ตอนที่ 8 : 1日たりともあなたを忘れたことはない。。。 (I've Never Forgotten About You Even For A Day...)
8
1日たりともあなたを忘れたことはない。。。
(I've Never Forgotten About You Even For A Day...)
โรงเรียนมัธยมปลายจินได
ปีสอง ห้อง A
“ก็ตามนี้แหละนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกคนช่วยกันดูแลคาเอเดะซังด้วยล่ะ”
“คร้าบบ~”
“ค่าาา~”
“จะตั้งใจดูแลอย่างดีเลยครับ!”
“ดูแต่ตาอย่างเดียวมืออย่าต้องนะอุจิดะ”
“อย่ารู้ทันสิครับเซ็นเซย์ >O<”
ฉันยิ้มและหัวเราะไปกับทุกคนก่อนจะเดินถือกระเป๋าเยื้องยุรยาตรไปยังโต๊ะที่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะกลายเป็นที่นั่งประจำของฉันในห้องนี้ รู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่มองมา แต่แน่ล่ะ...แค่นี้ไม่ทำให้ฉันเขินหรือตื่นเต้นอะไรได้หรอก
“คาเอเดะซังเพิ่งย้ายเข้ามากลางเทอม ถ้าเค้าสงสัยอะไรเพื่อนๆ ก็ช่วยเค้าด้วยนา”
“รับทราบครับ!”
“ส่วนคาเอเดะซังถ้ามีเรื่องอะไรก็ถามหัวหน้าห้องได้เลยนะ หัวหน้าห้องยกมือหน่อย”
“ค่า!”
ฉันยิ้มรับพร้อมกับหันไปโค้งให้คุณหัวหน้าห้อง พอดีกับที่เดินมาถึงโต๊ะของตัวเองซึ่งอยู่แถวที่สองจากหน้าต่างห้อง และคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันก็คือ...
“สวัสดีค่ะ ตั้งแต่วันนี้ไปฝากตัวด้วยนะ”
“...อืม”
คือผู้ชายที่หล่อแต่ไร้มนุษยสัมพันธ์ =_=
ฉันยักไหล่ให้กับตัวเองอยู่ในใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งด้วยรอยยิ้ม ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ก็ดี จะได้ไม่ต้องชวนคุยให้เหนื่อย
จากนั้นเมื่อถึงคาบพัก...แทบทุกคนในห้องก็พุ่งเข้ามารุมล้อมรอบโต๊ะฉันราวกับผึ้งตอมเกสรดอกไม้ เหมือนฉากในการ์ตูนที่เคยอ่านไม่มีผิด
“คาเอเดะซัง~ ทำไมพูดภาษาญี่ปุ่นเก่งจัง”
“ฉันเริ่มเรียนตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ”
“ย้ายเข้ามาเรียนกลางเทอมได้เนี่ยต้องหัวดีมากเลยใช่ม้า >_<”
“ไม่หรอกค่ะ ต้องอ่านหนังสือเยอะเลย ยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะ”
“นี่ๆๆ แล้วพักอยู่แถวไหนเหรอ มาอยู่คนเดียวหรืออยู่กับครอบครัว?”
“อยู่แมนชั่นที่เด็นเอ็นโจฟุ* คนเดียวค่ะ”
(NOTE* เด็นเอ็นโจฟุ (Den-en-chōfu :田園調布), เป็นชื่อเมืองที่อยู่ในเขตการปกครองพิเศษ 'โอตะ (ōta)' ในโตเกียวใต้ ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำทามะที่เป็นเส้นแบ่งธรรมชาติระหว่างโตเกียวและจังหวัดคานากาวะ เป็นที่รู้จักในฐานะแถบที่อยู่อาศัยที่หรูหราและมีราคาแพง ที่อยู่อาศัยในย่านนี้จะใหญ่และแพงกว่าย่านอื่นๆ ในโตเกียว จึงรู้กันว่าคนที่อาศัยอยู่ย่านนี้จะเป็นผู้มีฐานะ)
“すごいお嬢様!(โคตรคุณหนูเลย!)”
“แล้ว...”
และอื่นๆ อีกมากมาย...
ฉันไม่มีปัญหากับการถูกซักอยู่แล้วเพราะปกติเวลาไปออกงานพร้อมคุณพ่อคุณแม่ก็มักจะโดนกองทัพคำถามถล่มใส่ตลอด แถมยังเป็นคำถามเบสิกอีกด้วย
“ว่าแต่นี่มีแฟนหรือยังอะ >O<”
พรวด!
ฉันเกือบตกเก้าอี้เมื่อมีคนยิงคำถามนี้ใส่แบบไม่ทันตั้งตัว แฟน...แฟนงั้นเหรอ...
ใบหน้าผู้ชายผมทองแวบเข้ามาในหัวแบบไม่ได้ตั้งใจ... แล้วก็ถูกฉันลบทิ้งไปแทบจะในทันที จะไปนึกถึงหมอนั่นทำไมกัน!?
“มะ...ไม่มีหรอกค่ะ ^^;;;”
“แต่เมื่อกี้อึ้งไปแป๊บนึงนะ”
“จริงด้วยๆ มีแอบคิดด้วยอ่ะ ความลับเหรอ >_<”
“มะ...ไม่มีจริงๆ -O-;;”
“แต่ไม่มีก็ดีแล้วแหละ~ ก็ได้นั่งข้างหนุ่มหล่อที่สุดในโรงเรียนจินไดด้วยนี่นา >////<”
“เอ๊ะ...” หางตาฉันเหลือบมองที่นั่งที่ตอนนี้ว่างอยู่ (เขาคงจะรำคาญเสียงวี้ดว้ายของสาวๆ กับเสียงเอะอะของหนุ่มๆ ก็เลยลุกหนีไปตอนไหนสักตอนล่ะมั้ง) เขาก็หล่อดีอ่ะนะ...ก็ไม่แปลกหรอกที่จะป๊อบ
ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ ป่านนี้ยังไม่รู้เลย -O-;
“ได้คุยกันหรือยัง”
“ชื่อเขาฉันยังไม่รู้เลยค่ะ”
“โอตะ เอย์ซาคุคุงน่ะ >_<”
“เป็นเอสของชมรมยิงธนูด้วยนะ! แถมยังหัวดีระดับท็อปอีก เท่สุดๆ ไปเลยล่ะ >////< เหมาะกับคาเอเดะจังมากเลยนะ~”
ถ้าจะแบบนั้นฉันจีบพี่อากิเลยไม่ดีกว่าเหรอ มีทั้งหมดทุกคุณสมบัติที่ว่ามาแถมยังรวยอีกต่างหาก เป็นถึงว่าที่ประธานอิชิอิกรุ๊ปน่ะ -3-
แต่ฉันก็เป็นว่าที่ประธานบริษัทที่บ้านอีกเหมือนกัน เพราะงั้นเรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก...ปัจจัยอยู่ที่สามีในอนาคตของฉันจะต้องเป็นคนดี คนเก่ง แล้วก็ปกป้องฉันได้...
'俺がお前を守ってあげるから (เพราะฉันจะปกป้องเธอเอง)'
ไม่ใช่สิ... -_-^^^ นี่ฉันเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือไง!? เลิกคิดถึงหมอนั่นได้แล้ว!! เราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย จากนี้ไปก็ไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้วด้วย เพราะบัตรนักเรียนของเขาฉันก็เอาไปหย่อนไว้ในตู้จดหมายของเขาเรียบร้อยแล้ว และหลังจากนี้ก็ไม่คิดจะไปแถวสถานีนิชิคะไซอีก เท่านี้ก็หมดโอกาสจะได้เจอกันโดยสมบูรณ์...
ไม่ได้เสียดายอะไรเลยสักนิดหรอกนะ ก็บอกแล้วว่าฉันตัดใจจากเขาตั้งแต่วันสุดท้ายที่โอซาก้าแล้ว ที่ขอกอดก่อนลา...ก็เพราะสาเหตุนี้แหละ
ต่อให้ตอนนี้เขาเลิกกับซาโอริซังแล้ว...ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน
ไม่เกี่ยวจริงๆ นะ เลิกมองฉันด้วยสายตาเคลือบแคลงอย่างนั้นสักที! -3-;;;;
หลังเลิกเรียน
“じゃね〜 (แล้วเจอกันนะ)”
วันแรกจบลงไปด้วยดี ไม่มีปัญหาทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเพื่อน นี่ก็แลกไลน์กันไปบ้างแล้วด้วย >O<
บอกแล้วว่ายุคทองของคุณหนูเมเปิ้ลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว~ >///<
พอแยกกับเพื่อนที่สถานีชิบุยะเพื่อจะแยกมาขึ้นสายโทโยโกะกลับสถานีทามากาวะแล้ว...ฉันก็หยิบไอโฟนขึ้นมาคุยกับพี่อากิที่ขยันไลน์มาคุยกับฉันซะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นห่วงจริงๆ หรือแค่เบื่อคลาสที่มหาลัยเลยอยากหาเพื่อนคุยกันแน่
และจนป่านนี้ก็ยังบอกว่าอยากจะมารับมาส่งฉันเรียนหนังสืออยู่อีก ไม่มีทางหรอก ขืนทำแบบนั้นก็ไม่มีหนุ่มไหนกล้าจีบฉันพอดีน่ะสิ -3-
[สถานีทามากาวะ สถานีทามากาวะ...]
โอ๊ะโย๋ @_@ เกือบแล้วสิ เกือบแล้ว
ฉันโดดลงจากรถไฟที่สถานีทามากาวะก่อนจะรีบเดินไปแตะบัตรออกจากสถานีกลับบ้าน เพราะวันนี้มีนัดทำเล็บที่ชินจุกุก็เลยต้องรีบกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งหน้าทำผมใหม่ก่อน (ไปทำเล็บก็ต้องสวยค่ะ >O<)
จะว่าไปแถบนี้ก็เป็นแหล่งที่พักที่เงียบสงบดีนะ เหมือนแยกออกมาจากโตเกียวที่แสนวุ่นวายเป็นอีกเมืองนึงเลย แถมยังไม่ค่อยมีตึกสูงระฟ้ามาบดบังท้องฟ้าสีฟ้าใสนี่ด้วย พี่อากินี่เลือกที่ได้ถูกใจจริงๆ >_< เพราะฉันไม่ค่อยชอบความวุ่นวายเท่าไหร่ ชีวิตวุ่นวายมากพอแล้ว อย่างน้อยเวลากลับบ้านพักผ่อนก็อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวน่ะนะ
ก็ฉันอุตส่าห์มาถึงญี่ปุ่นเพราะอยากจะ 'พักผ่อน' นี่นา ถ้าไม่เลือกสถานที่เงียบๆ แบบนี้ก็ไม่มีความหมายน่ะสิจริงมั้ย
ว่าแต่ก่อนเข้าบ้านแวะซื้อทาร์ตไข่กลับไปกินสักชิ้นดีมั้ยนะ แล้วค่อยลดข้าวเย็นเอา...
“เฮ้ ร้านนี้น่าอร่อยว่ะ แวะกินก่อนได้ปะโคเฮ >O<”
“ไอ้บ้านากามุระ เมื่อกี้ก็เพิ่งซื้อไทยากิกินไปไม่ใช่เหรอ =_= ใจคอจะกินขนมอีกเรอะ”
“ก็แถวนี้ร้านขนมน่ากินเยอะนี่หว่า ไหนๆ มาถึงนี่แล้วก็ขอกินหน่อยน่า ซื้อกลับไปกินบ้านก็ด้ะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเอง”
“ไม่เอาเฟ้ย อยากกินก็กินเองคนเดียวไป -_-^”
เสียงเด็กหนุ่มสองคนเถียงกันจากด้านหลังทำให้ฉันเหลือบไปมองโดยอัตโนมัติเพราะเสียงพวกเขาฟังดูหล่อมาก ดังนั้นหน้าตาก็น่าจะหล่อด้วย...
“ว่าแต่ใครบอกว่าให้แกไปนั่งเล่นที่บ้านฉันได้วะ...”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา หรือว่าแกซุกกิ๊กไว้ -_-+”
“มีที่ไหนกันเล่า”
“ถ้ามีฉันจะฟ้องยูเมะจัง...”
และผลคือพวกเขาหล่อจริงอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้...ถึงขั้นที่ว่าหนึ่งในนั้นทำให้หัวใจฉันแทบหยุดเต้นไปเลยทีเดียว
ทะ...ทำไม...ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ!?!
“งั้นเอาทาร์ตสี่ชิ้น”
“นี่แกจะกินคนเดียวสี่ชิ้นเลยเรอะ...”
“ก็เผื่อโนโซมิจังแวะมา”
“ถึงมาฉันก็ไม่ให้ยัยนั่นเข้าห้องแน่...”
ฉันรีบดึงผมมาปิดหน้าทั้งที่ฮายาโตะและหนุ่มหล่อผมดำร่างสูงจากโรงเรียนไคเซย์ที่เดินมากับเขาก็ไม่ได้สนใจไยดีอะไรฉัน จากนั้นจึงแอบหลบเข้าไปในลอว์สันที่บังเอิญอยู่ตรงหน้าพอดี ก่อนจะแอบสังเกตการณ์จากในนั้น...
นั่นมันนากามุระ ฮายาโตะไม่ผิดแน่...ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบเหมือนอย่างวันนั้นที่คาบุกิโจ แต่เป็นชุดนักเรียนกักคุรันสีดำแบบไม่ติดกระดุมทับเสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมแค่สามเม็ดราวกับพวกหัวโจกในการ์ตูนญี่ปุ่นก็ตาม...
พออยู่ในชุดนักเรียนมันทำให้เขาดูเด็กลงกว่าตอนใส่สูทนิดหน่อย แต่ออร่าความเจิดจ้าไม่ได้น้อยลงสักนิด...
เจิดจ้าซะจนหัวใจคนมองสั่นไหว...สั่นไหวทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะรู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว
ฉันรอจนกระทั่งพวกเขาเดินออกไปจากร้านขนมสักพักแล้วค่อยออกมาจากลอว์สัน รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับผู้ร้ายกำลังหลบหนีที่ถูกตำรวจไล่ตามมาติดๆ งั้นแหละ T^T
แต่ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่บังเอิญนั่นแหละ...บ้านนายหน้าหล่อเพื่อนฮายาโตะนั่นอาจจะอยู่แถวนี้ก็เป็นได้ ฉันก็แค่เดินกลับบ้านตัวเองแบบสวยๆ ก็พอ...เพราะว่ามันเป็นแค่เหตุ 'บังเอิญ'
หลังจากเดินกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่สักพักหัวใจที่เต้นแรงก็กลับสู่สภาวะปกติจนได้ ฉันหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋า ติ๊ดผ่านประตูล็อบบี้เข้าไปที่ลิฟต์ เพราะที่นี่มีระบบซีเคียวริตี้ที่ดีมากจึงน่าวางใจในระดับนึงเลยทีเดียว สมกับเป็นพี่อากิจริงๆ >O<
เอาล่ะ...ถึงจะอดกินทาร์ตก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าได้ไดเอ็ตไปในตัวด้วยเลย~
ระหว่างกำลังคิดเพลินๆ ว่ามื้อเย็นจะกินอะไรดี...คนที่เพิ่งจะติ๊ดบัตรผ่านล็อบบี้เข้ามาก็ทำให้หัวใจฉันแทบหยุดเต้น...
ไม่จริงน่า...
ไม่จริงใช่มั้ย...
“ฮ้าาาา แมนชั่นหรูๆ นี่มันดีจริงๆ น้าาาา~”
“อย่าทำเสียงดังหนวกหูได้มั้ย รบกวนชาวบ้านเขา =_=”
นี่มันวันอะไรของฉันกัน TOT ทำไมฮายาโตะและเพื่อนของเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า!?!
ฉันรีบผลุบเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับอธิษฐานอย่างสุดใจให้พวกเขาเดินมาไม่ทันประตูลิฟต์ปิด แต่ยืนทำเนียนได้ไม่เท่าไหร่ สองคนนั่นก้าวแค่สองก้าวก็มาถึงลิฟต์แล้ว TOT เกลียดชะมัดพวกขายาวๆ เนี่ย TTOTT
ฉันก้มหน้าลงปลอมตัวเป็นซาดาโกะทันทีที่รู้ตัวว่าหนีไม่รอดแล้ว ภายในลิฟต์สุดหรูของแมนชั่นนี้...มีเรายืนอยู่ด้วยกันสามคนสุดจะอบอุ่น TTOTT
“ชั้นไหนวะไอ้โคเฮ”
“ชั้นสี่”
อะไรนะ!?! =[]=^^^
“อ้าว มีคนกดแล้วนี่”
TTOTT ไม่จริง...
“ถึงแล้ว ลงไปได้แล้ว”
นายหน้าหวานผมดำผลักหลังฮายาโตะให้เดินออกไปจากลิฟต์ และฉันก็จำต้องลงมาด้วยอย่างเสียมิได้ พร้อมกับพยายามก้มหน้าอย่างสุดชีวิต เขาจำฉันไม่ได้หรอกเพราะฉันเปลี่ยนไปมาก...แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอยู่ดี...
“お邪魔しまーす!(ขอรบกวนหน่อยนะคร้าบบบ~)”
“เออ รบกวนมากเลยล่ะ =_=”
“เอ๊ะ!?”
“...หืม?”
ฉันยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน เพราะดันเผลอส่งเสียงด้วยความตกใจออกไปซะแล้ว -O-;;;
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงไรป่ะ -O-”
“ไม่่อะ”
“งั้นช่างมันเถอะ”
ปึ้ง!
หัวใจฉันที่เต้นรัวเป็นกลองแขกยังไม่เต้นช้าลงเลยแม้แต่น้อย TOT รู้สึกราวกับจะระเบิดออกมา นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย นาย 'คิมุระ' ที่อยู่ห้องข้างๆ น่ะ เป็นเพื่อนของฮายาโตะอย่างนั้นเหรอ!?!
ไม่ตลกเลยนะ นี่ใครกำลังล้อฉันเล่นอยู่รึเปล่าเนี่ย!?
7.11PM
[สรุปไม่ให้ไปรับจริงๆ เหรอ ดึกๆ แถวนั้นมันอันตรายนา]
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับนะ”
ฉันยืนยันกับพี่อากิเป็นรอบที่ล้านขณะกำลังสวมรองเท้าส้นสูงคู่ใจ จากนั้นจึงคว้าแจ็กเก็ตผ้าทวีดมาสวมแล้วเปิดประตูออกไปนอกห้อง “แค่นี้นะคะ เดี๋ยวไปขึ้นรถไฟละ”
[ครับคุณหนู :)]
พอร่ำลากันเรียบร้อยฉันก็หย่อนไอโฟนกลับลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กน่ารักสมกับเป็นคุณหนู ก่อนจะเดินย่องไปที่ลิฟต์ กลัวเหลือเกินว่าจะบังเอิญเปิดประตูห้องมาจ๊ะเอ๋กันอีก แต่คงไม่แจ็คพ็อตขนาดนั้นหรอกมั้ง
ฉันก็พอจะรู้ว่าโลกมันกลม แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลมขนาดนี้ จะให้ย้ายห้องหนีก็ใช่ที่ คิดว่าคงไม่บังเอิญเจอกันบ่อยขนาดนั้นเพราะนี่มันห้องเพื่อนเขา ไม่ใช่ห้องของเขา ดังนั้นฉันก็แค่ใช้ชีวิตไปอย่างปกติก็พอ...
แต่ทั้งที่พร่ำบอกตัวเองไม่รู้กี่ล้านรอบ ในหัวก็ยังคิดวนเวียนไปถึงนายหัวทองนั่นอยู่เรื่อย เวลาอยู่กับเพื่อนก็ดูเฮฮาปาจิงโกะเหมือนฮายาโตะที่ฉันรู้จักเมื่อสองปีก่อนไม่มีผิด แล้วฮายาโตะในชุดสูทมาดขรึมนั่นเป็นใครกันล่ะ...?
ฮายาโตะที่บอกเลิกซาโอริซังอย่างเฉยชาคนนั้นเป็นใครกัน?
ฉันอยากรู้...ทั้งที่รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์...
ทำอะไรไม่คุ้มค่ากับเวลาและความคิดที่เสียไปเลยสักนิด ไม่สมกับเป็นคุณหนูเมเปิ้ลเลยจริงๆ
[สถานีทามากาวะ สถานีทามากาวะ...]
เมื่อได้ยินเสียงประกาศพร้อมกับเสียงประตูเปิด ฉันก็รีบก้าวเข้าไปในรถไฟหลังจากที่คนหลั่งไหลออกมาจากขบวนรถจำนวนหนึ่ง...
ที่จริงชีวิตฉันปกติไม่ค่อยมีโอกาสได้ขึ้นรถไฟสักเท่าไหร่ อย่างที่บอกไปว่ามีคนขับรถ เนื่องจากคุณพ่อกับคุณแม่ไม่มีทางมาลำบากขึ้นรถไฟเบียดกับคนแน่นๆ แน่ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะด้วยหน้าที่การงานของพวกท่าน ดังนั้นฉันที่เป็นลูกสาวก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
แต่ที่จริงฉันชอบนะ ฉันชอบการได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องมีใครจับตามองดูว่าจะทำพลาดหรือเปล่าอยู่ตลอดเวลา ต่อให้ต้องลำบากหน่อยแต่ก็ยังมีอิสระ
[สถานีชิบุยะ สถานีชิบุยะ... ท่านสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการรถไฟสาย JR...]
ฉันก้าวลงที่สถานีนี้พร้อมกับทุกคน เนื่องจากนี้เป็นสถานีปลายทางแล้ว จากนั้นก็ไปเปลี่ยนสาย...แล้วเพียงไม่นานก็เข้าใกล้สถานีชินจุกุเข้าไปทุกที
ฉันมีเวลาอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปี จนจบม.ห้า (หรือม.ปลายปีสอง) จากนั้นก็ต้องกลับ แต่ฉันกะจะเนียนขออยู่ต่อให้จบม.ปลายไปเลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่รอด และหลังจากนั้นก็ยังไม่รู้ว่าคุณพ่อจะให้ไปเรียนต่อที่ประเทศไหนอีก แต่แน่นอนว่าการตัดสินใจในส่วนนั้นไม่ใช่หน้าที่ของฉันแน่นอน
ดังนั้นระหว่างที่ได้ 'พักผ่อน' ฉันก็จะลั้ลลาให้เต็มที่เลยล่ะคอยดู~ เริ่มจากการทำเล็บวันน้ี แล้วเดี๋ยวก็จะไปทำทรีตเมนท์บำรุงผมพรุ่งนี้...
ฉันคิดอย่างเพลิดเพลิน...จนเกือบลืมฟังเสียงประกาศบนรถไฟแล้วนั่งรถเลยสถานีชินจุกุไป -O-;;; ซวยแล้วไง ถ้าต้องนั่งย้อนมาอีกนี่ไม่ทันนัดทำเล็บแน่ๆ เพราะฉันกะเวลามาแบบเป๊ะๆ ไม่ได้เผื่อฉุกเฉินเลย (นิสัยเสียของคนเลือดกรุ๊ปบี)
[สถานีชินจุกุ สถานีชินจุกุ...]
“ขอทางหน่อยค่า ขอโทษด้วยนะคะ!”
คนแน่นมากจนเหลือเชื่อ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะนี่เป็นเวลา rush hour แต่ก็นะ T_T ใส่ส้นสูงแล้วชีวิตแอบลำบากจริงๆ รู้งี้ใส่แฟลตมาดีกว่า...
[ประตูกำลังจะปิด...]
“ขอผ่านหน่อยนะคะ ขอโทษ...”
“โอ๊ย!”
ฉันที่รีบร้อนจะเดินไปให้ถึงทางออกบังเอิญเหยียบรองเท้าใครเข้า TOT ฉันรีบก้มหัวขอโทษเขาก่อนจะผลุบออกจากประตูรถไฟไปทันเวลาก่อนที่ประตูจะปิดพอดิบพอดี...
แต่...ดันลืมสิ่งหนึ่งเอาไว้ในรถไฟซะได้...
“...”
“...ว้าย เธอดูคนนั้นสิ เขาใส่รองเท้ามาข้างเดียวอะ”
“คิก~ ออกจากบ้านมาได้ยังไงล่ะนั่น”
และสิ่งที่ลืมก็คือรองเท้า TTOTT
ไม่นะ ตอนออกจากบ้านฉันใส่มาสองข้างนะ TTOTT แต่เม่ือกี้ตอนเหยียบรองเท้าใครสักคน มันต้องติดแล้วหลุดมาแต่เท้าแน่ๆ TTOTT
แล้วตอนนี้รถไฟก็จากไปแล้ว...ฉันควรจะทำยังไงกับชีวิตดีล่ะเนี่ย ถ้าโทรเรียกพี่อากิให้มารับเขาจะต้องขำฉันแน่ๆ TT^TT แต่สภาพนี้จะกลับบ้านก็ไม่ได้ ให้ไปต่อก็ไปไม่ถึงแน่ๆ ไม่ต้องพูดถึงนัดไปทำเล็บเลย TTOTT โอ๊ย!! ยุคทองของเมเปิ้ลนี่มันโกหกทั้งเพ!
ฉันเดินลากขาไปนั่งทึ้งหัวตัวเองอยู่ตรงที่นั่งพักพลางเค้นสมองตัวเองอย่างสุดความสามารถว่าจะทำยังไงดี ระหว่างแบกหน้าออกไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ข้างนอก หรือโทรขอร้องให้พี่อากิมารับดีกว่ากัน ระหว่างนั้นคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็มองมาที่ฉัน บางคนก็มองแล้วขำ บางคนก็มองแล้วสงสาร ส่วนฉันก็ได้แต่สงสารตัวเอง T_T
“...เอ่อ...คุณครับ?”
แกล้งเป็นลมแก้เก้อซะเลยดีมั้ยนะ U_U ฉันจ้องเบอร์พี่อากิบนหน้าจอไอโฟนอย่างชั่งใจว่าจะโทรดีหรือไม่โทร... และตอนนั้นเองที่เสียงของใครสักคนที่ดังขึ้นเหนือศีรษะทำให้ความคิดของฉันสะดุดลง
“...ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ารองเท้าข้างนี้ของคุณรึเปล่า?”
...รองเท้า?
“มันติดอยู่กับรองเท้าผมเมื่อกี้ตอนคุณลงจากรถไฟ...แต่ผมเรียกไว้ไม่ทันประตูปิดไปซะก่อน ก็เลยนั่งย้อนเอากลับมาให้ คิดว่าถ้าไม่มีมันคุณต้องลำบากแน่ๆ”
รองเท้า...ของฉัน...?
ที่อยู่ในมือของเขานั่นคือรองเท้าของฉันแน่ๆ ฉันกะพริบตามองสิ่งเหลือเชื่อตรงหน้าอยู่หลายวินาที...ก่อนจะค่อยๆ ลากสายตาขึ้นไปเพื่อพบกับสิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่า...
“เมื่อกี้บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ?”
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะไม่รู้ไปลืมเอาเสียงไว้ที่ไหนเลยหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงย่อตัวลงตรงหน้าก่อนจะวางรองเท้าข้างนั้นลงตรงหน้าฉัน... ราวกับเจ้าชายที่เพิ่งตามหาซินเดอเรลล่าของเขาเจอ มือเรียวยาวของเขาที่เลื่อนมาแตะที่ข้อเท้าของฉันทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูง
“ขอโทษนะครับ ผมแค่จะดูว่าข้อเท้าแพลงรึเปล่า...”
“...ฉันไม่...ไม่เป็นไรค่ะ”
“งั้นเหรอ งั้นก็ค่อยยังชั่ว”
น้ำเสียงโล่งอกอย่างจริงใจ...ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความใจดีของเขา ความใจดีที่เหมือนกับเมื่อสองปีก่อนไม่มีผิด...
เหมือนตอนที่จักรยานล้ม เขาก็รีบตรงเข้ามาดูแลฉันอย่างอ่อนโยนอย่างนี้...
“...ว่าแต่ว่าเรา...เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าครับ?”
“...!?!”
“ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าคุณที่ไหน...”
หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับรถไฟเหาะที่เร่งความเร็วจากศูนย์ไปถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที...ราวกับโลกรอบข้างเงียบลงไปทันตา ฉันกะพริบตาแผ่วเบาพลางมองใบหน้าของนากามุระ ฮายาโตะที่ยืนยิ้มอย่างไม่แน่ใจอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
'แหงสิ! ฉันคือคุณหนูคาเอเดะไง! นายลืมฉันได้ไงกัน เพิ่งผ่านไปแค่สองปีเองนะตาบ๊อง!!'
ได้ยินเสียงตัวเองในอดีตเมื่อสองปีก่อนแว้ดขึ้นมาในหัว แต่ริมฝีปากของฉันกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
เพราะตอนนี้ฉันไม่ใช่คุณหนูคาเอเดะเมื่อสองปีก่อนอีกแล้ว และเขาเองก็คงไม่ใช่ฮายาโตะเมื่อสองปีก่อนอีกเหมือนกัน
“...ไม่นี่คะ...ไม่น่าจะเคยเจอกันนะคะ”
“งั้นเหรอครับ...งั้นก็ขอโทษด้วยครับ”
วินาทีที่เขาตอบกลับมาอย่างนั้นก็เหมือนปิดโอกาสสุดท้ายที่จะได้บอกกับเขาไปว่าฉันเป็นใคร แต่แบบน้ีก็ดีแล้วแหละ มันจบไปแล้วนี่...ตั้งแต่วันนั้นที่สถานีนัมบะน่ะ
“ขอบคุณที่อุตส่าห์เอารองเท้ากลับมาให้นะคะ แล้วก็...ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เสียเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ขอโทษที่ยืนขวางทางคุณนะครับ”
เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร เป็นรอยยิ้มสดใสเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รอยยิ้มที่ชวนให้นึกสงสัยว่าที่จริงแล้วเขาเปลี่ยนไปจริงๆ หรือเปล่า...แต่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะฉันเลือกช้อยส์ 'คนแปลกหน้า' ไปแล้ว...
“ถ้าอย่างนั้นก็...ขอตัวนะคะ”
“เชิญครับ”
เขาโค้งให้เล็กน้อยเช่นเดียวกับฉัน จากนั้นเมื่อใส่รองเท้าเสร็จเรียบร้อยแล้วฉันก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินไปที่ทางออกสถานี...
รู้สึกใจหายวาบราวกับทำอะไรหายไป... ที่รู้สึกอย่างนี้ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนตัดสินใจเองนี่มันบ้าชัดๆ เสียดายอะไรกัน ก็แค่ 'พี่ชาย' ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่นิด... ไม่มี...
“...เดี๋ยวก่อนครับ”
บ้าจัง ทำไมถึงรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมานะ
“อย่าเพิ่งไป...”
นี่ตอนนั้น...ฉันชอบเขามากขนาดนี้เลยเหรอ?
“คาเอเดะ!!”
“...!?!”
แค่คำเพียงคำเดียวจากปากเขา...ก็ทำให้ทั้งร่างของฉันหยุดชะงักไปเหมือนตุ๊กตาถ่านหมดได้
คำที่ทำให้อึ้งจนคิดอะไรไม่ออก รู้สึกราวกับหูฝาดหรือไม่ก็ประสาทหลอนไปเอง ไม่จริงน่า...เมื่อกี้นี้เขาเพิ่งจะเรียกฉันว่า...
“...คาเอเดะ”
'คาเอเดะ...'
“ใช่เธอจริงๆ ด้วยสินะ”
ทำไม...
คำถามนี้แวบเข้ามาในหัวฉัน...ก่อนจะได้รู้คำตอบตั้งแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เมื่อเขาชูไอโฟนที่ฉันทำตกไว้ขึ้นมา ตรงกลางพอดีกับสายตาของฉันและเขาที่มองตากันอยู่...
“พอเห็นเครื่องรางจิ้งจอกนี่ก็เลยแน่ใจ...ว่ายังไงก็ต้องเป็นเธอแน่นอน”
เพราะจนถึงวันนี้ฉันก็ยังพกเครื่องรางจิ้งจอกจากศาลเจ้าฟูชิมิอินาริที่เขาให้ติดตัว...
“ยัยบ๊องเอ๊ย ทำไมถึงไม่พูดมาตั้งแต่แรกนะ มาหลอกให้ฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดซะได้...”
ราวกับคำอธิษฐานที่ฉันเขียนไว้บนแผ่นไม้ในวันนั้นจะยังคงมีผลมาจนถึงวันนี้ ดังนั้นทั้งๆ ที่มันไม่น่าเป็นไปได้...เรากลับได้มาเจอกันอีกราวกับถูกใครบางคนลิขิตเอาไว้ว่ายังไงก็จะต้องได้เจอกันยังไงยังงั้น
หัวใจฉันสั่นไหวอย่างไร้ทิศทาง...กระจัดกระจายไปทั่วเหมือนลูกแก้วนับร้อยที่ถูกปล่อยลงพื้น ขณะที่รอยยิ้มของฮายาโตะยังบุกตะลุยเข้ามาทลายหัวใจฉันอย่างไม่หยุดยั้ง...
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะยัยเด็กบ๊อง...ไม่สิ ตอนน้ีโตเป็นสาวแล้วนี่นา จำเกือบไม่ได้แน่ะตอนแรก...” ฮายาโตะว่าก่อนจะหยักยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่สองข้างแก้มของเขา “แต่ยังไงก็ตาม...”
ดูท่าฉันจะหนีเขาไม่พ้นซะแล้วล่ะ
“ฉันคิดถึงเธอนะ...ยัยคุณหนูตัวแสบ”
[[ To Be Continued ]]
เจ้าหญิงผู้เลอโฉม
HAPPY VALENTINE'S DAY!!!!
อัพฉลองวันแห่งความรักเลยค่ะ อิอิ >/////<
รักทุกคนมากๆ ขอบคุณที่รักฮายาโตะนะคะ!
ถ้ารักฮายาโตะ เม้นให้หน่อยยย นางจะได้ดีใจจจจ
ยิ่งตอนนี้มีโคเฮมาแย่งซีน ไม่เม้นเดี๋ยวนางน้อยใจนะ 55555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#เขินหนักมากกกกก
เข้ามาก็ฟินเลยค่ะ >///< ใจละลายแทนคาเอเดะแล้ว จะลืมลงได้ยังไงเนี่ย ถ้าจะมาป่วนหัวใจซะขนาดนี้นะ คาเอเดะคงจะลืมไม่ลงแล้วล่ะค่ะ โคเฮที่รักเค้าก้มา อ๊ายยยเขิน ยังไงก้ตาม...จะรอพี่อายอัพเสมอนะคะ 55555+ จุ๊บๆ
คิดถึงโคเฮมากๆๆๆๆ 555
# รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ
ป.ล. #โคเฮ เอ๊ะ ผิดเรื่องมั้ย555
ปล.โคเฮกลับมาเเล้ววว คิดถึงมากกก
ปล.โคเฮมาเเล้ววว คิดถึงมากค่าา????????
>//////< ฟินดาวล้านดวงงงงงง กรี๊ดๆๆๆๆๆ
น่ารักอ่ะแกรรรรรรรรรรรรร น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อยากอ่านตอนต่อไปมากเลยยยย
ไม่สิอยากอ่านแบบเป็นเล่มแล้วววว 55
ถ้าเล่มนี้วางขายจะรีบไปชื้อมาอ่านให้ไว
วันนี้ควงไปเดตทั้งวันเลยยยยย >////<
#มโนขั้นเทพ
กรี๊ดตรงที่ฮายาโตะเรียกชื่อคาเอเดะอ่ะ ฟินตัวแตกก ยิ้มหน้าบานจะเป็นจานดาวเทียมแล้วว
ตามอ่านเซ็ตนี้จนครบทุกเล่ม แน่นอน เล่มนี้ไม่พลาดค่า รออุดหนุนอยู่นะคะ #อัพพพๆๆๆเร้วว