ตอนที่ 3 : บทที่ 2 คนธรรมดา กับ แหวนปริศนา (รีไรท์)
บทที่ 2
คนธรรมดา กับ แหวนปริศนา
โลกริเดีย
เวลาปัจจุบัน
ริวกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างในชั้นสองของโรงแรมที่น้องสาวพาเข้ามาพัก สองตาจ้องมายังท้องถนนเพื่อดูสิ่งมีชีวิตที่เดินไป-มาด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่า ดีใจ เสียใจ กลัวหรือ รู้สึกเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เห็น ถ้าถามว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น มันก็เพราะเขากำลังนึกถึงการเดินทางมายังริเดียนั่นเอง มันช่างเป็นการมาที่ยากลำบากจริงๆ
ถ้าถามว่าลำบากแค่ไหน มันก็ไม่มากอะไร เริ่มต้นด้วยการจับมัดมือ มัดแขน มัดขา ทั้งยังถูกปิดตา ก่อนจะโยนลงบนอะไรสักอย่างที่นิ่มๆ พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่งในโลกละมั่ง อย่างเดียวที่พอบอกได้คือป่าแห่งนี้โคตรจะหนาวเลย แถมเวลาหิมะตกลงมาอีก แต่นั้นยังไม่แย่เท่ากับผมต้องใส่รองเท้าแตะ เสื้อยืด กางเกงยีนเพื่อเดินผ่าหิมะเข้าไปในป่าแห่งนี้
เทียน่าก็ไม่พูดอะไรมากความ เธอสะบัดมือ 2-3 ครั้ง ป่าที่ควรมีแต่ความมืด ได้มีแสงสว่างที่คล้ายกับหิ่งห้อยปรากฏออกมาเป็นเส้นทางยาว น้องสาวตัวแสบจัดการดึงมือพี่ชายให้เดินตามแสงหิ่งห้อยไป เทียน่าพาริวเดินขึ้นภูเขาประมาณ 1-2 ลูก จนในที่เธอก็พาผมมาถึงประตูหินแห่งหนึ่ง ขณะที่ริวกำลังจะหันไปถามน้องสาวว่า พวกเรามาที่นี้ทำไม เธอยิ้มอย่างอ่อนหวาน(ริวมองอย่างงงๆ ) แล้วก็จัดการผลักพี่ชายให้ผ่านประตูไป
เมื่อผ่านประตูหิน ริวกับเทียน่าก็เหมือนถูกดึงมายังใจกลางเมืองแห่งนี้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ริวที่คิดถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจที่สุดไม่ใช่ภาพที่เห็น แต่เป็นนิสัยของน้องสาวที่เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเศษเสี้ยวของกุลสตรีไทยเลย ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
"ก๊อกๆๆ"
"เข้ามาได้เลย! ห้องไม่ได้ล็อกประตู"ริวพูดออกไปทั้งที่เขายังคงจ้องมองถนนจากหน้าต่างตลอดเวลา
ประตูห้องค่อยๆเปิดออก น้องสาวตัวแสบเดินเข้ามาในห้อง เธอจะหันไปปิดประตูพร้อมลงกลอนให้เรียบร้อย จากนั้นเทียน่าก็เดินมานั่งที่เตียง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“พี่คะ หนูว่าพี่เลิกทำตัวเป็นนักถ้ำมองซะทีเถอะ พี่น่าจะทำตัวให้ชินกับสิ่งที่เห็นได้แล้ว”
“โธ่ ยัยเทียน่า ถ้าเธอเป็นพี่ เธอจะรู้ว่าสิ่งที่เห็นมันดูแปลกตาจริงๆ ไหนจะเอลฟ์สาวที่พบตอนเดินทางมาโรงแรม ไหนจะพวกคนแคระที่กำลังต่อราคาอย่างเอาเป็นเอาตายกับร้านค้าตรงข้ามโรงแรม นี่ยังไม่รวมเซนทอร์ทำหน้าที่เป็นคนส่งของแบบเร่งด่วนอีกนะ ไหนจะแม่มดทำหน้าที่แขวนโฆษณาร้านค้าบนท้องฟ้าอีก เฮ้อ ถ้าไม่เห็นกับตาพี่ไม่มีทางเชื่อแน่ว่าสิ่งพวกนี้จะมีตัวตนอยู่จริง”ริวพูดออกมาทั้งที่ยังคงจ้องมองถนนแบบไม่วางตา
เทียน่าจ้องมองด้านหลังของริว ก่อนจะโบกมือเพื่อให้กาน้ำที่อยู่ตรงมุมห้องเทน้ำใส่แก้ว 2 ใบจนเต็ม จากนั้นแก้วก็ลอยตรงมาที่เทียน่า 1 ใบ และริว 1 ใบ เทียน่ามองไปรอบๆห้อง เธอหันมาเจอหนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่หัวเตียง ไม่นานน้องสาวตัวแสบก็พูดออกมาว่า
“พี่เอาหนังสือนิยายมาอ่านด้วยหรือ?”
ริวพยักหน้า เทียน่าจ้องมองเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อยเพราะเธอทราบดีว่าริวเป็นพวกติดนิยายแถมไม่ติดธรรมดาต้องเรียกว่าติดเข้าเส้นเลือด ไม่ว่าอะไรที่ขึ้นชื่อว่านิยาย พี่ชายของเธอจะอ่านทั้งหมด โดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวนจะชื่นชอบเป็นพิเศษ เทียน่ามองหนังสือเล่มนั้นก่อนจะพูดว่า
“แล้วหนังสือที่พี่เอามานี้ชื่อว่าอะไรหรือ? ขอหนูดูหน่อยนะค่ะ”
“ตำนานรักของแสงและความมืด แต่งโดยผู้ใช้นามปากกาว่า ลูน่า ”เสียงอันราบเรียบของริวตอบขึ้นมา หลังจากที่เขารับแก้วน้ำมาวางลงข้างหน้าต่าง แม้เขาจะตอบคำถามแต่สายตาของริวยังคงจ้องมองนอกหน้าต่างไม่เปลี่ยนแปลง เทียน่าที่ทำท่าจะหยิบหนังสือ พอเธอได้ยินชื่อหนังสือเท่านั้น น้องสาวตัวแสบก็เลิกสนใจในหนังสือนิยายไปเลย เทียน่าทำหน้าเบ้พร้อมพูดออกมาว่า
“ปกติพี่ไม่ชอบอ่านนิยายแนวรัก หรือแนวหวานแววไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจมาอ่านได้ละ”
“ตอนกลับจากโรงเรียน พี่เห็นมีคนเอาหนังสือเก่ามาเลหลังขายและหนังสือเล่มนี้ก็มีสภาพดีมากจึงซื้อมาอ่าน ความจริงยังมีนิยายเล่มอื่นที่ดีกว่านี้อีกนะ แต่ไม่รู้ทำไมพี่ถึงได้ถูกใจชื่อของหนังสือเล่มนี้นัก มันเหมือนกับว่าหนังสือเล่มนี้มันร้องเรียกให้พี่เอามันมาอ่านนะ”
“พี่ริวไม่ต้องมาโกหกเลยค่ะ หนูรู้นิสัยพี่ดี ถ้าคิดจะอ่านนิยายรัก นั่นแสดงว่าหนังสือนิยายเล่มนี้ต้องเป็นแนวHareamเท่านั้น”เสียงอันราบเรียบของเทียน่าตอบออก ไม่นานเธอก็หันไปมองริว เขายังคงอยู่ในท่าทางเดิมทุกประการ เทียน่าจึงได้พูดออกมาว่า
"โธ่ พี่ค่ะ หนูว่าเลิกสนใจคนที่ท้องถนนเถอะ ตอนนี้พี่หาอะไรทานและพักผ่อนได้แล้ว พี่เองก็เหนื่อยจากการเดินทางไม่ใช่เหรอ? "
ริวยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “พี่ยังพอทนได้น่ะ ถึงอย่างไงพี่ก็ไม่คิดจะสอบผ่านอยู่แล้ว ตอนนี้พี่ไม่เข้าใจว่า ทำไมทางที่พวกเราเดินมาถึงได้ไม่เห็นคนอื่นเลย ทั้งที่จากจุดนี้พี่เห็นคนปรากฏออกมาจากวงเวทที่อยู่กลางเมืองตั้งหลายสิบคนแล้ว ตกลงว่าทางเข้าออก ริเดีย ยังมีทางอื่นอีกเหรอ?"
เทียน่าฝืนยิ้ม“ปกติการเข้ามาในยังริเดียก็ไม่ได้วุ่นวายแบบที่พี่เจอมาหรอกค่ะ วิธีที่ง่ายกว่านี้ก็มีตั้งเยอะ ยกตัวอย่างเช่น การเดินทางโดยรถไฟสายพิเศษ บ้างก็ใช้พรมวิเศษเดินทางข้ามเขตมาโดยตรง แต่ที่ง่ายสุดคือการใช้ประตูข้ามมิติเพียงแต่ว่าการจะใช้วิธีพวกนั้น มันจะต้องผ่านด่านตรวจคนเข้า-ออกของริเดีย และเงื่อนไขต่ำสุดของคนที่จะเข้ามาริเดียได้คือคนผู้นั้นต้องมีพลังเวทเท่านั้น"
"เดี๋ยวก่อน!! น้องบอกว่า เงื่อนไขต่ำสุดคือคนที่มีพลังเวทเท่านั้น ถ้าคนไม่มีพลังเวทเข้ามาในริเดีย มันจะเป็นอย่างไงหรือ?"ริวถามแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ
สีหน้าหนักใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเทียน่า เธอกล่าวออกมา“ถ้าในกรณีหลงเข้าในริเดียมาแบบทั่วไป ทางพวกทหารก็จะใช้เวทลบความทรงจำ ก่อนจะส่งกลับโลกไปตามเดิมนะค่ะ"
สีหน้าของริวเริ่มจะผ่อนคลายลง เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก “โธ่ แค่ลบความทรงจำเอง ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
เทียน่าส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“มันไม่ง่ายแบบนั้นซิค่ะ สำหรับมนุษย์ธรรมดาเวทลบความทรงจำ มันมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงอยู่ด้วย มันไม่เพียงแต่จะลบความทรงจำเท่านั้น มันอาจจะทำให้คนที่โดนเวทบทนี้กลายเป็นคนปัญญาอ่อน แม้โอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นจะมีเพียง 2 ใน 10 ก็ตาม แล้วกรณีของพี่ก็ไม่ใช่การหลงเข้ามาในริเดีย แต่มันเป็นการจงใจแอบเข้ามาด้วยเส้นทางโบราณที่ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ดังนั้นโทษของพี่ไม่ใช้แค่การลบความทรงจำแต่เป็นโทษตายสถานเดียวต่างหาก"
“มิน่าตอนที่พ่อและแม่พูดถึงได้ทำหน้าแบบนั้น”ริวพูดออกมาด้วยท่าทางปกติแต่ดวงตาของเขากลับฉายแววโกรธอย่างชัดเจน
ริวสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ไม่นานเขาก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ ชายหนุ่มหันไปพูดกับเทียน่าว่า
"เทียน่า ท่าทางน้องจะรู้เรื่องเกี่ยวกับริเดียดีจังเลย หรือว่าโรงเรียนประจำที่น้องเรียนจะอยู่ในริเดียด้วย"
เทียน่ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใส“ใช่แล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนวันเกิดอายุครบ 12 ปี พลังเวทในร่างของหนูก็เกิดปะทุขึ้นอย่างรุนแรงจนควบคุมไม่อยู่ คุณแม่และคุณพ่อจึงได้ตัดสินใจส่งหนูมาพักรักษาตัวกับคุณป้าที่ริเดีย”
“คุณป้า? เอ่อ พวกเรามีคุณป้าด้วยหรือ? ทำไมพี่ถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยละ”
“มีค่ะ เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างแล้ว หนูจะพาพี่ไปแนะนำให้คุณป้าได้รู้จักก็แล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะ คุณป้าเป็นคนเจ้าระเบียบมากๆเลย”
ริวพยักหน้า พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า“ถ้าเป็นช่วง12ขวบ หรือว่าจะเป็นช่วงที่น้องเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคไข้เลือดออกนะหรือ?”
“ใช่ค่ะ ตอนนั้นพวกคุณแม่พาหนูมารักษาที่ริเดียและพอหายแล้ว คุณป้าเกิดเห็นพรสวรรค์บางอย่างในตัวหนู ท่านจึงชวนให้มาเรียนที่ริเดียนะค่ะ “
“การที่น้องย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่12 ขวบก็เพราะต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนทางฝั่งนี้ซินะ”
เทียน่ายิ้มรับ“ถูกต้องแล้วค่ะ ตอนมาใหม่ๆคุณพ่อ-คุณแม่ก็มารับ 2 อาทิตย์/ครั้งแต่พอขึ้นม.ปลาย หนูก็สามารถเดินทางกลับไปกลับระหว่าง 2 โลกได้เอง ดังนั้นจึงสามารถกลับไปหาพี่ได้ทุกอาทิตย์ยังไงล่ะ”
"อ้อ มิน่าละ น้องถึงได้ดูไม่กังวลในสิ่งที่เห็นเลย”ริวหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วเมืองอื่นๆในริเดียเป็นอย่างนี้หมดเลยไหม”
เทียน่าอมยิ้ม “ไม่ค่ะ เมืองแห่งอื่นต่างก็มีสภาพอากาศและวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป ตามภูมิประเทศที่เมืองแห่งนั้นตั้งอยู่นะค่ะ ถ้าพี่อยากจะฟังหนูจะเล่าให้ละเอียดเลย”
“อย่าดีกว่า พี่ไม่ได้สนใจขนาดนั้น แล้วพวกเราต้องทำไงต่อล่ะ”ริวรีบถามออกมาเพราะเขาอยากจะทำธุระให้ เสร็จๆ ก่อนที่จะถูกจับได้ว่าลักลอบเข้ามา
เทียน่ายิ้มก่อนจะหันไปมองนาฬิกา ริวได้มองตามเธอ ถ้าบอกว่าสิ่งที่เห็นตอนนี้เป็นนาฬิกาก็คงไม่ผิด เพราะมันมีตัวเลขบอกเวลาเหมือนนาฬิกาทั่วไป แต่ติดที่ว่าตัวเลขบนนาฬิกาทำมาจากเปลวไฟจริงๆเท่านั้น แถมไม่ใช่แค่ตัวเลข ขนาดตัวเรือนและเข็มยังทำมาจากเปลวไฟเลย
"ตอนนี้เวลาเจ็ดโมงครึ่ง เอาเป็นว่าเดี๋ยวพวกเราไปรายงานตัวกันก่อน พี่จะได้รู้ว่าพวกเราต้องไปสอบที่ไหนบ้าง"
ริวได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ตามใจน้องก็แล้วกัน แต่ว่าทำไมพวกเราต้องเข้าพักที่โรงแรมด้วยล่ะ พี่นึกว่าพวกเราจะไป-กลับในวันเดียวซะอีก”
"ไม่ใช่หรอกค่ะ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยโอรีเฟียมีด้วยกัน 4 รอบ โดยแต่ละวันจะสอบ 1 รอบ เมื่อสอบเสร็จก็จะเอาผลรวมคะแนนของ 4 วันมารวมกัน ใครที่ได้มากกว่า 250 คะแนนก็จะถือว่าสอบผ่าน จากนั้นค่อยเอาคะแนนที่ได้ไปประเมินว่าจะสามารถเข้าคณะไหนได้บ้าง "เทียน่าอธิบายออกมา
ใบหน้าของริวสลดลงทันที เขาคิดขึ้นว่า(4รอบ! แค่รอบแรกผมก็กลับบ้านเก่าแล้วล่ะ เฮ้อ ไม่น่าจะรับปากทำเรื่องนี้เลย )
เทียน่าเห็นสีหน้าของริว เธอพูดปลอบใจ “พี่ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ จริงอยู่การสอบอาจจะโหดไปบ้าง แต่คุณพ่อ คุณแม่และหนูได้เตรียมการเผื่อในเรื่องนี้เอาไว้แล้วล่ะ พี่ลองเปิดของขวัญที่ได้ไปดูซิค่ะ"
ริวเดินเข้าไปหยิบกล่องของขวัญที่ได้รับมาออกจากกระเป๋าสะพายที่เอามาด้วย ไม่นานเขาก็เปิดกล่องของขวัญ สิ่งที่เห็นกลับเป็นกำไลข้อมือโดยกำไลนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่มีดอกกุหลาบคริสตัลเล็กๆเรียงต่อกันประมาณ 20 ดอก และ ยังมีดอกกุหลาบคริสตัลขนาดใหญ่อีก 1 ดอกอยู่ด้วย ตัวกำไลทำจากวัสดุสีดำที่ไม่ใช่ทั้งพลาสติก หรือ อลูมิเนียม ริวพิจารณากำไลข้อมืออยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงเทียน่าอธิบายเกี่ยวกับกำไลขึ้นมา
"กำไลวงนี้สร้างขึ้นมาเพื่อพี่ชายโดยเฉพาะตัวกำไลสร้างจากเกล็ดมังกรดำที่หาได้ยากยิ่งมันเคยเป็น 1ในสมบัติประจำตระกูลเซริว เกล็ดมังกรดำสามารถป้องกันเวทมนตร์ได้ในระดับหนึ่ง ขอเพียงไม่ใช่เวทมนตร์ที่มีพลังทำลายพอๆกับจอมเวทระดับ Mega Magician เกล็ดมังกรดำนี้ก็สามารถป้องกันได้อย่างสบายๆ อีกทั้งตัวกำไลยังถูกคุณพ่อร่ายเวทเสริมพลังเข้าไปอีกด้วย กำไลจึงสามารถป้องกันทั้งคำสาปและเวทมนตร์ได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย”
ริวทำหน้างงๆ ก่อนจะถามแทรกขึ้นมาว่า “จอมเวทระดับ Mega Magician มันคืออะไรหรือ?”
เทียน่าทำหน้าเหมือนจะนึกขึ้นไปได้ว่าริวยังไม่ทราบในเรื่องนี้ เธอรีบเล่าขึ้นมาว่า“ขอโทษค่ะ หนูลืมไปว่าพี่ยังไม่ทราบเรื่องระดับของจอมเวทนะ”
“ไม่เป็นไร แล้วตกลงว่าไอ้ระดับ Mega Magician มันคือจอมเวทระดับไหนหรือ?”
เทียน่ายิ้มเล็กน้อย“ระดับชั้นของจอมเวทในริเดียไล่ตั้งแต่ต่ำสุดไปจนถึงสูงสุดก็มีดังต่อไปนี้
1. Magic user ระดับนี้จะเรียกว่าผู้ใช้เวทมนตร์ก็ได้
2. Magician ระดับนี้จะเรียกว่า จอมเวทระดับพื้นฐานนั้นเอง ในระดับนี้มีทั้งจอมเวทดำ จอมเวทขาว จอมเวทแดง และจอมเวทแบบอื่นๆอีกมากมาย
3.Mega Magician ระดับนี้จะเรียกว่า จอมเวทระดับกลาง ในระดับนี้มักจะต่างจากระดับ Magician ตรงที่จอมเวทระดับนี้สามารถใช้เวทระดับสูงได้ แต่กินเวลาร่ายเวทนาน อีกทั้งยังกินพลังเวทมหาศาล แบบที่ว่าใช้แค่ 2-3 บทก็หมดแรงแล้ว
4. Random Incant ระดับนี้จะเรียกว่า จอมเวททางเลือกก็ได้เพราะผู้ที่มาถึงระดับนี้นั้นจะต้องมีความสามารถอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเวทแสง เวทด้านมืดหรือคำสาป อิลิเมน หรือเวทแปลกๆ อย่างเวทอักษรรูน เสียแค่ตรงที่ยังไม่ความสามารถใช้เวทชั้นสูงของเวทเหล่านั้นได้
5. Leader ระดับนี้จะเรียกว่า จอมเวทชั้นสูง ผู้ที่มาถึงระดับนี้ได้ไม่เพียงแต่ต้องมีพลังเวทที่แข็งแกร่งเท่านั้น จอมเวทยังต้องสามารถใช้เวทระดับสูงของสายเวทต่างๆได้อีก เอาเป็นว่าคนที่ไปถึงระดับนี้มีแค่ 1 คนในหมื่นคนเท่านั้น
6. Lord ระดับนี้จะถูกเรียกว่า จอมมนตรา แต่ส่วนใหญ่มักจะเรียกตามเวทที่พวกเขาถนัดนะ เช่น นักปราชญ์(Sage) นักบุญ(Saint) ผู้ใช้อสูรอัญเชิญ(Summoner) หรือพาราดิน (Paladin ) เป็นต้น
7. Master ระดับนี้จะถูกเรียกว่า มาสเตอร์ โดยถ้าเป็นคนที่ถนัดเวทแสงก็จะเรียกว่าไลท์มาสเตอร์ ถ้าถนัดเวทความมืดหรือคำสาปก็จะเรียกว่าดาร์ทมาสเตอร์ แต่ในกรณีที่ถนัดมากกว่า 3 สายขึ้นไปก็จะเรียกว่า(Element Master) อิลิเมนมาสเตอร์
ริวฟังอย่างนิ่งเงียบ ก่อนถามขึ้นมาว่า“ถ้างั้นไอ้ระดับ Mega Magician ก็คงหมายถึงจอมเวทระดับกลางที่สามารถใช้เวทระดับสูงได้ซินะ”
“ใช่ค่ะ เพียงแต่มันยังมีรายละเอียดปลีกย่อยมีเยอะ ถ้าจะให้พูดรวบรัดก็คงประมาณที่พี่บอกนั่นล่ะและกำไลที่พวกเราช่วยสร้างขึ้นก็สามารถกันเวทระดับทั่วไปได้ แต่ถ้าเจอกับเวทระดับMega Magician ก็คงกันไม่ไหว”
ริวได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ก่อนจะได้ยินเสียงเทียน่าอธิบายต่อว่า ”พี่คะ อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ จอมเวทระดับMega Magician ไม่ใช่จะได้เจอกันง่ายๆสักหน่อย ยิ่งพวกนักเรียนเข้าสอบด้วยแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ใน 4 ตระกูลใหญ่ หนูว่าคงไม่มีทางไปถึงระดับนั้นได้หรอกค่ะ ”
“ 4 ตระกูลใหญ่?”ริวถามออกมาอย่างงงๆ เทียน่าทำท่าเหมือนจะนึกได้ว่าพี่ชายไม่รู้เรื่องนี้ เธอรีบเปลี่ยนไปพูดว่า
“พี่ไม่ต้องสนใจคนพวกนั้นหรอกค่ะ เท่าที่รู้มาในปีนี้นอกจากลูกชายของลุงซาคุแล้ว ไม่น่าจะมีคนในตระกูลอื่นมาสอบอีก ”
ริวถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ แล้วก็ไม่บอกซะตั้งแต่แรก ปล่อยให้พี่กลัวแทบแย่ จริงซิ แล้วคุณพ่อ-คุณแม่ อยู่ในระดับไหนหรือ? “
เทียน่าทำท่าครุ่นคิด “เท่าที่หนูรู้มา เมื่อ 5 ปีก่อนคุณพ่อกับคุณแม่ก็อยู่ในระดับ Lord(จอมมนตรา) แล้วนะค่ะ แต่ถ้าเป็นตอนนี้หนูไม่ทราบ ”
ริวอ้าปากค้างเพราะเขาไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะเก่งสุดยอดแบบนี้ เทียน่ายิ้มบางๆ ก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้พี่รู้แล้วใช่ไหมว่าคุณพ่อ-คุณแม่เก่งขนาดไหน”
เทียน่ายิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของริว เธอหันไปมองนาฬิกาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อว่า“หนูขออธิบายเรื่องกำไลต่อเลยนะ เพราะตอนนี้ใกล้เวลาสอบแล้ว”
ริวยังไม่ทันที่จะพูดอะไร เทียน่าก็ชี้ไปที่ดอกกุหลาบคริสตัลพร้อมพูดต่อทันที“ดอกกุหลาบที่พี่เห็นคุณแม่ได้บรรจุเวทรักษาเอาไว้ให้ สำหรับดอกเล็กบรรจุเวทรักษาระดับกลาง หนูบอกไว้เลยพลังเวทสายรักษาของคุณแม่จัดเป็นที่ 2 ในตระกูลแม่มดเชียวนะ แค่เวทรักษาระดับต่ำสุดก็เพียงพอจะรักษาคนเจ็บหนักให้หายในพริบตา ยิ่งเวทระดับกลางด้วยแล้ว มันมีพลังรักษาพอๆกับเวทรักษาระดับสูงเลย ดังนั้นขอเพียงพี่ไม่ตายดอกกุหลาบขนาดเล็กเพียง 1 ดอกจะสามารถรักษาให้หายได้ในพริบตา ส่วนวิธีใช้ก็แค่ดึงมันออกมาและบีบให้แตกก็เท่านั้นเอง ง่ายใช่ไหมล่ะ”
เทียน่าก็ชี้ไปที่ดอกกุหลาบคริสตัลดอกใหญ่ที่มีเพียงดอกเดียวแล้วพูดต่อว่า “ส่วนดอกกุหลาบดอกใหญ่ที่อยู่ตรงกลางบรรจุเวทชุบชีวิตในตำนานเอาไว้เพื่อเวทบทนี้คุณแม่ถึงกับยอมเสียสละพลังเวทที่สะสมมาตลอด10 ปีเพื่อสร้างมันขึ้นมาเลยนะ เงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือพี่ห้ามตายเกิน 10 นาที ถ้าอยู่ในช่วงเวลา10 นาที พี่จะสามารถคืนชีพได้แต่ถ้าเกินกว่านั้นพี่ได้ตายจริงๆแน่ ถ้ายังไงระวังจุดนี้ด้วยละกัน พี่เริ่มอุ่นใจขึ้นมาบ้างไหมคะ"
ริวรีบหยิบกำไลขึ้นมาใส่ที่ข้อมือซ้ายแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปถามว่า “แล้วถ้าในกรณีที่พี่ได้รับบาดเจ็บจนไม่มีแรงจะบีบดอกกุหลาบ พี่ต้องทำอย่างไรดี”
“..............”เทียน่าได้แต่อึ้งกับคำถามนี้ สีหน้าของเธอซีดลงอย่างชัดเจน
“พี่เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นพี่ขอเปลี่ยนคำถามละกัน ถ้าในกรณีที่พี่ตายขึ้นมาจริงๆ พี่จะไปบีบดอกกุหลาบได้ยังไง พ่อกับแม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้บ้างหรือเปล่า "
"........."เทียน่ายังคงไม่ตอบอะไร เธอได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกับสิ่งที่ได้ยิน
ริวที่เห็นสีหน้าของเทียน่า เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีว่า“น้องไม่ต้องตอบก็ได้ เอาเป็นว่าพี่จะพยายามตายในที่ๆน้องอยู่ก็แล้วกัน ถ้าถึงตอนนั้นก็ฝากด้วยนะ อีกอย่างพี่ว่าถึงยังไง มันคงไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอก พวกเราอย่ากังวลไปเลย มันก็แค่การสอบเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆ"
เทียน่าพยายามยิ้มกลบเกลื่อน “นั่นซิค่ะ ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปสนามสอบกันเลยไหม"
ริวเดินไปหยิบกระเป๋าคาดเอวออกจากกระเป๋าสะพายแทนคำตอบ ก่อนจะพูดออกมาว่า “พี่พร้อมแล้ว น้องนำทางไปได้เลย”
“พี่เอากระเป๋าคาดเอวมาด้วยหรือ?”
ริวพยักหน้า เทียน่าจึงพูดต่อว่า”โธ่ พี่คะ ที่นี้ไม่มีใครใช้กระเป๋าแบบนี้กันหรอก พี่ถอดมันไว้ที่นี้เถอะ ส่วนของที่จำเป็นหนูจะเก็บไว้ในช่องว่างมิติให้ก็แล้วกัน”
“ไม่เอา พี่ชอบแบบนี้มากกว่า ขืน ให้ไปเก็บในช่องมิติอะไรนั่นจริงๆ พี่คงไม่สะดวกในการหยิบของแน่ๆ”
เทียน่าไม่ได้พูดอะไรอีก เธอรีบเดินนำออกจากห้องไป ริวจึงเดินตามเธอไปติดๆ โดยเขาไม่ทราบเลยว่าพอออกจากห้องไปแล้ว หนังสือนิยายมือสองที่ริวซื้อมาได้ถูกลมพัดให้พลิกไปประมาณ 2-3 หน้า จนมาหยุดในหน้าหนึ่ง มันเขียนเอาไว้ว่า
|
มหาวิทยาลัยโอรีเฟีย
ริวกำลังยืนมองแผนที่ของมหาวิทยาลัยโอรีเฟียที่ตั้งอยู่ด้านในประตูทางเข้า ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก มหาวิทยาลัยแห่งนี้กินพื้นที่ประมาณ 595 ไร่ มหาวิทยาลัยยังมีสภาพแวดล้อมดีเยี่ยม ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเช่น สนามสำหรับฝึกซ้อมเวทมนตร์ที่กินพื้นที่เกินกว่า 100 ไร่ สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส สนามฟุตบอล โรงอาหารอีก 10 กว่าแห่ง แถมยังมีสถานที่เฉพาะร้านค้าต่างๆอีก ริวได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่เห็น ในขณะที่เทียน่ากำลังไปยืนต่อแถวอยู่ที่ด้านข้างเพื่อส่งเอกสารในการขอรับบัตรประจำตัวสอบ ริวละสายตาจากแผนที่ ก่อนจะหันไปมองรอบตัวแทน เขาคิดขึ้นมาว่า
(นี่มันมหาวิทยาลัยในฝันชัดๆ ถ้าได้เรียนที่นี้พร้อมกับคนรู้ใจ มันจะวิเศษแค่ไหนนะ ไม่สิ ถึงไม่ต้องมีก็ไม่เป็นไร แค่ได้สัมผัสทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ก็คุ้มค่าที่จะเรียนแล้ว เฮ้อ ถ้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่เกี่ยวกับเวทมนตร์ หรืออยู่ต่างโลกมันคงจะน่าเรียนมากๆเลย)
ริวที่คิดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองอีกฝั่งของกำแพง ก่อนจะพูดเบาๆว่า“เสียบรรยากาศหมดเลย มหาวิทยาลัยออกจะดี แต่ด้านหน้ามหาวิทยาลัยกลับไม่ต่างจากตลาดนัดเลย ไม่รู้ว่ามียาเสน่ห์วางขายบ้างไหม ถ้ามีผมอยากจะซื้อติดมือกลับจังเลย”
ถ้าเป็นตลาดนัดทั่วไป สิ่งที่วางขายจะเป็นอาหาร ผัก ปลา ไม่ก็อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ แต่ที่หน้ามหาวิทยาลัยโอรีเฟีย กลับเป็นร้านค้าที่วางขายอาวุธสารพัดชนิด ไม้เท้า ไม่ก็ยาน้ำหลากสี ไหนจะมีการปูผ้าใบขายของ ที่ดูจะเหมือนอุปกรณ์คำสาปอีกสารพัดแบบ ไม่ว่าจะตุ๊กตาฟางสำหรับสาปแช่งหรือตุ๊กตาที่ถือมีดเดินไปมา อีกทั้งคนขายของที่นี้ยังมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่คนแคระที่ตะโกนบอกสรรคุณอาวุธที่ขายอยู่ตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถนัดมาเป็นชายแก่ที่แต่งกายคล้ายพ่อมด ด้านหน้าเขาก็น่าจะเป็นตำราเวทมนตร์ ที่ผมเข้าใจแบบนี้เพราะทุกครั้งที่มีลูกค้าเข้าไปเปิดตำราพวกนั้น พ่อมดคนนั้นก็จะแสดงเวทบางอย่างออกมาให้เห็นแทบทุกครั้งก็ว่าได้
สิ่งที่ดึงดูดริวมากที่สุดคงไม่พ้นเอลฟ์สาวแสนสวยกับหญิงสาวในชุดแม่มดสีแดง ที่หัวมุมทางถนนด้านซ้ายของกำแพงมหาวิทยาลัย พวกเธอไม่ได้มาขายอะไรแต่ดูเหมือนจะมาสอบ หรือรอพบคนเสียมากกว่า เนื่องจากความสวยและความน่ารักของพวกเธอจึงทำให้ริวและคนอื่นๆต่างจ้องมองพวกเธอตาเป็นมัน ริวมองพวกเธอต่อไปอีกสักพัก(จนพอใจ) จึงหันไปมองที่อื่นต่อ เขาหันไปเห็นร้านแผงลอยที่ตั้งห่างออกมา จุดที่ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่นั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่านเลย
ริวหันกลับไปมองเทียน่าที่ดูเหมือนอีกพักใหญ่เธอจึงจะยื่นใบสมัครเสร็จ เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็เดินไปหาร้านค้าแผงลอยนี้ พอมาถึงร้านนี้ ริวก็เห็นแหวนเพียง 1 วงที่วางอยู่บนพื้นผ้า ชายหนุ่มรีบหันไปมองเจ้าของร้านที่ดูจะเป็นหญิงชราที่สวมฮูดดำปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหน้า ริวจ้องมองหญิงชราอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถามออกมาว่า
"คุณยายครับ ทำไมคุณยายไม่ไปวางตรงด้านหน้าละ ถ้าคุณยายไปวางขายตรงบริเวณนั้น มันน่าจะขายได้มากกว่าตรงนี้นะครับ"
หญิงชราหันมามองริวแม้จะไม่เห็นหน้า ริมฝีปากของเธอได้มีรอยยิ้มบางๆ เสียงนุ่มนวลดังขึ้นมา
“ขอบใจนะ หลานชาย แต่ยายไม่ได้มาขายของหรอกจ๊ะ”
ริวทำหน้างงๆ ก่อนจะชี้ไปที่ของที่อยู่บนผ้าใบ แล้วกล่าวว่า “แล้วแหวนที่วางอยู่บนผ้าฝืนนี้ มันคืออะไรกันหรือครับ"
หญิงชราที่ได้ยินแบบนั้น เธอหยิบแหวนขึ้นมาให้ริวได้ดูใกล้ๆ พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า“หลานชายเห็นแหวนวงนี้ด้วยเหรอ?”
ริวยังคงพยักหน้าแบบงงๆ หญิงชราถึงกับถอนหายใจ “หลานชาย การที่ยายมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะต้องการรอพบคนแบบหลานชายนี้ล่ะ ไม่ทราบว่าหลานชายพอจะรับแหวนวงนี้ต่อจากยายจะได้ไหม ฉันจะได้กลับไปพักผ่อนในที่ของตัวเองเสียที”
“คุณยายครับ ผมคงซื้อไม่ได้หรอก บอกอย่างไม่อาย ผมไม่มีเงินติดตัวเลย ถ้ายังไงคุณยายรอสักครู่ ผมขอตัวกลับไปหาน้องสาว แล้วผมจะรีบกลับมาซื้อนะครับ"
หญิงชรายิ้มพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย“เรื่องเงินไม่ต้องหรอกจ๊ะ ยายแค่อยากให้หลานชายช่วยรับแหวนนี้เอาไว้เท่านั้นเอง ไม่ทราบว่าหลานชายพอช่วยยายได้ไหม”
“ได้ครับ”ริวพูดออกมาด้วยสีหน้ามึนงงกับสิ่งที่ได้ยินแต่เขาก็ยังคงยื่นมือไปรับแหวนมาเพราะใครบ้างจะไม่ชอบของฟรี ริวจ้องมองแหวนที่มีรูปร่างเป็นรูปหน้าสิงโตอยู่พักใหญ่ เขาเงยหน้าเพื่อจะคุยกับหญิงชราต่อ แต่ตัวเธอกลับหายไปแล้ว ขณะที่ริวกำลังอึ้งอยู่นั้น เสียงของเทียน่าก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขาว่า
“พี่คะ”
ริวหันมามองตามเสียงแทบจะในทันที สิ่งที่เขาเห็นคือเทียน่าที่กำลังยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้าโกรธ เสียงของเธอดังขึ้นมา
“พี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ค่ะ รู้ไหมว่าหนูเป็นห่วงแค่ไหน ที่นี้ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่พวกเรารู้จักนะ ถ้าเกิดถูกหลอกลวงขึ้นมาจะเป็นอย่างไง ดีนะที่หนูตามมาทัน”
สีหน้าของริวสลดลงอีกครั้ง เขารีบพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “แล้วน้องทราบได้ยังไงละว่าพี่อยู่ตรงนี้”
นิ้วของเทียน่าชี้ลงไปที่กำไล “กำไลที่พี่สวมเอาไว้เป็นคนบอกหนูนะค่ะ”
สายตาอันเคลือบแคลงของริวจับจ้องไปที่กำไลเหมือนจะถามว่า กำไล มันบอกที่อยู่ของเขาได้ยังไง เทียน่ายิ้ม ก่อนกล่าวว่า
“กำไลที่พี่สวมนอกจากเวทของพ่อกับแม่แล้ว หนูได้สลักอักษรรูนหลายรูปแบบเอาไว้เพื่อเหตุการณ์ต่างๆที่น่าจะเกิดกับพี่ได้ และ 1 ในอักษรรูนที่หนูสลักลงไปก็ใช้สำหรับตามหาตัวของพี่ยังไงล่ะ ถ้าเทียบมันก็คล้ายกับGPS ที่ติดอยู่ในรถ หรือโทรศัพท์มือถือนั่นล่ะ แต่เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะค่ะ การสอบจะเริ่มในอีก 30 นาที พวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว”
เทียน่าพูดจบ เธอก็รีบวิ่งนำหน้าไปในทันที ไม่นานเธอก็หันกลับมามองทางเขา และเริ่มกวักมือเรียกให้ริวตามเธอไปโดยเร็ว ชายหนุ่มเอาแหวนรูปสิงโตใส่นิ้วชี้ข้างขวา จากนั้นเขาก็เดินตามเทียน่าไปอย่างรวดเร็วโดยที่ริวไม่รู้เลยว่าดวงตาที่แหวนส่องประกายสีแดงขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะหายไป
พอริวจากไปแล้ว หญิงชราที่มอบแหวนให้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เธอเอาผ้าคลุมลง ทำให้เห็นเธอไม่ได้แก่ชราดังที่คาดคิดไว้ ใบหน้าของหญิงชราดูใกล้เคียงกับคนมีที่อายุไม่เกิน 40 ปี เธอมีหูที่ยาวแหลมเหมือนกับเอลฟ์ สายตาจับจ้องไปยังทางที่ริววิ่งจากไป ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ท่านหญิงมังกรฟ้าในที่สุดวงล้อแห่งชะตากรรมได้เริ่มต้นหมุนอีกครั้ง หลังจากหยุดหมุนไปกว่า 300 ปี”
พอสิ้นเสียงของหญิงชรา ร่างกายของเธอก็ค่อยๆกลายเป็นฝุ่นละอองไปตายสายลมที่พัดผ่าน สิ่งที่หลงเหลือก็เป็นเพียงผ้าคลุมที่ถูกลมพัดพาจากไป
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมมีชื่อ ลีโอ ฟรานเชสก้าและ ดราฟอ่ะ~~~
#อย่ามาม่าน่ะขำๆ
เอิ่บ ฮา คห นี้แปบ 5555
อ่ะ แต่เด๋ว หรือว่าจริง? = ="
แต่ติดใจอยู่ทีี่เดียว พี่น้องใช้คำว่าทราบมันดูแปลกๆ เหมือนคนอื่นคนไกลคุยกันเลยค่ะ