ตอนที่ 35 : บทที่ 3 คนธรรมดา กับ ข่าวลือที่ (ไม่)ธรรมดา
บทที่ 3
คนธรรมดา กับ ข่าวลือที่ (ไม่)ธรรมดา
เช้าวันรุ่งขึ้น
7.30 น. หน้าบ้านของริว
รถเก๋งคันสีดำจอดรออยู่หน้าบ้าน โดยมีคุณพ่อในชุดสูทสีดำพร้อมสวมแว่นตากันแดดติดเครื่องรอไว้อยู่ สักพักประตูบ้านก็เปิดออก ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีแดง พร้อมกระเป๋าสะพายเดินออกจากบ้านเป็นคนแรกพอเดินมาถึงรถ เขาก็เห็นคุณแม่ใส่ชุดแม่มดสีขาวที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูเหมือนแต่งตัวไปงานฮาโลวีน ก่อนจะตามมาด้วยน้องสาวสุดแสบที่ใส่ชุดแม่มดสีแดง ทั้ง 2 คนเดินออกจากบ้านราวกับชุดที่ใส่เป็นชุดปกติ พอเห็นการแต่งตัวของแม่และน้องสาว ริวก็ถามขึ้นเพื่อความแน่ใจว่า
“แม่ครับ พวกเราต้องนั่งรถไปที่สถานีขนส่งใช่ไหมครับ”
รีก้าส่งยิ้มให้ลูกชาย “ใช่แล้วจ๊ะ เมื่อคืนแม่ก็บอกแล้วนี้ว่าพวกเราต้องไปนั่งรถทัวร์เพื่อไปยังจุดที่มีประตูมิติอยู่ ลูกมีปัญหาอะไรหรือ?”
ริวจ้องมองชุดที่รีก้า ก่อนจะหันไปมองชุดของน้องสาว“เอ่อ คุณแม่กับเทียน่า ตกลงจะไปที่สถานีด้วยชุดนี้หรือครับ”
รีก้ามองชุดที่ใส่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างมั่นใจ“ใช่จ๊ะ มันมีอะไรแปลกหรือ?”
“มันคงไม่แปลกหรอกครับ ถ้าพวกเรากำลังจะไปยังประตูมิติด้วยเวทมนตร์ แต่นี้พวกเรากำลังจะขับรถไปสถานีขนส่งไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงแต่ตัวแบบนี้ละ”ริวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆเพราะชุดที่พวกแม่ใส่นั้น ขืน ไปในสถานีขนส่ง ได้ตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นแน่ๆ
คำพูดของริวทำเอาแม่และน้องสาวได้แต่ทำหน้างงๆ ขณะนั้นเองที่เซริวลดกระจกลง พร้อมพูดว่า “ริว ลูกเห็นว่าแม่และน้องแต่ตัวแบบไหนหรือ?”
“คุณแม่ใส่ชุดแม่มดสีขาว ในขณะที่เทียน่าใส่ชุดจอมเวทสีแดงครับ”ริวตอบออกไปตามที่เห็น เซริวเงียบไปสักพักก่อนจะถามต่อว่า
“แล้วลูกเห็นพ่อใส่ชุดอะไรละ”
ริวยกนิ้วโป้งไปทางคุณพ่อ พร้อมกล่าวชมเชยว่า“ใส่สูทสีดำ แว่นตากันแดดสีดำ ไม่ว่ามองทางไหนก็เท่สุดๆไปเลยครับ”
คุณพ่อ คุณแม่ต่างอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเพราะสิ่งที่ริวพูดมานั้นมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากๆ มีเพียงเทียน่าเท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติเหมือนรู้อยู่แล้วว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ สักพักคุณพ่อส่ายก็หน้าไป-มา
“เนตรมังกรนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ”
ริวทำหน้าไม่เข้าใจ เทียน่าได้แต่อธิบาย “พี่ค่ะ คุณแม่ คุณพ่อและหนูใส่ชุดแบบที่พี่พูดจริงๆ เพียงแต่คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นชุดพวกนี้หรอกค่ะ”
สีหน้าของริวยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องสาวพูด เทียน่าจึงกล่าวต่อว่า“พวกเราได้ใช้เวทอำพรางชุดที่ใส่เอาไว้ อย่างของหนูเป็นการแต่งตัวสไตล์เกาหลี คุณพ่อเป็นเสื้อยืด กางเกงยีน และคุณแม่ก็ใส่ชุดเดรทสีเทานะ”
“หมายความว่ามีพี่เห็นชุดพวกนี้คนเดียวอีกแล้วหรือ?”ริวถามออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
น้องสาว คุณพ่อและคุณแม่ต่างพยักหน้าพร้อมกัน ริวเอามือจับหัวคิ้ว ก่อนจะถามออกไป“ทำไมทุกคนถึงต้องแต่งตัวแบบนี้ละครับ ผมว่าแค่แต่งตัวตามปกติก็พอแล้วมั่ง”
“เวลาที่ลูกไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ หรือ สถานที่ราชการ ลูกจะแต่งตัวแบบไหนละจ๊ะ”รีก้าถามอย่างยิ้มๆ ชายหนุ่มตอบทันที
“แต่งตัวสุภาพและเรียบร้อยครับ”
รีก้ายิ้ม“ใช่จ๊ะ แล้วในกรณีที่ต้องไปยังสถานที่มีความสำคัญมากๆ ลูกจะแต่งตัวแบบไหนละ”
มือข้างซ้ายถูกนำมาจับที่ปลายคาง คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองกรอกไป-มาราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก น้ำเสียงอันจริงจังของริวดังขึ้นว่า
“ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงต้องเลือกแต่งให้สุภาพที่สุดเท่าที่ทำได้นะครับ อาจจะใส่สูท ไม่ก็ผูกเนคไทเพื่อเป็นการให้เกียรติกับสถานที่นะครับ”
“นั้นละคำตอบที่ลูกต้องการ”รีก้าตอบแบบยิ้มๆ“สถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปนั้นค่อยข้างจะมีความพิเศษมากๆ พวกแม่จึงต้องแต่ตัวเต็มยศเพื่อให้เกียรติกับสถานที่นะ”
คำตอบของคุณแม่ทำเอาลูกชายต้องแสดงสีหน้าราวกับปวดไมเกรนขึ้นมาทันที ริวคิดขึ้นว่า(ชุดแฟนตาซีแบบนี้นะ คือการแต่งแบบเต็มยศในริเดีย อยากจะบ้าตาย ตกลงว่าไอ้โลกใบนั้น มันมีอะไรที่เป็นปกติเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างไหมเนี่ย)
สีหน้าที่แย่ลงของริว ทำให้เทียน่าถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ไม่เป็นอะไรนะค่ะ”
ริวสะบัดหน้าเพื่อไล่ความคิดแย่ๆให้หลุดจากสมอง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “พี่ไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแค่คิดว่าพี่จำเป็นต้องแต่งตัวเต็มยศแบบนั้นด้วยไหม”
“แน่นอนค่ะ หนูเตรียมชุดให้พี่แล้วด้วย รับรองว่าพี่ต้องชอบแน่ๆ”เทียน่าพูดออกมาพร้อมตวัดมือเป็นวงกลม สิ่งที่ปรากฏออกมาตรงหน้าคือ ชุดทักซิโด้สีเงิน รองเท้าสีขาว ถุงมือสีขาว
(ไม่ว่าดูยังไง ไอ้ชุดนี้มันก็ชุดลิเกชัดๆ ใครมันจะไปกล้าใส่ชุดแบบนี้กันฟะ) ริวคิดขึ้นทันทีที่ได้เห็นชุด แต่พอจะพูดปฏิเสธ ชายหนุ่มก็เห็นสายตาของน้องสาวที่กำลังสื่อออกมาตรงๆว่า อยากให้พี่ชายใส่ชุดนี้ทันที เขาได้แต่ทำท่ากระอักกระอ่วนโดยไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี เสียงของเท็ดดี้ก็ดังแทรกขึ้นมา
“ยัยหนูเทียน่า เก็บชุดของเจ้าไปเถอะ ขืนให้ไอ้ริวใส่ชุดนั้นไปเคารพเจ้านั้น มีหวังมันได้หัวเราะข้าจนท้องแข็งแน่ๆ”
เทียน่า เซริว และรีก้าต่างสะดุ้งกับคำพูดของเท็ดดี้ ไม่นานเทียน่าก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเท็ดดี้รู้ด้วยหรือคะ ว่าพวกเรากำลังไปที่ไหนกัน”
“หึๆๆ พวกเจ้าอย่าเอาข้าไปรวมกับไอ้เด็กโง่นี่ซิ แค่เห็นพวกเจ้าแต่งตัวขนาดนี้ข้าก็พอเดาได้แล้วละ”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมถึงไม่ให้พี่ริวแต่งชุดนี้ละ คุณน่าจะรู้ว่าท่านผู้นั้นจริงจังกับมารยาทขนาดไหน”
สีหน้าของเท็ดดี้เปลี่ยนเป็นเคร่งครึม น้ำเสียงอันจริงจังดังขึ้นมา“ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นจริงจังกับเรื่องมารยาทแค่ไหน เพียงแต่ว่าพวกเจ้าต้องรู้ด้วยว่า ฐานะของข้าและเจ้านั้นเท่าเทียมกัน การให้เจ้าริวแต่งตัวเพื่อไปเคารพเจ้านั้น มันก็เท่ากับเป็นการดูถูกข้าเช่นกันนะ”
พวกเซริวต่างเงียบลงเพราะพวกเธอลืมไปว่าท่านผู้นั้นกับเท็ดดี้ต่างมีฐานะเท่าเทียมกัน การให้ริวไปเคารพท่านผู้ในนั้นฐานะทายาทของตระกูลถือว่าไม่ผิด แต่ถ้านับตามฐานะผู้ครอบครองแหวนสัตว์เทพอย่างเท็ดดี้ด้วยแล้ว นี่ถือว่าเป็นการบอกว่าเท็ดดี้มีฐานะต่ำกว่าท่านผู้นั้น เซริวไตร่ตรองอยู่สักพักพร้อมกล่าวว่า
“เทียน่า เก็บชุดเอาไว้ใช้ในโอกาสหน้าเถอะ”
เทียน่าร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าว่าไม่ยอมรับคำพูดนี้ รีก้าเดินเข้ามาลูบหัวลูกสาว “เชื่อที่คุณพ่อพูดเถอะนะ”
เทียน่าได้แต่พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก รีก้าเอนตัวไปกระซิบข้างหูลูกสาวว่า “ลูกเก็บชุดนี้เอาไว้ให้พี่ชายใช้ตอนงานเทศกาล ขอบคุณต้นไม้แห่งโลกก็ได้นี่ ถึงยังไงพวกเราก็จะพักอยู่ที่ริเดียจนถึงเทศกาลนั้นอยู่แล้ว”
คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้ลูกสาวทำหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอยิ้มออกมา “จริงด้วย “
ขณะที่เทียน่ากำลังพูดกับคุณแม่อยู่นั้น เสียงของริวก็ถามขึ้นว่า “มีใครพอจะบอกผมได้ไหมว่า ทุกคนกำลังพูดอะไรกันอยู่หรือ?”
ยังไม่ทันที่จะมีใครตอบคำถามนี้ เสียงของเท็ดดี้ก็ดังขึ้นว่า “ไอ้ริว แกจะถามให้มากความไปทำไมฟะ”
ริวทำท่าจะถามกลับไป แต่เสียงของเท็ดดี้ดังแทรกขึ้นในหัวว่า
-ข้ากำลังหาทางช่วยแกไม่ให้ใส่ชุดนั้นอยู่นะ ถ้าแกยังเรื่องมากอีก ข้าจะบอกให้ยัยหนูเทียน่าจับแกใส่ชุดนั้นเดี๋ยวนี้เลย-
ริวจำเป็นต้องเอามือปิดปากราวเหมือนกับจะบอกว่าเขาจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว เท็ดดี้จึงหันไปกล่าวกับเซริวว่า
“พวกเจ้ารีบไปได้แล้ว ขืน ชักช้าเจ้าริวเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ข้าช่วยอะไรไม่ได้นะ”
เซริวพยักหน้า ก่อนจะเร่งให้ทุกคนขึ้นรถ เทียน่ารีบยื่นมือไปขอกระเป๋าสะพาย ริวก็ส่งให้แต่โดยดี พอน้องสาวรับกระเป๋าไป เธอก็ถามขึ้นมาว่า
”พี่ค่ะ ทำไมกระเป๋าถึงได้หนักแบบนี้ละ ตกลงว่าพี่เอาอะไรบ้างคะ?”
ยังไม่ทันที่ริวจะตอบ เซริวร้องเร่งอีกครั้ง เทียน่าจัดการเอากระเป๋าใส่ด้านหลังรถ ก่อนจะรีบดึงมือของพี่ชายให้มานั่งที่เบาะหลังด้วยกัน สักพักรถยนต์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป เสียงของผู้เป็นพ่อดังขึ้นว่า
“ทุกคนอย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยละ”
ทุกคนต่างทำตามที่คุณพ่อพูด พอคาดเข็มขัดเรียบร้อย เทียน่าก็หันมาถามริวอีกครั้งว่า”พี่ค่ะ พี่ยังไม่ตอบเลยนะว่าเอาอะไรมาบ้าง”
ริวยกมือซ้ายขึ้นมา ก่อนจะใช้มือขวานับไปทีละนิ้วพร้อมกล่าวตามว่า “รู้สึกว่าจะมี DVD BOX SET 20 แผ่นของไอ้เท็ดดี้ แท็บเล็ต เครื่องเกม PSPV1 เครื่องDVDแบบพกพา เดี๋ยวนะ ใช่ยัง Power Bankอีก 3 อัน เครื่องชาร์ตแบบใช้แรงคนอีก 1 เครื่อง หนังสือนิยายอีก 10 เล่ม นอกจากนั้นก็มีพวกเสื้อผ้า แปรงสีฟันและอุปกรณ์ที่จำเป็นะ อ้อ ยังมีช็อกโกแลตแท่ง ลูกอม กับขนมอีกนิดหน่อยนะ ”
คำตอบของริวทำเอาเทียน่าอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก รีก้าและเซริวต่างยิ้มเจื่อนๆ ทุกคนในรถต่างเงียบลงราวกับนัดหมายกันไว้ มีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆของเท็ดดี้ดังขึ้นมา รีก้ายื่นมือไปเปิดวิทยุเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศภายในรถ
7.45 น. สถานีขนส่ง
สถานีขนส่งของจังหวัดจันทบุรีมีทางเข้าออกทั้งหมด 3 ทาง โดยเป็นทางรถเข้า-ออก 2 ทาง ส่วนอีกทางเป็นซอยที่สามารถตัดออกไปยังถนนสายหลักได้ ฝั่งตรงกันข้ามของสถานีขนส่งก็คือสนามกีฬาจังหวัดนั้นเอง รถยนต์ที่พวกริวนั่งมาตรงเข้าไปจอดที่บริเวณป้อมตำรวจที่อยู่ใกล้ทางเข้า
พอรถจอดเรียบร้อย เซริวก็เดินนำพวกริวเข้าไปในสถานี เขาบอกให้พวกริวนั่งคอยที่ม้านั่ง ส่วนตัวเองก็เดินไปยังช่องขายตั๋วที่อยู่ไม่ไกลนัก คุณพ่อยื่นบัตรสีแดงให้กับพนักงาน สักพักตั๋วสีทองจำนวน 4 ใบก็ถูกส่งกลับมา เซริวรับตั๋วทั้ง 4 ก่อนจะกวักมือเรียกให้ทั้งพวกริวเดินตามไป หลังจากเดินตามมาได้สักพัก พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงด้านหลังสถานี ที่นั้นมีรถทัวร์จอดคอยอยู่ 1 คัน ริวมองสภาพรถก่อนจะกล่าวว่า
“พ่อครับ แน่ใจว่าใช่รถทัวร์คันนี้นะ”
การที่ริวถามแบบนี้ก็เพราะรถทัวร์คันนี้เป็นรถแบบไม่ปรับอากาศ แถมยังมีสภาพที่เรียกว่าจะพังเมื่อไรก็ไม่แปลก เซริวหันมาพยักหน้าให้กับลูกชาย ก่อนจะเดินไปยื่นตั๋วให้กับเด็กรถ เมื่อเด็กรถกวาดตามายังเทียน่า รีก้า ก่อนจะมาหยุดมองริวด้วยสีหน้าตกใจ ขณะนั้นเองที่เซริวกล่าวขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่าผมกับครอบครัวสามารถขึ้นไปได้เลยไหมครับ”
เด็กรถสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะทำมือเป็นการเชิญให้เซริวขึ้นไปบนรถ คุณพ่อเดินขึ้นไปคนแรก ต่อด้วยเทียน่า และรีก้า ริวเดินตามขึ้นไปเป็นลำดับสุดท้าย แต่ยังไม่ทันที่จะขึ้นรถ เสียงของเด็กรถก็ดังขึ้นว่า
“คือ....ว่า ขอผมจับมือหน่อยได้ไหมครับ”
เด็กรถจ้องมองริวด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้ยินเสียงตอบตกลง ชายหนุ่มมองเด็กรถอย่างงงๆ ก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ได้สิครับ”
ควับ
มือทั้ง 2 ข้างของเด็กรถคว้าจับมือขวาของริวอย่างไม่เกรงใจ แรงบีบของมือทั้ง 2ข้างทำเอาริวต้องหน้าเสีย ขณะที่เขากำลังจะบอกให้ปล่อยมือนั้น เด็กรถก็ปล่อยมือออก ก่อนจะโค้งตัว 45 องศาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพสูงสุดว่า
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกินที่ได้ต้อนรับคุณในวันนี้นะครับ ถ้าคุณต้องการอะไรขอให้เรียกใช้ผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
ริวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมคิดขึ้นมาว่า (สุดยอดไปเลย! ไม่คิดเลยว่าเด็กรถจะได้รับการอบรมมารยาทมาดีถึงขนาดนี้ มิน่าละ รถคันนี้ถึงยังคงวิ่งอยู่ได้)
จังหวะที่ริวกำลังคิดอยู่ เทียน่าก็เรียกให้เขาตามขึ้นไป ชายหนุ่มจึงหันมายิ้มให้กับเด็กรถ ก่อนจะพูดว่า
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากริวเดินขึ้นไปแล้ว เด็กรถก็ยกมือขึ้นมองราวกับว่าเขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม สักพักชายที่คนขับรถก็เดินเข้ามาพร้อมพูดว่า
“ไอ้ขาว แกเป็นอะไรฟะ เอาแต่มองมืออยู่ได้”
“ลูกพี่ วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดเลยละ”เสียงของเด็กรถดังขึ้น ชายที่เป็นคนขับมองขาวอย่างงงๆ เขาพยายามจะร้องเรียกอีกหลายครั้ง แต่ดูเหมือนลูกน้องของเขาจะไม่ยอมรู้สึกตัวเลย
ภายในรถทัวร์
รถทัวร์คันนี้แบ่งที่นั่งออกเป็น 10 แถว หนึ่งแถวมีเก้าอี้ 4 ตัว มีทางเดินที่อยู่ตรงกลางทำให้แบ่งเก้าอี้ออกเป็น 2 ฝั่ง(ฝั่งละ 2 ตัว) เซริวมองหางตั๋วที่เขียนไว้ว่า GR1 (แถวG ฝั่งขวา ตัวที่ 1) GR 2 (แถวG ฝั่งขวา ตัวที่ 2) GL1(แถวG ฝั่งซ้าย ตัวที่ 1) GL 2(แถวG ฝั่งซ้าย ตัวที่ 2) เมื่อพวกรีก้านั่งลงแล้ว ริวก็เดินขึ้นมาบนรถ เทียน่ารีบกงักมือเรียกให้พี่ชายมานั่งข้างๆ ชายหนุ่มเดินตรงไปหาน้องสาวในทันที
ขณะที่เดินไปยังที่นั่งริวก็ได้กวาดตามองไปรอบๆ มันทำให้เห็นว่ารถคันนี้ยังมีผู้โดยสารคนอื่นอีก 4 คน แบ่งเป็นหญิงสาว 2คนที่นั่งอยู่แถวที่B ส่วนแถว E มีหญิงสาวกลางกับเด็กสาวนั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อหญิงสาวทั้ง 2 คนเห็นใบหน้าของริว พวกเธอถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวทั้ง 2 คนหันมองชายหนุ่มจนคอแทบเคล็ด เมื่อริวเดินผ่านแถวของเด็กสาว เธอต้องหันไปกระซิบกับหญิงกลางคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“แม่ค่ะ พี่ชายคนนี้หน้าเหมือนกับรูปปั้นวีรบุรุษที่อยู่ในหมู่บ้านเลยค่ะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ?”เสียงของคนเป็นแม่ตอบขึ้นมา ทั้งที่ดวงตายังอ่านหนังสือแฟชั่นอย่างไม่วางตา ลูกสาวมองตามจนกระทั่งริวนั่งลงที่เก้าอี้ จากนั้นเธอก็หันมากล่าวกับคุณแม่ว่า
“แม่ค่ะ พี่ชายคนนี้จะใช่วีรบุรุษที่อยู่ในนิทานหรือเปล่าคะ”
คนเป็นแม่ใช้มือพลิกหน้าหนังสือแฟชั่น ก่อนจะพูดโดยตายังคงมองหนังสือ“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ ท่านวีรบุรุษมีธุระวุ่นวายมาก เขาไม่มานั่งรถทัวร์แบบนี้หรอกจ๊ะ”
เด็กสาวพยายามจะพูดอะไรออกมาอีก แต่คุณแม่กลับบอกให้ลูกสาวนั่งลงได้แล้ว เด็กสาวยอมทำตามแบบไม่เต็มใจนัก ช่วงเวลาเดียวกันริวหันไปถามน้องสาวที่นั่งข้างๆ
“เทียน่า รถคันนี้จะพาพวกเราไปที่ไหนหรือ?”
เทียน่าตอบแบบยิ้มๆ “ไม่ทราบค่ะ”
ชายหนุ่มทำหน้างงๆ เทียน่ายิ้มพร้อมอธิบายต่อว่า“รถทัวร์คันนี้จะพาพวกเราไปยังตึกที่เป็นที่ตั้งของประตูมิติ เพียงแต่ตำแหน่งของตึกจะย้ายที่ทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้คนทั่วไปรู้ตำแหน่งของประตูมิติ หนูจึงไม่ทราบว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหนยังไงละค่ะ”
ริวพยักหน้าอย่างเข้าใจในเหตุผล ขณะที่เขากำลังจะถามอะไรต่อ เสียงของเท็ดดี้ก็ดังขึ้นว่า “แล้วทำไมถึงไม่ใช้ประตูมิติที่อยู่ใกล้ๆบ้านละ ถ้าเป็นที่นั้นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแบบนี้ด้วย”
เทียน่าส่ายหน้าเบาๆ “หนูเองก็ไม่รู้ค่ะ คุณพ่อเป็นคนเลือกที่จะไปใช้เส้นทางข้ามมิติที่อื่น แทนที่จะใช้ประตูมิติที่ใช้ประจำ แถมยังไม่ยอมบอกเหตุผลอะไรด้วย”
ใบหน้าของสิงโตขมวดคิ้วเล็กน้อย จังหวะนั้นเองที่รถทัวร์ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากสถานี หลังจากออกไปได้ไม่นาน รถทัวร์ก็พาพวกริวมายังตึกแห่งหนึ่งที่อยู่ชานเมือง รถทัวร์ตรงเข้ามาจอดรถภายในตึก หญิงสาวที่นั่งแถวหน้าหันมามองริวอีก 1 ครั้ง ก่อนจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปแล้วรีบลงรถไปทันที และแม่-ลูกสาวที่นั่งแถวEค่อยๆเดินลงจากรถไป ทำให้ภายในรถเหลือเพียงครอบครัวของริว เซริวหันมาพูดกับเทียน่า
“เทียน่า เดี๋ยวลูกพาริวไปจุดตรวจพลังเวทก่อนเลยนะ พ่อกับแม่ต้องไปรายงานตัวก่อนนะ”
“ได้ค่ะ”เทียน่ารับคำด้วยความเต็มใจ เซริวยิ้มพร้อมพารีก้าเดินลงรถไป
น้องสาวจึงรีบลากพี่ชายลงจากรถทัวร์ เธอก็หันไปมองรอบๆเพื่อที่จะหาทางไปยังชั้นที่ 2 (ลานจอดรถเป็นชั้น 1) พอขึ้นมาชั้นที่ 2 ริวทำหน้าอึ้งๆ เพราะชั้น 2 นี้มีลักษณะคล้ายกับสถานีรถไฟฟ้า ที่มีช่องทางเดิน8 ช่อง(คล้ายช่องตรวจตั๋วเพียงแต่ใช้การประทับมือแทนการสอดตั๋ว) แต่ละช่องต่างมีหมายเลข 1-8 กำกับเอาไว้ โดยแต่ละช่องจะมีพนักงานหญิงคอยดูแลผู้เดินผ่านช่องอย่างใกล้ชิด ห่างออกมาเป็นที่นั่งสำหรับรอเรียกให้ไปทดสอบสอบพลังเวท ตรงที่นั่งมีคนคอยอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 คน(หญิงสาว 2 คนกับแม่ลูกคู่นั้นก็อยู่ในกลุ่มนี้) ชายหนุ่มจ้องมองพนักงานสาวพร้อมกลืนน้ำลายลงไป 2-3 อึก เทียน่าหันมายิ้มให้กับพี่ชาย
“พี่ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกค่ะ จุดนี้แค่ตรวจสอบว่าพี่มีพลังเวทหรือไม่มีเท่านั้นเอง ขอแค่พี่เอามือที่สวมคุณเท็ดดี้ไปวาง หนูรับรองว่าพี่ต้องผ่านไปอย่างง่ายดายเลย”
ริวยิ้มแหยๆเพราะสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายไม่ใช่สิ่งที่น้องสาวพูด แต่เขากลืนลายเนื่องจากชุดที่พนักงานสาวใส่ต่างหาก ชุดที่พวกเธอใส่เป็นชุดเดรทสั้นสีดำ สายเดี่ยว กระโปรงสีดำ สวมรองเท้าส้นสูงสีดำ
(ใครมันเป็นคนออกแบบนี้ฟะ นี้มันเซ็กซี่เกินไปแล้วนะ ยิ่งมาทำงานในห้องแอร์แบบนี้ด้วย เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันหรอก )
-แกนี่มันเกินจะเยียวยาจริงๆ แทนที่จะสนใจประตูมิติกับไปสนใจเสื้อผ้าของพนักงานซะได้ แถมดันไปสนใจเพราะกลัวพวกพนักงานจะเป็นหวัดอีกนะ -
(อ้าว ถ้าไม่ให้สนใจเรื่องนี้จะให้สนใจเรื่องไหนฟะ)ริวถามออกมาโดยที่ตัวเองยังคงจ้องพนักงานทั้ง 8 คนอย่างไม่วางตา
-ความสวยงาม ไม่ก็ ความเซ็กซี่ยังไงละ-
(จริงด้วย ผมลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ยังไงนะ) ริวทำหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่สีหน้านั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ริวทำหน้าสลดราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญของชีวิต สักพักเขาก็คิดขึ้นมา
(นี้ผมกลัวจุดตรวจจนต้องให้สิงโตมีปีก เรียกให้มองผู้หญิงเลยหรือ? ถ้ารู้ถึงไหน อายถึงนั้นเลยนะ )
เท็ดดี้มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายกับความคิดด้านลบ น้องสาวที่อยู่ข้างกายจัดการดึงมือพี่ชายให้ไปที่ม้านั่ง ขณะที่กำลังเดินไปอยู่นั้น สายตาของคนเกือบทุกคู่ต่างจ้องมองมาที่ริวราวกับนัดกันไว้ โดยเฉพาะพนักงานสาว 8 คน พวกเธอต่างขยี้ตาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อเขานั่งลงเป็นที่เรียบร้อย ริวก็หันไปกระซิบกับน้องสาว
“เทียน่า น้องรู้สึกบ้างไหมว่า สายตาของทุกคนกำลังจ้องมาที่พวกเรานะ”
“ไม่ใช่ค่ะ คนที่ถูกมองคือ พี่คนเดียว ต่างหาก”เทียน่าตอบออกมาตามตรง
ริวเอานิ้วชี้หน้าตัวเองราวกับจะบอกว่ามองตัวเองทำไม แต่ยังไม่ทันที่เทียน่าจะได้ตอบอะไร ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมา “มองพี่! อย่าบอกนะว่าพวกเธอเห็นรอยน้ำลายที่แก้มซ้ายนะ ”
เทียน่าส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ”
ริวทำท่าลุกลน ก่อนจะเอนตัวไปกระซิบน้องสาวอีกครั้ง “ขนจมูกของพี่ยาวจนน่าเกลียดใช่ไหม” ถ้าน้องสาวตอบว่า ใช่ ผมจะรีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อถอนขนจมูกทันทีเลย เรื่องอะไรจะเสียงบุคลิกต่อหน้าสาวๆ
“ไม่ใช่ค่ะ”เทียน่าได้แต่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ริวทำท่าจะถามออกมาอีกครั้ง แต่น้องสาวกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“พี่อย่าเดาอีกเลยค่ะ การที่ทุกคนมองพี่ก็เพราะ พี่คือวีรบุรุษต่างหาก”
สมองของริวขาวโพลนในทันที ถ้านี่เป็นความฝัน เขาอยากจะตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย ริวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ สักพักเขาก็กระซิบถามขึ้นมา
“พี่กลายเป็นวีรบุรุษตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เทียน่าถอนหายใจเพราะดูเหมือนพี่ชายจะไม่ทราบเลยว่าตัวเองมีฐานะสูงส่งเพียงใดในริเดีย น้องสาวตัวแสบได้แต่เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป ริวเอามือกุมขมับพร้อมคิดหาทางแก้เรื่องที่ได้ยิน เสียงของเท็ดดี้ดังขึ้น
-ไอ้ริว แทนที่แกจะห่วงเรื่องนั้น ข้าว่าแกกังวลเรื่องสาวๆรอบตัวก่อนดีไหม แต่ละคนจ้องแกยังกับหมาป่าเห็นลูกแกะเลยนะ ถ้ายังไม่ทำอะไร แกกลายเป็นเหยื่อแน่ๆ -
คำพูดของเท็ดดี้ทำให้ริวหันไปมองรอบตัว เขากลืนน้ำลายอย่างหวั่นๆ เพราะสายตาของสาวๆในห้องแห่งนี้ต่างจับจ้องมาที่เขา ชนิดว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ บางคนถึงกับเอามือเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมา สักพักเขาก็คิดขึ้นมา
( นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่รู้ว่า ดาราชาย หรือ ตัวละครในการ์ตูนฮาเรมรู้สึกยังไงเวลาที่มีสาวๆมารุมล้อมแบบนี้ ช่างเป็นความรู้สึกดีที่เต็มไปด้วยความทุกข์จริงๆ)
เสียงโวยวายของเท็ดดี้ดังขึ้นว่า -ไอ้เด็กบ้า อย่าเพิ่งมาคิดไร้สาระเวลานี้จะได้ไหม ตอนนี้แกควรคิดแก้ปัญหาตรงหน้าก่อนซิโว้ย –
ริวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ (ไม่จำเป็น ถ้าทุกคนเชื่อว่าผมเป็นจอมมาร อัศวิน หรือจอมเวทชั้นสูง ค่อยมาหาทางคิดแก้ไข แต่ถ้าทุกคนเชื่อว่าผมเป็นวีรบุรุษ หรือผู้กู้โลก ทางแก้นั้นแสนจะง่ายเลยล่ะ)
เท็ดดี้ทำหน้างงๆ แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ถามอะไร ริวก็ลุกขึ้นยืน เทียน่ามองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ เธอรีบดึงมือเพื่อจะให้เขานั่งลง ชายหนุ่มปัดมือของน้องสาวออก จากนั้นจึงค่อยๆกวาดตามองไปรอบตัว เสียงราบเรียบดังขึ้นมา
“ผม อรุณ เทพพิทักษ์ ชื่อเล่น ริว อย่างที่ทุกคนรู้ว่าผมเป็นใคร”
ริวจงใจทิ้งช่วงเพื่อต้องการให้ทุกคนเงียบ และรอฟังสิ่งที่เขาต้องการจะพูดต่อจากนี้ ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมา
“การเดินทางในครั้งนี้ของผมถือว่าเป็นความลับสุดยอด ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา มันอาจจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ดังนั้นผมอยากขอให้ทุกท่านเก็บเรื่องของผมเป็นความลับจะได้ไหมครับ”
ทุกคนต่างพยักหน้าเป็นการยอมรับ ริวพยายามยิ้มอย่างที่เท็ดดี้เคยทำ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ตอนนี้ผมขอเวลาเป็นส่วนตัวสักเล็กน้อย เพื่อประเมินแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้นะครับ”
คำพูดของริวทำให้ทุกคนต่างเงียบลง สักพัก 1 ในคนทั้งหมดก็ถามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่ามีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นหรือคะ?”
ริวเอานิ้วชี้แตะปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ทุกอย่างเป็นความลับครับ แต่ผมขอให้สัญญาว่าทุกคนจะปลอดภัยอย่างแน่นอน”
คำพูดที่แสนสุภาพนี้และท่าทาง(ที่แอ็คท่าหล่อเกินตัว)ของชายหนุ่ม เรียกเสียงร้องกรี๊ดจากหญิงสาวแทบทุกคน บางคนถึงกับเป็นลมกับสิ่งที่เห็น หนึ่งในพนักงานสาวที่คอยให้บริการถึงกับพูดขึ้นมาด้วยความเสียใจว่า
“โธ่ ทำไมฉันไม่เป็นคนที่เข้าถามไปนะ”
“ผู้ชายเท่ๆแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก ไม่ว่ายังไงฉันจะต้องครอบครองชายคนนี้ให้ได้”หนึ่งในหญิงสาวที่นั่งคอยใช้บริการพูดขึ้นมา พร้อมกับยกมือเช็ดน้ำลายที่ไหลเป็นทาง โดยเธอไม่สนใจเลยว่าสามีของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆจะทำสีหน้ายังไง
“พวกเราเลิกกันเถอะ ตอนนี้ฉันพบคนที่ใช่แล้วละ”หญิงสาวอีกคนหันไปบอกเลิกแฟนหนุ่มในทันทีที่เธอรู้สึกตัว แฟนหนุ่มต้องรีบถามถึงเหตุผลเป็นการด่วน แต่คำตอบที่ได้รับ มีเพียงสายตาที่เป็นรูปหัวใจกำลังจับจ้องไปที่ริวเท่านั้นเอง
ระหว่างที่บรรดาหญิงสาว และผู้คนกำลังหลงใหลท่าทางจอมปลอมของชายหนุ่ม ริวก็นั่งลงราวกับว่าทุกเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เสียงของเท็ดดี้ดังขึ้นว่า
-แกนี้หน้าด้านสุดยอดไปเลยนะ คงไม่มีใครจะคิดว่าวีรบุรุษอย่างแกจะโกหกหน้าตายแบบนี้-
(หึๆๆ นี้ละ สิทธิ์พิเศษของคนที่เป็นวีรบุรุษ ไม่ว่าจะพูดอะไร คนส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อทั้งหมดนั่นละ)ริวอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มๆ ขณะนั้นเองที่เทียน่าเอนตัวมากระซิบข้างหูชายหนุ่ม
“พี่ค่ะ ทำไมถึงไปโกหกแบบนั้นละ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก”
ริวกระซิบตอบกลับไปว่า “เอาน่า เดี๋ยวพอพวกเราไปแล้วคนที่นี้ก็ลืมไปเองนั้นละ”
“แล้วถ้าพวกเขาไม่ลืมละค่ะ เรื่องโกหกของพี่อาจก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็ได้”
ริวอึ้งไปเล็กน้อยๆ เทียน่าได้แต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเพราะดูเหมือนพี่ชายจะไม่ได้คิดเรื่องนี้เอาไว้เลย ขณะที่เธอทำท่าจะพูดอะไรออกมา รีก้าก็ปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เธอรีบพาตัวริวและเทียน่าให้ไปยังที่อื่นในทันที
ห้องของนายสถานี
“ฮ่าๆๆๆ เด็กคนนี้สมกับเป็นลูกชายของนายจริงๆนะ”เสียงหัวเราะของชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานดังขึ้น ชายคนนี้มีป้ายติดไว้ที่หน้าอกข้างซ้ายว่า หัวหน้าสถานี ร่างกายดูสมบูรณ์ไปทุกส่วน สายตาของเขากำลังจ้องมองลูกแก้วที่อยู่บนโต๊ะ ซึ่งภายในกำลังฉายภาพพวกริวเมื่อสักครู่ ผิดกับชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามนายสถานี เขาถึงกับมีสีหน้าเจื่อนลงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนายสถานี
“ไอแซค นายหัวเราะพอหรือยังฟะ นั่นมันลูกชายของฉันนะโว้ย”
“ขอโทษที การที่นายมาหาฉันถึงที่นี่เพราะต้องการให้ช่วยสินะ เซริว”
เซริวพยักหน้า “ฉันอยากจะถามเรื่องข่าวลือที่เกิดขึ้นในระยะนี้นะ นายพอทราบที่มาของข่าวลือไหม”
ไอแซคทำหน้างงๆ ก่อนจะมองลูกแก้วที่กำลังฉายภาพริว ราวกับจะบอกว่าต้นตอของข่าวลือทั้งหมดคือลูกชายของนายไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่ถามเขาเองละ เซริวฝืนยิ้ม ก่อนเปลี่ยนไปพูดว่า
“ฉันหมายความว่า นายพอรู้ไหมว่าใครเป็นคนเอาข่าวแบบนั้นมาปล่อยนะ”
ไอแซคเอียงคอเล็กน้อย “ข่าว? นายหมายถึงเรื่องไหนละ เรื่องที่ลูกชายนายไปคลายคำสาปประจำรัฐทั้ง 7 เรื่องที่ไปจัดการจับโจรที่หุบเขาปีศาจ นี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนเลยนะ ”
เซริวยิ้มด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูกเพราะช่วงเวลา 45 วันที่ผ่านมา ที่โลกริเดียเกิดข่าวลือแปลกๆเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน แถมทุกข่าวล้วนมีริวเป็นตัวเอก บ้างบอกว่าริวเป็นคนคลายคำสาปประจำรัฐทั้ง 7 (ทั้งที่ระยะเวลาที่ข่าวลือบอก ริวยังคงอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย) บ้างบอกว่าริวเป็นคนจัดการกองโจรเงามรณะ (คืนที่กองโจรถูกจับ ริวยังหลับคาหนังสือนิยาย จนเขาต้องไล่ไปนอนเลย) ส่วนข่าวที่แย่สุดเห็นจะเป็นข่าวลือเกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัวที่ริวมี ข่าวลือนี้ทำเอาจดหมายสู่ขอเพิ่มขึ้นจนนับไม่ถ้วน
พอเซริวนึกถึงเรื่องเหล่านี้ เขาจำเป็นต้องเอามือขึ้นมานวดขมับเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด สักพักเซริวก็กล่าวออกมาสั้นๆว่า
“ทั้งหมดที่นายรู้นะ”
ไอแซคทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะตอบไปตามตรงว่า “งั้นฉันขอเริ่มจากเรื่องที่ลูกชายของนายไปคลายคำสาปที่รัฐพฤกษาก่อนนะ ดูเหมือนว่าราชินีแห่งเอลฟ์จะเป็นคนออกมายืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย ส่วนไอ้เรื่องจัดการกองโจรเงามรณะมีชายบ้านเห็นไม่ต่ำกว่า 20 คน ทุกคนต่างก็ยืนยันว่าเป็น ลูกชายของนายอย่างแน่นอน ส่วนเรื่อง.....”
ไอแซคเล่าเรื่องราวต่อไปอีกประมาณ 10 นาที จึงปิดท้ายด้วยคำถามว่า “ตกลงว่านายถามเรื่องพวกนี้ทำไมหรือ?”
เซริวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ การที่เขาถามหาต้นตอของข่าวลือก็เพราะอยากจะหยุดข่าวลือพวกนี้ แต่ดูเหมือนแผนการนี้จะต้องพับเก็บไปเสียแล้ว เพราะต้นตอของข่าวลือ ไม่มาจากชาวบ้านจำนวนมาก ก็มาจากตระกูลใหญ่ หรือ ผู้ปกครองรัฐต่างๆ ที่เขาไม่อาจจะลงมือทำอะไรได้เลย
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าใครเอาข่าวพวกนี้ไปปล่อยนะ เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ว่าแต่เรื่องที่ขอไปจัดการให้หรือยังละ”
ไอแซคยิ้ม พร้อมพูดว่า”ต่อให้นายไม่ขอ ฉันก็ต้องเตรียมรถโดยสารขบวนพิเศษเอาไว้รับรองลูกชายของนายอยู่แล้ว ขืน ไม่รับรองให้ดี มีหวังถูกตระกูลเซริวตำหนิเอาแน่ๆ”
เซริวยิ้มแหยๆ ก่อนจะกล่าวตัดบทว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ”
“อืม”ไอแซคโบกมือลา เซริวยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากห้องไปทันที
//////////////////////////////////
แถมอีกหนึ่งตอนละกัน อิอิๆๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

1.ริวใช้กุญแจดาราย้อนไป
2.เกิดจากไลล่ากับลีโอ
3.เทพประจำรัฐ
4.ฝีมือลูน่า
5.บุคคลในอดีตที่มีกุญแจดารา
ที่เหลือยังพอเปนไปได้
ติดตามมานาน...แต่ไม่ค่อยคอมเม้นท์ครับ..
สนุกมากครับ...
แสดงว่า เจ๊ไลล่าใช้มนต์มายา แปลงเป็น ริว แน่เลย