คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ..เรื่องในอดีต
2 วันต่อมา เวลาหมุนไวราวกับเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา หรือเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจนทำให้รู้สึกว่าเวลามันน้อยเกินไป
มันน้อยเกินไปเมื่อได้อยู่กับอินาโฮะ
สเลนเหม่อมองนอกหน้าต่าง เขาไม่ได้ไปโรงเรียน 3 วันเพราะวันที่อินาโฮะออกจาโรงพยาบาลเป็นวันเสาร์พอดี การต้องอ่านหนังสือเพื่อเรียนให้ทันเพื่อนเป็นเรื่องที่สเลนตัดมันทิ้งออกไปจากหัวสมอง ไม่ใช่ว่าเขาเป็นอัจฉริยะหรืออะไร สเลนเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ดังนั้นเลยอ่านผ่านๆแค่ไม่กี่รอบก็สามารถเข้าใจบทเรียนได้เกือบหมดแล้ว
แต่ความเข้าใจก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถเข้าใจอะไรๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้
ความเข้าใจของสเลนไม่สามารถอธิบายเรื่องที่เขากลัวสีส้มได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายหรือเข้าใจสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว แต่เขาก็พยายามลืมมันซ้ำล้าซ้ำเล่า
ภาพที่คอยหลอกหลอนเขามาตั้งแต่สมัยยังอยู่ชั้นประถม เงาของใครสักคนที่ฉายอย่างน่าหวาดผวาอยู่บนพื้นถนนเรียบๆท่ามกลางแสงแดดสลัวๆของท้องฟ้าในยามเย็นโพล้เพล้ ที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าไป
เงานั้นแสยะยิ้ม สเลนยืนมองตัวเองในวัยเด็ก ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่วิ่งหนีไป ทำไมถึงได้หยุดจ้องมองเงานั้น
มันมีเสียงเอ่ยเอื้อนเข้ามาในหัว
“มาเล่นด้วยกันไหม?”
มองซ้ายมองขวาหาคนเรียก แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าที่มากับสายลมอ่อนๆ เงารูปร่างเด็กผู้ชายคนนั้นหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน สเลนมองตัวเองในวัยเด็กอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆมองไปรอบๆตัวเอง
นี่มันบ้านเกิดของคุณแม่ บ้านของยายที่เขาอาศัยอยู่
เขาลืมช่วงเวลาตอนนั้นไปได้ยังไงนะ ตอนนั้นมันนานมากเสียจนไม่อยากเก็บมันเข้ามาไว้ความทรงจำ สเลนเริ่มจำได้แล้วว่าเขาเคยมาเหยียบบ้านเกิดของคุณแม่จริงๆ แล้วหลังจากนั้นล่ะ อะไรทำให้เขาเกลียดสีส้มกัน
ภาพที่อยู่ตรงหน้าวนเวียนไปมาจนรู้สึกเวียนหัว ภาพที่ฉายซ้ำไปซ้ำมา ทำเอาสเลนพอจะปะติปะต่อเรื่องได้ถูก
อะไรทำให้เขาเกลียด ส้ม
ภาพตรงหน้าฉายกลับมายังยามเย็นของวันหนึ่ง สเลนเดินกลับบ้านคนเดียว จ้องมองไปตามพื้นเหมือนกับรอให้อะไรบางอย่างปรากฏกายขึ้น แต่เงานั้นกลับไม่ได้ปรากฏตรงหน้าของเขา มันไปปรากฏตรงหน้าของเด็กหนุ่มหนึ่ง จากนั้นก็มีเด็กสาวชั้นมัธยมต้นคนหนึ่งเดินมาทักทายเด็กกลุ่มนั้น พูดคุยอะไรกันสักอย่าง สเลนไม่ได้สนใจ เขาเดินกลับบ้านอย่างไม่รีบร้อนอะไร
วันต่อมาภาพนั้นก็ฉายซ้ำช่วงเย้นในเวลาเดียวกัน สเลนในร่างเด็กน้อยกำลังเดินทางกลับบ้าน เห็นเด็กกลุ่มเดิมกำลังวิ่งเล่นไปมาอย่างสนุกสนาน ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กทั่วไปล่ะนะ แต่มันแปลกไปหน่อย เหมือนกับว่าเด็กพวกนั้นไม่ได้วิ่งไล่จับกันเอง แต่เหมือนวิ่งไล่จับอะไรบางอย่าง สเลนเกิดความสงสัยที่ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ เลยสะกดรอยตามเด็กพวกนั้นไป
เด็กพวกนั้นวิ่งออกไปไกล ไกลจากสนามเด็กเล่น ไกลจากบ้านเรือน ไกลจากถนนและพื้นคอนกรีต
พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ทะเล สเลนเห็นท่าไม่ค่อยตอนเมื่อร่างของเด็กพวกนั้นวิ่งเข้าไปน้ำทะเล นั้นน้ำมันสูงถึงคอแล้วนะ ทำไมถึงยังยิ้มหัวเราะอยู่ได้ เขาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปก่อนจะตะโกนเต็มเสียง
“นั้นพวกนายเล่นบ้าอะไร จะจมน้ำตายกันอยู่แล้ว” พลันเหมือนกับมีสายฟ้าแล่นเข้าประทุร่างของเด็กพวกนั้น พวกเขาหยุดชะงักก่อนจะโวยวายดังลั่นอย่างตกใจ สเลนรีบลงไปลากเด็กพวกนั้นขึ้นมาจากน้ำ แล้วนับจำนวนเด็ก
มันหายไปคนหนึ่ง ถามเด็กที่ขึ้นมาจากน้ำว่า มาทั้งหมดกี่คน
พวกเขาบอกว่ามากัน 5 คน แต่ที่อยู่ตอนนี้ไม่รวมสเลนมีแค่ 4 คน
สเลนไม่รอช้า ในนี้ดูท่าจะมีแค่เขาที่ว่ายน้ำแข็งที่สุด สเลนพุ่งตัวลงน้ำทะเลที่เย็นเยียบเสียจนกลัวว่าตัวเองจะเป็นตะคริวแล้วจมน้ำตายก่อนจะได้ช่วยคนอื่น ดวงตาพยายามเพ่งมองความมืดที่มีแสงสลัวสีส้มทองทอประกายให้เห็นจางๆ พยายามแวกว่ายไปให้ไกลที่สุดก่อนจะเห็นร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง รีบว่ายไปหาร่างแต่ก่อนจะทันได้คว้าตัว เขาก็เห็นร่างสลัวๆสีส้มของอะไรบางอย่างกำลังดึงร่างของเด็กคนนั้นลงลึกลงไปในห้วงทะเลที่มืดมิด สเลนออกแรงกระชากเด็กออกจากร่างที่เขาไม่รู้จักก่อนจะรีบว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ สูดออกซิเจนเข้าปอดเต็มที่แล้วพบว่าเพื่อนของเด็กคนนี้ก็ว่ายมาช่วยเพื่อนของตนเช่นกัน พอส่งร่างของเด็กคนนั้นให้เพื่อนเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณครับ” เด็กคนที่รับร่างเพื่อนเอ่ยขอบคุณ สเลนพยักหน้า แล้วเขาก็รีบว่ายกลับเข้าฝั่ง มองชายฝั่งที่อยู่ไกลออกไป นี่เขาว่ายออกมาไกลขนาดนี้เลยหรอเนี่ย? คิดในใจอย่างหวาดๆ ก่อนจะรีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง
ทำไมที่ฝั่งมันมีคนเพิ่มขึ้นล่ะเนี่ย แต่ที่สะดุดตาของสเลนก็คือ เจ้าเด็กรุ่นครางเดียวกับเขาที่มีสายตาเย็นชากลมโตสีน้ำตาลแดง ผมสีเดียวเฉกเช่นกับดวงตามองมาที่เขาอย่างไม่มีความรู้สึกอะไร ในมือถือโทรศัพท์แบบสัมผัสกดเลือนสไลด์เล่นอยู่ สเลนรีบสั่งให้ขาว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง แต่อะไรบางอย่างสะกิดให้เขาหันกลับไปมองเบื้องหลังของตนเอง
ร่างเบาๆสีส้มนั้นมันคืออะไรกันนะ? ร่างที่พยายามดึงเด็กคนนั้น หันกลับไปมองช้าๆก่อนจะตกใจเสียจนเกือบจมน้ำตาย
ดวงตาสีส้มทอประกายแข่งกับสีของดวงอาทิตย์กำลังฉายแววพิโรธมาที่สเลน ก่อนที่สเลนจะทันได้แหกปากร้องตะโกน ขาข้างหนึ่งของเขาก็ถูกกระชากลงสู่เบื้องน้ำ สเลนพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ
เจ้าเด็กกลุ่มเมื่อกี้ไม่ได้ทันสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับสเลน เขาพยามแหกปากแต่กลับกลายเป็นว่ากลืนน้ำทะเลแสนเค้มเข้าปากแทน ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรผิดปกติหรือไง? ภาพสุดท้ายที่สเลนเห็นแวบๆจากที่ไกลๆก่อนที่เขาจะหมดสติ นั้นก็คือ
ภาพของเจ้าเด็กหนุ่มผมน้ำตาลนั้นขว้างโทรศัพท์ทิ้งลงพื้นก่อนจะกระโดดลงมาในทะเล แล้วสเลนก็ไม่รับรู้อะไรอีก
ความมือครอบงำเขาอีกครั้ง ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในร่างกาย สะดุ้งตื่นแล้วหายใจหอบราวกับเรื่องเมื่อครู่เพื่อเกิดขึ้นหยกขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนเหงื่อโชกไปทั้งตัวท่ามดลางห้องนอนของเขาเอง
ที่แท้ก็แค่ฝันไปหรือ ไม่สิมันคือเรื่องจริงที่มันกลับมาฉายซ้ำ เรื่องราวความเจ็บปวดที่แสนทรมานทั้งที่พยายามลืมมัน แต่กลับมาฉายซ้ำ กำลังจะมีลางร้ายหรืออะไร?
สเลนนอนพลิกตัวไปมา พยายามลบภาพนั้นออกจากสมอง แต่กลับมีวคามสงสัยเข้ามาแทนที่ เจ้าเด็กหัวน้ำตาลนั้นมันใครนะ? ภาพที่เห็นมันเลือนรางเสียจนมองไม่ชัด พยายามเพ่งมองแต่ก็จดจำใบหน้านั้นไม่ได้ สเลนจำได้ว่าหลังจากจมน้ำในครั้งนั้น เขาตื่นขึ้นมาก็พบกัยบรรดาพ่อแม่ตายายกำลังมุงรอบตัวเขา คุรแม่นี่ร้องไห้เลยทีเดียวที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ สเลนก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่หลังจากโดน ร่างปริศนาสีส้มรางๆนั้นลากลงไปสู่ก้นบึงของทะเลนั้น
ใครช่วยเขากันนะ? ไม่มีใครบอกเขาเลย และนั้นทำให้พ่อและแม่ของเขาตัดสินใจย้ายสเลนไปเรียนในเมือง เพื่อให้ลืมเรื่องทะเลนั้น แต่พอเขาลืมไปไม่กี่ปี มันก็กลับมาทรมานเขาเล่นอีกครั้ง
“ช่างมันเหอะ” บอกกับตัวเองเบาๆก่อนจะข่มตาหลับ นึกถึงใบหน้าของใครบางคนที่ทำให้เขามีความสุข เพื่อที่จะให้ตัวเองไม่ต้องนึกถึงภาพในวัยเด็กอีก
อินาโฮะกำลังอ่านหนังสือกฎหมายอย่างตั้งใจ แม้จะดึกมากแล้วและวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ แต่เขาก็ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเด็กดีตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ใครจะรู้ อินาโฮะแค่เอาหนังสือกฏหมายมาตั้งไว้ตรงหน้าเฉยๆแต่ในหัวกำลังคิดถึงใครบางคนที่น่าจะนอนไปแล้ว
“จะนอนหรือยังนะ? จะฝันร้ายหรือเปล่า?” ความคิดคำนึงนี้รบกวนจิตใจของเขามาก จะโทรไปหาตอนนี้มันก็กระไรอยู่ อินาโฮะเลือกที่จะล้มตัวนอน แต่แล้วไฟฟ้าก็เกิดดับขึ้นมากะทันหัน
หวนนึกไปถึงตอนสมัยเด็กๆตอนที่ไฟดับ อินาโฮะเอื้อมมือไปที่ลิ้นชักหรูข้างเตียง คว้ากระบอกไฟฉายออกมาส่องไปรอบๆห้องที่กว้างใหญ่ของเขา ไม่มีอะไร ก็แค่ไฟดับ อินาโฮะตัดสินใจนอน อีกไม่นานไฟก็คงกลับมาตามปกติ ก้าวเท้าลงจากพื้นเพื่อไปปิดสวิตช์ไฟ
ปัง!
เสียงประตูดังข้างนอกห้องของเขา ห้องของใครกันไม่ยอมปิดหรือสาวใช้คนไหนมันลืมปิดประตู
อินาโฮะอาศัยอยู่แค่กับพ่อบ้าน สาวใช้และคนขับรถเพียงไม่กี่คน เพราะพ่อไปทำงานต่างประเทศ ส่วนแม่ก็ทำงานอยู่ต่างเมืองนานๆจะกลับบ้านที พี่ยูกิก็ไปเรียนมหาลัยในตัวเมือง เอาเข้าจริงแล้ว ก็คล้ายกับว่าอินาโฮะอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่ปาน ด้วยความสงสัยและนอนไม่หลับ เขาตัดสินใจเปิดบานประตูออก
เสียงลูกบิดประตูทำให้อินาโฮะสงสัยไม่น้อย เหมือนกับว่าลูกบิดนั้นไม่ได้รับการดูแลมาเนินนานทั้งที่เขาก็เปิดมันอยู่ทุกวันและดูแลมันทุกวัน
มันแปลก
คิดแบบนั้นก่อนก้าวเท้าลงบันไดยาวที่เรียงตัวสวย ก้าวเท้าลงบนพรมหรูอย่างเงียบเฉียบ เดินลงไปสู่เบื้องล่าง แสงจันทร์ด้านนอกไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรชัดเลย มีเพียงกระบอกไฟฉายตัวเดียวท่านั้นที่จะสามารถเป็นตัวบอกเขาว่าอะไรคืออะไร
เวลานั้นผ่านไปนานเท่าใด อินาโฮะก็ไม่อาจทราบ จ้องมองเบื้องหน้าอย่างไม่หวดกลัว นี่บ้านชองเขาเอง มีอะไรต้องกลัวกัน เมื่อคิดว่าสำรวจทั่วบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดอกีครั้งเพื่อเข้าห้องของตัวเอง
เอียด แอ็ด
เสียงเปิดประตูทำอินาโฮะใจไม่ค่อยดีไหร่ ขโมยขึ้นบ้านงั้นเหรอ?
อินาโฮะจำได้ว่าชั้นบนนี้มีเขานอนแค่คนเดียวเพราคนงานต้องนอนชั้นล่าง แถมเขายังปิดประตูห้องตัวเองแล้วด้วย ใครเปิดประตู?
ความสงสัยเข้าครอบงำจนไม่ทันได้สังเกตอะไรนอกจากประตูห้องของตน ฉายไฟฉายเข้าไปในห้องที่ถูกแง้มเปิดออกเบาๆ กระชากบานประตูออก
ฝุงค้างคาวบินกรูเข้ามาประทะหน้าของเขาอินาโฮะขว้างไฟฉายให้ก่อนจะเอามือปัดป้องฝุงค้างคาวฝูงนั้น
“ออกไป!”ตะโดนเสียงดังแต่แฝงไปด้วยความดุ จนคนในบ้านต้องรีบวิ่งขึ้นมาดูนายน้อยของตน
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” พ่อบ้านรีบขึ้นมาหานายของตน ไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง อินาโฮะจ้องมองบานประตูที่เขากระชากออก ก่อนจะหันไปตอบพ่อบ้าน “ค้างคาวน่ะ”
“มันจะเข้ามาได้ยังไงครับ กระผมปิดหน้าต่างหมดทุกบานแล้ว”
งั้นเสียงเปิดประตูดังปัง ก็เสียงเปิดประตูดังแอ็ดนั้น ใครทำ? อินาโฮะเก็บคำถามไว้ในใจอย่างเงียบๆ
“สงสัยฉันหลอนไปเอง ไม่มีอะไรหรอก กลับไปนอนเถอะ”
“ให้ผมชงนมอุ่นๆมาให้กินหน่อยไหมครับ?” พ่อบ้านเห็นใบหน้าที่เฉยชาของนายน้อยมีสีซีดๆราวกับคนป่วยเลยอดถามไม่ได้
อินาโฮะเกือบจะปฏิเสธแต่พอมองเข้าไปในห้อง หน้าต่างที่เขาเป็นคนปิดเอง กลับถูกเปิดออก สายลมพัดผ่านเข้ามาในห้องอย่างเยือกเย็นจนอินาโฮะรู้สึกหนาวไปทั้งตัว
“ขอนมอุ่นๆ ไม่สิ เอาร้อนๆเลยมาแก้วหนึ่ง” สั่งเสร็จก็เดินไปคว้าโทรศัพท์ ที่ชาร์ตแบต หมอนและผ้าห่มลงมานอนโซฟาหรูหราที่ใหญ่พอๆกับเตยงข้างล่าง พ่อบ้านเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร นายน้อยของเขามีวิธีสยบความกลัวของตนเองแปลกๆ ไม่ร้องขอให้ใครช่วย แต่จะหลีกเลี่ยงความกลัวนั้นด้วยตนเอง
จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าค้างคาวฝูงนั้นมาจากไหน ไม่มีใครคิดหาคำตอบ แม้แต่อินาโฮะก็ไม่คิดหาคำตอบ มันเป็นปมตั้งแต่เด็ก
เขาจะเจอฝูงค้างคาวและเสียงแปลกๆ 1 ครั้ง ในทุกๆปีเสมอ เจอจนกลัว จากกลัวก็เริ่มเกลียดและก็เกลียดเรื่อยมาจนกระทั้ง.....
ช่วงเวลาเรียนก่อนสอบปลายภาคนั้น ช่างมีความสุขเสียจนลืมไปเลยว่าจะสอบกลางภาคแล้ว ช่วงเวลา เกือบ 2 เดือนนั้น สเลนมักจะไปห้องคณะกรรมการนักเรียนทุกวัน ก็ไม่มีอะไรมาก
ก็แค่อยากไปมองหน้าของใครบางคน
ทั้งที่ก็นั่งข้างกันทุกๆวัน แต่กลับอยากอยู่ใกล้ชิดอีกฝ่ายจนถึงตอนกลับบ้าน ในตอนเย็นนั้นเองที่สเลนเอ่ยปากถามอินาโฮะ
“ว่างๆไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหม?” อินาโฮะที่กำลังแบกกระเป๋าอย่างชิวๆหันมามองก่อนจะตอบ
“นายจะให้ไปไหน ก็ว่างทั้งนั้นแหละ” ตอบเสียงเรียบตามแบบฉบับดั้งเดิมไม่มีเปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนไปมากก็คือดูเหมือนอินาโฮะจะพูดมากกว่าเดิมอยู่กับสเลนเพียงแค่ 2 คน
“งั้นเย็นนี้ไปทานร้านนั้นกัน ผมเห็นมันเพิ่งมาใหม่” ชี้นิ้วไปยังร้านที่อยู่ตรงหน้า
“ก็เอาสิ” แล้วทั้งคู่ก็เดินตรงไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แม้ว่าทั้งคู่จะทำตัวแบบปกติเมื่ออยู่ด้วยกัน แต่กลับไม่ปกติสำหรับคนบางกลุ่ม
“อินาโฮะซังตามใจสเลนคุงด้วยแหละค่ะ” เสียงใสๆของ เซลัมซังดังขึ้นเบาๆ การแอบสะกดรอยตามเพื่อนตัวเองเป็นอะไรที่ท้าทายเธอจริงๆ
“หายากมากกกกกกก ใส่ กอ ไก่ กี่ตัวก็ไม่พอ คาล์มถ่ายรูปสิ” อิงโกะหันไปสั่งเพื่อนชายก่อนที่อีกฝ่ายจะกดชัตเตอร์รัวๆ
“สองคนนั้นเป็นอะไรกันแน่คะเนี่ย? สงสัยจริงๆเล๊ย” นีน่าที่แอบอยู่หลังอิงโกะเอ่ยถามเบาๆ
“นั้นสินะ เพื่อนก็ไม่น่าใช่ แบบนี้มัน..” ไรเอตที่เงียบมานานออกความคิดเห็นแต่ก็จู่ๆเงียบลงไปเสียเฉยๆ
“ขอหนูดูด้วยสิคะ”เอเดลริชโซ่ที่ตัวเตี้ยที่สุดเอ่ยอย่างอนๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เซลัมซังหันมายิ้มให้
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ เนอะไรเอตซัง”
“นะ..นั่นสินะ” ไรเอตหันหน้าหนีเซลัมซังก่อนจะเซมองไปทางอื่น พลันปรากฏรอยแดงจางๆบนใบหน้าสวยคมนั่น
“ถ้าทั้งคู่เป็นอย่างที่พวกเราคิดจริงๆ เตรียมฉลอง!!”อิงโกะตะโกนเสียงดังแต่ก็โดนคาล์มเอามือปิดปากไว้ทันก่อนจะส่งเสียงชู่ ให้เงียบๆไว้ อิงโกะพนมมือขอโทษ
“แล้วไอ้อย่างที่คิดมันยังไงกันคะเนี่ย?”เอเดลริชโซ่ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ก็แบบพัดลมไง” มิคุนิที่จู่ๆก็โผล่หน้ามาร่วมวงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แต่มีหรือที่คนเข้าใจอะไรยากอย่างเอเดลริชโซ่จะเข้าใจ
“แปลกดีนะคะ ไอ้พัดลมๆเนี่ย สองคนนั้นอยากได้พัดลมก็ไม่บอก” แล้วทั้งกลุ่มนั้นก็หัวเราะกัน ปล่อยให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดอย่างเอเดลริชโซ่งงเงิบไปอีกนานหลายวินาทีกว่าจะเข้าใจ
“อ่อ” พูดออกมาคำเดียวก่อนจะทำหน้าขวยเขิล
“แล้วเธอจะเขิลทำไมเนี่ย?” คาลืมหันมาถามเจ้าเตี้ยอย่างไม่เข้า
“ก็อินาโฮะจะมีแฟนแล้วนี่คะ อิจฉาจริงๆ” แล้วอิจฉามันเกี่ยวไรกับใบหน้าเขิลกันห๊ะ!
“จะว่าไปคู่นี้ก็น่ารักจริงๆนะคะ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยจะพัฒนาเท่าไหร่เลย” เซลัมซังเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบแต่ไรเอตกลับพูดขึ้น
“ความรักมันต้องใช้เวลา ถ้ารักไวเกินไปก็เลิกกันไวเท่านั้น เคยได้ยินไหม รัก+ใจร้อน = ชิงสุกก่อนหาม รัก+ใจเย็น = ไม้เท้ายอดทอง ตะบองยอดเพชรรัก+เข้าใจ = รักจริง และสุดท้าย รัก+เข้าใจ+ให้อภัย = รักแท้ น่ะ”
“ว้าว! ไรเอตซังไปหาข้อความแบบนี้มาจาใครคะ?”เซลัมเขยิบเข้ามาใกล้ไรเอตแต่เจ้าตัวก็เบนหน้าหนี
“ก็ไม่ได้ตั้งใจหาหรอก ก็แค่อ่านผ่านๆ”ตบปัดๆไปก่อนจะหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“แหมๆ” ทุกคนยกเว้น เซลัมและเอเดลริชโซ่ส่งเสียงแซวไรเอตเบาๆ ก่อนที่พวกเขาจะพากันแยกย้ายกันกลับบ้าน
ย้อนกลับไปดูคู่หลักกันดีกว่า
“รับอะไรครับ” เสียงของพนักงานหน้าหล่อเอ่ยถามลูกค้าที่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีทั้งคู่อย่างสุภาพ ก่อนจะหยิบรายการอาหารให้เลือก
“คัตสึด้ง ไก่ทอดคาราเกะ และทาโกะยากิครับ อ่อ ขอชาเขียวเย็นด้วยนะครับ” สเลนยังไม่ได้ดูเมนูก็สั่งอย่างรวดเร็ว นี่เป็นอาหารที่เขาชอบ ดังนั้นไม่ต้องเสียแรงเปิดเมนูก็สั่งได้ทันที พนักงานรีบจิ้มเมนูบนเครื่องสื่อสารตามรายการที่สเลนสั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปมองอินาโฮะ
“เอาแบบเขาครับ” ฝ่ายนี้ก็ไม่เปิดเมนูเช่นกัน พนักงานนึกขำๆอยู่ในใจ
ตูจะเอาเมนูมาให้ทำไมวะ?
หลังจากยิ้มให้ลูกค้าทั้งสองท่านก็รีบเดินจากไป อินาโฮะนั่งมองอีกคนที่กำลังอ่าหนังสือเตรียมสอบในอาทิตย์หน้า แย้มยิ้มเบาๆ
“ขยันจริง”
“ก็ผมมันกลัวสอบตก แล้วต้องมาสอบซ่อมนี่”สเลนบอกเหตุผลก่อนจะก้มหน้าลงอ่านต่อ แต่อินาโฮะก็คว้าหนังสือไปจากมือ
“จะกินข้าวอย่าเพิ่งอ่านหนังสือสิ ทำอะไรพร้อมกันสองอย่างมันไม่ดีหรอก” เอ่ยประโยคที่แฝงไปด้วยความห่วงใยล้วนๆ สเลนเลยเบี่ยงหน้าหนี
“ก็ได้” เอ่ยเสียงงอนๆเล็กน้อยก่อนจะแอบยิ้ม พออาหารมาเสริ์ฟทั้งคู่ก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยและเมื่อทานเสร็จ
“จะไปส่งบ้าน” เอ่ยสั้นแต่กลับทำให้สเลนหน้าแดง
“รู้เหรอบ้านผมอยู่ไหน?” ถามอีกฝ่ายกลับ อินาโฮะกระซิบข้างหูเบาๆ
“นายยังไม่คืนผ้าเช็ดหน้าผมเลยนะ” บางทีความสุขของการได้อยู่ใกล้กัน ก็ทำให้ลืมไปเลยว่า ลืมคืนผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย (ฮา)
“ แล้วก็ การจะรู้บ้านของคนที่ตัวเองชอบคงไม่ผิดหรอกนะ” อินาโฮะบอกก่อนจะกัดหูสเลนเล่นเบาๆแล้วผละออกมาอย่างรวดเร็ว
“พะ...พูดอะไรน่ะครับ คนที่ชอบอะไรกัน” สเลนเอามือกุมหูข้างที่โดนกัดอย่างรวดเร็ว
หลังจากเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลครั้งนั้น อินาโฮะก็ไม่ได้จูบหรือสัมผัสเขาแบบใกล้ชิดขนาดนี้อีก จู่ๆมาทำแบบนี้.......
“ผมก็อยากค่อยเป็นค่อยไป ตอนนั้นต้องขอโทษด้วย ผมรีบเกินไปหน่อย” เขาคงนึกถึงตอนอยู่ที่โรงพยาบาลล่ะมั้ง แต่อินาโฮะก็ไม่ได้ทำอะไรเขาไปมากกว่าจูบเลย
“ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ๆ” สเลนพึมพำเบาๆอย่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายได้ยิน ก่อนจะกุมมือของอีกฝ่ายขึ้นมา
“งั้นแลกเปลี่ยนกัน ผมจะพานายไปบ้านผมไปเอาผ้าเช็ดหน้า แล้วนายก็ต้องพาผมไปบ้านนายด้วย โอเคไหม?” สเลนหันมายิ้มยิงฟันขาวสะอาดให้อีกฝ่าย เป้นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่อินาโฮะจะหาชมได้จากวันนั้น
อย่ายิ้มแบบนั้นได้ไหม อินาโฮะคิดก่อนจะปล่อยให้ทำตามหัวใจตัวเองอีกครั้ง
“นี่อย่ายั่วผมได้ไหม” เหมือนจะเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่าประโยคคำถามอินาโฮะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก่อนจะกระซิบเบาๆ
“ขอจูบหน่อยนะ” ทาบริมฝีปากลงไปอย่างนุ่มนวล สเลนปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างไม่ขัดขืนอะไร เสียงหัวใจเต้นรัวดังโครมครามจนดังไปหมด ก่อนจะหน้าแดงเป็นมะเขือเทศที่สุกเต็มที่
“ไปบ้านนายกันเถอะ” และแล้วช่วงเวลาของวันๆนั้นก็ผ่านพ้นไปอย่างมีความสุข โดยมีมือของทั้คู่ที่กุมกันไว้อย่างแน่นหนาราวกับว่าไม่สามารถขาดอีกฝ่ายได้
วันรุ่งขึ้นของวันสุดท้ายในการเรียนก่อนจะสอบอาทิตย์หน้า สเลนนั่งจ้องตัวหนังสือ ในหัวกำลังประเมินถ้อยคำอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็ปิดหนังสือก่อนเขียนสรุปเนื้อหาทั้งหมดใส่กระดาษแผ่นเดียว
ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะว่ามีสาเหตุมาจากกฎพื้นฐานของการฝึกฝนอย่างล้ำลึกที่ว่า “การเรียนรู้คือการดิ้นรนพยายาม” การปิดหนังสือแล้วสรุปเนื้อหาออกมาจะบีบให้เขาสามารถจับจุดประเด็นสำคัญๆจากนั้นก็ประมวลผลและจัดระเบียบให้อยู่รูปแบบที่สมเหตุสมผลและเขียนมันลงกระดาษ
“ค้างคาว” เสียงกระซิบดังเบาๆข้างตัวเขาสเลนหันไปหาตันเสียง
“อะไรส้ม?” แม้จะดูเป็นคำพูดห้าวๆแต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวล
“เย็นนี้ว่างไหม? ไปชายทะเลกันหน่อยสิ”
“ไปทำอะไรครับ?”
“อยากไปเก็บขยะสักหน่อย”
“เกิดคึกบ้าอะไรขึ้นมาอีกละเนี้ย” เอ่ยถามกลับด้วยประโยคกวนๆ อินาโฮะดึงแก้มสเลนเล่น
“เออน่า มาช่วยกันหน่อย” มีหรือที่สเลนจะไม่ตอบตกลง เจ้าคนที่มีอิทธิพลไปซะทุกอย่างของ สเลนมันอยากได้อะไรก็ต้องได้ล่ะวะ
ว่าแต่ทะเลหรอ?
หวนคิดถึงเรื่องราวเก่าๆในวันวาน ถึงจะมาอยู่ที่นี้ได้ 2 เดือนแล้วแต่สเลนก็ยังไปกล้าลงไปเล่นน้ำทะเลอีก แค่เป็นทางผ่านเฉย แต่ไปเก็บขยะนี่ไม่ได้ไปเล่นน้ำสักหน่อย
คิดได้แบบนั้นก็เบาใจลงมาก แต่แล้วพลันดวงตาคู่สวยสีน้ำทะเลจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปที่ทะเลสีใสที่ทอประกายระยิบระยับ ในน้ำนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ สเลนมองไม่ค่อยชัดเลยเคลื่อนย้ายตัวเข้าไปใกล้หน้าต่าง
มันเป็นช่วงเวลาเย็นเหมือนกับตอนนั้น และในน้ำนั้น ร่างเบาสีส้มกำลังจ้องมองมายังเขา แสยะยิ้ม และไม่ใช่แค่ร่างเดียว เงาจางๆนั้นเริ่มทยอยมากขึ้นเรื่อยๆมากขึ้นจนสเลนเวียนหัว
จิตสังหารของมันส่งมาถึงเขาอย่างรุนแรง ทำไมต้องมองเห็นพวกเขาด้วย สเลนพยุงตัวเองก่อนจะลากสังขารลงไปข้างล่าง
“สเลน” แม้แต่เสียงเรียกของอินาโฮะก็ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของสเลนได้ สสเลนกำลังอยากไปที่ทะเลนั้น อยากไปเหลือเกิน ไอ้ความรู้สึกโหยหานี่มันคืออะไรกัน?
ความรู้สึกที่แปลกปลอมตีปนกันมั่วจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือความรู้สึกที่แท้จริงของเขากันแน่ ฝีเท้ารีบก้าวเดินลงไปหาทะเลเบื้องล่าง
อยากสัมผัสน้ำ อยากจมลงสู่เบื้องลึกนั้น อยากตาย!
อะไรนะ อยากตาย สเลนชะงักร่างของตนเบาๆ นี่เขากำลังทำอะไร แล้วอินาโฮะล่ะ พยายามหันไปมองข้างหลังตน เห็นเพื่อนของตนกำลังรีบวิ่งตามเขามา เขาจำได้ว่าเดินมานะ ทำไมเห็นพวกนั้นช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน
“มาสิ” เสียงอ่อนโยนดังกลบทุกเส้นประสาทการได้ยิน สเลนก้าวเท้าเดินต่อไป ไม่นานก็เห็นทะเลอยู่เบื้องหน้า แต่ก่อนจะทันได้ก้าวเท้าลงน้ำ สติก็กลับเข้ามาควบคุมได้สำเร็จ
นี่เขากำลังจะเล่นน้ำงั้นเหรอ? เมื่อกี้ยังบ่นกับตัวเองว่าไม่ยอมมาเล่นน้ำเพราะเหตุการณ์ในวัยเด็กอยู่เลย แต่พลังลึกลับกลับมีพลังมากกว่าเขา ขาของเขาก้าวเดินไปตามคำสั่งของใครสักคนที่ไม่ใช่เขา สเลนพยายามจะเอื้อมมือไปจับขาของตน ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีสติ ตอนนี้เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร เขากำลังจะโดนพรายน้ำดึงลงไปยังเบื้องล่างของน้ำทะเลแสนเย็นเยียบนั้น จากที่เดินดีๆ สเลนก็ถูกลาก เขาตะเกียดตะกาย คว้าได้เพียงแค่ทรายจ้องมองไปยังชายฝั่งทะเล คนที่วิ่งมาหาเขาคนแรกคืออินาโฮะ สีหน้าอินาโฮะกำลังซีด เขากำลังวิ่งลุยน้ำมาหาเขา สเลนเอื้อมมือหวังจะคว้าไว้แต่ตัวของเขาก็จมลงน้ำไปเสีย
“สเลน!!!” อินาโฮะตะโกนก้อง ก่อนจะกระโดดลงน้ำไป
====================================================
ทำไมตอนนี้แลดูมีสาระขึ้นมา(?) จะบอกว่าหลักการอ่านหนังสือแบบสเลนคุง ใช้ได้ผลจริงๆคะ
ไรลองมาแล้วค่ะ (แต่ลองแค่วิชาเดียวก็เลยได้คะแนนเต็มอยู่วิชาเดียว ฮา)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ อิอิ ^^ มาต่อช้ามาก และดูเหมือนจะหมดมุกเล่นยังไงไม่รู้อ่ะ 55555555
มีเรื่องจะแนะนำค่ะ ในฉากของอินาโฮธในตอนนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้นสยองขวัญเรื่องนี้ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=a5UWiqTayh4
บางทีก็แอบฮากับตัวเองเหมือนกันค่ะ น่าจะตั้งชื่อเรื่องว่า "วันสยองๆของ สองสหายในเมืองปิดตาย" อุ้ย! คือตั้งแต่แต่งมา มีทั้งการเล่นซ่อนแอบกับตุ๊กตา วิญญาณที่ลิฟต์ รถเข็นเคลื่อนที่เอง แล้วไหนจะมีผีพรายอีก แล้วของอินาโฮะก็วิญญาณค้างคาวที่สิงสู่บ้าน
ไม่น่าอ่านเรื่องผี ดูเรื่องสยอง ไหนจะดูแคสเกมส์ผีๆของเหล่านักแคสเกมส์ดังๆอีก 555 ต้องขอบอกกล่าวมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
◊ SQWEEZ SQWEEZ THEME
ความคิดเห็น