ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องราวของผู้ที่ภายหลังได้ชื่อว่ามอนสเตอร์

    ลำดับตอนที่ #5 : ห้องสมุด

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 58


    ตอนที่ 4 ห้องสมุด

    วันที่ 12 เดือน 5 ปี 2113

    หลังจากเล่าความเป็นมาพอสมควรแล้วก็กลับมาถึงเวลาปัจจุบันเลยก็แล้วกัน

    ตอนนี้หินที่ผมดีดสวนไปตอนแรกก็กระทบกับเสาคอนกรีทจนปลิวไปแล้วล่ะ

    ใช่ครับเสาคอนกรีทบินไปแล้ว

    แต่ดูเหมือนพวกศัตรูก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้เลยโจมตีสวนมาอย่างต่อเนื่อง
    มันคงเป็นภาพที่ไม่น่าจะหาได้ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆแน่

    อย่างน้อยผมก็อยากให้เป็นวันธรรมดาๆแบบนั้นมากกว่า

    และถ้าจะให้พูดว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้ล่ะก็
    ขออนุญาตย้อนความอีกสักเล็กน้อยก็แล้วกัน

    หลังจากที่เกิดเหตุการณ์"New World"

    อ้อ หมายถึงเหตุการณ์ที่คนหายไปกว่าครึ่งแล้วที่เหลือได้พลังพิเศษนั่นล่ะ
    ในภายหลังได้มีคนรวมกลุ่มกันตั่งชื่อให้กับเหตุการณ์นั้นว่า"New World"

    ก็แปลตามความหมายนั่นแหละ มันหมายถึงโลกใบใหม่
    ถามว่าทำไมถึงใช้คำนี้ เป็นเพราะว่าโลกที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปจากเดิมยังไงล่ะ

    แต่เรื่องที่มีการตั่งชื่อนี้ก็อยู่ถัดจากหลังเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าไปนิดหน่อย

    เริ่มจุดสำคัญเลยก็แล้วกัน

    หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาได้ไม่นานก็เริ่มมีกลุ่มคนจำพวกหนึ่งที่ออกตามล่าผู้อื่น
    จุดประสงค์ของคนกลุ่มนั้นยังไม่แน่ชัดแต่อาจจะเป็นเพราะอยากได้สกิลหรือไอเท็มของคนอื่น

    ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปฆ่ามอนสเตอร์แล้วดรอปเอาล่ะ ?

    คำตอบก็ง่ายๆ

    ได้บอกไปเมื่อกี้แล้วใช่ไหมว่าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนหายไปประมาณเกินครึ่งหายไปน่ะ
    ที่หายไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวคนแก่หรือเด็กอย่างใดอย่างเดียวหรอกน่ะ

    แต่มันซุ่มหายอย่างเดียวเลยต่างหาก

    เพราะคนที่เหลืออยู่ก็อาจจะมีอายุได้ตั่งแต่ทารกยันทวดของใครสักคนเลย
    เนื่องจากล่าคนอ่อนแอมันง่ายกว่าใช่ไหมล่ะ

    กว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ก็หลังจากมาเข้ากับกลุ่มๆหนึ่งที่กำลังจะพูดนี่ละ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    วันที่ 18 เดือน 3 ปี 2113

    มันเริ่มขึ้นหลังจากผมที่พึ่งจะกลับมาถึงที่บ้าน
    ก็เตรียมใจใว้แล้วล่ะว่าพ่อแม่อาจจะโดนลบทิ้งไปแล้วก็ได้

    แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่รู้สึกเสียใจอะไรสักเท่าไหร่เลย
    หรือว่าคงเป็นเพราะไม่ค่อยได้ความรักจากพ่อแม่สักเท่าไหร่ล่ะมั้ง

    พอเข้ามาภายในบ้านก็สังเกตุได้ว่าไฟปิดอยู่ทั้งที่ปกติจะเปิดใว้ตลอดเวลา

    หลังจากถอดรองเท้าทิ้งแบบไม่เป็นระเบียบใว้ตรงทางเข้าก็เอื้อมมือไปเปิดไฟ

    "ไฟดับงั้นหรอ..."

    หลังจากที่ลองเปิดปิดดูอีกครั้งก็มั่นใจว่าใช้ไม่ได้

    "มีใครอยู่ไหมครับ !"

    ผมก็เลยลองตะโกนส่งเสียงเรียกไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบสงัด

    ก็เลยคิดว่าน่าจะไปสำรวจภายในบ้าน ก็เลยเริ่มออกเดินจากทางเข้า

    หลังจากตรวจสอบอย่างคร่าวๆว่าชั้นแรกไม่มีใครอยู่ก็เลยเดินขึ้นไปชั้นบนแทน
    และเนื่องจากบรรไดไปชั้นสองอยู่กลางบ้านทำให้ผมต้องเดินกลับออกมาเพื่อขึ้นไปชั้นสอง

    บนชั้นสองนั้นมีอยู่สามห้องคือห้องของผม,ห้องทำงานของพ่อ,ห้องสมุดที่ถูกล็อคเอาใว้

    ผมจึงเริ่มจากไปสำรวจที่ห้องของผมก่อน

    แต่แล้วก็ไม่เจออะไรสักอย่าง ทุกอย่างดูเหมือนเดิมกับตอนที่ผมออกไปข้างนอก
    หลังจากนั้นผมก็เลยตัดสินใจเดินไปสำรวจที่ห้องทำงานของพ่อแทน

    แต่ก็ยังไม่พบกับใครอยู่ดี

    "ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่สิน่ะ"

    แต่ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป สายตาของผมก็ดันไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์ของพ่อ
    พอเดินเข้าไปใกล้ๆก็สามารถอ่านเนื้อหาได้ดั่งนี้

    ถึงลูก

    พ่อเคยคิดใว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงจึงได้จัดเตรียมของพวกนี้ใว้ก่อน

    และที่พวกเราต้องทำไม้แข็งกับลูกก็เพราะไม่อยากให้ลูกมายุ่งกับเรื่องราวของฝั่งนี้

    แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้ ซึ่งตอนนี้พวกเราจะขอออกเดินทางไปสถานที่แห่งหนึ่ง

    ลูกไม่จำเป็นต้องตามหาพวกเรา สุดท้ายแล้วขอฝากสิ่งของพวกนี้ใว้กับลูก

    ด้วยกุญแจที่อยู่ในลิ้นชักที่สองของโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์ตั้วนี้

    ลูกจะสามารถเปิดประตูห้องสมุดได้ ข้างในนั้นมีเรื่องที่ลูกจำเป็นต้องรู้อยู่

    ขอโทษที่ปิดบังลูกมาโดยตลอด

    จากพ่อ


    "อืม"

    เริ่มสับสนขึ้นมานิดนึงแล้วสิตกลงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาแกล้งทำอย่างนั้นหรอ
    แต่รู้สึกเหมือนคิดอะไรไม่ออกเลย เพราะมันมีหลายเรื่องมันพุ่งเข้ามาหามากเกินไป

    เอาเป็นว่าหยิบกุญแจออกมาแล้วกัน

    หลังจากนั้นผมก็เอื้อมมือไปลิ้นชักที่สองแล้วดึงมันออก

    ดึงไม่ออก

    "ล็อคอยู่นี่หว่าเฮ้ย"

    ผมที่เผลอส่งเสียงออกมาก็เอามือปิดปากตัวเอง

    และเนื่องจากไม่รู้ว่าจะเปิดยังไงก็เลยพังลิ้นชักทิ้งไปนิดหน่อย

    รู้สึกเหมือนพลังเพิ่มขึ้นมาสักหน่อยหรือเปล่าน่ะ ?

    แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมา

    "พังข้าวของ เรียนรู้"

    จะเรียนรู้ไปทำไมเนี่ย ?

    ได้สกิลแบบนี้มาคงต้องระวังมากกว่าเดิมอีกสิเนี่ย ไม่งั้นได้ทำสิ่งของพังรัวๆแน่

    ที่พูดแบบนี้เพราะพึ่งคิดได้ระหว่างกำลังเดินทางกลับมา

    เนื่องสกิลที่ผมตอนแรกเลยมีอยู่สองสกิล คือ เรียนรู้,เลเวลอัพ
    จากการวิเคราะห์ที่ค่อยจะชอบทำสักเท่าไหร่นั้น ก็ได้ข้อสรุปต่อจากคราวที่แล้วว่า

    1.สกิลเรียนรู้น่าจะเป็นสกิลพื้นฐานที่มีกันทุกคนแต่เนื่องจากผมยังไม่ได้ถามใครก็เลยยังไม่แน่ใจเท่าไหร่
    2.สกิลเลเวลอัพของผมจะทำให้สกิลอื่นที่มีอยู่แสดงผลมากกว่าความเป็นจริง

    นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงโดนพ้นไฟใส่แล้วรู้สึกแค่ร้อนๆต่างจากที่อีกคนกลายเป็นก้อนสีดำๆไป
    และเหตุเดียวกันที่โดนมอนสเตอร์ตัวเมื่อวานโจมตีแล้วไม่ค่อยรู้สึกเจ็บอะไร

    ความสามารถแบบนี้จะเรียกกว่าโกงได้หรือเปล่าน่ะ
    แต่เรื่องโกงไม่โกงเนี่ยช่างมันก็แล้วกันแค่เอาชีวิตรอดต่อไปให้ได้ก็พอ

    กลับมาที่โต๊ะเก็บของที่หายไปครึ่งนึง

    แล้วผมก็เห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกุญแจถูกวางอยู่บนลิ้นชัก

    หลังจากหยิบขึ้นมาพิจารณาดูก็สามารถบอกลายระเอียดได้คร่าวๆว่า
    มันมีสีเงินเงาวาวและมีน้ำหนักดูมากกว่าที่ตาเห็นแต่ก็ไม่หนักจนเกินไป

    หลังจากตรวจสอบอยู่พักหนึ่งก็นำมันเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะเดินไปเปิดห้องสมุด

    ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าห้องสมุดแล้วตอนนี้กำลังตั้งคำถามกลับตัวเองอยู่ว่าควรจะเข้าไปดีไหม
    เพราะถึงตอนเด็กๆพ่อแม่จะไม่ค่อยเข็มงวดมากมายแต่ก็แค่ห้องนี้ห้องเดียวที่บอกว่าห้ามเข้าอย่างเด็ดขาด

    ตอนนั้นผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันจะมีอะไรอยู่ข้างในแต่เนื่องจากหาทางเปิดไม่ได้ก็เลยเริ่มลืมๆมันไป

    แต่ตอนนี้ผมได้กุญแจที่จะสามารถไขความข้องใจในหลายปีของผมได้แล้ว
    ก็เลยไม่รอช้าแล้วรีบไขกุญแจเพื่อที่จะเข้าไปข้างในด้านใน

    แกร๊กๆ แอ๊ด...

    เสียงเปิดประตูดังขึ้น แล้วผมก็ต้องพบกับภาพอันน่าตื่นตกใจ

    "แค่กๆ"

    ผมไอเบาๆ เนื่องจากมีฝุ่นกับใยแมงมุมเต็มไปหมดเลย
    ทั้งชั้นหนังสือที่มีความสูงมากกว่าผมหรือแม้กระทั่งโต๊ะที่วางอะไรบางอย่างเอาใว้

    ไอ้ห้องบ้านี้มันปิดตายมาใว้กี่ร้อยปีแล้วเนี่ย
    หลังจากที่บ่นในใจเสร็จก็เอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างๆ

    ลืมไปเลยว่าไฟดับ

    พอนึกขึ้นได้ก็เอื้อมมือกลับมาแล้วเดินกลับไปที่ห้องของผมเนื่องจากที่นั่นมีไฟฉายอยู่
    แล้วก็เดินกลับมา
    พร้อมกับไฟฉายในมือก็เลยเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับส่องไฟไปมา

    รูปร่างห้องเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าประมาณสิบคูณสิบห้าเมตร
    เนื่องจากเดินสำรวจแปปเดียวก็สุดทางแล้วเลยตัดสินใจมาสำรวจที่ชั้นวางหนังสือแทน

    เนื่องจากมีหนังสือจำนวนมากมายอัดแน่นเต็มชั้นไปหมดจนไม่เหลือช่องว่าง แต่ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นอีก
    เลยคิดว่าสิ่งที่พ่ออยากให้รู้น่าจะเป็นบางสิ่งที่อยู่ในเนื้อหาของหนังสือบางเล่มมากกว่า

    และเนื่องจากมันมีจำนวนมากก็เลยไม่รู้ว่าเป็นเล่มไหน ถ้าหมายถึงทั้งหมดเลยก็ไม่น่าจะใช่
    เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นเล่มที่มีอะไรแตกต่างกว่าเล่มอื่น ก็เลยทำการหาเล่มที่ว่านั่น

    หลังจากหามาสักพักหนึ่งก็เจอชั้นหนึ่งที่มีช่องว่างอยู่

    ทั้งที่ปกติหนังสือมันน่าจะเต็มทุกชั้นแต่ว่าชั้นนี้กลับหายไปเหมือนมีคนมาหยิบออกไป
    แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะตั้งแต่เกิดมาห้องนี้ก็ปิดอยู่แล้วแถมไม่มีกระจกเลยสักบาน

    หรือว่าจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

    ซึ่งตอนที่คิดอยู่นั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตรงเท้าเข้ามีโต๊ะที่มีอะไรใว้อยู่
    ก็เลยเดินกลับไปที่โต๊ะตัวนั้นแล้วก็พบกับหนังสือเล่มหนึ่ง

    [ตำนานที่สาบสูญ]

    ชื่อหนังสือแบบนี้มันจะต้องมีอะไรให้ตกใจเล่นแน่ๆ
    ผมคิดและหยิบมันขึ้นมาเพื่อปัดฝุ่นออก

    แต่ก่อนที่จะทันได้เปิดอ่านมันนั้นเอง

    ผมก็ได้ยินเสียงจานในห้องครัวด้านล่างร่วงลงมาแตก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×