ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Aldnoah.Zero...ชีวิตประจำวันของ 2 หนุ่ม [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #7 : ..เริ่มจะดราม่านิดๆ (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 57




        “อาบน้ำด้วยกันบ้าอะไร?” สเลนมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง “นายสมองเพี้ยนไปแล้วหรือไง”จ้องมองเรือนร่างที่นอนอยู่ร่างของตนอย่างไม่เข้าใจ อินาโฮะตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

    “ก็แค่อยากลองดู”

    “ไปลองอาบน้ำกับหมาแถวบ้านเถอะ” สเลนบอกลับทันควัน แต่ว่านะ นึกสภาพของท่านประธานกำลังอาบน้ำให้น้องหมามันก็น่ารักดี เอ๊ะ!น่ารักหรอ? = =

    “ถ้าเป็นหมาก็นายไง”

    “อยากตายแบบไม่รู้ตัวแต่รู้สาเหตุไหม ไอ้ส้ม?” ปากแบบนี้มันน่าจับถ่วงน้ำให้ตายไปซะ

    แต่อินาโฮะดูจะไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่กับคำกล่าวเมื่อครู่ อินาโฮะก้มลงมองใบหน้าขาวหวานที่อยู่ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร

    “ไม่เอาหมาดีกว่า อยากอาบน้ำกับค้างคาว”

    นี่แกอยากตายมากใช่ไหม? สเลนคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่อินาโฮะยกร่างของตนขึ้น ก่อนจะพยุงตัวเองไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สเลนเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บ มีผ้าพันแผลอยู่จะให้โนน้ำคงไม่ดีแน่เลยรีบกระเด้งขึ้นลุกไปขวางหน้าอินาโฮะ

    “นายจะไปอาบน้ำจริงๆหรือไง เดี๋ยวแผลก็เน่าหมดหรอก”

    “แผลแค่นี้ไม่ตายง่ายๆหรอก”

    “เงียบ!แล้วก็ไสหัวไปนอนบนเตียงซะ ผมจะเช็ดตัวให้นายเอง”

    อินาโฮะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลา 5 วินาทีก่อนจะแอบยิ้มแล้วลากสังขารร่างของตนขึ้นมานอนบนเตียงอย่างว่าง่าย สเลนเห็นแบบนั้นก็แอบกังสลในใจเงียบๆ

    ทำไมมันเชื่องแบบนี้วะ?

    “แต่อย่าได้ใจไป ผมจะเช็ดให้ครั้งเดีวเท่านั้นแหละ”สเลนรีบบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดเข้าข้างตัวเองมากไปกว่านี้ ว่าแล้วก็จัดการเอากระละมังเมื่อวานกับผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำ รองน้ำให้กระละมัง แช่ผ้าขนหนูสีขาวสะอาดลงในกระละมัง ก่อนจะยกขึ้นมาบิดหมาดๆ แล้วยกกระละมังกับพาดผ้าไว้บนบ่าออกไปหาอินาโฮะ

    “เออ..ช่วยถอดเสื้อด้วยจะได้เช็ดสะดวก” อินาโฮะไม่พูดอะไรแต่ก็ทำตามที่สเลนสั่งแต่โดยดี นานๆทีได้มีโอกาสสั่งท่านประธานนักเรียนรู้สึกมีอำนาจชะมัด

    แต่ก็จะบอกว่าจะเช็ดตัวให้ แต่สเลนไม่เคยเช็ดตัวให้ใครมาก่อนนอกจากตัวเอง เพราะเดิมที ตอนที่สเลนไม่สบาย แม่เขาจะมาเช็ดตัวให้ แต่พักหลังมานี่เขาจะเช็ดตัวเองตอนไม่สบาย แต่ถ้าไปทำให้คนอื่น เจ้าส้มก็คือคนแรกที่เขาเช็ดตัวให้

           เมื่อสเลนจ้องมองไปยังเรือนร่างอินาโฮะที่แสนกำยำแม้ตอนนี้จะมีผ้าพันไว้บนแขนก็เถอะ ฝ่ามือของสเลนลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกที่มีเจ้าของเป็นอินาโฮะ แอบใจเต้นติกตักเล็กน้อย แล้วทำไมหัวใจมันต้องเต้นแปลกๆด้วย อินาโฮะมันก็ผู้ชายด้วยกันนี่ แต่พอคิดได้แบบนั้นก็รีบให้อีกฝ่ายหันหลังเพื่อจะเช็ดแผ่นหลังของอีกฝ่าย และแอบซ่อนสีหน้าที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อแดงอ่อนๆ แต่แล้วเขาก็ต้องกลับไปด้านหน้าของอินาโฮะ เพื่อเช็ดที่คอและเช็ดตามแขนของอีกฝ่ายอยู่ดี      สเลนมือสั่น

    อินาโฮะคว้าหมับมาที่มือที่ถือผ้าอยู่ของสเลนก่อนจะบังคับมือข้างนั้นให้ลูบไปตามร่างของตนอย่างเชื่องช้า สเลนยืนแงแต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือของตนเช็ดไปทั่วตามร่างกาย ตอนนี้ร่างของสเลนอ่อนปวกเปียกไปหมด ขืนให้เช็ดตัวอินาโฮะไปมากกว่านี้เขาจะต้องล้มลงทั้งยืนแน่ๆ ไม่รู้เพราะอะไรเช่นกัน

    “มือสั่นเชียว”อินาโฮะแซวก่อนจะลากมือของสเลนไปประทับบนแก้มเนียนของตน แล้วกุมมือข้างนั้นเอาไว้อย่างหวงแหน

    “ปล่อยก่อนจะซักผ้า” บอกอีกฝ่ายแต่กลับไปยอมหันไปจ้องมองตรงๆ อินาโฮะปล่อยให้อีกฝ่ายซักผ้ากอนจะกลับมาเช็ดตัวอีกครั้ง แต่อินาโฮะก็คว้าโอกาสใช้มือของตัวเองจับมือของอีกฝ่ายแล้วเช็ดไปตามร่างของตนอีกตามเคย

    “ถ้ารู้ว่าเช็ดเองก็ได้ ผมไม่น่าเสียเวลามาเช็ดให้เลย”

    “ก็นายบอกจะเช็ดให้ แถมแค่ครั้งเดียวด้วย ผมจะปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดหรือไง?”อินาโฮะบอกกลับ สเลนหน้าแดง เสียงหัวใจเต้นรัวราวกับเสียงของสายฝนในยามที่มีพายุ ตีรัวจนรู้สึกจะหายใจไม่ออก ความรู้สึกแบบนี้มันยังไงกันเนี่ย?

    “ผมรู้สึกแปลกยังไม่รู้” สเลนบอก ขณะที่ฝ่ามือกำลังลูกไปตามซอกของร่างกาย มีเพียงผืนผ้าสีขาวเท่านั้นที่กั้นการสัมผัสเรือนร่างของอินาโฮะตรงๆ และสมมติหากว่าตอนนี้เขาไม่ได้กำลังเช็ดตัวให้อินาโฮะและไม่มีผืนผ้าสีขาวกั้นฝ่ามือของเขาที่กำลังสัมผัสผิวนวลของอินาโฮะ ตว่าฝ่ามือของเขากำลังลูบไปตามแผ่นอกของอินาโฮะ แบบนั้นมัน.....

    โว้ย! คิดอะไรเนี่ยสเลน สงสัยคงจะเพราะเริ่มหิวแล้วแน่ๆ

    หลังจากที่เช็ดตัวให้อินาโฮะเสร็จแล้ว สเลนก็หันมาสั่งเจ้าส้มอีกรอบ

    “นี่เจ้าส้ม อย่าเสด็จออกไปไหนก่อนที่ผมจะอนุญาต” สเลนกำลังจะหยิบกระละมังที่ตั้งอยู่บนพื้นเข้าไปห้องน้ำ แต่ก็กลับโดนกระชากจากด้านหลัง สเลนร่วงลงไปอยู่ในอ้อมแขนของอินาโฮะ

    “ขอบใจ” อินาโฮะกล่าวสั้นๆ กระซิบแผ่วเบาข้างๆหู เป็นคำขอบคุณสั้นๆที่ทำเอาหัวใจพองโต ดวงตาสีน้ำทะเลใสจ้องมองไปยังดวงหน้าของเด็กหนุ่มปมน้ำตาลแดงก่อนจะแย้มยิ้ม แบบที่ไม่เคยจะยิ้มให้ใครแบบนี้มากนัก

    “มาขอบใจอะไร ถ้าไอ้ตำรวจนั้นมันไม่บังคับให้มานอนเฝ้านาย ไม่มา...อุ๊บ” คำพูดหลังจากนั้นก็ถูกจุมพิตของอินาโฮะกลืนกินไปเสียหมดสิ้นแล้ว อินาโฮะผละออกจากสเลนช้าๆ

    “ยังไงก็ขอบใจนะ ค้างคาวของผม” พูดกจบก็โขกหัวค้างคาวเบาๆ สเลนผละออกจากอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว ทำอะไรไม่ถูกก่อนจะเพิ่งตรัสรู้ว่ามีประตู วิ่งตรงไปยังที่นั่น ก่อน ตะโกนไล่หลังเสียงดัง

    “จะไปหาอะไรกิน!!” แต่เสียงประตูที่ปิดดัง

    ปัง!!!

    กับใบหน้าหวานที่ขวยเขิลแบบนั้นไม่ได้พลาดสายตาอินาโฮะไปเลยแม้แต่น้อย

    “น่ารัก” อินาโฮะพึมพำ แล้วเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น เขาเองก็หิวแล้วเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมไม่มีคนเอาอาหารมาให้ล่ะเนี้ย

    แต่อินาโฮะก็กลับไม่ได้โหยกระหายอาหารเท่าคนที่เพิ่งจะออกไปก่อนหน้านั้น เขายิ้มที่มุมปาก

    ก็เพราะเขาเพิ่งจะชิมของหวานไปเมื่อก่อนหน้านี้ตั้ง 3 รอบนี่นะ แต่หลังจากนี้มันจะไม่ใช่แค่ของหวานของเขาอีกแล้ว เพราะเขาจะกินค้างคาวจริงๆละ



     

            สเลนก้าวเท้าลงบันไดอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะยังกลัวการลงลิฟต์ที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ หรือกำลังคิดถึงเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งกันแน่ เขาภาวนาให้เป็นอย่างแรก

    ช่วงเช้าเป็นช่วงที่โรงพยาบาลวุ่นวายเล็กน้อย มีคนไข้และบรรดาเหล่าแพทย์ พยาบาลวิ่งวุ่นไปๆมาๆ สเลนเบี่ยงตัวหลบเข้าซอยทางลัดที่น่าจะเป็นทางไปโรงอาหารของที่นี่

    เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทาง มองซ้ายมองขวาเห็นแผนผังของโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลเลยเดินเข้าไปตรวจสอบว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน

    “ทิศใต้!!” โรงอาหารมันอยู่ทิศตะวันออกนี่ เวียนหัวกับโรงพยาบาลนี้จริง นี่เขาต้องเดินขึ้นไปใช่ไหมเนี่ย คิดแบบนั้นก่อนจะหันกลับแต่ก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็มีวัตถุแข็งๆที่แสรเย็นเยียบเข้ามาชนแผ่นหลังของเขา

    “โอ้ย!”สเลนร้องโอยครวญเล็กน้อย มันชนเบาๆที่ไหนเล่า หันกลับไปมองก็พบว่ามันเป็นรถเข็นคนไข้ ใครมันอุตริคิดอะไรถึงมาเล่นซนๆแบบนี้ สเลนคิดว่าน่าจะเป็นเด็ก แต่พอลงอมองไปทั่วอาณาบริเวณแล้วกลับไม่พบใครที่น่าสงสัย เอาเข้าจริงแล้วสเลนสงสัยว่าในที่แห่งนั้น คงจะมีเขาอยู่เพียงลำพังแน่ๆ ได้แต่จ้องมองรถเข็นว่างเปล่าไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต สเลนไม่สนใจมัน         ความหิวเข้าครอบงำจนไม่กลัวแล้วว่าไอ้ที่แกล้งมันจะคนหรือผีก็ช่างแม่ง

    แต่เอ๊ะ! ผีหลอกตอนเช้าแสกๆเนี่ยนะ???

    สเลนรีบโกยเท้าเดินหนีจากทางเดินนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วทำไมทางเดินทิศใต้มันถึงไม่มีใครเลยเนี่ย เขาไม่น่ามาทางลัดเลย ไม่นึกว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ จากที่เพียงแค่ก้าวเดินตามปกติเท่านั้น

    ฝีเท้ารีบก้าวไวขึ้นและเร็วขึ้นตามแรงเต้นของหัวใจ ไม่รู้ว่ากำลังหนีอะไร สัญชาตญาณสั่งตัวเองว่าเจ้ารถเข็นนั้นไม่น่าจะใช่รถเข็นธรรมดา ก่อนที่เขาจะเดินไปดูแผนผังของโรงพยาบาล เขาจำได้ว่าตึกทางทิศใต้มันเป็นห้องสมุดและห้องนอนของแพทย์ที่ต้องมาตรวจคนไข้ไม่ใช่หรือไง

    รถเข็นมาจากไหน?

    นี่เขาจะต้องเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอะไรอีกในโรงพยาบาลนี้กันละเนี้ย

    พลันเหมือนความคิดนั่นได้ตอบสนองสเลนแล้วปรากฏออกมาเป็นความจริง หลังจากที่เขาก้าวเท้าหนีจากรถเข็นนั้นมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ทำใจกล้าลองหันกลับไปมองเบื้องหลังของตน ภาพเบื้องหน้าทำเอาสเลนถึงหยุดหายใจ

    รถเข็นได้แล่นมาอยู่ด้านหลังของเขา จอดแน่นสนิทเหมือนไม่เคยเคลื่อนไหวอะไร แต่สเลนเดินออกจากบริเวณนั้นมาได้นานพอควรแล้ว ใครมันมาเข็นรถกัน

    จ้องมองรถอย่างนึกสงสัย ความกลัวไม่มีอยู่ในเวลานั้น ลองผลักรถเข็นให้ถอยกลับไปยังทิศทางตรงกันข้ามกันตน เดินถอยหลังเพื่อดูว่ามันจะยังเคลื่อนตามเขาอีกหรือไม่ สเลนจ้องมองมันตาไม่กระพริบ ขนาดที่กำลังก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า บริเวณทิศใต้ก็ยังไม่มีผู้ใครเสนอหน้ามาอยู่บริเวณนั้นสักคน สเลนสงสัยว่าพวกหมอ พยาบาลนอนกันที่นี่ได้อย่างไร

    แต่ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้น ที่สเลนรู้สึกได้ รถเข็นไม่ได้เลื่อนตามเขา แสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ส่องกระทบผมสีทองชาจะออกสีทองประกาย เมื่อเห็นแบบนั้นก็หมุนตัวกลับเดินหน้าไปยังทิศตะวันออกที่ซึ่งมีโรงอาหารที่เขาตามหาอยู่

    แม้จุดหมายปลายทางจะไม่ไกล แต่เขาก็ต้องเร่งฝีเท้าหน่อย เดินไปได้สักพัก เสียงดัง....

    แกร๊ก

    ดังขึ้นเบื้องหลังของเขา

    อะไรอีก? จะมีอะไรมาอีก?

    จากความกลัวเริ่มเปลี่ยนเป็นความรำคาญ หันควับกลับไปมอง ก่อนจะต้องรู้ว่า ต้องโกยหนีจากที่แห่งนั้นอย่างด่วนจี้ไปรษณีย์จ๋ากันเลยทีเดียว

    ไอ้เสียงแกร๊กที่ว่า เป็นเสียงปลดล็อคของล้อหมุนที่อยู่ติดกับที่วางเท้าของคนไข้ พอมันปลดล็อคอะไรจะตามาละครับ

    มันก็กำลังเข็นตัวเองวิ่งตรงดิ่งมาหาเขาน่ะสิ

    เริ่องสยองขวัญแบบนี้ แน่นอนว่า น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเจอรถยนตืที่ขับเองบนท้องถนนอีก เพราะถ้าเราจ้องมองมันจากในวีดิโอแล้ว บางทีมันอาจจะใส่ฟิล์มรถให้ดำมืดสนิทแล้วมีคนแอบขับอยู่ข้างในก็ได้ พูดง่ายๆคือ ถ้าเราไม่สังเกตให้ดีก็ไม่รู้ว่ามันเป็นรถยนต์ผีหรือเปล่า? เพราะถ้ามันขับเคลื่อนเองโดยไร้ซึ่งคนขับ มันก็คือรถผีของจริง

    แต่สำหรับรถเข็นที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนแบบนี้ ไม่ต้องมีการพิสูจน์ใดๆหรือการสังเกตแบบไหน ก็รับรู้ได้อย่างขนลุกว่า มันเป็นรถเข็นของผี

    ใครที่ไหนจะสามารถปลดล็อคล้อรถได้จากระยะไกล มันไม่ใช่รถเข็นระบบไฟฟ้านะ ที่รู้ก็เพราะว่าสเลนเคยอยากรู้เรื่องรถเข็นของโรงพยาบาลเลยศึกษามา

    มันกำลังพุ่งมาสเลน สเลนรีบก้าวเท้าหนี รถเข็นเคลื่อนที่เร็วขึ้นตามฝีก้าวแต่ละก้าวของสเลนขณะที่วิ่งก็คิดว่าส่วนใดของโรงพยาบาลที่มันไม่สามารถตามเขามาได้

    บันไดไง!!!!

    รถเข็นลงบันไดคงจะบังคับลำบากน่าดู ไหนๆก็เคยมีคนบอกเขาว่า ผีก็เหมือนกับคน ก็แค่เป็นบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นเอง

    ถ้าจะถามว่าสเลนกลัวผีไหม? คงต้องถามสเลนก่อนว่าเขากลัวคนหรือเปล่า?

    ซึ่งแน่นอนว่าสเลนกลัวครึ่งไม่กลัวครึ่ง ถ้ามาแบบไม่ให้เห็นรูปร่าง สำหรับเขามันก็ไม่เท่าไหร่

    แต่ถ้ามาให้เห็นเป็นรูปร่างที่เด่นชัดและมาในสภาพเละๆเขาก็ไม่ไหวหรอกนะ วิ่งลงบันไดไปอย่างเร่งรีบ เสียงหอบเหนื่อยดังก้องสะท้อนไปทั่วทางบันไดราวกับว่าเขาอยู่ในห้องอัดเสียง     ในใจสั่นรัวราวกับจะระเบิดออก เห็นประตูทางเข้าโรงอาหารอยู่เบื้องหน้า แต่ก่อนที่จะทันได้ผ่านเข้าประตูบานนั้นไป ก็มีเตียงคนไข้ที่ไม่ทราบที่มาแล่นมาขวางเขาเอาไว้

    แต่อย่าคิดว่าความกลัวจะชนะความหิว สเลนวิ่งกระโดดข้ามเตียงอย่างรวดเร็ว คิดจะขัดใครก็ขัดได้ แต่อย่าคิดขัดคนกินข้าวเป็นอันขาด

    สเลนไม่หันหลังกลับวิ่งมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร ทิ้งเรื่องลี้ลับไว้เบื้องหลัง สำหรับเขาในตอนนี้ไม่มีใครจะน่ากลัวไปกว่า

    ไคซึกะ อินาโฮะ

    เจ้าส้มนั้นแน่นอน


     

              อินาโฮะกำลังอ่านหนังสือนิยายแนวหุ่นยนต์รบอย่างตั้งใจ อาหารระดับหรูกำลังถูกเสริฟอยู่เบื้องหน้าของเขา ถึงจะเป็นคนป่วย แต่อินาโฮะบอกว่าถ้าไม่ได้กินสเต็กปลาแซลมอล และเมนูสลัดทั้งหลายแล รวมถึงซุปต่างๆที่เขาอยากกิน หากไม่ได้กินของพวกนี้แล้วเขาจะหนีออกจากโรงพยาบาล เหล่านางพยาบาลเลยต้องวิ่งวุ่นไปหาคนครัวแล้วสั่งรายการตามนี้ เพราะเดิมที โรงพยาบาลนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่พ่อของอินาโฮะสร้างให้เพื่อใช้รักษาคนในเมืองนี้ แม้ว่าเมืองนี้จะดูไม่ใหญ่โตเท่าเมืองหลวง แต่เทคโนโลยีที่นี้ก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า แม้อินาโฮะจะดูเรื่องมากและดูมีอำนาจจนน่าหมั่นไส้ แต่ลึกๆแล้วเขาก็เป้นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น แม้บางครั้งจะชอบขอของตอบแทนก็เถอะ

    ก็อย่างกรณีอย่างค้างคาวของเขาไง

    ตั้งแต่วันแรกที่เจอ เขาก้รู้สึกสนใจในตัวหมอนั้นไม่น้อย คนที่ชอบเล่นอะไรพิเรนท์แบบนั้น คงจะต้องเป็นเด็กที่น่าสนใจแน่ๆ พอได้เจอตัวจริงก็ทำเอาอยากจะได้จนแทบทนไม่ไหว

    แต่อินาโฮะตระหนักถึงข้อนั้นดี เลยให้อีกฝ่ายค่อยเป็นค่อย แต่ดูเหมือนเมื่อเช้าเขาจะรีบไปหน่อย

    บางทีมันก็อดใจไม่ไหวจริงๆ ก็หมอนั้นทั้งมาช่วยเขาแถมยังอุตส่า(โดนบังคับ)ให้มานอนเฝ้าเขาอีก

    ตั้งแต่เกิดมา อินาโฮะมีเพียงพ่อแม่และพี่สาวที่จะห่วงใยเท่าเขามากขนาดนี้ พอมาเจอสเลนทำแบบนี้ให้เขาแล้วมันก็อดไม่ได้จริงๆ

    ไม่สิ ยังมีอีกคนที่ห่วงเขาออกหน้าออกตาอยู่อีกคนนี่น่า เขาคิดว่าคงไม่เกิน 15 นาทีนี้แน่ๆ เธอคนนั้นคงจะวิ่งพรวดเข้ามาในห้องแล้วหอบเอาของฝากมาวางกระแทกหน้าเขาแน่ๆ เพราะมันใหญ่เวอร์

    ก็เธอเป็นแบบนี้ตั้งแต่พวกเขาเรียนมัธยมปลาย ปี 1 แล้วนี่

    แต่อินาโฮะก็ไม่ได้เกลียดอะไรหรอกนะ ถึงจะผ่านมาตั้ง 1 ปีแล้วแต่เธอก็นิสัยแบบนี้ไม่เปลี่ยน นั้นทำให้พวกเขาสนิทกัน แต่อินาโฮะก็ไม่คิดว่าเธอคือคนที่ใช่ สำหรับเขา

    “อินาโฮะซัง!!!” นั้นไงไม่ถึง 15 นาทีจริงๆด้วย

    อัสเซลัม วาร์ส อัลลูเซียวิ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นเพื่อนที่ชื่อยาวซะ อินาโฮะก็เคยกุมขมับขณะต้องจำชื่อเพื่อนแต่ละคน  เอเดลริชโซ่ เจ้าเด็กเตี้ยผมเปียนั้นก็มาด้วยทำหน้าบูดอีกแล้ว เมื่อไหร่ยัยนี่จะเลิกทำสีหน้ารังเกียจใส่เขาได้สักทีละเนี่ย อินาโฮะคิด

    “ฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วคะ อินาโฮะซัง.....ดีจังเลยค่ะที่ไม่เป็นอะไรมาก” อัสเซลัมซังเอ่ยออกมาพร้อมน้ำตา อินาโฮะรู้ว่านี่ไม่ใช่การแกล้งทำแต่เธอเป็นห่วงเขาจริง แล้วเขาก็พบว่า เซลัมซังไม่ได้มาคนเดียว มีอิงโกะ คาล์ม นีน่า รวมไปถึงไรเอตด้วย ไม่นึกเธอคนนี้จะมาเยี่ยมเขาด้วย อินาโฮะแอบขำในใจ ปกติก็ไม่ค่อยจะพูดจะจา แต่เท่าที่ดูมาตลอดหนึ่งปีการศึกษา ไรเอตถือเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว

    “อินาโฮะ ฉันบอกนายแล้วว่าอย่าไปลุยคนเดียว”ตามมาด้วยเสียงโวกเวกของอิงโกะ เธอแทบจะร้องไห้แล้ว แต่อินาโฮะก็พยายามยิ้มบางๆให้กับเธอ

    “เฮ้ย อินาโฮะ นายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฮัดชิ้ว”คาล์มบอกก่อนจะหันไปจาม

    “ไม่สบายหรือไง คาล์ม นายน่าจะกลับไปนอนที่บ้านมากกว่ามาเยี่ยมผมนะ”อินาโฮะตอบกลับไปอย่างเป็นห่วงแม้สีหน้าจะตายด้านเต็มทีก็เถอะ อิงโกะ เซลัมซังถึงกับยิ้มออกมา

    “นี่พวกเราอุตส่าโดดเรียนเพื่อมาเยี่ยมประธานนักเรียนเลยนะเนี่ย”ไรเอตพูดเสียงประชด              แต่อัสเซลัมก็แซวกลับ “แหมก็ใครกันละคะบอกให้โดดเรียนภาคเช้ามาเยี่ยมท่านประธานละคะ” ดูเหมือนเจ้าของความคิดนี้จะเป็นไรเอตนะนั่น

    “แต่มาเยี่ยมแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ฉันล่ะไม่อยากเรียนคณิตเลย”นีน่าบ่น อิงโกะโขกหัว “นี่คือเหตุผลของเธอหรอยะ”

    แล้วพลันห้องที่แสนเงียบเหงานั่นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อินาโฮะชอบที่เห็นเพื่อนๆของเขากำลังหัวเราะอย่างมีความสุข แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างและเซลัมซังก็คือคนให้คำตอบนั้น

    “สเลนคุงละคะ?” อัสเซลัมถาม “สเลนคุงก็มีบาดแผลที่หน้านี่คะ ฉันเห็นสารวัตรเคาน์ครูเทโอ้บอกมาน่ะคะ”

    “สเลนไปกินข้าวน่ะ”อินาโฮะตอบก่อนจะยิ้ม เพื่อนๆที่ยืนอยู่ในห้องนั้นยืนนิ่ง แต่คาล์มก็พูดขึ้น

    “เด็กใหม่ไปช่วยนายหรอเนี่ย เจ้านั้นก็เก่งไม่เบาเลย”คาล์มบอก “ตอนจับกุมตัวได้ ก็เจอยัยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมันบอกว่า ปลอมตัวเป็นเซลัมซัง...เออ..ขอโทษนะ” คาลืมบอกพร้อมกับคนที่ถูกเอ่ยชื่อถึง

    “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”เซลัมซังบอกก่อนจะยิ้ม อินาโฮะรู้ว่าเธอกำลังนึกโทษตัวเองอยู่ นึกโทษตัวเองที่ดันถูกสวมบทบาทและเกือบได้พาเพื่อนของตนเองร่วงลงไปสู่ความตาย

    “ไม่มีอะไรที่เซลัมซังต้องนึกขอโทษหรอก” อินาโฮะเอ่ยขึ้น “เซลัมซังสำคัญสำหรับพวกเรา แน่นอนว่าทุกคนสำคัญสำหรับผม ถ้าผมเป็นสเลนก็คงเชื่อเพื่อนที่เราเชื่อใจแน่นอนครับ เพียงแต่ว่าหมอนั่นมันวู่วามไปหน่อยเลยไม่ทันสังเกตว่าเป็นตัวปลอม” อินาโฮะอธิบาย

     เอเดลริชโซ่วางตะกร้าผลไม้และช่อดอกไม้ลงบนตัวอินาโฮะ

    “หายไวๆแล้วกัน” เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นๆต่อหน้าอินาโฮะ

    “ขอบใจยัยเตี้ย”พูดไม่พอ อินาโฮะดันหัวเอเดลริชโซ่เล่น เธอทำหน้างอนก่อนจะเดินไปหลบหลังเจ้าหญิง

    “ตายแล้ว”อิงโกะเหม่อมองนาฬิกาบนฝาผนังห้อง “ใกล้จะ 11 โมงแล้วคาบต่อไปเรียนประวัติศาสตร์นี่หว่า ถ้าไม่เข้ามีหวังโดนเทศก์ยาวจนหลับไปได้ 3 ชาติแน่ๆ” อินาโฮะพยักหน้า แม้ว่าอิงโกะจะเป้นรองประธานแต่ก็เรียนคนละห้องกับเขา อินาโฮะพยักหน้าก่อนที่อิงโกะและนีน่าจะรีบวิ่งออกจากห้องไป แต่ก็ยังทิ้งท้ายไว้อย่างรวดเร็ว “หายไวๆนะโฮะ”

    “ อินาโฮะรีบหายๆไวนะนาย” คาล์มบอกก่อนจะวิ่งตามอิงโกะออกไปอีกคน คาล์มอยู่ห้องเดียวกันกับเขานี่น่า ตอนนี้ในห้องก็เลยเหลือแค่ อัสเซลัมซัง เอเดลริชโซ่ และไรเอต

    “เซลัมซังไม่ไปเรียนหรอ?” อินาโฮะถามกลับ เซลัมซังส่ายหน้า “ฉันมีธุระต้องไปทำต่อที่นอกเมืองค่ะแล้วฉันก็ลาหยุดวันนี้ไปแล้วด้วย พอดีมีเวลาว่างนิดหน่อยเลยมาเยี่ยมอินาโฮะซังค่ะ”

    อินาโฮะพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันมามองไรเอต ส่วนเอเดลริชโซ่อินาโฮะไม่อยากเปลืองแรงถาม มีเซลัมซังที่ไหนก็มีเอเดลริชโซ่ที่นั้นแหละนะ

    “ขี้เกียจ”ไรเอตตอบอย่างอินดี้ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้ฉันว่าจะโดดอยู่แล้ว”

    “ระวังผลการเรียนแย่”อินาโฮะเตือน ก่อนจะมีเสียงโทรศัพท์ของไรเอตดังขึ้น

    “ขอตัว”เธอกล่าวสั้นๆแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป เอเดลริชโซ่ก็ขอตัวอัสเซลัมซังเพิ่อลงไปซื้ออะไรมาให้เธอกับเซลัมซังทาน เพราะดูเหมือนจะรีบมาจนไม่ได้ทานอะไรมาก่อน อินาโฮะยิ้มบางๆก่อนจะตำหนิเพื่อนตัวเองว่าทำไมไม่หัดกินข้าวเช้า

     

     

    สเลนกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวในโรงพยาบาลก็อร่อยไม่เบา ตอนนี้เขาแอบไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อขึ้นไปกินบนห้อง นึกสงสัยว่าทำไมถึงได้ซื้อเยอะขนาดนี้ นี่เขาเผลอคิดว่าเจ้าส้มมันจะกินกับเขาหรือไง

    กินไม่หมดกลับไปกินที่บ้านก็ได้วะ

    สเลนขึ้นลิฟต์อีกตัวที่ไม่ใช่ตัวหน้าเคาน์เตอร์ เสียงฝีเท้าเดินอย่างอารมณ์ดี ลืมเรื่องรถเข็นไปเสียสนิท จนคิดเพียงแค่ว่ามันก็เป็นเพียงความทรงจำอันเลือนรางที่แทบจำไม่ได้

    แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็มีเสียงหัวเราะใสของเด็กสาวออกมาจากห้องพักของอินาโฮะ

    เสียงของอัสเซลัมซังนี่!!

    สเลนลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือเปล่า? ถ้าเข้าไปอาจจะขัดการสนทนาของพวกเขาก็ได้

    บางทีตอนนี้อินาโฮะอาจจะมีความสุขอยู่ก็ได้

    เขาควรจะเปิดเข้าไปจริงๆอย่างงั้นหรือ?

    สเลนยืนคิดหนัก ทำตัวเป็นนางเอกละครน้ำเน่าที่ต้องมานั่งคิดนอนคิดอยู่ได้

    สเลนต่อยหน้าตัวเอง ก่อนจะทำใจผลักบานประตูเข้าไป

    เสียงประตูนั้นแผ่วบามากจนคนที่อยู่ภายในห้องไม่ได้ยินเสียง สเลนเห็นใบหน้าของอินาโฮะกำลังยิ้ม ส่วนเซลัมซังกำลังเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้ฟัง เนื้อหาของเรื่องนั้นไม่ได้อยู่ในสมองของสเลน เขาเห้นแค่หน้าของอินาโฮะก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เซลัมซังเล่าแล้ว

    มันสนุกมากใช่ไหมละนั่น ใบหน้าแบบนั้น มันคงจะมีความสุขมากๆใช่ไหม ใบหน้าแบบนั้น

    เขาทำแบบนั้นให้อินาโฮะไม่ได้ สเลนคิด สมองของเขาตีความคิดจะยุ่งไปหมด


    บางทีเขาอาจจะไม่สมควรที่จะมานอนเฝ้าอินาโฮะจริงๆ

    กับคนที่เขารู้จักกันมานานกว่าเขาหรือกับอีกคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน

    อินาโฮะจะต้องเลือกคนที่สนิทและคุ้นเคยกว่ามานอนเฝ้าตนเองอยู่แล้ว

    ก็เพราะว่าคนที่สนิทกว่าจะสามารถคุยเรื่องอะไรก็ได้ ได้อย่างเปิดเผยและสบายใจ

    อินาโฮะแทบจะไม่บอกอะไรเขาเลย ขณะตอนที่ออกไปช่วยเหลือเด็กนั่นก็เอาแต่สั่งให้เขาอยู่แต่ในที่ปลอดภัยแล้วตัวเองออกไปหาอันตราย

    ไม่เคยไว้ใจให้เขาทำอะไร ไม่เหมือนกับเซลัมซัง อินาโฮะดูเหมือนจะสบายใจเมื่ออยู่กับเซลัมซัง

    เซลัมซังเป็นคนดี สเลนการันตีข้อนี้ได้ ก่อนหน้านั้นตอนปฐมนิเทศ ก็มีเซลัมซังนี่แหละที่เข้ามาทักทายเขาเป็นคนแรก และเป็นคนเปิดโลกอันกว้างไกลให้กับเขา เซลัมซังเป็นคนที่บอกเกี่ยวกับกฎระเบียบของโรงเรียนนี้ บอกเขาว่าทุกอย่างสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ แม้ว่าเขาจะมาจากเมืองหลวง แต่เซลัมซังคิดว่ายังไงคนเราก็สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ แม้ว่าเราจะแตกต่างกันแต่เราก็ไม่อาจแตกแยกกันได้

    มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน  นี่คือสิ่งที่เซลัมซังสอนเขามาตลอดก่อนช่วงเปิดเทอม นั่นทำให้สเลนนึกขอบคุณเซลัมซังอย่างเต็มใจ

    สเลนจ้องมองภาพเบื้องหน้าอีกครั้ง ที่แท้เมื่อเช้าที่เจ้าส้มทำกับเขา มันก็คือการแกล้งเขาเฉยๆเท่านั้นแหละ!!

    สเลนปิดประตูลงเบาๆ นิ้วเรียวสวยแตะริมฝีปากเบาๆ เขาไม่ควรเข้าไปขัด 2 คนนี้เลยจริงๆ

    บางทีทั้งคู่อาจจะชอบกันมาก่อนแล้วก็ได้

    และเขาไม่สามารถจะชอบ คนๆเดียวกัน กับเพื่อนที่มีคุณค่ากับเขามากขนาดนี้อย่างเซลัมซังได้

    เขาไม่อยากทำให้เซลัมซังคิดมาก เพราะเธอเองก็ชอบเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองตลอด        
    พอมานึกๆดูแล้ว พวกเขาทั้ง 3 คนก็มีนิสัยเสียข้อนี้เหมือนๆกัน

    สเลนหันกลับมามองตัวเอง ก็นะ ใครมันจะไปชอบคนเพศเดียวกันได้ล่ะ สเลนนึกตลกก่อนจะเดินกลับทางเดิม คราวนี้เขาไม่กลัวอะไรอีกแล้วจะผีในลิฟต์หรือผีรถเข็น

    ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดได้เกาะกุมไปทั่วหัวใจของเขา มันบิดรัดจนเขารู้สึกเจ็บถึงขนาดที่หยาดน้ำตาไหลรินอกมาอย่างช้า ฝ่ามือข้างซ้ายกุมบริเวณหัวใจเอาไว้

    ภาพอินาโฮะที่ยิ้มแบบนั้น เขาทำให้เจ้าส้มยิ้มแบบนั้นไม่ได้เลย ยิ้มแบบสบายใจ ยิ้มแบบผ่อนคลาย ไม่ได้ยิ้มด้วยความชอบใจหรืออะไรก็ตาม

    สเลนกำลังกลัวความคิดของตัวเอง เขากลัว ว่าความคิดของเขาจะกลายเป็นจริงขึ้นมาสักวัน

    เขากลัวว่าอินาโฮะจะชอบเซลัมซังและเซลัมซังเองก็ชอบอินาโฮะ

    จนกว่าจะถึงตอนนั้น ณ เวลานี้เขาควรจะทำอย่างไรดีนะ

    กลับบ้าน ดูการ์ตูน อ่านหนังสือ ออกไปปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ

    ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ไม่สามารถดับความคิดที่รุ่มร้อนอยู่ในอกนี้ไปได้เลย สเลนตัดสินใจที่จะกลับบ้าน บางทีอาจจะต้องไปหาต้นไม้ต้นนั้น ต้นที่มีเทพสุนัขจิ้งจอกอยู่ 2 ตัว

    ถ้าสมมติว่าเขาขอให้ความคิดของตัวเองไม่กลายเป็นความจริง

    มันจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือเปล่านะ ท่านเทพจะฟังเขาหรือเปล่า?

     

     



    ====================================================

       สเลนคิดมากทำไม๊ลูกกก สมัยนี้ใครๆเขาก็ชอบเพศเดียวกันออกจะเยอะ

    (ตบหัวตัวเอง แล้วแกพิมพ์ออกไปแบบนั้นทำมะเขือเทศอะไร๊) 5555555+

    ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^ 

     

     

     

     

     

      SQWEEZ SQWEEZ THEME
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×