหนุ่มจัดการเก็บเครื่องเกมลงกระเป๋าคาดเอว จากนั้นเขาก็หันมามองฟรานตั้งแต่หัวจรดเท้า
"ขอถามหน่อยนะ เธอคิดจะทำลายโลกใบนี้หรือ?"
"ไม่ ขืนทำ ฉันกับแม่ก็ตายด้วยนะซิ ใครมันจะไปอยากทำแบบนั้นกัน"
"ถ้าเช่นนั้น เธออยากจะครอบครองโลกใบนี้ไหมล่ะ"
ฟรานส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว"ไม่แค่เรื่องภายในบ้านและไร่นาที่มีอยู่ ฉันก็ดูแลแทบจะไม่ไหวแล้ว ฉันจะอยากครอบครองโลกไปทำไมกัน ทั้งเสียเวลา ทั้งเหนื่อยสุดๆ”
"ถ้าเช่นนั้นเธออยากจะฆ่าคนไหมล่ะ"
ฟรานทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก"มันก็เคยคิดบ้าง แต่ฉันไม่กล้าทำหรอก ตกลงว่านายถามเรื่องแบบนี้ไปทำไมกันหรือ?"
เสียงถอนหายใจของริวดังขึ้น ก่อนตามมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “เฮ้อ ถ้าทุกอย่างที่เธอตอบเป็นความจริง แล้วมันมีเหตุผลข้อไหนที่ผมต้องกลัวเด็กอายุ 13 ปีแบบเธอด้วยล่ะ”
“17 !! ฉันอายุ 17 ปีแล้วนะ”ฟรานเถียงออกมาทันที
ริวถึงกับอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน ไม่นานเขาก็กล่าวว่า “ผมว่าเรื่องที่เธออายุ 17 ยังดูน่าตกใจกว่าเรื่องที่เธอเป็นทายาทจอมมารอีกนะ”
ฟรานอ้าปากค้างไปอีกรอบ ไม่นานเสียงของริวก็ดังต่อว่า”ในเมื่อเธออยากจะให้ผมกลัวเธอจริงๆ เธอก็ช่วยบอกเหตุผลออกที่ทำให้ผมกลัวมาสักข้อละกัน อ้อ ขอบอกไว้ก่อนเลย วันนี้มีเรื่องทำให้ผมตกใจมามากเกินพอแล้ว ถ้ายังไงช่วยคิดให้ดีก่อนจะตอบก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นผมไม่มีทางตกใจกลัวเธอแน่ๆ"
ฟรานทำหน้าบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ริวพูดออกมา สักพักเสียงหัวเราะของเธอก็ดังขึ้นมา “ฮ่าๆๆ นายนี้ช่างประหลาดคนจริงๆนะ ถ้าเป็นคนปกติแค่ได้ยินคำว่า ทายาทจอมมาร ทุกคนไม่แสดงสีหน้ารังเกียจก็ต้องแสดงท่าทางโมโหออกมา แต่นายกลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แถมนายยังให้ฉันหาเหตุผลมาอ้างให้นายกลัวอีก ตกลงว่านายยังสติดีหรือเปล่า "
ฟรานถอดฮูดสวมไว้ออก ริวได้เห็นหน้าของเธออีกครั้ง มันทำเอาเขาใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะดวงตาของฟรานในตอนนี้ดูงดงามมากๆ เขารีบสะบัดหน้าไป-มา ก่อนจะคิดว่า
(คุก คุก คุก ผมไม่อยากนอนในคุกนะ โว้ย ขืนยุ่งกับยัยบ้านี้ไปมากกว่านี้มีหวังไปนอนในคุกแน่ๆ ไหนจะข้อหาพรากผู้เยาว์อีก ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ผมไม่ใช่โลลิคอนนะ!!!! )
ขณะที่ริวเป็นแบบนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาว่า"พี่ค่ะ ไม่ทราบว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่"
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ศ.เอมี่ ใช้พลังตัวเอง แล้วคนเขียนก็บอกแล้วว่าแขนขาดขาขาด ใช้แรงตัวเองกับใช้เครื่องทุ่นแรง อันไหนมันจะสะดวกหรือเหนื่อยน้อยกว่ากัน คิดดูดีๆค่ะ
โหย เสี่ยริว เท่ จะมาดเท่ไปไหน แต่ความคิดในใจพี่นี่ตรงข้ามมากเลย ขอบอก