ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Shark Prince of Demon World(ทดลอง)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สาม

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.พ. 57


     บทที่ 3

     

     

     

    “นี่มันทรงทวินเทลนะซาลี มันใช่เรื่องไหม”ชาร์คบ่นเมื่อผมของตัวเองถูกคนตัวเล็กเล่นซะสนุกมือ

    “งั้นทรงนี้”

    “มัดสูงข้างก็ไม่ต่างกันหรอกนะ”

    “งั้นนี่ล่ะ”

    “ประทานโทษฉันเป็นผู้ชายนะ ถักเปียเป็นพจมานไปได้”

    “งั้นทรงนี้”

    “ฉันไม่ใช่คนเกาหลี ไม่ต้องทำทรงเดจังกึมโว้ย”

    “คิกๆ ล้อเล่นหรอกน่า เอาจริงล่ะ”ซาลีว่าอย่างสนุกสนานก่อนจะเริ่มทำผมจริงๆ

    เส้นผมสีนิลถูกหวีอย่างบรรจงแล้วเริ่มถักเปียเส้นๆเล็กๆจากบริเวณใบหูทั้งสองข้างแล้วลากมาบรรจบกันที่หลังศีรษะ มัดด้วยหนังยางแล้วปิดด้วยริบบิ้นสีแดงเส้นเล็กๆ

    “นี่ล่ะ”

    “มันก็ผู้หญิงไม่ใช่รึไงเล่า”ชาร์คบ่น

    “ดีกว่าน่า ใครๆก็ทำได้”ซาลียิ้ม ชาร์คถอนหายใจก่อนจะคว้ากระเป๋าออกนอกบ้านพัก เพื่อจะเดินทางไปโรงเรียน..แต่ก็ยังไม่ใส่เนกไท

    “เดี๋ยวช่วงเช้าเขาจะเปิดให้เด็กผู้หญิงเข้ามาในโรงเรียนเพื่อมอบช๊อกโกแลตน่ะ..แต่ส่วนใหญ่ก็เลยไปทั้งวันพอดี”ซาไมร์บอก ขณะที่ทุกคนกำลังเดินตามออกมา ดวงตาห้าคู่มองไปที่ประตูน่าโรงเรียน ชาร์คมีชะงักเล็กร้อยอย่างคาดไม่ถึง เด็กผู้หญิงร่วมร้อยคนกำลังอออยู่ที่น่าประตู...และเขาก็เห็นมีคนหนึ่งล้มไปแล้วด้วย

    “อะไรกันผู้หญิงพวกนี้”ชาร์คเดินไปที่ปรตะตูหน้าโรงเรียน คนอื่นๆจึงเดินตาม

    “นี่ เป็นอะไรรึเปล่า ลุกขึ้นดีๆ”ด้วยได้รับการสอนมารยาทกรอกหูจากเอวาลอนตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อวานทำให้เขาพอจะรู้แล้วว่าทำยังไง

    “”มะ..ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”เด็กสาวพูดแล้วพยุงตัวขึ้น ชาร์คมองนาฬิกา..ตอนนี้ยังแค่หกโมงกว่าๆยังไม่ครึ่ง

    “รีบไปเถอะชาร์ค เดี๋ยวประตูเปิดแล้วหายนะจะมาเยือน เหนื่อยไม่น้อยนะขอบอก”ไซรัสว่าแล้วดึงชาร์คออกจากผู้หญิงคนนั้น

    “เออ”ชาร์คว่าแล้วเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนกับคนอื่น

    เวลาเดินไปเรื่อยๆจนอีกไม่นานจะได้เวาลาของสาวๆทั้งหลายแล้ว อาจารย์วิชาพละลอยมาพร้อมร่มในมือ หมุนกลางอากาศแล้วป่าวประกาศ

    “ไงจ๊ะสาวๆ หนุ่มๆเขาไปรอเธออยู่ตามที่ต่างๆแล้ว ก็สามารถเอาช๊อกโกแลตไปให้ได้ตามสบาย...แต่อย่าลืมกฎ ห้ามใช้ความรุนแรง ห้ามใช้คำขู่ ห้ามใช้กลลวง....ห้ามครอบครองผู้เดียวถ้าไม่ใช่แฟน เอาล่ะ ประตูจะเปิดใน..ห้า..สี่...สาม...สอง....หนะ”

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

    “......”

     

     

    “ช่วยรับช๊อกโกแลตด้วยค่ะ”เสียงเด็กสาวบอกพร้อมยื่นช๊อกโกแลตให้เอวาลอน เจ้าหนุ่มรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ กลุ่มพวกเขาท่าทางจะได้เยอะสุดในสปิริตส

    “ถะ ถะ ถ้า ถ้าไม่รังเกียจ ชะ ชะ ชะ ช่วยกินด้วยค่ะ”เด็กสาวคนหนึ่งพูดอย่างกล้าๆกลัวแล้วยื่นช๊อกโกแลตให้ชาร์คที่กำลังจะหลับแหล่มีหลับแหล่ ชาร์คมองช๊อกโกแลตในมือเด็กสาวแล้วรับมาแกะกินทันที

    “อร่อยดี แต่ฉันชอบของหวาน...น่าจะหวานกว่านี้หน่อย”มือแกร่งลูบหัวเด็กสาวตัวเล็กเบาๆ จนใบหน้าเด็กสาวแดงระเรื่อ

    “คะ..ค่ะ ปะ...ปีหน้า...ชะ...ช่วยรับด้วยนะค่ะ”เด็กสาวบอกเขินๆ

    “วันไวท์เดย์มาเอาด้วย”พูดจบดวงหน้าเข้มก็กลับไปกัดช๊อดโกแลตต่อ

    “คะ ค่ะ ว๊าย เขินมากอ่ะ”เด็กสาวหันไปกรี๊ดกับเพื่อนสาวในกลุ่ม

    “เกินคาดแหะ ขอบคุณครับ ที่นายรับช๊อกโกแลตสาวแบบนี้ ขอบคุณครับ”เอวาลอนพูดแล้วรับช๊อกโกแลตมาด้วย

    “ก็เสนอมา ฉันก็สนองให้”ปากพูดงั้น แต่ดูท่าจะมีความสุขทุกครั้งที่กินช๊อกโกแลตนะ....

    “พี่ค่ะ คือ เมื่อเช้า ขอบคุณนะค่ะ”เด็กสาวคนหนึ่งพูดอายๆแล้วยื่นกล่องช๊อกโกแลตสีชมพูให้

    “ไม่เป็นไร มันเป็นนิสัยของผู้ชาย”ปากว่าตาจ้องช๊อกโกแลตเขม็ง

    เด็กสาวคนนั้นยื่นให้แล้วหันเดินไป ก่อนจะมีอีกคนเข้ามา

    “เรื่องเมื่อคราวนั้น ขอบคุณนะค่ะ”เด็กสาวคนนั้นพูด ชาร์คจ้องมองใบหน้านั้นอย่างงงๆเขาขอยืนยันนั่งยันนอนยันตีลังกายัน ว่าเขาจำเด็กคนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    “ขอโทษนะ เธอรู้จักกับเขาหรอ”ซาไมร์ถาม

    “ไม่ได้ถาม อย่าสะเออะพูด ฉันคุยกับเขาอยู่ไม่ใช่นาย”สิ้นคำนั้นซาไมร์ถึงกับเงิบ

    “เมื่อวันจันทร์...ที่คุณช่วยฉันไว้ขอบคุณจริงๆค่ะ”เด็กสาวบอก

    “เออ....”ดวงตาสีแดงมองกวาดทั่วตัว...ไม่ใช่อะไร....ช๊อกโกแลตอยู่ไหน

    “...คุณอาจจะจำไม่ได้ งั้นคำพูดนี้ล่ะ ยัยเบื้อกนี่จะนั่งอ่อยอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมห๊ะ รีบๆไสหัวไปได้แล้ว เดี๋ยวพ่อปั๊ดจับทุ่ม น่ะ”เด็กสาวยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนพึ่งถึงบางอ้อของชาร์ค

    “อ๋อ....”ดวงตาสีแดงยังคงควานหาช๊อกโกแลตอยู่ แต่ก็ไม่มีเลยเลิกสน

    “ช๊อกโกแลตของฉัน ส่งไปให้แล้วค่ะที่บ้านของคุณเพราะยกมาไม่ไหว”เด็กสาวยิ้มแล้วเดินไป ชาร์คทำท่าจะกลับบ้านทันที

    “ใจร่มๆไว้สหายเอ๋ย”ไซรัสว่าแล้วดึง ชาร์คให้กลับมานั่งต่อ เพราะเริ่มมีสาวๆเข้ามาเยอะขึ้น เดี๋ยวไม่มีคนมาเฉลี่ยยกของ

    “ผะ.ผะ..ผมให้พี่ครับ”ชาร์คเบิกตากว้างมองข้างหน้าอย่างอึ้งๆ มีเด็กหนุ่มหน้าหวานกำลังยื่นช๊อกโกแลตให้เขา...ย้ำ เด็กหนุ่ม..

    “อะ..เออ”ชาร์ครับมางงแล้วแกะกิน ก่อนจะเบิกตาอีกครั้ง

    “อร่อย”เขาบอก เด็กหนุ่มคนนั้นปิดหน้าวิ่งหนีออกไป

    “...ฉันนึกออกแล้วรายงานของเรา”เอวาลอนพูดขึ้นทันทีที่ชาร์คนั่งลง

    “ห๊ะ มาคิดออกอะไรตอนนี้”ซาไมร์ถามงงๆ

    “แปลก แหวกแนว ไม่เหมือนใคร ล้ำหน้า ชื่อโครงการก็คือ....”เอวาลอนเว้นช่วงไว้ให้ตื่นเต้น ก่อนจะตะโกนดังก้องโรงอาหาร “รักร่วมเพศ”

    “แค่กๆๆๆๆ”

     

     

     

     

    ชาร์คเห็นรองเท้าสองคู่ที่วางอยู่หน้าประตูก็รู้สึกเหมือนใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม หัวใจเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาอย่างรุนแรง....ต้องใช่แน่....รองเท้าแบบนี้ของสองคนนั้น....คนที่ทิ้งเขาไว้กับความเดียวดายตั้งหลายปี คนที่ไม่สนใจไยดีลูกตัวเองแล้วหนีไปเที่ยวกันสองคนนั้น....สองคนนั้น...ที่ทรมานเขาเกือบตายเมื่อวัยเด็กเพราะความเงียบเหงามันเกาะจิตเกาะใจ....คนที่ให้กำเนิดเข้ามา

    ชาร์คเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน ดวงตามองไปยังสองร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เกิดสั่นขึ้นมา ก่อนจะปรับอารมณ์ อีกสี่คนที่เดินตามเห็นแล้วก็เงียบลง ขายาวๆก้าวเดินเพื่อยืนยันในสิ่งที่เห็น ว่าใช่จริงๆ

    “กลับไปซะ”ชาร์คว่าเมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ ความทรงจำรวดร้าวที่ต้องทนกับการเดียวดายตลอดหลายปีประดังเข้ามาในจิตใจ จนสั่นไหวเหมือนถูกยมบาลเอากระดิ่งมาสั่นไว้ด้านใน มือเรียวกำสายกระเป๋าแน่น แววตาดูหมองลงอย่างผิดปกติ

    “อย่าใจร้ายน่า แค่มาเยี่ยม”หนุ่มผมสีดำตาสีแดงคล้ายๆชาร์คบอก ดวงตาคมตวัดมองด้วยความไม่พอใจ...มาเยี่ยม...แล้วเวลาที่เขาต้องการหายไปไหน ทำไมพึ่งกลลับมาเอาป่านนี้ ในตอนที่เขาตัดใจได้แล้ว

    “กลับ-ไป-ซะ”ชาร์คเน้นคำแล้วโยนกระเป๋าขึ้นชั้นตัวเองอย่างแรง ด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด โทสะที่มากมายสุมในอกจนอยากจะระเบิดมันออกมา จนต้องหาทางเดินหนีจากสถานการณ์นี้ไป หันหลังให้ทั้งสอง

    “นี่ ฉันอุตส่าห์คลอดแกออกมาทั้งที มาเยี่ยมแค่นี้ไม่ได้รึยังไง”เสียงหญิงสาวคล้ายน้องสาวในภาพของชาร์คบอกแล้วไขว่ห้าง เหมือนถูกคมมีดเชือดเฉือนภายในอกให้ระทมทุกข์หนักทั้งๆที่เป็นเพียงคำพูด แต่กลับเจ็บปวดราวถูกทำร้ายด้วยร่างกาย

    “ถ้าจะทวงบุญคุณที่เกิด”ดวงตาคมกริบเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ น้ำตาปริ่มๆจะไหล ขอบตาแดงและเริ่มบวมเล็กน้อยบ่งบอกถึงอารมณ์ที่อ่อนแอของตัวเขาในตอนนี้ แม้แต่ใครก็ไม่อยากพบ ทั้งพ่อและแม่ที่เอาแต่ทิ้งเขาเอาไว้ด้านหลังอย่างไม่เหลียวแล เลี้ยงอย่างแมวตัวหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ....แม้แต่งานศพน้องๆของเขา....ยังไม่ยอมโผล่หน้ามาเลย

    “ถ้าจะมาทวงบุญคุณที่ให้เกิด”เสียงเข้มแอบสั่นเล็กน้อยก่อนจะพูดคำต่อไปด้วยหัวใจที่เกือบร้าว “อย่างน้อยก็น่าจะจำว่าเกิดวันไหน”ไหล่บางๆนั้นดูสั่นพร่าไปหมด ความเจ็บปวดระทมจนต้องร่ำให้อยู่คนเดียวในที่ไม่มีใคร ทำอะไรสิ้นคิดจนเกือบจะตายไปตั้งกี่หนใครจะรู้บ้างไหม...ไม่มี...ไม่มีใครเลย...เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

    “....วันนี้....หรอ”สิ้นเสียงหวานใสของผู้เป็นมารดามือแกร่งก็ซัดใส่ตู้หนังสืออย่างแรงแล้วเดินหนีออกนอกบ้านไป ไซรัสมองอย่างตกใจก่อนจะวิ่งออกไปตาม

    “......”หลังจากชาร์คออกไป ทุกอย่างรอบข้างก็เงียบลงหมด อีกสี่หน่อที่ยืนอยู่ก็กำลังอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก อีกสองชีวิตก็กำลังนิ่งเงียบไม่รู้คิดอะไร สักพัก ดวงตาสีแดงที่เอ่อ...คลับคลาว่าจะเห็นอยู่ทุกวันก็ตวัดมองอีกสี่คนที่ยืนอยู่

    “....เพื่อนเขาหรอ”เสียงเข้มถามอย่างกระชับความ

    “คระ..ครับ”ซาไมร์ตอบสั่นๆแทนคนอื่นๆที่ไม่มีใครพูด

    “ไม่ต้องเกร็งหรอกจ๊ะ มานั่งนี่สิ”ผู้หญิงผมสีทองพูด พวกเขาก็เดินไปนั่งอย่างเรียบร้อย

    “...”

    “...”

    “...”

    “...เอ่อ..”

    “เขา....เป็นยังไงบ้างหรอ”เสียงเข้มถามอย่างไม่แน่ใจ

    “ครับ?”ซาไมร์กับซาลีถาม

    “ก็...ชาร์โดวน่ะ”

    “ชาร์โดว....คุณหมายถึงชาร์ครึเปล่าครับ”ซาลีถาม

    “..ชาร์ค...ใช่ชื่อนี้หรอ...อืม หมายถึงเขานั่นแหล่ะ”เสียงเข้มพึมพำก่อนจะหันมาบอกยืนยัน

    “เราขอรู้ชื่อคูณได้ไหม..จู่ๆคุณก็มา แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นใครด้วย”เอวาลอนถาม

    “....ฉัน...ไมดัส.....นี่ภรรยาฉัน เอลิส เราเป็นพ่อแม่ของ ชา...ชาร์ค”ชายหนุ่มพูด

    “พ่อแม่หรอ...ทำไมพ่อแม่ถึงจำชื่อลูกตัวเองไม่ได้ จำวันเกิดลูกตัวเองไม่ได้ ล่ะครับ”ซาลีถามอย่างข้องใจ

    “.....”

    “เท่าที่ผมเห็น...ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับอะไรมาจากคุณเลย งานบ้านเขาก็ทำเก่งบ่งบอกได้ว่าอยู่ตัวคนเดียว อาจจะเก่งกว่าพวกคุณก็ได้ และดูเขานิสัยไม่มีมนุษย์สัมพันธ์อีก..แสดงว่าพวกคุณไม่เคยคิดจะพาเขาไปไหนหรือเผลอๆ....ปล่อยให้เขาเติบโตมาคนเดียวด้วย”เอวาลอนพูดแล้วมองหน้าทั้งสอง ก่อนจะฉุกใจคิดว่าหน้ามันคุ้นๆ

    “....พวกฉันก็ไม่อยากทำแบบนั้นหรอก”ไมดัสพูดก่อนจะเงียบๆไปแล้วหันหน้าหนี

    “สำหรับเผ่าพันธุ์ของฉันและไมดัส...ถ้าเกิดรู้ว่ามีลูกขึ้นมา...คนที่อันตรายคือลูก...หรือก็คือพวกเขาสามพี่น้อง....พวกเราเลยไม่เข้าใกล้เข้าบ่อยมากนักตลอดสิบกว่าปี”เอลิสเป็นคนพูด

    “....แล้วคุณก็ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวแบบนั้น ไม่สนใจใยดี ซ้ำยังพูดโหดร้ายใส่เขาด้วยเนี่ยนะ”ซาลีเริ่มจะโมโห

    “....”

    “....พวกคุณนี่มัน....มีความเป็นพ่อแม่คนอยู่ไหม”ซาไมร์โมโหแต่เอวาลอนห้ามไว้ก่อน

    “...เราได้ข่าวแต่เรื่องของ ชาร์ค...แล้วอีกสองคนล่ะ”ไมดัสถาม

    “.....ชาร์คบอกว่า....ตายไปแล้ว”สิ้นคำเอวาลอนดวงตาสองสีเบิกกว้างทันทีก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อยบ่งบอกความเจ็บปวด

    “.....ทำไมถึงตาย”ดวงตาสีแดงมีแววเจ็บปวดสับสนงุนงงและแค้นเคืองปนเปกันไป

    “...ชาร์คบอกว่า...เป็นคนฆ่าทั้งคู่เอง”ซาไมร์บอก ดวงตาสองสีเบิกกว้าง

    “เป็นไปไม่ได้ สามพี่น้องนี่รักกันจะตาย”ไมดัสตวาดขึ้น

    “ผมว่าคุณควรมองลูกของคุณในหลายๆแง่มุม...ด้วยนิสัยของเขาบ้าง”ซาลีว่า

    “....”

    “คำว่า ฆ่า ของชาร์ดี้....เป็นความหมายว่าฆ่าโดยการทำร้ายร่างกายอย่างจงใจด้วยความต้องการรึเปล่า....คุณยังไม่รู้เลย”ซาลีว่าอีก..ใจเจ็บแทนชาร์คอยู่เนืองๆ

    “....”

    “....ชาร์ดี้เล่าให้ผมฟังเรื่องการตายของน้องๆของเขา และผมกล้าสาบานต่อหน้าพระนางมารีอาว่าใบหน้าที่ผมเห็นในตอนนั้นเป็นใบหน้าที่เจ็บปวดที่สุดของเขาแล้ว”ซาลีพูดด้วยสีหน้าคล้ายจะเจ็บปวดแทน

    “....”ทั้งสองนิ่งเงียบ

    “.....ผมไม่คิดว่าพวกคุณไม่ได้รักเค้า...แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกเหตุผลเขาไปล่ะครับ”เอวาลอนถาม

    “....เด็กน้อย เรื่องบางเรื่อง....ถ้าพูดไปแล้วมันเจ็บ สู้ไม่พูดจะดีกว่าไหม”เอริสพูดด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก

    “ถ้าคุณพูดแล้วเขาจะเจ็บหรอ หึ และผลที่กำลังปรากฏตอนนี้ล่ะ....ไม่ใช่ว่า....เขาเจ็บยิ่งกว่าเดิมหรอ”ซาไมร์ว่าแล้วทำสีหน้าติเตียน

    “....ถ้าพวกเธอเป็นเพื่อนของเขาฉันก็พอจะบอกได้....ถึงเหตุผลทั้งหมด....และตัวตนของครอบครัวของเรา...”ไมดัสเงยหน้าขึ้นมองทั้งสามคนโดยไม่สั่นไหว....ก่อนจะเริ่มอธิบาย....ทุกๆอย่างให้ทั้งสามเข้าใจ

     

     

     

    ทางด้านชาร์คที่วิ่งออกมา

    ร่างของเขาไม่ได้พาตัวเองออกมาไหนไกล เพราะเขาเองอยู่แค่สวนหย่อมหน้าบ้านพัก มองไปบนท้องฟ้าสีดำสนิทที่กลืนกินทุกๆอย่างให้มืดมิดยกเว้นแต่ดวงจันทร์ที่ส่งสกาวระบับกับหมู่ดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้า...นั่นทำให้ความรู้สึกนี้เข้าเกาะกุมจิตใจ...จนรู้สึกระบม ขอบตาร้อนผะผ่าวคล้ายบางอย่างมันเรียกร้องที่จะออกมาให้ได้ มือทั้งสองข้างสั่นเทา ขาทั้งสองของเขาพลันสั่นสะท้ายอ่อนแรงทรุดลงไปกับพื้น ใบหน้านั้น ใบหน้าที่เขาถวิลหามาตลอดหลายปี ทำไม พอเห็นเข้าจริงๆมันถึงได้....เจ็บขนาดนี้ ดวงตาสีโลหิตผินมองบนท้องฟ้า ความรู้สึกหนึ่งเกาะกุมจิตใจอีกครั้ง

    อิจฉา...

    มือทั้งสองข้างกำแน่นไว้ข้างลำตัว...ริมฝีปากสั่นพร่าด้วยความเจ็บปวดที่ประดังเข้ามาในอกราวกับถูกมัจจุราชสั่นกระดิ่งให้หัวใจสั่นไหว ทัศนียภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัวกับม่านน้ำบางๆที่เอมาครอบคลุมดวงตาทั้งสองข้าง

    เขาอิจฉา...

    ท้องนภาผืนนี้....

    ที่ไม่เคย....เดียวดายเลย

    “กรอด”สันกรามของเขาปูดนูนจากแรงกระทบที่บดเบียดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่หัวใจที่กำลังผลาญทำลายสติของเขา

    “...ชู่ว ใจเย็นๆ”เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นด้านหลังพร้อมแรงดึงเบาๆให้รู้ว่าคนที่เดินตามมากอดเขาอย่างปลอบโยน มือแกร่งขาวๆนั้นลูบหัวไหล่เขาเบาๆด้วยความอบอุ่น ความอบอุ่นที่ถูกส่งมานั้นทำให้ความเจ็บปวดนั้นจางลงไปเล็กน้อย

    “...ไซรัส”เสียงพร่าพูดเรียกชื่อที่คาดว่าจะใช่

    “อืมฉันเอง”มือแกร่งเคลื่อนมาโอบกอดเด็กหนุ่มไว้แล้วโยกตัวเบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยนเสียงทุ้มนั้นกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเบาๆซ้ำๆด้วยถ้อยคำเดิมๆ....ที่ทำให้ชาร์คไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อยู่

    “ฉันจะอยู่ข้างนายเอง พวกเรา...ทุกคนจะอยู่กับนาย”เสียงเข้มกระซิบบอกอย่างอ่อนโยนแล้วลูบหัวชาร์คเบาๆ

    ฟึบ

    หนุ่มผมดำพลิกตัวซบกับหัวไหล่แข็งแกร่งนั้นทันที ไซรัสลูบหลังชาร์คเบาๆเอลับรู้ถึงความชื้อที่หัวไหล่ตนเองและอาการสั่นเทาของคนตรงหน้า

    “ขอล่ะ ตอนนี้..อย่ามองนะ”เสียงเข้มของชาร์คกระชากสั่ง...แม้มันจะสั่นเครือ ไซรัสยิ้มบางๆแล้วกอดชาร์คเอาไว้

    “ระบายจนกว่านาย...จะกลับมาเป็นคนเดิมเถอะ”ไซรัสบอก

    มือแกร่งค่อยๆลูบปลอบชาร์คอยู่เป็นระยะๆ แต่ร่างกายแกร่งนั้นก็ยังนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ อาจจะไม่กี่นาที หรืออาจจะหลายชั่วโมงก็ไม่อาจทราบ แต่พวกเขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ดวงจันทร์ค่อยเคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ ดวงดาวแข่งขันกันจรัสแสงคล้ายจะส่องประกายให้คนในอ้อมกอดของไซรัสได้หายไปจากความเศร้า ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้รึเปล่า .......แต่ทุกๆอย่างในโลกนี้...กำลังหมุนรอบตัวชาร์คอยู่

     

     

    ในอีกมุมหนึ่ง

    มีร่างเรือนรางของคนในชุดคลุมสีดำสนิทจนมองไม่เห็นและไม่แน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิงยืนอยู่ไม่ไกลข้างๆต้นไม้ต้นหนึ่ง จ้องมองไปยังร่างสองร่างที่กลางสวนหย่อมด้วยอารมณ์ใดไม่ทราบ แต่มือที่สวมถุงมือนั้นกำกิ่งไม้แน่นจนมันคล้ายจะแหลกเป็นผุยผง กำอย่างแรงจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ก่อนจะถูกสายลมพัดเป่าให้ปลิวหายไปโดยไร้ร่องรอย

     

     

    กริ๊ก

    เสียงประตูเปิดเรียกความสนใจจากเรื่องที่จบไปได้มากพอควร ทั้งห้าหันไปมองประตู เห็นร่างของคนสองคนเดินเข้ามา ชาร์คคลุมผ้าเปียกๆสีขาวควบทั้งหัวมองแทบไม่ให้ใบหน้า

    “ชาร์ค...”เสียงเอริสขาดหายไปเมื่อลูกชายของเธอคุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคนก่อนจะก้มลงแล้วพูด

    “ได้โปรด...กลับไปเถอะครับ...ผมขอร้อง”เสียงนั้นเด็ดเดี่ยวจนทั้งสองตรงหน้าเงียบไปก่อนจะยิ้ม

    “....ได้ ฉันจะไป”ไมดัสพูดแล้วลุกขึ้นกับภรรยา

    “....”ทั้งสองเดินออกไปจากประตูเพราะรู้ถึงความดื้อรั้นของลูกชายตัวดีที่มาก้มหัวขอร้องขนาดนี้คงเหลืออดจริงๆ ชาร์คนั่งอยู่ที่เดิม ทั้งสองเดินออกไปเสียงฝีเท้าไกลไปเรื่อยๆจนเริ่มเงียบหายไป ในห้องทรงวงกลมไม่สมส่วนทั้งห้าชีวิตนิ่งเงียบ ชาร์คลุกขึ้นเดินจะเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่เอวาลอนคว้าตัวเอาไว้

    “เรามีเรื่องคุยกันนะ...ชาร์ค”เอวาลอนพูดเสียงกดต่ำ

    “....ขอเถอะ....ยังไม่ใช่ตอนนี้”เสียงเข้มว่าแล้วสะบัดมือตัวเองออกทั้งๆที่ยังไม่ยอมมองหน้าใครทั้งนั้นแล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไป

     

     

    ในห้องน้ำ

    เสียงวักน้ำเบาๆดังขึ้นอย่างชัดเจนในห้องน้ำเล็กๆนี้ ดวงตาสีแดงเหม่ออย่าใจลอย ขอบตาแดงและบวมช้ำจากการร้องไห้เงียบที่ผ่านมาเมื่อซักครู่ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ...เขาพยายามทำแบบนั้น เขาไม่ต้องการที่จะอ่อนแอให้ใครเห็นอีก....แต่มันไม่ใช่กับเหตุการณ์แบบนี้...มันเหนือความคาดหมายเกินไป...และสิ่งที่เขาเกลียดก็คือเรื่องเหนือความคาดหมาย

    ฉันจะอยู่ข้างนาย...พวกเราทุกคน....จะอยู่ข้างนาย

    ชาร์คกอดเข่าเอาหัวซุกอยู่ระหว่างเข่าทั้งสองข้าง เขาควรจะทำยังไงดีกับเหตุการณ์แบบนี้ ที่ว่าจะอยู่เคียงข้างกัน...แล้วถ้าเกิด....รู้ตัวจริงของเขาขึ้นมา.....จะอยู่ข้างกันอีกไหม เขาควรจะตอบรับยังไงมือเรียวยกขึ้นกุมศีรษะด้วยความไม่คุ้นเคยกับการคิดอะไรหนักๆ....เขาเกลียดการถูกทรยศ ทุกๆครั้งที่นึกถึงการทรยศ...เจ้าแผลนี่...จะเจ็บขึ้นมาทุกที....มือข้างหนึ่งของชาร์คเลื่อนไปสัมผัสที่กลางอก

    ต่อให้ตายฉันก็ไม่ทรยศนายเชื่อสิ

    หึ...เป็นไง ทรมานรึเปล่า มันเป็นความผิดที่แกทำกับฉัน

    มิตร...ไม่มีในโลก...ไม่มียังไงก็ไม่มี

    .

    .

    .

    .

    เพราะถ้ามี....ทำไมถึงไม่ยอมปรากฏออกมาเลยในเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    ........................
    ยังไม่มีคนอ่านเลยสินะ ฮ่ะๆๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×