ตอนที่ 44 : บทที่ 11 คนธรรมดา กับ ราชินีแห่งเอลฟ์ ตอนที่ 1 (เพิ่ม 12 หน้า
แจ้งก่อนอ่าน เนื่องจากงานที่ยุ่งแบบสุดๆ เพิ่งจะว่างวันนี้เอง เลยขอลงให้ 11 หน้านะครับ
ปล. เดี๋ยวจะลงตอนใหม่ให้วันพฤหัสนะครับ (วันนี้เพิ่มให้อีก11 หน้า)
ปล2. ตอนนี้ยังไม่ได้แก้อะไร เดี๋ยวจะตามแก้ทีหลังจึงเรียนมาเพื่อทราบ (ไม่ได้มีเวลาเช็คคำผิดเลย เหนื่อยมากครับ)
บทที่ 11
คนธรรมดา กับ ราชินีแห่งเอลฟ์ ตอนที่ 1
หลังจากนั้น 30 นาที
“กึกๆๆ”
เสียงรถเทียมเพกาซัสกำลังล่อนลงจอดที่ถนนลูกรัง ก่อนจะวิ่งตรงต่อไป ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถรีบยื่นศีรษะออกมานอกหน้าต่าง เขาเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ต้นไม้นี้น่าจะสูงพอๆกับตึกใบ*ตู๊ด*สอง แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับกำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างอยู่รอบต้นไม้ มันเป็นกำแพงที่ยาวไปจดสุดสายตา ขณะที่ริวกำลังมองภาพตรงหน้าอย่างสนใจทุกรายละเอียด เสียงของน้องสาวสุดที่รักก็ดังขึ้นว่า
“พี่คะ อย่ายื่นหน้าออกไปแบบนั้นสิ มันอันตรายนะ”
ชายหนุ่มได้แต่ยอมถอยกลับมานั่งในท่าปกติ ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่อยู่ข้างๆ “ขอโทษที พอดีพี่อยากจะรู้ว่าเมืองที่พวกเรากำลังจะไปนั้นเป็นอย่างไง มันก็เลยอดใจไม่ไหวนะ”
เทียน่ายิ้มอย่างเหนื่อยใจ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร เด็กผู้หญิงผมทองที่ตอนนี้ใส่ชุดเดรสสีขาวขอบฟ้า ด้านหลังผูกโบว์ สวมรองเท้าสีขาว เธอทำท่าจะยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่างเหมือนที่ชายหนุ่มทำทุกประการ โชคดีที่พี่เซนะจับตัวไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้น ยูเรียคงทำท่าเลียนแบบพี่ชายไปแล้วแน่ๆ
“พี่คะ ระวังตัวหน่อยสิ เห็นไหมว่ายูเรียเลียนแบบการกระทำของพี่แล้วนะ นี่ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมาพี่ต้องเป็นคนจะรับผิดชอบด้วยล่ะ” เทียน่ารีบพูดเป็นการเตือนสติริว
ริวเอามือขวาทุบฝ่ามือซ้ายราวกับเพิ่งจะนึกถึงเหตุผลนี้ได้ ชายหนุ่มรีบก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยูเรีย หนูยังเด็กเกินไปที่จะทำแบบนี้ เอาไว้โตมากกว่านี้ก่อน แล้วพี่จะสอนวิธีเอาศีรษะออกนอกรถแบบถูกต้อง.........โอ้ย”
เสียงร้องของริวดังขึ้นก่อนจะพูดจบ จากนั้นเขารีบหันไปมองน้องสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ “เทียน่า ทำไมต้องมาหยิกแขนพี่ด้วยละ”
คิ้วของเทียน่าขมวดเข้าหากัน ดวงตาที่แฝงไปด้วยความโกรธจับจ้องไปที่พี่ชาย ก่อนจะจัดการใช้มือปิดแขนไปอีกครั้ง
“พี่อย่าไปสอนอะไรผิดๆให้เด็กแบบนั้นสิคะ แค่คิดจะยื่นศีรษะออกไปนอกรถที่กำลังวิ่งมันก็ผิดล่ะ”
“โอ๊ยๆๆ พี่ผิดไปแล้ว ช่วยหยุดบิดแขนซะที เจ็บจะตายอยู่แล้ว”ริวร้องขึ้นมาทั้งน้ำตา
มือที่บิดแขนของเทียน่าคลายลง ริวรีบยกแขนข้างที่ถูกบิดมาเป่าเพื่อบรรเทาความเจ็บ อีกพักหนึ่งชายหนุ่มก็หันไปพูดกับยูเรียด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เนื่องจากน้องสาวสุดที่รักส่งสายตามาเตือนว่า ถ้าไม่รีแก้ไขคำพูด พี่ได้เจอบิดแขนอีกรอบแน่ เฮ้อ ยัยตัวแสบ นี่เธอเป็นน้อง หรือเป็น แม่กันแน่ฟะ
“ยูเรีย หนูห้ามทำแบบนี้อีกนะ การจะยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่างเวลารถยังวิ่งอยู่เป็นอะไรที่อันตรายมากๆเลยนะ”ริวตอบด้วยเสียงราวท่องบทสวดมนตร์
เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตส่งสายตามาที่ชายหนุ่ม ริวได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัว “ตายล่ะ เล่นถามว่าถ้ามันอันตรายแล้ว พี่ทำลงไปทำไมกัน เจอแบบนี้จะให้ตอบยังไงดีนะ”
สายตาของเทียน่ายิ่งทิ่มแทงชายหนุ่มหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม ริวฝืนยิ้มพร้อมโค้งตัวให้กับยูเรีย “พี่ขอโทษจ้ะ ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขอความกรุณาอย่าเลียนแบบอีกเลยนะ ส่วนที่ถามว่ามันอันตรายยังไง ยูเรียก็มองตามนิ้วของพี่ก็แล้วกัน”
“โอ๊ย!!”เสียงร้องของริวดังขึ้นเพราะถูกบิดเนื้อเป็นรอบที่ 3 แต่เขายังใช้นิ้วชี้ไปที่น้องสาว อีกทั้งยังกล่าวต่อ
“เห็นหรือยัง นี่ละอันตรายที่จะเกิดขึ้น เมื่อยื่นศีรษะออกไปขณะที่รถม้ากำลังวิ่ง จำไว้นะ ห้ามหนูทำอย่างเด็ดขาดเข้าใจไหม”
“โอ๊ยๆๆๆ เนื้อจะขาดแล้วนะ ยัยตัวแสบ”เสียงของริวยิ่งร้องดังขึ้น เนื่องจากเทียน่าบิดแขนเป็นครั้งที่ 4
เทียน่าหันไปมองยูเรียด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนมือของเธอก็ยังคงบิดแขนพี่ชายต่อไป “ยูเรีย อย่าไปฟังที่พี่ริวพูดเลยนะ การยื่นศีรษะออกไปนอกรถในขณะวิ่งอยู่นั้น มันจะทำให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ไม่ว่ายังไงห้ามหนูทำอย่างเด็ดขาดนะจ้ะ”
ยูเรียพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเธอพยักหน้าเพราะเข้าใจในเหตุผลที่เทียน่าต้องการจะสื่อ หรือ พยักหน้าเนื่องจากสภาพของชายหนุ่มที่กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาที่เธอกันแน่
หัวหน้าสาวใช้ที่เห็นการกระทำของสองพี่น้อง เธอได้แต่หันไปมองนอกหน้าต่างเพื่อกั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เพียงชั่วครู่รถม้าก็ได้หยุดวิ่ง คนขับรถม้าเดินมาเปิดประตูพร้อมทำท่าเชิญให้ทุกคนลงจากรถม้า ก่อนที่พวกชายหนุ่มจะก้าวลงจากรถม้า พี่เซนะก็พูดขึ้นมาว่า
“รอก่อนค่ะ คุณหนูริวคิดจะลงรถไปทั้งแบบนี้เลยหรือคะ”
ริวทำหน้าไม่เข้าใจในคำถาม แต่เขาก็ยังตอบไปตามตรงว่า “ใช่ครับ คุณเซนะมีปัญหาอะไรหรือ?”
หัวหน้าสาวใช้ยิ้มเจื่อนๆ “คุณหนูริวคะ ด้วยฐานะของคุณหนูในวันนี้ ขืน คุณหนูจะเข้าเมืองในสภาพแบบนี้ ดิฉันกลัวว่ายังไม่ทันเหยียบเข้าเมือง พวกเราก็คงจะหันหลังกลับแทบไม่ทันแล้วล่ะ”
ริวถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เพราะเขาก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ขนาดในสถานีรถโดยสารยังเป็นถึงขนาดนั้น แล้วในเมืองจะเป็นขนาดไหนล่ะ ไหนจะกลุ่มคนที่ต่อต้านวีรบุรุษอีก การเดินเข้าเมืองไปก็เหมือนกับเดินเข้าไปให้พวกนั้นกระทืบตามใจชอบเลย เฮ้อ ไอ้หิวก็หิวหรอก แต่ผมยังไม่อยากกินสหบาทาเป็นอาหารเช้านะ แถมจะให้กลับตระกูลไปโดยที่ไม่ได้วัตถุดิบก็ไม่ได้ด้วย เอ่อ แบบนี้จะทำอย่างไงดีน่ะ
-ไม่เห็นยากเลย แกก็ขอให้แม่สาวจิ้งจอกช่วยใช้มนตร์มายาแปลงโฉมให้ก็พอแล้ว-
คำแนะนำของเท็ดดี้ทำเอาริวยิ้มออก เขาหันไปกล่าวกับเซนะว่า “งั้นผมขอรบกวนคุณเซนะช่วยใช้มนตร์มายาแปลงโฉมให้ผมหน่อยได้ไหมครับ แบบว่าผมไม่ค่อยถนัดเวทชนิดนี้นะ”
เซนะลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า “เข้าใจแล้วคะ ดิฉันจะช่วยใช่มนตร์มายาช่วยแปลงโฉมคุณหนูให้เพียงแต่ถ้าใครถามเรื่องนี้ ขอให้คุณหนูบอกว่า มนตร์มายาเป็นเวทของคุณหนูเองนะคะ”
เทียน่าทำท่าจะถามถึงสาเหตุที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ริวส่งสายตาห้ามเธอเอาไว้ พร้อมพูดขึ้นมาทันที “ตกลงครับ แล้วผลของมนตร์มายานี้มีฤทธิ์นานเท่าไรหรือ?”
“ 3 ชม.คะ”เซนะตอบพร้อมเริ่มร่ายมนตร์มายาทันที เพียงไม่นานรอบตัวของริวก็เกิดออร่าสีส้มแดง พอออร่าหายไป หัวหน้าสาวใช้ส่งกระจกพับรูปกระต่ายให้กับชายหนุ่มพร้อมพูดขึ้นมา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหนูชอบใบหน้าที่ดิฉันเลือกให้ไหมคะ”
ริวยกกระจกขึ้นมาส่อง แต่กลับพบว่าตัวเองยังคงเหมือนเดิมทุกประการ เขาจึงหันไปถามพีเซนะว่า
“คือว่า ผมไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเลยนะครับ ตกลงว่า คุณเซนะร่ายมนตร์ผิดบทหรือเปล่า”
พี่เซนะยิ้มบางๆโดยไม่ตอบอะไร ผิดกับยุเรียที่ทำหน้ามุยเหมือนกับไม่ชอบใบหน้าใหม่ของชายหนุ่มเลย เทียน่าเป็นคนเดียวที่พูดขึ้นว่า
“ไม่ผิดหรอกคะ ตอนนี้พี่มีมีผมสีฟ้าอ่อน ดวงตาสีเขียวมรกต โครงหน้าดูเรียวเล็กน้อย ผิวขาวราวกับไข่มุก แถมยังดูสูงกว่าปกติด้วย เอ่อ ว่าไงดีล่ะ หนูว่าตอนนี้พี่หล่อกว่าดาราเกาหลี หรือดาราไทยบางคนอีกนะ”
ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในคำพูดของน้องสาว ริวยกกระจกในมือขึ้นมาส่องอีกครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ขณะนั้นเองที่เท็ดดี้กล่าวขึ้นมา
-ริว ไม่ต้องแปลกใจหรอก ดูเหมือนเนตรมังกรจะทำให้มองทะลุผ่านมนตร์มายาได้นะ เจ้าเลยไม่สามารถมองภาพมายาที่แม่หนูจิ้งจอกร่ายเอาไว้นะ-
(ที่แท้เป็นแบบนี้เอง)ริวคิดขึ้น ก่อนจะหันไปกล่าวกับพี่เซนะอีกครั้ง “ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเรารีบเข้าเมืองกันเถอะ ผมหิวจะแย่แล้วละ”
พอพูดจบ ชายหนุ่มก็เป็นคนแรกที่รีบก้าวขาลงจากรถม้า ก่อนจะตามมาด้วยเทียน่า พี่เซนะ และยูเรีย พอลงจากรถแล้ว หัวหน้าสาวใช้ได้ขอแยกตัวไปจัดการเรื่องเอกสารเข้าเมือง โดยฝากยูเรียเอาไว้กับเทียน่า ด้านของชายหนุ่มก็กำลังตกใจกับประตูศิลาที่มีขนาดใหญ่พอๆกับประตูชัย แม้เขาจะไม่เคยเห็นประตูชัยของจริง แต่ขนาดของประตูศิลาตรงหน้าคงใหญ่ไม่น้อยไปกว่าประตูชัยในต่างประเทศอย่างแน่นอน ต่างกันตรงที่ประตูศิลาที่ใช้เป็นทางเข้าเมืองนั้นไม่ได้มีลวดลายอะไรประดับเอาไว้เลย ทางขวาและทางซ้ายต่างเป็นกำแพงที่สูงเทียบเท่าประตู อีกทั้งยังมีทหารยามเดินตรวจบนกำแพงอย่างเข้มงวด การจะเข้าเมืองก็ต้องผ่านด่านทหารที่มีการตรวจสำภาระต่างๆอีกหลายชั้นทีเดียว
“นี่มันเมือง หรือ ค่ายทหารฟะ ทำไมถึงมีทหารมากมายขนาดนี้”
“ที่นี่เป็นเมืองอย่างแน่นอนคะ แถมยังเป็นเมืองที่สำคัญของรัฐแห่งพฤกษาอีกด้วย”น้องสาวสุดที่รักเป็นคนตอบคำถามนี้
ริวหันมามองน้องสาวด้วยสายตางงๆ เทียน่าเดินมายืนข้างขวาของพี่ชาย ในขณะที่ยูเรียเดินไปอยู่ข้างซ้าย พอเป็นแบบนั้น บรรยากาศรอบตัวของริวก็เริ่มอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เนื่องจากสายตาของคนที่อยู่รอบๆต่างจับจ้องมาที่พวกเขาทั้ง 3 คน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะรูปร่างหน้าของทั้ง 3 คนในเวลานี้ต่างเป็นที่ดึงดูดของผู้คนโดยรอบ เนื่องจาก หนึ่งหล่อแบบคุณชายผู้ดี หนึ่งสวยแบบธรรมชาติ และ หนึ่งน่ารักดุจเทพธิดาตัวน้อย เป็นใครก็ต้องตกหลุมรักทั้งหมดนั่นละ
เทียน่าดูจะไม่สนใจบรรยากาศรอบตัวเลย เธอรีบอธิบายเรื่องราวต่อทันที “เมืองแห่งนี้มีชื่อว่า เมืองชายป่า ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเป็นเมืองเพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบของรัฐแห่งนี้ ( ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ใน 5 ที่ไม่ใช่พื้นป่า) นอกจากนั้นเมืองแห่งนี้ยังมีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดในรัฐแห่งพฤกษาอีกด้วย”
“งั้นเมืองแห่งนี้ก็คงเป็นเมืองหลวงของรัฐแห่งพฤกษาสินะ”
“ไม่ใช่คะ เมืองหลวงแห่งรัฐพฤกษามีชื่อว่า เอลราโด้ ตั้งอยู่ในใจกลางป่าลึก ทั้งยังเป็นอาณาจักรของเอลฟ์จึงทำให้หลายเผ่าพันธุ์ต่างไม่กล้าไปอยู่อาศัยเพราะกลัวจะไปรบกวนความสงบ อีกทั้งเมืองอยู่ในป่าจึงทำให้พวกพ่อค้าไม่กล้าไปค้า-ขายที่นั่นกัน นี่ยังไม่รวมระเบียบอันมากมายที่พวกเอลฟ์กำหนดขึ้นมาให้กับผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัย เอ่อ เอาเป็นว่าด้วยหลายสาเหตุ จึงทำให้คนต่างเผ่าพันธุ์ไปอยู่ที่นั่นก็แล้วกันค่ะ”
“ไอ้ความรู้สึกที่ไม่อยากจะอยู่เมืองหลวงก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่ทำไมต้องมาอยู่ในเมืองนี้ด้วยละ เมืองนี้มันมีอะไรดีหรือ? ”
“มีหลายอย่างเลยคะ อย่างแรกสุดก็คือเรื่องความปลอดภัย พี่คงเห็นแล้วว่าเมืองนี้มีการรักษาความปลอดภัยสูงแค่ไหน ทุกครั้งที่จะเข้า หรือ ออกจากเมืองจะมีทหารคอยตรวจสิ่งของตลอดเวลา ทั้งยังมีทหารที่คอยเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยของเมืองชายป่าจึงสูงมากๆ”
“อืม มันก็ถูก แต่ทหารพวกนี้มาจากไหนหรือ?”
เทียน่าทำหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่“หนูเองก็ไม่มั่นใจนัก เท่าที่รู้คือ สมาคมพ่อค้าในเมืองเป็นคนติดต่อว่าจ้างทหารเหล่านี้มาด้วยตัวเอง แต่มาจากไหนบ้าง หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ริวพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เทียน่ารีบอธิบายต่อ “เหตุผลอย่างที่สองก็คือ เมืองแห่งนี้เป็นจุดศูนย์รวมการค้า ทางตอนเหนือของเมืองเป็นท่าเรือที่สามารถทำการค้ากับรัฐแห่งวารี และรัฐแห่งอัคคี ส่วนทางทิศใต้ติดกับรัฐแห่งแสงสว่าง นอกจากนั้นตระกูลเซริวยังมีจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่บนฟ้า เพื่อบริการรับ-ส่งพ่อค้าไปยังรัฐที่อยู่ไกลอีกด้วย”
“อืม ไหนจะความปลอดภัยสูง ไหนจะสามารถติดต่อการค้าได้ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ มันก็สมควรจะมีประชากรมากอยู่หรอก”ริวพูดพร้อมจ้องมองจุดที่ตรวจคนเข้าเมืองอย่างไม่วางตา ช่วงระยะเวลาที่เขากับเทียน่าคุยกันนั้นผู้คนเริ่มมาต่อคิวยาวมากขึ้นเรื่อยๆ
เทียน่ายิ้ม “ส่วนเหตุผลข้อสุดท้าย เมืองแห่งนี้เป็นจุดค้าขายสมุนไพรสำคัญของริเดีย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงยา สมุนไพรที่ใช้ในการรักษา หรือสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างอาวุธเวทแบบต่างๆนะค่ะ”
ระหว่างที่น้องสาวกำลังอธิบายเหตุผล ริวก็จ้องผู้คนที่ต่อแถวเพื่อจะเข้าเมืองอยู่นั้น เพียงชั่วขณะหนึ่งหัวหน้าสาวใช้ก็เดินกลับมาหาพวกริว เธอโค้งตัวลงอย่างสวยงาม
“ดิฉันไปแจ้งชื่อกับด่านตรวจคนเข้าเมืองให้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พวกคุณหนูสามารถเดินเข้าเมืองโดยไม่ต้องผ่านจุดตรวจได้เลยค่ะ”
พอหัวหน้าสาวใช้พูดจบ เธอก็ทำมือเชิญให้พวกริวเดินเข้าเมือง ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดอะไร ยูเรียและเทียน่าก็จัดการดึงมือทั้งสองข้าง (ยูเรียดึงข้างซ้าย ในขณะที่เทียน่าดึงข้างขวา)ให้เดินตามเข้าไปในเมืองแล้ว ส่วนหัวหน้าสาวใช้ก็เดินตามหลังไปติดๆ
เมื่อทั้ง 4 คนเดินจากไปแล้ว หนึ่งในสองพ่อค้าที่มองพวกริวตั้งแต่ต้นก็กล่าวว่า “เด็กหญิงผมทองคนนั้นน่ารักสุดๆเลย นี่ถ้าลูกสาวที่กำลังจะเกิด น่ารักได้สักครึ่งหนึ่งของเด็กคนนี้ มันคงดีไม่น้อยเลยนะ”
“ถุย! หน้าตาอย่างแกนี้นะที่จะมีลูกสาวน่ารักแบบนั้น ข้าว่าแกไปตายแล้วเกิดใหม่ดีกว่าไหม”พ่อค้าคนที่สองกล่าวขัดขึ้นมาทันที
พ่อค้าคนแรกได้แต่ส่งสายเกรี้ยวกราดไปยังพ่อค้าคนที่สอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ต่อว่าอะไร พ่อค้าคนที่สองก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“แกอย่าเพิ่งโกรธสิฟะ ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ถึงยังไงลูกของแกก็ต้องน่ารักเหมือนแม่อยู่แล้ว เอาละ พวกเรามาเข้าเรื่องกันเถอะ ที่ข้าเรียกให้แกมองเป็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางต่างหาก แกว่าหมอนั่นหน้าตาเหมือนใครบางคนหรือเปล่า”พ่อค้าคนที่สองถามขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
พ่อค้าคนแรกเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย “อ้อ ไอ้คุณชายหน้าหล่อคนนั้นหรือ? ข้าไม่เคยเห็นหรอก แต่แกถามไปทำไมกัน”
พ่อค้าคนที่สองทำหน้าครุ่นคิดอยู่นาน “ข้ารู้สึกว่า เคยเห็นรูปหน้าของไอ้หนุ่มนั้นที่กระดาน หรือ ในหนังสือพิมพ์อะไรอย่างนี้ละ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกสักที ข้าถึงได้ถามว่าแกเคยเห็นไอ้หนุ่มหน้าตาแบบนี้บ้างไหม“
“กระดาน หรือหนังสือพิมพ์? เดี๋ยวนะ กระดานที่แกว่าใช่กระดานของนักล่าค่าหัวหรือเปล่า ”พ่อค้าคนแรกรีบถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“ข้าเองก็ไม่แน่นใจเหมือนกัน แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”พ่อค้าคนที่ 2 ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก
พ่อค้าคนแรกรีบหยิบหนังสือพิมพ์ที่เขียนว่า สำหรับนักล่าค่าหัว ขึ้นมาเปิดดูทันที เพียงครู่ใหญ่ เขาก็ตะโกนขึ้นมา
“ใช่จริงๆ ไอ้หนุ่มนั้นเป็น โจรที่กำลังถูกประกาศจับจากรัฐแห่งวายุด้วย ดูเหมือนว่าเจ้าโจรนั่นจะได้ฉายาว่า โจรปล้นสวาทแม่มด มันชอบหลอกพวกแม่มดไปทำ.... แถมยังรูดทรัพย์สินจนหมดตัวอีกด้วย เหล่าผู้เสียหายจึงรวมตัวกันจ่ายค่าหัวของเจ้านั้นถึง 10 ล้านGเชียวนะ”
พ่อค้าคนที่สองรับหนังสือพิมพ์ไปอ่าน ก่อนจะร้องตะโกนขึ้นมา “แย่แล้ว งั้นเด็กสาวผมทองกับพวกผู้หญิงที่มาด้วยกันอาจจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของไอ้โจรปล้นสวาทแม่มดก็ได้นะ แบบนี้พวกเราควรจะทำอย่างไงดีละ”
“เอาเป็นว่าพวกเราไปแจ้งเรื่องนี้ให้ทหารรักษาเมืองได้รับรู้กันก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะขัดขวางแผนการร้ายของเจ้าโจรปล้นสวาททันเวลาก็ได้”
พ่อค้าคนที่สองพยักหน้าเห็นด้วยทันที ทั้งสองคนรีบเดินตรงเข้าไปแจ้งเรื่องราวที่คิดกับทหารที่ประจำจุดรับเรื่องร้องทุกข์ที่ใกล้ที่สุดในทันที
ภายในเมืองชายป่า
“หง่ำๆ”
เสียงเคี้ยวอาหารของชายหนุ่มดังขึ้น ในขณะที่มือซ้ายถือแฮมเบอร์เกอร์ที่ถูกกัดไปครึ่งหนึ่ง มือขวากำลังถือแก้วน้ำ ขาทั้งสองข้างก้าวเดินไปอย่างช้าๆ แต่ดวงตากลับจับจ้องไปยังธงของแผงลอยที่อยู่ถัดไป เมื่อแน่ใจแล้วว่า ร้านนี้มีอาหารที่มนุษย์กินได้ เขายกมือข้างที่มีแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาชี้ไปที่แผงลอย
“อั้น อือ อะไออือ (นั่นคืออะไรหรือ?)”
“พี่คะ กินของที่อยู่ในมือให้หมดก่อนเถอะ เห็นไหมซอสติดแก้มไปหมดแล้ว”เทียน่าพูดพร้อมหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดซอสที่ติดแก้มให้กับริว
ภาพที่น้องสาวเช็ดซอสที่ติดปากให้พี่ชาย(ในคราบหนุ่มหล่อ)ทำเอาผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดมองพี่น้องคู่นี้ โดยเฉพาะบรรดาผู้ชายที่เห็นชายหนุ่มมากับสาวสวย 2 คน(เซนะ และเทียน่า) เปลวไฟแห่งความอิจฉาก็แทบจะทะลักออกมาจากตาแล้ว นี่ชายหนุ่มยังมีเด็กสาวที่น่ารักราวกับเทพธิดามาด้วย มันจึงทำให้พวกรักเด็กต่างจับจ้องเขาปานจะกินเลือดกินเนื้อเลย แน่นอนว่าทางผู้หญิงเองก็มีผู้ที่หลงใหลในหน้าตาของชายหนุ่มไม่น้อยเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบด้านปริมาณแล้วดูเหมือนฝ่ายชายจะขณะขาดลอยเลยทีเดียว
“เฮื้อก(เสียงกลืนคอในปากลงคอ) ขอบใจนะ แต่ว่าแผนลอยนั้นขายอะไรหรือ?”ริวถามขึ้นโดยไม่ทันสังเกตุสายตาที่จ้องมองมาแม้แต่น้อย
เทียน่าหันไปมองร้านค้าที่พี่ชายถาม “นั่นร้านขายอาหารเสริมสมรรพภาพนะค่ะ”
“ร้านขายอาหารเสริมสมรรพภาพ? เอ่อ ที่ริเดียอนุญาตให้ขายยาโด๊ป ตามริมถนนเลยหรือ?”
น้องสาวส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่แดงเล็กน้อย “ไม่ใช่คะ ร้านนั้นไม่ได้ขายอาหารจำพวกนั้นหรอกคะ อาหารที่ขายเป็นอาหารที่มีสรรพคุณจะใช้สดชื่น หรือ ไม่ก็รักษาอาหารเบื่ออาหาร หรือ รักษาอาการนอนไม่หลับ ถ้าเทียบกับในโลกมนุษย์ มันก็เหมือนอาหารที่ใช้ในการบำบัดโรคนั่นละ”
“น่าสนใจ มีอาหารแบบนี้ด้วยหรือ? พี่ขอเข้าไปดูหน่อยนะ ”ริวพูดจบก็เดินตรงเข้าไปยังร้านอาหารแผงลอย พวกเทียน่าได้แต่เดินตามไปอย่างช่วยไปไม่ได้
ร้านแผงลอยที่ชายหนุ่มสนใจนั้นมีการตั้งวางหม้อดินเผาจำนวนหลายใบเอาไว้บนโต๊ะ โดยหม้อทุกใบต่างตั้งอยู่บนฐานที่ทำจากเหล็ก และด้านล่างของฐานที่วางก็มีก้อนผลึกสีแดงที่คอยส่งความร้อนมาที่หม้อตลอดเวลา ถนัดมาด้านข้างกลับมีชามไม้ ชามหยก และ ชามหินอ่อนวางซ้อนกันอยู่ 3 แถว ด้านคนขายกลับเป็นเซนทอร์ที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย หน้าตาดี มีกล้ามเป็นมัดแบบที่นักกล้ามยังต้องอาย ส่วนล่างเป็นม้าหนุ่มที่มีขนมันเงา
“ฟิตๆ หอมจังเลย”ริวดมกลิ่นหอมจากหม้อดินเผาที่อยู่ซ้ายสุดเป็นอันดับแรก ก่อนจะถามออกมาว่า
“พี่ชายครับ อาหารในหม้อดินใบเป็นอะไรหรือ?”
“ซุปหญ้าการอส มันจะช่วยให้ลดอาการร้อนในได้เป็นอย่างดี น้องชายจะลองสักชามดูไหมล่ะ นี่เป็นสูตรลับประจำตระกูลของข้าเลยนะ”เซนทอร์ยิ้มพร้อมกับตักอาหารในหม้อใส่ชามไม้ แล้วส่งให้กับริวเพื่อให้ได้ชิม
ชายหนุ่มรับชามไม้มา พร้อมดมกลิ่นด้วยสีหน้าพึ่งพอใจ ขณะที่ริวกำลังจะถามราคาอาหาร มือของใครบางคนในกลุ่มก็จัดการยื่นเหรียญทองจำนวนหนึ่งให้กับเซนทอร์พร้อมพูดว่า
“นี่คือ เงินค่าอาหาร ไม่ทราบว่าพอไหมคะ”
“นี่มันมากเกินไปครับ”เซนทอร์หนุ่มฉีกยิ้ม ก่อนจะส่งเหรียญทองคืนให้คนที่พูดด้วย 2 เหรียญ ส่วนที่เหลือเขาก็จัดการเก็บลงใต้โต๊ะทันที
ริวหันไปมองคนที่จ่ายเงิน พร้อมพูดว่า”เมื่อสักครู่คุณเซนะจ่ายไปเท่าไรหรือครับ? ผมจะได้จ่ายคืนให้ถูกนะ”
“เงินที่ดิฉันจ่ายไปเมื่อสักครู่ เป็นเงินที่ท่านผู้นำมอบเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายของคุณหนูริวอยู่แล้ว ดังนั้นคุณหนูไม่ต้องมาใช้คืนดิฉันหรอกคะ”
คำพูดของพี่เซนะทำเอาริวฉีกยิ้ม เพราะนั่นเท่ากับว่างานนี้เขาได้กินฟรีอย่างไม่อั้นเลยละ หลังจากจัดการอาหารในชามไม้แล้ว เขาส่งชามไม้คืนให้แก่เซนทอร์พร้อมพูดว่า
“อร่อยมากครับ แล้วอาหารในหม้อที่เหลือมีอะไรบ้างหรือครับ”
เซนทอร์ชี้นิ้วไปที่หม้อติดกัน “นี้คือต้มเครื่องในวีรบุรุษ ส่วนถนัดไปก็เครื่องดื่มลูกตาวีรบุรุษปั่น และหม้อสุดก็คือ เนื้ออบซี่โครงวีรบุรุษ”
ริวที่ได้ฟังถึงกับหนาวไปทั้งตัว เซ็นทอร์ยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าภูมิใจสุดๆ “แน่นอนว่า อาหารทั้ง 3 อย่างที่พูดมานี้เป็นสูตรพิเศษที่ข้าคิดค้นขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วีบุรุษที่ช่วยริเดียเชียวนะ น้องชายอยากจะลองกินดูสักชามไหมละ ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนคิดขึ้นมาว่า (เวรกรรม ชื่อมีตั้งมากมายแกดันไม่ยอมเอามาตั้ง ทำไมต้องใช้ชื่อวีรบุรุษด้วย แค่ได้ยินก็เสียวสันหลังวาบแล้ว ไอ้เซนทอร์....... )
ขณะที่ริวกำลังสรรเสริญบรรพบุรุษ 10 ชั่วโคตรของเซนทอร์ตรงหน้า ยูเรียก็เดินมาดึงเสื้อของริว พร้อมชี้ไปยังแผงลอยที่อยู่ตรงข้าม ชายหนุ่มได้แต่พูดว่า
“อยากจะกินนั่นหรือ?”
ยูเรียพยักหน้า ก่อนจะดึงมือริวให้ตามไปทันที ร้านแผงลอยที่ยูเรียเลือกนั่นเป็นร้านขายเครปที่มีแมวมีปีกเป็นคนขาย เมื่อมาถึงแมวมีปีกก็ลุกขึ้นยืน 2 ขาพร้อมโค้งตัวทักทาย
“คุณลูกค้ารับเครปอะไรดี เมี้ยว”
ริวมองแมวมีปีกด้วยความประหลาดใจ เพราะแมวตรงหน้าเป็นแมวที่มีขนาดเท่ากับแมวทั่วไป ไม่สิ ไอ้ตัวนี้ออกจะลงพุงไปหน่อยด้วยซ้ำ มันมีสีน้ำตาลอ่อนตั้งแต่หัวจรดหาง หูเป็นสีน้ำตาลเข้ม กลางหลังมีปีกสีขาวขนาดเล็กอยู่ 1 คู่ สองขาสวมรองเท้าบูทสีดำ แถมมันยังคาดเข็มขัดหนังอีกด้วย เอาเป็นว่าท่าทางโดยรวมของมันช่างน่ากอดมากๆก็แล้วกัน การที่ยูเรียเลือกร้านนี้ต้องเป็นแมวตัวนี้แน่ๆ
“เอ่อ คุณแมวครับ ไม่ทราบว่าร้านของคุณมีเครปอะไรขายบ้างครับ”
“เมี้ยว มีเครปก้างปลาทู เครปเนื้อปลากะพง เครปไขมันปลาวาฬ อ้อ ช่วงนี้มีเครปแมวน้อย ที่เป็นรสโปรดของวีรบุรุษมาวางขายด้วยนะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากจะลองชิมบ้างไหม มันประกอบได้ด้วย เนื้อกั้ง เนื้อปู ......”เจ้าแมวน้อยทำท่าอธิบายสรรพคุณของเครปเป็นอย่างดี แต่คนฟังอย่างยูเรียและริว กลับไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย
ยูเรียจ้องมองแมวน้อยตาเป็นมัน เธออยากจะยื่นมือไปจับแมวแต่ดูเหมือนจะยังกล้าๆ กลัวๆอยู่ ด้านของริว เขากลับอยากจะเอาไว้แมวตัวนี้โยนไปไกลๆเลย ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหรือ? มันก็เพราะไอ้แมวตัวนี้มันดันคุยว่าวีรบุรุษของริเดียชอบเครปรสนี้มาก แต่มันคงไม่รู้หรอกว่า ผมแพ้เนื้อกั้ง แค่กินคำเดียวก็ถึงกับเข้าไปนอนในโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นชาตินี้ผมไม่มีทางกินเครปที่มีเนื้อกั้งแน่ๆ ยิ่งฟังเรื่องโกหกของเจ้าเมี้ยวมากเท่าไร ความรู้สึกอยากจะเดินหนีไปให้ไกลๆก็มีมากขึ้น
จังหวะนั้นเองที่เสื้อของริวถูกกระตุกอีกครั้ง ก่อนจะเห็นยูเรียส่งสายตาข้อร้องมาที่ชายหนุ่ม เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจพลางชูนิ้วชี้ขึ้นมา
“ขอเครปแมวน้อย 1อันครับ อ้อ พอดีน้องคนนี้อยากจะขออุ้มคุณสักหน่อยจะได้ไหม”
เจ้าแมวสวมรองเท้าบูทยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้ซิ เมี้ยวขอคิดค่าบริการนาทีละ 5 เหรียญทองเท่านั้นเอง รับรองว่าคุณลูกค้าจะต้องถูกใจในบริการของเมี้ยวอย่างแน่นอน”
ความรู้สึกอยากจับแมวตัวนี้ไปทำหมั่นแวบเข้ามาในหัวทันที ดีนะที่แถวนี้ไม่มีร้านสัตว์แพทย์ ไม่งั้นผมจะอุ้มแมวตัวนี้ไปทำหมั่นทันที มีอย่างที่ไหนขออุ้มคิดนาทีละ 5 เหรียญทอง มันจะค้ากำไรเกินไปแล้วเฟ้ย
ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังคิดนั่นเอง ยูเรียก็ดึงเสื้อชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนมาอีกครั้ง
“เฮ้อ เข้าใจแล้ว ไม่ต้องส่งสายตาแบบนั้นก็ได้”ริวพูดพร้อมยกมือยอมแพ้ให้กับสายตาของยูเรีย สักพักเขาก็หันไปมองเจ้าแมวสวมรองเท้าบูท ก่อนจะชู 5 นิ้วพร้อมกล่าวว่า
“ขอ 5 นาทีครับ อ้อ แล้วช่วยทำให้ได้ตามที่พูดด้วยละ ถ้าเด็กคนนี้ถูกข่วน หรือ ถูกหมัดในตัวคุณกัด ผมเอาเรื่องคุณแน่” แน่นอนว่าผมพูดจริงนะ เรื่องอะไรจะให้แมวมาเอาเปรียบได้ละ ถ้างานไม่คุ้มเงินที่จ่ายไปผมยอมสู้ตายกับไอ้แมวตัวนี้เลยละ
-เวรกรรม ขนาดแมว แกยังคิดหาเรื่องได้อีกนะ ตกลงว่าแกมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์บ้างไหมฟะ ถึงได้คิดจะลดตัวไปทะเลาะกับแมวแบบนั้น-
( เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรี แต่เกี่ยวกับผลประโยชน์ต่างหาก ไม่ว่าอย่างไงผมก็ไม่ยอมให้เจ้าแมวนี้โกงผมแน่ๆ) ริวกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง จนเท็ดดี้ได้แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่นานมันก็พูดขึ้นมาว่า
-สำหรับเรื่องโกง แกไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เจ้าแมวที่แกคุยด้วยเป็นเผ่าพันธุ์แมวเวหา เผ่าพันธุ์นี้จัดเป็นพวกรักสงบ และรักษาสัญญาเป็นที่สุดนะ-
สายตาของริวมองไปยังยูเรียที่กำลังถูกแมวคลอเคลียกับมือ แม้หน้าตาของเธอยังคงเมินเฉยต่อทุกสิ่งแต่สายตาของเธอกลับดูเปล่งประกายอย่างบอกไม่ถูก หลังจากแมวคลอเคลียกับมือได้สักพักยูเรียก็เริ่มมีความกล้ามากขึ้น เธอเอามือลูบขนของเจ้าเมี้ยวอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อยเอามืออุ้มมัน แน่นอนว่าเจ้าแมวสวมรองเท่าบูทก็ยอมให้อุ้มแต่โดยดี
(สมราคาคุยจริงๆ ถ้าเจ้าแมวตัวนี้ทำให้ยูเรียยิ้มได้ แค่นาทีละ 5 เหรียญทองก็ถือว่าถูกมากจริงๆ)ริวแอบชื่นชมเจ้าแมวจอมงกอยู่ในใจ
ขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีนั้น เจ้าแมวสวมรองเท้าบูทก็สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของยูเรีย พร้อมเดินตรงมาที่ชายหนุ่ม มันลุกขึ้นยืน 2 ขาอีกครั้ง ก่อนจะยื่นผ่ามือมาตรงหน้า
“35 เหรียญทองครับ เป็นค่าเล่นด้วย 25 เหรียญทอง และค่า เครปแมวเหมียวอีก 10 เหรียญทอง ถ้าต้องการต่อเวลาให้จ่ายก่อน แล้วค่อยมาต่อรองเรื่องราคากันใหม่ครับ”
ความรู้สึกดีที่มีต่อเจ้าแมวเมี้ยวเมื่อสักครู่เปลี่ยนมาเป็นความอยากจะพามันไปทำตอนขึ้นซะเดี๋ยวนี้เลย ไม่สิ อย่างเจ้าแมวตัวนี้น่าจะเอาไปปล่อยในกรงหมามากกว่า ขณะที่คิดเช่นนั้น มือของพี่เซนะก็ยื่นเหรียญทองจำนวน 35 เหรียญไปจ่ายให้กับแมวสวมรองเท้าบูท พร้อมรับเครปส่งให้ยูเรีย
“เครปคะ คุณหนูยูเรีย”
แม้มือของยูเรียจะรับเครปไปแล้ว แต่สายตายังจับจ้องไปที่แมวสวมรองเท้าบูทอย่างไม่วางตา ริวจ้องมองเด็กสาวผมทอง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้คนที่จ่ายเงินพร้อมกระซิบว่า
“คุณเซนะครับ ไม่ทราบว่าพอมีทางจะจ้างแมวตัวนี้ไปเล่นกับยูเรียที่ตระกูลเซริวได้ไหมครับ ผมว่ามันอาจจะช่วยให้อาการเก็บตัวของยูเรียดีขึ้นก็เป็นได้นะ”
พี่เซนะมองสีหน้าของยูเรีย ก่อนจะกระซิบตอบ“เข้าใจแล้วคะ ดิฉันจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณรูบี้ดูก็แล้วกัน”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ริวก็เอามือไปลูบหัวยูเรีย “ตอนนี้คุณแมวยังต้องทำงานนะ เอาไว้ตอนที่พวกเราเสร็จธุระแล้วค่อยมาเล่นกับเขาใหม่ก็ได้”
ยูเรียหันมองชายหนุ่มพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ ขณะนั้นเองที่เสียงของเทียน่าดังขึ้นมา “พี่คะ ตรงโน้นมีร้านอาหารอิตาลีมาเปิดขายด้วย พวกเราไปกินอาหารที่ร้านนั่นดีไหมคะ”
“เอาสิ พี่เองก็อยากจะกินอะไรที่หนักท้องเหมือนกัน”ริวตอบรับด้วยความยินดี แม้ใจจริง เขาอยากจะเดินกินอาหารที่ขายอยู่ข้างทางต่อไปเรื่อยๆก็ตาม แต่ดูเหมือนการทำแบบนั้นจะเป็นการสอนมารยาทที่ไม่ดีต่อเด็กที่พามาด้วย ดังนั้นเรื่องเดินไป-กินไปเป็นอันต้องพับเก็บไว้ก่อน
เมื่อได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้น เทียน่าก็เดินนำหน้าไปทันที ริวและพวกเซนก็เดินตามเธอไปตลอดทางที่เดินผ่านนั้น ล้วนมีเสียงพ่อค้า-แม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้านของตนเอง
“พี่ชาย สนใจไก่วีรบุรุษย่างบ้างไหม อร่อยนะ”
“น้องสาวสนใจสตูลิ้นวีรบุรุษบ้างไหม นี้เป็นสูตรที่วีรบุรุษคิดค้นขึ้นมาเลยนะ”
“ไข่มังกรย่างจ้าๆ ซื้อตอนนี้มีโปรโมชั่นแถมรูปวาดท่านวีรบุรุษเวอร์ชั่นใหม่ด้วยนะ”
“แซนวิทเนื้อมัจฉาครับ ซื้อตอนนี้แถมฟรีข้อมูลหญิงสาวที่วีรบุรุษชื่อชอบด้วย”
ริวมองบรรดาแม่ค้า-พ่อค้าด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้า คลายไม่ออกเพราะแทบทุกร้านล้วนเอาคำว่าวีรบุรุษมาใช้เป็นตัวดึงดูดลูกค้า และเมื่อเดินมาถึงร้านอาหารที่เทียน่าบอก ชายหนุ่มและน้องสาวถึงกับเป็นใบ้ในทันทีเพราะด้านหน้าของร้านมีรูปปั้นหินอ่อนขนาดเท่าคนจริงตั้งวางเอาไว้ รูปปั้นนี้เป็นรูปชายหนุ่มที่ดวงตาจ้องตรงไปข้างหน้า แม้ทรงผมดูไม่เรียบร้อยนักแต่กลับดึงดูดผู้ที่มาชม ดวงตาขมเข้ม ใบหน้าได้รูป ปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม สวมเครื่องแบบองค์รักษ์ มือกำดาบชูขึ้นฟ้า ถ้ามีคนบอกว่านี่คือรูปปั้นเทพบุตรที่จำแลงร่างลงมาจากสวรรค์ผมก็ยังเชื่อเลย เพราะรูปปั้นดูดีเกินกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ สักพักชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว เขาหันไปถามพี่เซนะว่า
“คุณเซนะครับ ตกลงว่านี้มันรูปปั้นของใครกันหรือ? ทำไมถึงได้ดูดีได้ขนาดนี้นะ”
คำถามนี้ทำเอาคุณน้องสาวหันมามองพี่เซนะทันที แต่แทนที่หัวหน้าสาวใช้จะตอบออกมาเป็นคำพูด แม่จิ้งจอกมายากลับชี้ไปที่ฐานของรูปปั้นแทนคำตอบ ริวและเทียน่าต่างมองตามนิ้ว และเมื่อเห็นอักษรสลักตรงฐานรูปปั้นทั้งคู่ถึงกับหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดมาทั้งต้น ชายหนุ่มหันไปจ้องอักษรที่ฐานอีกครั้งซึ่งมันเขียนไว้ว่า
รูปปั้น วีรบุรุษผู้ปลดปล่อยริเดียจากคำสาปของเหล่าจอมมาร |
(ใครมันเป็นคนปั้นรูปปั้นแบบนี้ฟะ อย่าให้ผมรู้นะ ผมจะตามไปยิงM79ถล่มถึงที่บ้านเลย)ริวได้แต่โวยวายในใจเงียบๆ ถ้าถามว่าทำไมต้องโวยวายในใจด้วย นั่นก็เพราะตรงนี้ไม่ได้มีพวกผมนะสิ ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่มาชมรูปปั้นนี้
-ริว มันไม่ดีตรงไหนหรือ ที่มีคนมองแกในลักษณะแบบนี้นะ ข้าว่ารูปปั้นนี้ก็ดูดีใช้ได้เลยนะ-
(ดูดีบ้านแกซิ )ริวตอบเท็ดดี้ ก่อนจะรีบคิดหาทางทำลายรูปปั้นโดยไม่ให้คนอื่นรู้ตัว
เทียน่าก็เอนตัวเข้ามากระซิบข้างหู “พี่คะ หนูว่าย้ายร้านกันเถอะ ขืน เข้าไปกินในร้านแบบนี้ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ริวพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปกินร้านอื่น เสียงของใครบางคนก็ตะโกนดังขึ้นมาว่า
“ ยัยเทียน่า ทางนี้ มิ้ว”
เสียงเรียกในครั้งนี้ทำให้เทียน่าและริวต่างหันไปทางต้นเสียง พวกเขาเห็นเอลฟ์สาวในชุดเกราะสีน้ำเงินสลับขาวกำลังกวักมือเรียกพวกเขาให้เข้าไปหา เทียน่ารีบวิ่งไปหาเอลฟ์สาวคนนั้นโดยมีพวกริวเดินตามไปติดๆ
เมื่อน้องสาววิ่งไปถึงเพื่อนสนิทแล้ว เอก็จับมือเอลฟ์สาวด้วยความดีใจ “ยูอิ เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ”
“เรื่องนี้เอาไว้ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลัง แล้วคุณพี่ชายไม่มาด้วยหรือมิ้ว?”ยูอิรหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่พบเห็นริวแม้แต่น้อย จนกระทั่งพวกริวเดินเข้ามาสมทบ เขามองท่าทางของยูอิ ก่อนถามออกไปว่า
“ยูอิกำลังมองหาใครหรือ?”
“เสียงนี้มัน คุณพี่ชายหรือมิ้ว?”ยูอิเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าตาของริวเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“ใช่แล้วจ้ะ”ริวยิ้มรับ ก่อนจะพูดต่อว่า “พอดีมีเรื่องเล็กน้อย เลยต้องให้มนตร์มายาปิดบังหน้าตาที่แท้จริงเอาไว้ หวังว่ายูอิคงไม่โกรธพี่นะ”
ยูอิถึงกับตกใจกับคำตอบที่ได้รับ เธอมองริวอย่างละเอียด พร้อมคิดขึ้นมา (ขนาดรู้ทั้งรู้ว่า หน้าตาที่เห็นเกิดจากภาพมายา แต่ก็ยังจำแนกไปออกเลยว่า สิ่งที่เห็นเป็นภาพมายาที่ตรงไหน เฮ้อ สมเป็นคุณพี่ชายจริงๆ)
จังหวะที่ยูอิกำลังคิดอยู่นั่นเอง ยูเรียก็กระตุกเสื้อของชายหนุ่มอีกครั้ง พร้อมชี้ไปยังร้านแผงลอยที่อยู่ไม่ไกลนัก ริวลูบหัวเธอ ก่อนจะหันไปบอกยูอิกับเทียน่า
“พวกเราสองคนคุยไปก่อนนะ พี่ขอตัวพายูเรียไปซื้อขนมหน่อย อ้อ ไม่ต้องห่วงนะ คุณเซนะก็ไปกับพี่ด้วย”
พอพูดจบยูเรียก็จัดการดึงมือของริวให้ไปยังร้านนั้นทันที โดยมีหัวหน้าสาวใช้เดินตามไป ยูอิถอนหายใจเบาๆ
“คุณพี่ชายยังคงทำตัวตามสบายไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ มิ้ว ”
“พี่ริวก็มีนิสัยเป็นแบบนี้ละ แต่เธอนั่นละมีธุระอะไรถึงได้มาที่นี้กัน”เทียน่ารีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
ยูอิลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอนตัวไปกระซิบข้างหูเพื่อนสนิทว่า “เทียน่า ฉันขอเปลี่ยนที่คุยได้ไหมมิ้ว”
เทียน่ากระพริบตา 2 ครั้ง เธอหันไปมองพี่ชายที่กำลังยืนเลือกของอยู่ไม่ไกลนัก “อืม เอาแบบนั้นก็ได้”
เอลฟ์สาวรีบดึงมือเพื่อนสาวไปยังจุดที่ไม่ปลอดคน เมื่อแน่ใจว่าจุดนี้ไม่มีคนอยู่แล้ว ยูอิก็พูดขึ้นมาว่า
“เทียน่า ตอนนี้องค์ราชินีแห่งเอลฟ์มาอยู่ที่เมืองชายป่าแล้วนะมิ้ว”
เทียน่าถึงกับเงียบไปพักใหญ่ เพราะองค์ราชินีแห่งเอลฟ์ไม่เคยออกจากเมืองหลวงของรัฐแห่งพฤกษามากว่า 100 ปีแล้ว การที่องค์ราชินีเสด็จมายังเมืองชายป่า มันจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ
“ยูอิ เธอแน่ใจนะว่าไม่เข้าใจผิดไปนะ”
เอลฟ์สาวตอบอย่างมั่นใจ “เรื่องนี้ฉันมั่นใจเต็ม 100 % เพราะคนที่คุ้มครององค์ราชินีมายังเมืองนี้คือผู้บัญชาการกองกำลังทหารที่ 3 หรือ ท่านพ่อของฉันนะมิ้ว”
“เดี๋ยวก่อน นี่ถึงขนาดพาผู้บัญชาการกองกำลังทหารที่ 3 มาด้วยแบบนี้ แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ เธอพอรู้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ” เทียน่าถามขึ้นด้วยท่าทางตกใจ
ยูอิส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด”ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่พอบอกได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับคุณพี่ชายอย่างแน่นอนนะมิ้ว”
“เอ๋!! ทำไมองค์ราชินีแห่งเอลฟ์ถึงได้มาเกี่ยวกับพี่ริวได้ล่ะ ทั้งสองคนไม่เคยกับกันเลยนะ”
“ยัยเทียน่า เธอถามฉันแบบนี้ แล้วจะให้ฉันไปถามใครล่ะ ที่ฉันตามเธอมาคุยกัน 2 ต่อ 2 ก็เพื่อจะถามหาสาเหตุความเกี่ยวข้องของคุณพี่ชาย กับราชินีแห่งเอลฟ์นั่นละ ตกลงว่าเธอไม่รู้อะไรจริงๆหรือมิ้ว?”
เทียน่าส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะขอตัวกลับไปแจ้งเรื่องนี้ให้พี่ชายรู้ ยูอิจึงได้แต่เดินตามไปด้วย เมื่อกลับมายังจุดเดิม ริวก็ได้หายตัวไปจากจุดที่เคยอยู่แล้ว เหลือเพียงพี่เซนะและยูเรียยืนคอยอยู่ตรงนั้นเพียง 2 คน
เทียน่ารีบตรงเข้าไปถามหัวหน้าสาวใช้ทันที “คุณเซนะคะ พี่ริวอยู่ที่ไหนหรือ?”
“คุณหนูริวขอตัวไปห้องน้ำนะค่ะ อีกสักครู่ก็คงกลับมา ไม่ทราบว่าคุณหนูเทียน่ามีธุระอะไรหรือเปล่า?”หัวหน้าสาวใช้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่มีคะ ”เทียน่าพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าหนักใจ
ยูอิเดินมาแตะไหล่เพื่อนสาว “เทียน่า เธออย่าคิดมากไปเลยนะมิ้ว เดี๋ยวคุณพี่ชายก็คงกลับมาแล้วละ”
“ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่าก็ดีสิ”เทียน่ากวาดตามองรอบตัวโดยหวังว่าพี่ชายจะกลับมาโดยเร็ว
********************************50%************************
ด้านของริว
ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเดินอยู่บนถนนที่ทำจากก้อนอิฐสีขาวที่กว้างเกินกว่า 10 เมตร สองข้างทางเป็นต้นไม้หลากสีสัน แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่า เหล่าพ่อค้า-แม่ค้าที่มาตั้งแผงขายอาหารอยู่เต็มไปหมด แถมทุกร้านยังมีธงที่แสดงสัญลักษณ์ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถกินได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ชายหนุ่มที่เห็นภาพร้านค้าต่างๆ เขาถึงกับมีน้ำลายไหลเป็นทางยาว
“ติ่ง”
“สุดยอด! บริเวณนี้มันสวรรค์ของกินชัดๆ”เสียงของริวดังขึ้นพร้อมเอามือขึ้นมาเช็ดน้ำลายที่หยดลงพื้น
-ริว นี่แกกำลังหลงทางอยู่นะ หัดเครียดบ้างสิโว้ย-
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะตอนนี้เขากำลังหลงทางอยู่จริงๆ ถ้าถามว่าทำไมถึงหลงทางได้นั้น ทั้งหมดเริ่มต้นจากการเดินไปหาห้องน้ำ แต่พอไปถึงก็พบว่ามีคน(?)ต่อแถวยาวมาก ตอนแรกก็คิดจะต่อคิวอยู่เหมือนกันแต่เนื่องจากข้าศึกบุกหนักมาก เขาจึงได้แต่ไปหาห้องน้ำที่จุดอื่นแทน หลังจากสอบถามคนแถวบริเวณนั้นก็ทำให้มายังห้องน้ำแห่งที่ 2ได้ แน่นอนว่าจุดที่ไปก็คนต่อแถวยาวมากแน่นเช่นกัน ในที่สุดริวก็เปลี่ยนไปหาห้องน้ำแห่งที่ 3 ซึ่งห้องน้ำแห่งนี้ห่างจากห้องน้ำอื่นๆมากพอสมควร
เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ย้อนกลับไปทางเดิม แต่เส้นทางที่ใช้ตอนมากลับถูกปิดโดยผู้ที่ทำการปิดเส้นทางได้บอกว่า กำลังปิดถนนเพื่อจัดขบวนพาเรดในงานวันขอบคุณต้นไม้แห่งโลก จากนั้นคนที่ปิดเส้นทางได้แนะนำให้ชายหนุ่มอ้อมไปอีกทาง ระหว่างที่เดิมอ้อมไปตามทางที่คนปิดเส้นทางแนะนำ ริวก็พบว่าเส้นทางที่ถูกปิดไม่ได้มีแค่ถนนเดียว สุดท้ายหลังจากเขาเดิมอ้อมโลกอยู่พักใหญ่ เขาก็มาถึงถนนเส้นนี้โดยบังเอิญ
“เอาน่า เดี๋ยวยัยตัวแสบรู้ตัวว่าผมหายไป เธอก็คงออกมาตามหาอยู่แล้วล่ะ ถ้ายังไงพวกเราเดินดูตลาดแถวนี้ไปเรื่อยๆก่อนก็แล้วกัน เผื่อมันจะมีวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหารบ้าง”
-สรุปว่าที่ไม่เครียดก็เพราะรู้ว่าน้องสาวจะมาตามหาแน่ๆสินะ ถ้าเกิดเธอไม่มาตาม แกจะทำอย่างไง-
“ในกรณีที่เธอไม่มาตามหา ผมก็ยังมีนายที่ใช้เวทเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นจะกลับไปตระกูลเซริวเมื่อไรก็สบายอยู่แล้วละ นายว่าจริงไหม”ริวตอบแบบยิ้มๆ
เท็ดดี้ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ชายหนุ่มเริ่มออกเดินดูตามร้านอาหารต่างๆ อย่างสบายอารมณ์ ระหว่างนั้นเองเขาก็มองเห็นผู้คนจำนวนมากหลากสายพันธุ์กำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ ต่อมความอยากรู้อยากเห็นก็เริ่มทำงานทันที ริวเดินตรงไปหาคนกลุ่มนั้น ก่อนจะพยายามเบียดตัวแทรกเข้าไปอยู่บริเวณแถวหน้า
เมื่อแทรกตัวเข้ามาได้แล้ว ริวก็พบว่าสิ่งที่ผู้คนมุงดูอยู่นั้นเป็นหน้าร้านขายขนมเค้กที่ทำมาจากขอนไม้ ภายนอกร้านมีรั้วสีขาวปักอยู่โดยรอบ เพื่อเป็นการบ่งบอกอาณาเขตของร้าน ด้านในรั้วเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ที่จัดวางน้ำตกจำลองไว้มุมหนึ่ง ถนัดเข้าไปอีกจะเห็นประตูร้านที่มีรูปร่างคล้ายเปลือกไม้ ถ้ามองเข้าจากทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆกับประตูจะพอมองเห็นภายในได้บ้าง
ร้านขนมเค้กนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่าย โต๊ะทำจากเห็ดสีต่างๆ ส่วนเก้าอี้ก็เป็นทำเป็นรูปใบไม้ กลิ่นหอมของขนมอบใหม่ลอยออกมาถึงนอกร้านเลย แม้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดจะดึงดูดสายตาของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวดึงดูดให้เหล่าผู้คนมามุงดูแต่อย่างไร สาเหตุที่ทำให้คนมามุงดูนั้นมาจากหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ในร้านอย่างเงียบๆ เธอมีเส้นผมสีทองส่องประกาย ดวงตาสีเขียวมรกต ใบหน้าเรียวแหลม ปากและจมูกต่างรับกับใบหน้า ใบหูที่เรียวแหลม บ่งบอกว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ ผิวขาวราวกับหิมะ แม้เธอจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงสีเขียวอ่อนที่ดูเรียบง่าย แต่บางสิ่งบางอย่างในตัวของเธอกลับดึงดูดสายตาของพวกหนุ่มหลากสายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี
การที่บรรดาชายหนุ่มทั้งหลายไม่เข้าไปในร้านก็เพราะตรงประตูทางเข้าหน้าร้านมีชายกลางคนเคาดกดำ กล้ามเป็นมัด สวมเกราะแบบนักรบยืนถืออาวุธขวางประตูเอาไว้ ราวกับจะบอกว่าใครเข้าไปในร้านต้องตายสถานเดียว บรรยากาศของชายคนนี้ทำเอาผู้คนต้องถอยห่างจากร้านอย่างไม่รู้ตัว
ริวมองหญิงสาวผ่านหน้าต่างอยู่เพียงชั่วครู่ เมื่อเขาหมดความสนใจก็เตรียมจะถอยหลังกลับออกมา แต่เพราะการถอยกลับในครั้งทำให้เขาเผลอไปเหยียบเท้าของชายหน้าเป็นสิงโตเข้าโดยไม่รู้ตัว และก่อนที่เขาจะพูดขอโทษ ริวก็ถูกชายเผ่าสัตว์ป่าจับโยนออกจากฝูงชน แรงโยนในครั้งนี้ก็ทำเอาชายหนุ่มลอยข้ามรั้วเข้าไปหน้าประตูร้านอย่างไม่เต็มใจนัก
“อูย! เจ็บชะมัด แค่เหยียบเท้าหน่อยเดียว ไม่เห็นจะต้องมาทำกันแบบนี้เลย”ชายหนุ่มร้องขึ้นมาในท่าก้นกระแทกพื้น
ริวค่อยๆพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูด หรือ ทำอะไรต่อ เขาก็ถูกปลายดาบจ่อมาที่ปลายคอเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย 2 อึกด้วยสีหน้าหวั่นๆ ในระหว่างที่เขากำลังถูกอาวุธจ่อคออยู่ บรรดาชายหนุ่มที่มุงดุอยู่ต่างก็พูดกันอย่างสนุกปาก
“นายดูสิ มีคนกล้าเสี่ยงตายเข้าไปจีบสาวด้วยอีกแล้วละ หมอนี่เป็นคนที่เท่าไรแล้วนะ”
“น่าจะคนที่ 3 แล้วมั่ง”
“ไหนๆ ไอ้คนไหนมันสิ้นคิดขนาดนั้นฟะ นี่มันไม่เห็นสภาพของพวกที่เข้าไปก่อนหน้านี้หรือ?“
“ใช่ๆ สองคนนั้นถูกกระทืบจนปางตายเลยนะ เฮ้อ น่าเสียดาย หน้าตาก็ดี ไม่น่าจะสิ้นคิดขนาดนี้เลย”
“ใครบอก แบบนี้ละที่เรียกว่าลูกผู้ชาย กล้าได้กล้าเสียเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว ไอ้น้องชายลุยเข้าไปเลย เดี๋ยวพี่จะคอยเก็บศพให้เอง”
“ใช่ๆๆ ลุยเลย ไอ้น้องชาย แสดงความหื่น เฮ้ย ความกล้าในแบบลูกผู้ชายให้ดูหน่อย”
ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงเชียร์จากบรรดาคนที่มุงดู เขาถึงกับคิดขึ้นมา (ไอ้พวกงี่เง่า ใครมันจะเสี่ยงตายเพื่อจีบสาวกันฟะ แทนที่จะช่วยเชียร์ พวกแกเข้ามาช่วยห้ามตาลุงนี้ก่อนจะได้ไหม ขืน ไม่ห้าม มันคงเอาผมถึงตายแน่ๆ ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!! )
“เจ้าหนุ่ม จงเลือกเอาว่าอยากจะถูกอัดจนบางตาย หรือ จะยอมตายซะตรงนี้”เสียงของชายเคาดำดังขึ้นทั้งที่ดาบยังจ่อคอชายหนุ่มอยู่
“เอ่อ ท่าทางคุณจะเข้าใจผิดแล้วครับ ผมแค่ถูกคนอื่น.....”ริวพยายามพูดแก้ตัวด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด แต่ยังไม่ทันจะพูดจบชายเคาดำในชุดเกราะก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
“หึ! เจ้ากำลังจะบอกว่าถูกจับโยนเข้ามาใช่ไหม”
ริวเบิกตากว้าง ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ครับ ความจริงแล้ว ผมแค่มา....”
ชายเคาดำแหยะยิ้มก็จะชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ากำลังจะบอกว่า แค่มาดูว่าพวกผู้ชายเหล่านี้กำลังมุงดูอะไรอยู่ จากนั้นเมื่อรู้ว่าพวกเขาดูอะไรแล้ว เจ้าก็กำลังจะถอยกลับไป แต่บังเอิญไปเหยียบเท้าคนข้างหลังเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงถูกเข้าจับโยนเข้ามาในร้านสินะ”
“สุดยอด!!!”ริวร้องขึ้นมาทันที สักพักเขาก็พูดต่อ “นี่คุณเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลยหรือ?”
สีหน้าของชายเคาดำดูดุดันขึ้นมา สักพักเขาก็ตะโกนขึ้นว่า “หุบปากไปเลย!! พวกผู้ชายที่คิดจะเข้าไปจีบนายหญิงก่อนหน้าเจ้าก็อ้างเหตุผลแบบนี้เหมือนกัน เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหตุผลหลอกเด็กแบบนี้หรือ?”
ริวทำหน้าไม่รับรู้ไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็รีบโบกมือไปมา“รอเดี๋ยวสิครับ ที่ผมพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงนะ”
“ความจริง? งั้นเจ้าหันไปมองดูรอบตัวสิว่า มีใครเชื่อในคำพูดของเจ้าบ้าง”ชายเคาดำชี้นิ้วยังเหล่าผู้คนที่อยู่รอบๆ แน่นอนว่าสายตาของทุกคนต่างบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะไอ้คนหน้าสิงโตที่เป็นต้นเหตุของเรื่องถึงกับยืนส่งยิ้มให้กับริวอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นเขาถึงกับคิดขึ้นมา
(ไอ้หน้าแมว แกอย่าให้ผมหลุดได้ได้นะ ผมจะใช้มือถอนขนที่แผงคอให้หมดเลย!!)
-เฮ้อ ริว ข้าละเชื่อแกจริงๆ ขนาดมีดาบจ่อคออยู่แท้ๆ แกยังจะคิดเรื่องไร้สาระได้อีกนะ-
(เรื่องไร้สาระที่ไหนกัน ที่ผมต้องมาอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะไอ้หน้าแมวนั่นละ ขืน ไม่แก้เผ็ดไอ้แมวหน้าคนนั่นบ้าง ผมต้องนอนไม่หลับแน่ๆ )ริวพูดพร้อมส่งสายตาอาฆาตไปยังชายหน้าสิงโตโดยไม่สนคนดาบที่จ่อคออยู่แม่แต่น้อย ไม่สิ ตอนนี้ต้องบอกว่าเขาถูกความโกรธครอบงำจนลืมไปว่าถูกดาบจ่อคออยู่ต่างหาก
ชายเคาดำเริ่มดูลังเลขึ้นมาบ้างเพราะชายหนุ่มตรงหน้าดูจะไม่สนใจตนเองแม้แต่น้อย ไม่นานชายเคาดำก็ตัดสินใจแทงดาบเข้าไปอีกนิดเพื่อเป็นการข่มขู่ เพียงแต่ว่าไม่ว่าเขาจะส่งแรงไปที่ดาบเพียงใดก็ดูเหมือนว่าดาบจะไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เมื่อริวส่งสายตาพิฆาตจนพอใจ เขาก็นึกถึงดาบที่จ่อคอขึ้นมาได้ สีหน้าของริวเริ่มซีดขาวลงอีกครั้ง ขณะเดียวกันเสียงถอนหายใจของเท้ดดี้ก็ดังขึ้นว่า
-เอาเข้าไป ตกลงว่าแกเพิ่งจะรู้สึกกลัวตอนนี้เนี่ยนะ มันช้าเกินไปแล้วโว้ย-
จริงอยู่ที่ใบหน้าของริวจะปราศจากสีเลือดแต่ปฏิกิริยาบนใบหน้ายังคงเป็นปกติทุกประการ ชายหนุ่มยังคงจ้องมองชายกลางคนพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนออกไป
ชายกลางคนยังคงใช้แรงที่มีเพื่อผลักดาบให้เคลื่อนไปข้างหน้า แต่ก็ดูจะไร้ผลยิ่งเห็นสายตาของริวในเวลานี้ ชายเคาดำถึงกับคิดว่า
(ไอ้หนุ่ม แกส่งสายตาท้าทายข้าใช่ไหม ดีละ ถ้าข้าจัดการแกไม่ได้ ข้า อวาน เอลดาร์ ออร่า โนลเดอร์ จะขอลาออกจากผู้บัญชาการกองกำลังทหารที่ 3 ในทันที)
เมื่อคิดเช่นนั้นอวานก็ดึงดาบกลับไป ก่อนจะฟาดเข้าใส่ริวอย่างเต็มแรง ชายหนุ่มได้แต่ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมากัน จังหวะที่ดาบจะสัมผัสกับแขนขวานั่นเอง ดวงตาของสิงโตก็ส่องประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง
“เคร้ง”
ดาบที่ฟันเข้ามาถึงกับกระเด็นออกจากมือชายกลางคนไปปักอยู่ที่ริม อวานถูกแรงสะท้อนจากการโจมตีจนต้องถอยไป 2-3 ก้าว เขาจ้องมองชายหนุ่ม ก่อนจะมองมือขวาที่ตอนนี้แทบกำไม่ได้เลย
(ใช้การรวมพลังเวทบาเรียศักดิ์ไว้ที่จุดเดียวเพื่อป้องกันการโจมตีของเรา การจะทำแบบนี้ได้แสดงว่าต้องคำนวณแล้วว่าเราจะฟันดาบไปตรงจุดไหน ดูท่าไอ้หนุ่มนี้จะมีฝีมือใช้ได้เลยนะ)
“เอ่อ คือว่า พวกเราพอจะเจรจากันหน่อยได้ไหมครับ” ริวรีบพูดขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็คิดขึ้นมาว่า (เท็ดดี้ แกช่วยใช้เวทดึงดาบมาอยู่ในมือทีนะ ผมจะได้คืนดาบให้กับเขาแล้วพวกเราจะได้คุยกันได้ง่ายหน่อย ดีไม่ดีพวกเราอาจจะยุติเรื่องนี้โดยสันติก็ได้นะ)
เท็ดดี้จ้องมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่มันก็ยังยอมทำตามที่เขาพูดอยู่ดี สักพักดวงตาของสิงโตก็ส่องประกายสีแดงขึ้นมาอีกครั้ง ดาบปักอยู่ริมรั้วค่อยๆลอยมาหาชายหนุ่ม เมื่อริวรับดาบมาแล้ว เขาก็ใช้ 2 มือยื่นดาบพร้อมกล่าวขึ้นทันที
“นี่ดาบของคุณครับ”
ยังไม่ทันที่อวานจะได้รับดาบคืนไป ตัวดาบก็หักเป็นชิ้นๆ ชายหนุ่มถึงกับทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเขาคิดจะใช้ดาบเป็นสัญลักษณ์ในการยุติเรื่อง แต่ใครจะคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
- ริว ดูเหมือนแรงสะท้อนในตอนที่ปะทะกันจะทำให้ดาบเล่มนี้หมดสภาพไปนะ พอใช้เวทดึงดาบกลับมา มันจึงกลายเป็นอย่างที่เห็นนี้ละ–
อวานจ้องมองเศษดาบในมือชายหนุ่มด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่ทันที่ชายเคาดำจะได้พูดอะไรต่อ เสียงของเหล่าริเดียมุงก็ดังขึ้น
“ดูสิ ไอ้หนุ่มนั่นช่างกล้าจริงๆ ถึงขนาดท้าสู้กับชายเคาดำอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้”
“ใช่ ท่าทางงานนี้คงได้มีมวยคู่เด็ดให้พวกเราดูแล้วโว้ย”
“ใครอยากแทงเชิญเลย ตอนนี้อัตราต่อลอง 2 ต่อ1 แทงชายหนุ่ม 1 เหรียญทองได้ 2เท่า”
“น้องชายลุยเข้าไปเลย พี่แทงน้องหมดตัวเลย”เสียงร้องของเหล่าผู้คนที่มุงดูดังขึ้น เมื่อเห็นว่ามีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ชายกลางคนหยิบอาวุธในมือของริวโยนทิ้งไปข้างๆ ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นเหนือหัว เพียงชั่วครู่เขาก็เอาตวัดมือซ้ายลงเหมือนกับเป็นการให้สัญญาณบางอย่าง
ฟิ้วๆๆๆ
ลูกธนูที่ไม่รู้ทั้งที่มา และทิศทางต่างพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ริวหลับตาลงด้วยความกลัว แต่ยังไม่ทันที่ลูกธนูจะสัมผัสร่างกาย ลูกธนูทั้งหมดต่างกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ชายกลางคนถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะใช้มือหยิบขวานยักษ์ออกมาจากช่องว่างมิติ
-ริว ดูเหมือนเจ้าเคาดำคนนี้คงคิดจะเอาจริงแล้ว แกให้ดาบไทอัสในการรับมือก็แล้วกัน ส่วนข้าจะคอยป้องกันลูกธนูและเวทให้เอง-
ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยต่างทุกสิ่ง แต่ในใจกลับเหงื่อแตกราวกับน้ำตก สักพักเขาก็คิดขึ้นมา (ไม่ได้หรอก ขืน ใช้ดาบไทอัสตอนนี้ มีหวังเรื่องที่ผมปลอมตัวมาซื้อของต้องความแตกแน่ๆ)
-ไอ้เด็กบ้า!!! ขนาดจะตายอยู่แล้ว แกยังจะห่วงเรื่องความแตกอีกนะ -
(แน่นอนอยู่แล้ว ขืน ความแตกผมก็อดเที่ยวนะสิ)
-เวรกรรม ริว ถ้าแกไม่ใช้ดาบไทอัส งั้นก็เปลี่ยนไปใช้กุญแจดาราก็ได้ รับรองไม่มีใครรู้หรอกว่าแกมีกุญแจดารา-
ริวทำหน้าเบ้ (ไม่เอา ผมบอกแล้วไงว่าจะไม่เรียกยัยนั่นอีกแล้ว)
-เฮ้อ ไอ้นั่นก็ไม่เอา ไอ้นี้ก็ไม่ได้ แล้วแกจะทำอย่างไงกับคนตรงหน้าฟะ อย่าบอกนะว่าจะให้ข้ารับมือคนเดียวอีกนะ -
(ตอนแรกก็ว่าจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก แต่เปลี่ยนใจละ ครั้งนี้ผมจะเป็นคนรับมือเอง นายห้ามยุ่งนะ)ชายหนุ่มตอบพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย
เท็ดดี้มองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ แต่ระหว่างจะถามอะไร ริวก็หันไปพูดกับอวานว่า “ช่างเป็นขวานที่ดูทรงพลังดีนะครับ”
ชายหนุ่มพูดความจริงเพราะขวานในมือของอวานเป็นขวานที่มีด้ามยาวประมาณ 1-2เมตร ตัวขวานมี 2 คม ที่มีความยาวไม่ต่ำกว่า 2 ไม้บรรทัด แม้จะดูเกะกะไปบ้าง แต่เรื่องพลังทำลายคงไม่น่าจะเป็นห่วงยิ่งเห็นอวานควงขวานด้วยมือเดียวด้วยแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าพลังทำลายของคนและขวานรวมกันจะขนาดไหน
“หึๆ เจ้าจะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วละ”
ริวยังคงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่าทางคุณจะมั่นใจในขวานเล่มนี้จังเลยนะครับ”
“เจ้าไม่มาพูดถ่วงเวลาเลย เตรียมตัวตายได้แล้ว”อวานพุดพร้อมตั้งท่าเตรียมฟันขวานเข้าใส่ชายหนุ่ม
ริวยกนิ้วขึ้นมา 3นิ้ว “3 นาที ผมจะให้คุณใช้ขวานเต็มกำลังถ้าครบเวลาแล้ว คุณยังทำให้ผมเกิดแผลไม่ได้ ให้ถือว่าคุณแพ้นะครับ ในทางกลับกันถ้าคุณทำร้ายผมได้ก็ให้ถือว่าคุณชนะก็แล้วกัน”
อวานทำหน้างงๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร ริวก็พูดต่อ “ที่ผมเลือกวิธีนี้ก็เพราะไม่อยากจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตไปมากกว่านี้ อีกทั้งถ้าคุณกับผมสู้กันขึ้นมาจริงๆ นายหญิงของคุณที่นั่งอยู่ภายในร้านอาจจะได้รับบาดเจ็บก็ได้นะครับ”
ชายเคาดำนิ่งเงียบไปสักพัก เขาหันไปมองนายหญิง เธอจ้องมองอวานก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต อวานจึงกล่าวขึ้นมา
“ตกลง ถ้าภายใน 3 นาที ข้ายังไม่สามารถทำอะไรเจ้าไป ข้าจะเปิดทางให้เจ้าเข้าไปหานายหญิงอย่างแน่นอน แต่ว่าเจ้าแพ้เตรียมรับความตายได้เลย”
(ไอ้บ้า แกจะเข้าใจผิดไปถึงเมื่อไรกัน ผมบอกแล้วว่าไม่ได้มาจีบยัยนั่นทำไมไม่เชื่อกันบ้างฟะ)ริวอยากจะโวยวายออกไปตรงๆ แต่สถานการณ์กับไม่เอื้อยอำนวย เนื่องจากพออวานพูดจบบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ริวรีบเอามือไขว้หลังพร้อมเด็ดดอกกุหลาบสีฟ้า(เวททำให้กลายเป็นเหล็กกล้า) พร้อมด้วยดอกกุหลาบคริสตัล(เวทรักษา)
“เปาะ”
เสียงกุหลาบสีฟ้าถูกบีบแตกออร่าสีเทาปกคลุมร่างของชายหนุ่ม ก่อนจะเปลี่ยนร่างกายทั้งหมดเป็นเหล็กกล้าในทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบอะไร ขวานยักษ์ของอวานก็พุ่งตรงมากระแทกเข้ากับร่างกายของชายหนุ่มแล้ว
“ตึง”
อวานขมวดคิ้วเพราะดูเหมือนขวานที่ฟาดไปสุดกำลังจะไร้ผลเสียแล้ว เขารีบดึงขวานกลับ ก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้าแล้วฟาดเข้าใส่ศรีษะของชายหนุ่มอย่างเต็มแรงอีกครั้ง
“โครม”
แรงโจมตีในครั้งนี้ทำเอาเท้าของริวจมลงไปในพื้นดินประมาณ 10 ซม. แต่ความเสียหายที่ได้รับกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ริวยังคงยิ้มด้วยสีหน้าเมินเฉยตามปกติ แต่ในใจกลับถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตัวเองไม่เป็นอะไร
-ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่เวทของยัยหนูรีก้านี้ยอดจริงๆ ขนาดเจอการโจมตีรุนแรงขนาดนี้เข้าไปยังไม่เป็นอะไรเลย -
(ไอ้เรื่องยอดเยี่ยม ผมไม่เถียงนะ แต่มันคงจะดีกว่านี้ ถ้ามันไม่มีผลค้างเคียงตามมาด้วย ดูสิ ขนาดจะพูดผมยังทำไม่ได้เลย )ชายหนุ่มทำได้แต่คิดเพราะเมื่อใช้เวทบทนี้แล้วน้ำหนักของตัวเองจะเพิ่มขึ้น 5 เท่า ตอนนี้แค่จะขยับปากพูด เขายังทำไม่ได้เลย
จังหวะที่ริวกำลังพูดกับเท็ดดี้อยู่นั่น อวานก็เตรียมจะสะบัดขวานเข้าใส่อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำ เสียงอันอ่อนโยนของนายหญิงก็ดังขึ้นมา
“อวาน ท่านพอได้แล้วล่ะ ต่อให้ท่านฝืนใช้ท่านั้นออกไป แม้มันจะได้ผล แต่ท่านก็อาจจะหมดแรงไปอีกหลายวันทีเดียว เพราะฉะนั้นพอนี้ก็แล้วกัน”
ชายกลางคนหันไปมองทางต้นเสียง “นายหญิงครับ แต่ว่า...”
“นี้คือคำสั่ง”เสียงของนายหญิงดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
อวานได้แต่เก็บขวานเข้าไปในช่องว่างมิติ พร้อมโค้งตัวให้กับเจ้าของเสียงอย่างไม่เต็มใจนัก เขากลับไปยืนที่หน้าประตูตามปกติ เสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง
“ขอเชิญพ่อหนุ่มเข้ามาด้านในได้เลยจ๊ะ”
ชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียง พร้อมคิดขึ้นมาว่า (เท็ดดี้ นายว่าผมควรเข้าไปตามคำชวนดีไหม หรือว่าจะบอกออกไปตามตรงว่าทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดดี )
-ตามใจแกเถอะ -
ระหว่างที่ริวกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปข้างในหรือปฏิเสธคำเชิญอยู่นั้น สายตาพิฆาตของอวานก็จับจ้องมาที่เขาราวกับจะบอกว่า ไอ้หนุ่ม ถ้าปฏิเสธ แกต้องตายสถานเดียว
“เฮื้อก”เสียงกลืนน้ำลายของริวดังขึ้น ก่อนจะคิดต่อว่า (ตกลงว่าตาลุงคนนี้จะเอาอย่างไงกันแน่ ไอ้ที่ห้ามเข้าไปเพื่อจีบผู้หญิงด้านในก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่ทำไมต้องส่งสายตาแบบนั้นตอนที่จะปฏิเสธคำชวนของเธอด้วยฟะ )
-ริว ข้าว่าแกยอมเดินเข้าไปตามคำชวนของผู้หญิงคนนั้นเถอะ จากนั้นค่อยบอกสาเหตุที่แท้จริงกับเธอก็ยังไม่สาย ขืน ให้มาทะเลาะกับไอ้เคาดำงี่เง่านี้ มีหวังเสียเวลาตายเลย ที่สำคัญ ถ้ายัยหนูเทียน่ามาเห็นเจ้ากำลังมีเรื่องอยู่แบบนี้ มีทั้งข้า และแกได้หูชาไปตามแน่ๆ-
ริวพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ สักพักเขาก็เดินเข้าไปในร้านโดยมีอวานเดินตามเข้ามาติดๆ
ภายในร้านเค้ก
เมื่อมาถึงโต๊ะของหญิงสาว ชายเคาดำก็เดินไปยืนด้านหลังของเธอ ก่อนจะส่งสายตาพิฆาตมาที่ชายหนุ่มจนทำให้บรรยากาศในร้านเค้กดูจะแย่ลงในพริบตา
“อวาน พอได้แล้ว”เสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวที่นั่งอยู่ดังขึ้น เอยกมือเป็นสัญญาณให้เขาถอยออกไป
“เข้าใจแล้วครับ นายหญิง”ชายกลางคนได้แต่ทำตามคำสั่งของนายหญิง อวานถอยไป 2-3 ก้าวจากนั้นหญิงสาวก็ทำมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลง
“เชิญนั่งก่อนสิ พ่อหนุ่ม”
ริวทำท่าลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจนั่งตามคำเชิญ หญิงสาวเรียกพนักงานให้มารับรายการอาหาร ระหว่างที่เธอกำลังสั่งของอยู่นั้น เสียงของเท้ดดี้ก็ดังขึ้นว่า
-ริว ผู้หญิงคนนี้ ข้าว่าต้องไม่ใช่เอลฟ์ทั่วไปแน่ๆ-
ริวจ้องมองนายหญิงตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เพราะการกริยา และกระทำของเธอดูสูงส่งกว่าคนธรรมอย่างเขาเป็นอย่างมาก ที่สำคัญบรรยากาศที่สัมผัสได้จากผู้หญิงคนนี้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น
-ดูเหมือนว่า ความสามารถในการเรียกเรื่องร้ายๆของแกจะทำงานอีกแล้วนะ ขืน อยู่กับยัยเอลฟ์คนนี้นานๆ ข้าว่าต้องมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกแน่ เอาเป็นว่าแกหาทางชิ่งหนีให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน-
(ตกลง เดี๋ยวพอผมเล่าความจริงทั้งหมดแล้ว จะรีบเผ่นทันทีเลย)ริวรับคำในทันที
ขณะที่ริวกำลังคุยกับเท็ดดี้อยู่นั้น แก้วสีขาวพร้อมจานรองถูกนำมาเสิร์ฟให้กับชายหนุ่มโดยพนักงานที่อยู่ภายในร้าน เมื่อพนักงานจากไปหญิงสาวตรงหน้าก็หยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำชาให้เต็มแก้ว ก่อนจะทำมือเชื้อเชิญให้ริวดื่ม
“นี่คือ ชาเจ็ดสมุนไพร ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าได้เป็นอย่างดี ถ้าพ่อหนุ่มไม่เชื่อก็ทดลองดูได้นะ”
กลิ่นหอมของใบชา ทำให้ริวหยิบขึ้นมาดื่มอย่างไม่รู้ตัว แต่พอดื่มเข้าไปเท่านั้น เขาต้องรีบวางแก้วลง พร้อมร้องเสียงหลง
“ขมชะมัด ใครก็ได้ขอน้ำเปล่าหน่อยครับ”
หญิงสาวตรงหน้าอมยิ้มบางๆ ก่อนจะรีบยื่นส่งแก้วน้ำดื่มอีกใบให้กับริว หลังที่ชายหนุ่มดื่มแก้วน้ำจนหมดแก้วแล้ว เขาก็พูดออกมาว่า
“ผมคงไม่ดื่มชาแก้วนี้ไม่ไหว ถ้ายังไงขอเป็นอย่างอื่นที่มันหวานกว่านี้หน่อยจะได้ไหมครับ เอ่อ เอาเป็นเค้กสักชิ้นก็ได้นะ”
-เฮ้อ แกนี้มันจริงๆเลย ขนาดบอกว่าให้รีบหนี ยังมีหน้าด้านไปขอเค้กกับเขาอีกนะ –
(ขอโทษที พอดีมันติดเป็นนิสัยนะ)ริวได้แต่ยิ้มเจื่อนๆเป็นการสำนึกผิด โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองทำเอาชายกลางคนขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร นายหญิงก็ยกมือขึ้นห้าม
“ได้สิจ๊ะ งั้นเอาเป็นชีสเค้กไหมล่ะ ร้านนี้ทำได้อร่อยมากเลยนะ”
ยังไม่ทันที่จะตอบตกลง หญิงสาวตรงหน้าก็จัดการสั่งเค้กให้กับชายหนุ่มแล้ว ไม่นานเค้กก็ถูกนำมาเสิร์ฟให้กับริว
เมื่อชายหนุ่มจัดการกับเค้กเรียบร้อย หญิงสาวก็ถามขึ้นมาว่า “ตกลงว่าพ่อหนุ่มมีธุระอะไรกับฉันหรือ?”
“เอ่อ .....ถ้าผมบอกว่าไม่มีธุระอะไรกับคุณผู้หญิงเลย คุณจะเชื่อไหมครับ”ริวได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
นายหญิงพยักหน้าเบาๆ “เชื่อสิจ๊ะ เท่าที่ดูพ่อหนุ่มมาตั้งแต่แรก พ่อหนุ่มไม่ได้มีจิตพิศวาสเหมือนบรรดาผู้ชายที่อยู่ด้านนอกแม้แต่น้อย”
หญิงสาวตรงหน้าหยุดดื่มชาเล็กน้อย “แล้วตกลงว่าเรื่องราวทั้งหมด มันเป็นเช่นไรล่ะ พ่อหนุ่มช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
ริวพยักหน้าพร้อมเล่าเรื่องตั้งแต่เดินหลงทางจนเดิมมาถึงที่นี่ รวมทั้งเล่าเรื่องราวหลังจากนั้นออกมาอย่างคราวๆ พอเล่าจบ
“ทั้งหมดก็มีแค่นี้ละครับ ถ้าคุณผู้หญิงไม่ว่าอะไร ผมจะขอตัวเลยก็แล้วกัน แบบว่าผมยังมีธุระที่อื่นอีกนะครับ”
“รอก่อนสิ พ่อหนุ่ม”หญิงสาวส่งเสียงเรียกริวที่กำลังขึ้นยืนเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อว่า “พ่อหนุ่มนั่งก่อนสิ ฉันมีปัญหาบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่นะ”
ชายหนุ่มได้แต่นั่งลงตามที่เธอบอก “ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงสงสัยเรื่องอะไรหรือครับ”
ดวงตาของนายหญิงจับจ้องไปที่ริว พร้อมกล่าวว่า “เรื่องทั้งหมดนั้นละ”
ริวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร นายหญิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ความจริงเรื่องที่พ่อหนุ่มเล่ามาค่อยข้างจะสมจริงทีเดียว ฉันเองก็หลงเชื่อในการกระทำของพ่อหนุ่มไปพอสมควรจนกระทั่งจับผิดเรื่องบางอย่างได้นะ”
ชายหนุ่มทำท่าขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่า เธอพูดอะไรกันแน่ หญิงสาวตรงหน้ายิ้มบางๆพร้อมพูดขึ้นมาต่อ
“ทำไมพ่อหนุ่มจะต้องใช้เวทมายาเพื่อเปลี่ยนหน้าตาและรูปร่างของตนเองด้วยล่ะ อ้อ อย่าบอกนะว่าที่ทำไปเป็นแค่เหตุบังเอิญเช่นกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เนื่องจากเวทที่พ่อหนุ่มใช้คือ เวทมายาชั้นสูงที่น้อยคนนักที่จะใช้มันได้ การที่พ่อหนุ่มใช้เวทบทนี้ปลอมตัวแสดงว่า เธอต้องการทดสอบความสามารถของฉันสินะ เอาละ พ่อหนุ่มบอกเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองมาได้แล้วล่ะ”
/////////////////////////////
ปล. ต่อจากนี้ไปลงทุกวันพฤหัสบดีครับ งานเสร้จแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มโนเก่ง คิดเองเออเอง
5555 ตั้งแต่พระราชายันประชาชน
ครั้งนี้ยังราชินี เอ้ะ หรือเจ้าหญิง
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 กรกฎาคม 2557 / 16:25
รอตอนประลองชิงผู้นำตระกูลอยู่นะคร้าาาาา
ว่าแต่ เดี๋ยวได้วัตถุดิบไม่ธรรมดาก็จากเจ้ราชินีเนี่ยแหละ ชักอยากเห็นตอนริวทำอาหารแล้วซิ....