ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ..สงครามลิขิตชะตารัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ข้ามเวลากลับมาในอดีต

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 57





     

    โอคุมูระ โนโซมิกำลังรีบก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างเร่งรีบ ในมือถือชามมาม่ารสต้มยำทะเล อีกข้างถือตะเกียบ คีบเส้นเข้าปากไปวิ่งไปพลาง ความสามารถส่วนตัวนี้ไม่มีใครเลียนแบบได้...บนเป้มีเนื้อสเต็กที่ยังทานไม่หมด ของเหลือจากเมื่อวานติดมาด้วย

    สมัยนี้ถ้าใครมันยังคาบขนมปังไหม้เกรียมไว้ในปากขณะที่รีบไปโรงเรียนช่างเชยสะบัดเลย

    แต่ว่า.............

    ต้องรีบแล้ว  

    ขืนไปช้ากว่านี้มีหวังไม่ทันรถเมล์ที่จะไปโรงเรียนได้

     

    ใช่แล้วล่ะ โนโซมิที่กำลังกล่าวถึงผู้นี้ก็คือฉันเอง หลังจากวิ่งตามรถเมล์อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง พอขึ้นมานั่งก็ดันได้กลิ่นแปลกๆอีก

    นี่ใครไม่ได้อาบน้ำขึ้นมาบนรถเมล์เนี่ย หรือจะเป้นกลิ่นเนื้อสเต็กของฉัน ไม่น่าใช่หรอกน่า ของอร่อยๆแบบนั้นไม่น่ามีทางเหม็นบูดได้หรอก
     

    พอมาถึงโรงเรียนก็ใกล้จะเริ่มเรียนคาบแรกแล้ว นี่ฉันสายเกินไปหรือเปล่าเนี่ยเฮ้ย!

    แถมวันนี้ยังเป็นวันเปิดเทอมวันแรกอีก จะไปสายดูนิดสายหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

    ชีวิต ม.ปลาย ปี 2 นี่ช่างเป็นอะไรที่วุ่นวายจริงๆ = ="

    เอาเหอะ! มาช้าๆจวนใกล้เวลาเรียนน่ะ มันสนุกจะตาย

    ได้ลองทำอะไรเร่งรีบแถมยังมีเวลาเป็นตัวตัดสินว่าจะเข้าทันหรือไม่ทัน?

     ว่าแล้วก็กระโดดเข้าห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีแปรงลบกระดานพุ่งออกมาหมายจะกระแทกใบหน้าของฉัน

    เหอะ มุกเดิมๆน่า

    เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ แต่บิดตัวมากเกินไปหน่อย ท่าบิดมันก็เลยเสียสูญ ฉันมองดูก้นสวยๆของฉันกำลังจะกระแทกลงบนพื้นดัง

    ตึง!

     

    “โอ้ย”ฉันอุทานขึ้นมาก่อนจะจ้องมองใบหน้าของคนที่มันปาแปรงลบกระดานมาใส่

    “สมน้ำหน้า ยัยบ้า”เสียงของไอ้กวนประสาทดังขึ้นก่อนที่ฉันจะกัดฟันกรอด

    “ไอ้หน้าปลาจรวดชิมะเอ้ย” ด่าอีกฝ่ายเสร็จก็เป็นช่วงที่ออดดังพอดี ฉันรีบพยุงร่างที่ก้นระบมขึ้นมารวดเร็ว เดินท่าเป็ดเข้าไปยังที่นั่งของตัวเอง

    ทำฉันอับอายขายหน้าแต่เช้า อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ถึงกลางวันเลย ไอ้รากผักชี ชิมะ!

    "นี่ มีใครได้กลิ่นอะไรเหม็นเปรี้ยวไหม?" เสียงของเพื่อนคนหนึ่งในห้องดังขึ้น ก่อนที่สายตาทุกคู่จะจับจ้องมาที่ฉัน

    "อะไรจ้องฉันทำไม?"

    "เธอเอาเนื้อเน่าอะไรเข้ามาในห้อง"

    "พูดเรื่องอะไร ฉันถือถ้วยมาม่าอยู่ แหกตาดูซะมั้ง"

    "ก็ใช่นะ ว่าแต่กลิ่นนี้มันอะไรล่ะเนี้ย" พอเพื่อนหันไปสนใจกันเองในห้อง ฉันก็ใช่ช่วงเวลานั้นแอบเปิดเป้ออกก่อนจะพบว่า ฝากล่องของเนื้อสเต็กมันปิดไม่สนิท ตายแล้ว!!

    ว่าแล้วฉันก็รีบย่องไปเข้าห้องน้ำ จัดการปิดฝากล่องให้เรียบร้อย ใช้น้ำหอมพรมทั่วกระเป๋า
    "ยัยปากเสียพวกนั้นกล้าว่าเนื้อสเต็กของฉันเป็นเนื้อเน่าได้ไง  เนี้ยน้ำซอสหมักสูตรใหม่ อร่อยจะตาย" หลังจากที่ฉันคิดว่าตัวเองเหมือนคนบ้าที่พูดกับกระจกเสร็จแล้วก็รีบกินเนื้อเข้าไป (กลัวมีกลิ่น = =) พอทานกลับก็รีบเข้าห้องเรียนอย่างรวดเร็วไม่ให้มีพิรุธ

    ได้เวลาเริ่มเรียนคาบแรกเสียที

    ...............................................................................................................................

    “นี่ โนโซมิ โนโซมิ!!” เสียงรำคาญปนเบื่อหน่ายของอาจารย์สาวดังขึ้น เจ้าตัวที่ชื่อ โนโซมิ สะดุ้งออกจากห้วงความคิด ก่อนจะจ้องมองไปที่กระดานดำหน้าตน ใช้หัวสมองคิดอยู่ชั่วแวบหนึ่งก่อนจะตอบ

    “คำตอบเท่ากับ 15 ค่ะ” ฉันเอ่ยเสียงใสที่ทำเอาอาจารย์ถอนหายใจ

    “ครูแค่จะบอกให้เธอเปิดหน้าต่างให้หน่อยเท่านั้นเอง” ยิ้มแก้อายบางๆ ทำไมช่วงนี้ฉันมักจะเหม่อถึงอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักด้วยนะ พลันคิดไปได้ไม่นาน เสียงออดหมดเวลาก็ดังขึ้น

    ได้เวลาของอาหารกลางวันแล้วล่ะ

    ว่าแล้วก็หยิบข้าวกล่องที่คุณแม่ทำมาให้วางบนโต๊ะสี่เหลี่ยม ก่อนจะเรียกเพื่อนสาวที่สนิทของตนอีก 3 คนมานั่งล้อมรอบโต๊ะ

    “นี่โนโซมิ วันนี้เธอจะเหม่อมากไปหน่อยหรือเปล่า หรือก้นระบมจนสมองออกจะเพี้ยนๆไปแล้ว?” เสียงเข้มๆของมูรากามิ เรนะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง บุคลิกมาดผู้ใหญ่และสวมใส่แว่นตาทำให้เพื่อนๆในห้องต้องหยุดการกระทำทุกอย่างเวลาเธอจะพูดจะทำอะไร ทำให้ไม่ค่อยมีคนเข้าใกล้มากนักเพราะกลัวดวงตาอันคมกริบของเธอ แต่สำหรับโนโซมิแล้ว มันก็ไม่เห็นจะน่ากลัวเท่าไหร่เลย

    “ผีเข้าสิงหรือเปล่า? ถ้าเข้าสิงมาหาฉันได้นะ จะเอายันต์ไล่ผีแปะหน้าผากเธอให้ อ่อ!แล้วถ้าเจ็บตูดก็มียาทาให้นะเอาป่ะ?” ประโยคกวนๆ เสียงกวนๆ คงจะเป็นของใครไม่ได้นอกจาก ยัยนากามูระ ฮารุกะ ทรงผมทวิลเทลน่ารัก ดวงตาหวาน แต่นิสัยกลับตรงกันข้ามกับหน้าตา ชอบเลี้ยงสัตว์แปลกๆแถมยังชอบทำเครื่องรางสาปแช่งคนอื่นไปทั่ว

     “คนนะ ยัยเพี้ยนฮารุ ไม่ใช่ผีจีน จะได้เที่ยวเอายันต์ไปไล่แปะหน้าผากชาวบ้านเขาน่ะ” อีกคนที่ไว้ผมสั้นซอยระต้นคอเอ่ยเถียง ฮารุกะกลับ เธอคือ คิโยมิสึ ฮิคาริ เจ้าแม่ตัวอาร์ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ และถ้าวันไหนว่างเธอก็มาฝึกศิลปะการต่อสู้ให้โนโซมิเสมอ

    “ไม่ต้องมาเป็นห่วงก้นของฉันเลย” ฉันบอกเพื่อนเพื่อให้พวกเขาสบายใจ นั่งทานข้าวกล่องจนอิ่ม ก่อนจะเหม่อมองนอกหน้าต่างห้องเรียนที่คุณครูเพิ่งสั่งให้เธอเปิดออก

    สายตากลมโตมองเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ รูปร่างคล้ายกับสุนัขจิ้งจอกทีมีขนสีขาวต้องแข่งกับแสงอาทิตย์ ลายที่ใบหน้ามีรอยข้างแก้มสีแดงคล้ายคลึงกับหน้ากากของเทพสุนัขจิ้งจอก มันกำลังวิ่งตัดผ่านหน้าของฉันไป

    มีสุนัขจิ้งจอกหลุดเข้ามาได้ไงกันนะ? คิดอย่างสงสัยจะยันตัวลุกขึ้น พวงกุญแจรูปสุนัขจิ้งจอกที่ประดับลวดลายไว้อย่างประณีตหล่นลงพื้น ชิ้นส่วนของมันผสมด้วยทองปนเงิน ที่ฉันรู้ก็เพราะเคยเรียนมานิดหน่อย แม้จะดูเก่าๆโทรมๆแต่กลับทำให้มันยิ่งดูมีราคามากขึ้น ความเก่าและมันวาวของมันสะกดสายตาของคนทั้งห้องเอาไว้

    “ไปซื้อมาตอนไหนน่ะ?” ยัยฮารุกะที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเอ่ยถามทันทีหลังจากเห็นพวกกุญแจ

    “เก็บได้”

    “เก็บได้ ที่ไหน? แล้วของใคร?”เรนะถามต่อทันทีอย่างกับนักสอบสวน นี่ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครมานะเว้ย!

    “เก็บได้จากท่อน้ำเน่าๆแถวบ้านอ่ะแหละ”

    “โสโครกจริ๊ง”เสียงของพวกนินทาในห้องซุบซิบนินทา อะไรกัน? อิจฉาที่ฉันอุตส่าเก็บพวงกุญแจน่ารักได้จากท่อน้ำเน่าๆก็บอกมาเถอะ

    พลันชั่วครู่ก็มีลมพัดเข้ามาในห้องอย่างแรงเศษฝุ่นปลิวว่อนทำให้ต้องใช้แขนกำบังเอาไว้ จู่ๆสุนัขจิ้งจอกที่ฉันเห็นนอกหน้าต่าง ก็มาปรากฏตัวบนขอบหน้าต่าง

    “เฮ้ย หมาใครวะ?”

    “หมาที่ไหน แหกขี้ตาดูดิ มันเป็นสุนัขเทพชัดๆ”

    “ดูการ์ตูนมากไปหรือเปล่าเห้ย เนี้ย คือตุ๊กตารูปแบบใหม่ต่างหาก” เออ......ใครกันแน่ดูการ์ตูนมากไป?

    เจ้าสุนัขจิ้งจอกไม่สนใจอะไรแต่มันมองมาที่ฉัน อ้าว อยากหาเรื่องก็บอกมาเถอะคะ คุณจิ้งจอก

    มันเดินด้วยท่วงท่าสง่าก่อนจะคาบพวงกุญแจที่ฉัน อุต-ส่า เก็บได้จากท่อน้ำเน่าไปต่อหน้าต่อตา!!!!

    “เฮ้ย ขโมยนี่หว่าเอาคืนมานะเว้ย” แล้วมันก็กระโดดออกนอกหน้าต่างไป ฉันที่ไม่ทันได้คิดอะไรกำลังจะเหินออกนอกหน้าต่างตามมันไป

    “เดี๋ยวเด้ ยัยโน”

    “อะไรคนกำลังรีบ!!

    “แกจะโดดตึกตายก็ไม่มีใครเขาห้ามหรอกนะ แต่แกช่วยไปโดดตึกตายตอนพวกฉันกลับบ้านได้ป่ะ?” ฮิคาริแทรกขึ้นมา แล้วฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เราอยู่ชั้น 5 ขาข้างหนึ่งของฉันกำลังเหยียบขอบหน้าต่างอยู่ จ้องมองไปเบื้องล่าง

    สูงชิบหายยย

    “พอแกโดดตึกตายแล้วเราก็จะปิดโรงเรียนฉลองกันล่ะ”

    “แหม รักเพื่อนจริ๊งนะ ยัยฮิคาริ” ฮารุกะแซวก่อนจะร่วมขำ เฮ้ย!นี่พวกแกลืมไปหรือเปล่าว่าเจ้าหมาขนปุยนั้นมันขโมยพวงกุญแจเธอไปน่ะ

    ฉันไม่สนใจยัยเพื่อนบ้าๆของฉันก่อนจะวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

    “จะไปไหนอ่ะ โน” นามย่อๆของฉันมักจะถูกเรียกโดยฮารุกะ เธอจ้องมองฉันอย่างงุนงง

    “ไปห้องน้ำมั้ง แหมก็ต้องไปเอาพวงกุญแจคืนอ่ะดิ” พูดด้วยอารมณ์เสียนิดๆ ก่อนจะรีบดิ่งลงไปยังข้างล่างนั้น

    “อ้าว เหรอ โชคดี” มีโบกมือบ๊ายบายอีก

    ไอ้เพื่อนนิสัยไม่ดี จะมาช่วยกันหน่อยก็ไม่ได้ นั่นฉันอุตส่าเก็บมันมาได้เลยนะเฟ้ย พวงกุญแจแปลกๆสวยๆแบบนั้นหาที่ไหนได้อีกล่ะ

             เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น ทำไมมันถึงได้มาขโมยพวงกุญแจกันละเนี้ย หรือว่าจะเป็นของเจ้าของมัน  แววตาของมันเหมือนกับมีแรงดึงดูดให้ฉันต้องตามหามัน เมื่อฉันวิ่งลงมาที่ๆคาดว่าจะเจอมัน มันก็ไร้วี่แววราวกับไม่เคยมีตัวอะไรเดินผ่าน ลองจ้องมองพื้นเผื่อมันทิ้งร่องรอยเอาไว้ เห็นรอยเท้าเล็กๆ ฉันมั่นใจเลยว่าต้องเป็นของเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นแน่ๆ คิดเสร็จแล้วก็ตัดสินใจตามรอยเท้านั้นไป

    มันลึกเข้าไปเรื่อยๆ ในดงป่าไม้ต้องห้ามข้างโรงเรียน ถึงจะถูกกั้นบริเวณว่าห้ามเข้าแต่ฉันก็ไม่สนใจ ความงกของฉันเข้าครอบงำทุกเส้นประสาท

    เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับ โอคุมุระ โนโซมิ

    ถ้าจับได้นะ จะจับทำหมาเฝ้าบ้านเลยคอยดู..จะล่ามโซ่....แล้วก็ไหนๆ มันก็น่ารัก หน้าแปลกๆ ต้องมีคนมาสนใจมันแน่ๆ เก็บตังค์ค่าลูบหัวสัก 100 เยนเลย.....

    คงรวยน่าดู ฮ่าๆ

     ฉันตามหามันได้ไม่นาน ก็พบว่ามันกำลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง ฉันตัดสินใจปีนตาม

    แต่ยิ่งปีนตามขึ้นไปเรื่อยๆ กลับรู้สึกว่ามันช่างสูงเสียนี่กระไร ทำไมมีต้นไม้ที่สูงแข่งกับเปรตมาอยู่ในป่าต้องห้ามนี้ได้ด้วย ไม่เคยเห็นมาก่อน

    5 เมตร

    7 เมตร

    10 เมตร

    ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นกระโดดขึ้นบนกิ่งแต่ละกิ่งอย่างชำนาญ ฉันตัดสินใจตามมันต่อไป

    เพื่อพวงกุญแจพวงนั้น ฉันยอมพลีชีพได้

    ไกลขึ้นไปอีก ไกลขึ้น และไกลขึ้น

    จนมันมาอยู่อยู่บนกิ่งที่แข็งแรงมากๆกิ่งหนึ่ง ฉันจ้องมองลงไปข้างล่าง

    สูงเป็นบ้าเลยวุ้ย!

    มองหาเจ้าสุนัขจิ้งจอกก่อนจะพบว่ามันหายหัวไปเสียแล้ว

    อ้าวเฮ้ย! แล้วฉันจะลงยังไงล่ะเนี้ย

    แต่ที่น่าตกใจกว่าเดิมคือ เจ้าพวงกุญแจมันไปอยู่บนยอดต้นไม้ ไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหนฟระนั่น? แล้วจะเอายังไงล่ะเนี้ย ว่าแต่ฉันก็คอยๆเขย่งเท้าขึ้นไปเพื่อหยิบมัน

    “อ่ะ ได้แล้ว” ขณะที่กำลังดีใจนั่นเอง เสียงดัง

    ป๊อก

    ก็ดังขึ้น ฉันเพิ่งค้นพบว่ากิ่งไม้ที่ฉันยืนเกาะอยู่หักเสียแล้ว

    เฮ้ย น้ำหนักก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะเฟ้ย แล้วจะมาหักอะไรตอนนี้ ไว้หักตอนเย็นๆไม่ได้หือไง๊

    ร่างของฉันกำลังร่วงลงสู่ความสูงมากกว่า 10 เมตร!!!

    “ว้ายยยย!!!” ตะโกนลั่นแข่งกับสายลมที่ปะทะเข้ามาจากเบื้องล่าง พ่อเจ้าแม่เจ้า ช่วยลูกด้วย                            
    ฝ่าเท้าเตะกับอากาศอย่างบ้าคลั่ง ฉันมาตายเอาดื้อๆทั้งที่ยังเรียนไม่จบไม่ได้หรอกนะเว้ย

    แถมก้นยังระบบอยู่ด้วย จะมาระบบซ้ำสองจะซวยไปไหนกันห๊ะ ยัยโนโซมิ๊

    ฉันหลับตาแน่นจนรู้สึกเจ็บ พร้อมใจกับแรงกระแทกที่จะได้รับ

    แต่ทุกอย่างเหมือนถูกหยุดเอาไว้ ไม่สิ พื้นนุ่มๆที่ตัวฉันสัมผัสได้มากกว่า ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมาหวังว่าจะเห็นภาพโรงเรียนอยู่เบื้องหน้า แต่กลับไม่ใช่

    มันเป็นภาพของท้องฟ้าสีฟ้ากว้างไหลสุดลูกตา ตอนนี้ฉันนอนอยู่ในหลุมขนาดยักษ์ที่อ่อนนุ่มใช้นิ้วเกาะพยุงร่างเพื่อขึ้นไปด้านบน

    กลิ่นอ่อนจางของผืนดินแตะกระทบจมูก เมื่อดันตัวขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว ก็พบว่าเบื้องหน้าของฉันนั้นเป็นท้องทุ่งหญ้าที่โล่ง เมื่อกี้ฉันอยู่ในป่านะ

    ไหงพอตกต้นไม้แล้วมาอยู่กลางทุ่งหญ้าแทนล่ะ

    ฉันลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากระโปรงนักเรียน ล้วงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

    ไม่มีสัญญาณ ก็น่าจะไม่มีสัญญาณอยู่หรอก มาอยู่ซะบ้านนอกคอกนาเลยนี่หว่า

    มองซ้ายมองขวา ทำไงดีล่ะเนี้ย?แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แปลกๆแฮะ แล้วสายตาก็หันไปเห็นบ้านที่เป็นกระท่อมๆที่มีปล่องไฟปะทุออกมาจากหลังคาบ้าน

    บ้านสมัยเก่า ตั้งแต่พระเจ้าเหาเห็บเลยล่ะมั้งเนี่ย แต่เอาเถอะไปขอความช่วยเหลือดีกว่า
    ฉันกำพวงกุยแจเอาไว้ในมือแน่น...กลัวมันหายจริงๆนะ แล้วทำไมฉันถึงได้หวงวพวงกุญแจนี้มากนักล่ะเนี้ย?

    ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ปานนี้ฉันก็คงต้องไปนั่งสัปหงกเรียนคณิตศาสตร์อยู่แน่ๆตอนนี้

    ไม่รู้จะขอบคุณมันหรือด่ามันดี...แต่เอาเถอะ เดี๋ยวก็หาทางกลับบ้านได้เองแหละ


    ........................................................................................................................................................................


    ก๊อก ก๊อก

    “ขอโทษนะคะ” ตะโกนเสียงดังก่อนจะเอ่ยต่อ “คือฉันหลงทางน่ะคะ”

    เสียงบานประตูเลื่อนเปิดออกอย่างเชื่องช้า ปรากฏใบหน้าของคนหนุ่มอายุมากกว่าฉันสัก 8 ปีได้ล่ะมั้ง

    “ท่าน.......”

    หลังจากจ้องมองใบหน้าของฉันแล้วเขาก็หยุดชะงัก สีหน้าตื่นตระหนกก่อนจะกระชากฉันเข้าไปข้างในแล้วตระเตรียมของเหมือนจะออกเดินทางซะงั้น

    “เออ คือว่าฉัน...”

    “ท่านหญิงยังไม่ตายหรอกหรอหรือ?แล้วนั้นท่านเพิ่งขุดตัวเองขึ้นมาจากหลุมหรือ? แล้วท่านแต่งเครื่องแต่งกายอะไรของท่าน? ” ชายคนนั้นพอจ้องมองใบหน้าของฉันก็ถามรัวเป็นชุด แถมยังบอกมาว่า ฉันยังไม่ตาย เพิ่งขุดตัวเองขึ้นมาจากหลุม ไอ้บ้า! ยังไม่ตายเว้ย แกคิดว่ากำลังยืนคุยกับวิญญาณอยู่หรือไง

    “เออคือ”ตอนนี้ฉันกำลังงงเป็นไก่ตาแตกแล้วเนี่ย ท่านหญิงบ้าอะไร ว่าแต่แกชื่ออะไรฉันยังไม่รู้เลย

    “คือ นายชื่ออะไรนะ?”

    “ทำไมใช้สรรพนามแปลกจริง ท่านหญิง ข้าคือ มินาโมโตะ ทาเครุ ยังไงเล่า ท่านคือ โอคุมูระ โนโซมิ มิใช่หรือ? ”

    อ้าวดันรู้ชื่อของฉันเฉย

    “แล้วทำไมนายดันรู้จักชื่อของฉันได้ล่ะ ฉันไม่เห็นรู้จักคนชื่อ มินาโมโตะ ทาเครุเลยสักคน” เอ่ยบอกอีกฝ่าย เจ้าตัวที่มีผมสีเข้มเหมือนสีของเปลือกไม้ซอยสั้นๆกำลังกุมขมับก่อนจะขยี้หัวตัวเอง

    “ท่านต้องโดนจอบกระแทกศีรษะมาแน่ๆ ตอนโดนฝังลงหลุม ท่านจำข้าไม่ได้จริงหรือ? ข้าคือองครักษ์คนสนิทของท่านไง แล้วที่ข้ามาที่นี้ก็เพราะท่านสั่งให้ข้ามาดูแลสวนดอกไม้และสวนผักของท่านหลังจากท่าน...เออ....สิ้นชีพไง” ประโยคหลังๆนั้นรู้สึกว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบาลงนิดหน่อยนะ

    “ฉันเคยสั่งอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ? แล้วเออคือ ฉันเพิ่งเคยมาที่นี้ครั้งแรกนะ”

    “ท่านจะต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ท่านหญิง ก็ท่านมีที่ห้อยอันนั้น...” ทาเครุบอก ก่อนจะชี้มาที่มือข้างหนึ่งของฉันที่กำพวงกุญแจเอาไว้แน่น

    "เก็บได้จากท่อน้ำเน่า"ฉันตอบปัดๆ ก่อนจะพูดต่อ

    “ถึงฉันจะชื่อ โอคุมูระ โนโซมิ แต่ฉันไม่รู้จักนาย นายจำคนผิดหรือเปล่า? คนชื่อเหมือนฉันมีตั้งเยอะ”

    “ไม่มีทาง ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงท่านหญิงเท่านั้นที่เป็นทายาทของตระกูลโอคุมูระที่เป็นตระกูลนักรบที่ยิ่งใหญ่ แล้วคนที่ชื่อโนโซมิก็มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้น ท่านหญิง” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ พยายามยัดเยียดตำแหน่งบ้าอะไรไม่รู้ใส่ฉันอยู่ได้ ก็บอกว่าไม่รู้จักไง

    “นี่ นายน่าจะตะหงิดๆหน่อยนะว่า ฉันพูดแทนตัวเองว่า “ฉัน” ไม่ใช่ “ข้า” ฉันไม่ใช่คนที่นายรู้จักหรอก อันที่จริง ฉันไม่น่าจะใช้คนยุคนี้เสียด้วยซ้ำ”

    “งั้นก็เป็น ท่านหญิงผิดคนอย่างงั้นหรือ?”

    “เกร็งว่าจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ”ว่าแล้วฉันก็เพิ่งจะนึกอะไรออก

    “ขอถามนายหน่อย ตอนนี้ปีอะไรแล้ว?”

    “แล้วถ้าท่านบอกว่าไม่ใช่คนยุคนี้แล้วจะรู้จักการบอกปีของพวกข้าหรือไงเอาเถอะ ข้าก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมตะวันตกมาบ้าง เห็นบอกว่า การนับปีแบบ คริสต์ศักราช จะมีใช้ต่อไปอีกนานแสนนานในอนาคต ถ้าข้าเทียบปีที่นี้เป็นปีคริสต์ศักราชท่านคงเข้าใจ”

    ฉันพยักหน้า ก่อนจะจ้องมองดวงตาสีเข้มของทาเครุ เจ้าตัวหลับตานั่งคิดก่อนจะหันมาบอกฉัน

    “น่าจะเป็นปี คริสต์ศักราช 1480 น่ะขอรับ”

    “.......”

    “ทำไมท่านทำหน้าแบบนั้น น่ากลัวหยังกับผีกลับมาเกิด”

    “อยากตายมากขนาดนั้นก็บอก...ว่าแต่นายไม่ได้โกหกใช่ไหม??”

    “เหตุอันใด ข้าถึงต้องโกหกท่านเหนือหัวของตัวเองด้วยเล่า”

    “นี่มันย้อนมากี่ปีวะเนี่ย” ฉันกุมหัวของตัวเองก่อนขยี้ไปมา ยิ่งตกวิชาคณิตอยู่ด้วย ช่างหัวมันละกัน!

    “ข้าว่าช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ท่านหญิง ข้าต้องพาท่านไปพบท่านผู้นั้นก่อน การปรากฏตัวของท่านต้องไม่ให้คนภายนอกรู้”

    “ทำไมล่ะ?” ฉันถามกลับอย่างสงสัย  อะไรวะ? นอกจากจะก้นระบบ ยังต้องมาทำตัวลับๆซ่อนๆในที่ๆไม่รู้จักอีก แล้วหมอนี่จะไว้ใจได้งั้นเหรอ?

    ทาเครุหันมาจ้องมองใบหน้าของฉันก่อนจะกระซิบข้างใบหู

    “อภัยให้ข้าด้วยเถอะ แต่ข้าไม่ยอมยกท่านให้กับเจ้าปีศาจมังกรนั้นแน่นอน”

    อ้าวเฮ้ย แล้วไอ้เจ้าปีศาจมังกรนั้นมันใคร? อธิบายให้กระจ่างก่อนจะลากชาวบ้านไปไหนมาไหนตามใจชอบสิเฮ้ย
     
    .........................................................................................................................................................................

    ขอบคุณที่อ่านนะคะ ^^

    SQWEEZ SQWEEZ THEME
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×