ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    △ Whistling Autumn Wind the B.A.P Short-Fic

    ลำดับตอนที่ #8 : △ Stalking Idol :: ZL'JU

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 57













     

     

     

     

     

    “กรี๊ดดดดดดด เจลโล่”

     

     

    “นี่แกดูนั่นสิๆๆๆๆ”

     

     

    “อ๊าย เท่ห์เป็นบ้า กล้องฉันอยู่ไหนเนี่ย!

     

     

     

    ท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดที่เคยชินกับแววตานับสิบคู่ของนักเรียนที่เดินผ่านที่จับจ้องมาอย่างคลั่งไคล้ ร่างสูงโปร่งกว่าร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตรของไอดอลหนุ่มน้อยขวัญใจนูน่าทั้งประเทศยืนเด่นเป็นจุดสนใจพิงกำแพงรั้วโรงเรียนส่งยิ้มจางๆกลับไปแทนคำขอบคุณความชื่นชมเหล่านั้น การกระทำของเด็กหนุ่มเรียกเสียงกรี๊ดดังขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่าเสียงเหล่านั้นกลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจของร่างโปร่งได้เท่ากับใครบางคนที่กำลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีแผ่นหินอ่อนสลักสีหมึกตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า

     

     

    โรงเรียนมัธยมโซมยองชิน

     

     

    ดวงตาเรียวเบิกขึ้นอย่างลิงโลด ปากบางคลี่ยิ้มกว้างอย่างปิดความดีใจไม่มิด มือเรียวใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม ขายาวก้าวออกไปพร้อมกระชับเป้อย่างทะมัดทะแมง ไอดอลหนุ่มเดินตามแผ่นหลังเล็กที่เดินเนิบนาบอยู่ข้างหน้าโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เสียงกรี๊ดกร๊าดค่อยๆเบาบางลงเช่นเดียวกับจำนวนสายตาที่มองมาอย่างสนอกสนใจ จนในที่สุดเขากลายเป็นเพียงเด็กม.ปลายคนหนึ่งในกลุ่มฝูงชนบนรถบัสสายซึ่งมุ่งตรงสู่อีกเขตหนึ่งไม่ห่างจากใจกลางโซลมากนัก ยืนโหนรถบัสมองแผ่นหลังเล็กอยู่นาน เจ้าของแผ่นหลังบางก็กดกริ่งก่อนจะก้าวลงจากรถ ขายาวก้าวลงรถตามไปโดยไม่รีรอ

     

     

     

    แผ่นหลังเล็กเคลื่อนช้าลงเมื่อเดินถึงบันไดคอนกรีตติดกับสนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะ ขายาวชะลอความเร็วตาม พื้นคอนกรีตหลังฝนตกค่อนข้างลื่น เด็กหนุ่มต้องก้มมองพื้นสลับกับมองแผ่นหลังเล็กข้างหน้าไม่ให้คลาดสายตา

     

     

     

     

    “.....!!”         ก้มมองพื้นนานไปไม่กี่เสี้ยววินาที เงยหน้ามาอีกทีก็เจอกับใบหน้ามึนของเจ้าของแผ่นหลังเล็กอยู่ห่างจากใบหน้าตนไม่ถึงสองคืบ อันที่จริงเด็กหนุ่มสูงกว่าอีกฝ่ายมากเอาการอยู่ แต่เพราะยืนอยู่บนบันไดสูงกว่าเขาไปสองขั้น ผลเลยกลายเป็นว่าตอนนี้ใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ตรงกับใบหน้าตนเรียกได้ว่าพอดิบพอดี คนแอบย่องตามยิ้มแหยๆส่งให้คนเตี้ยกว่าอย่างรู้ความผิดตัวเองดี

     

     

    “มึงอยากเป็นนักรึไงวะสต็อกเกอร์น่ะ?”        ใบหน้ามึนค่อนไปทางง่วงงุนดูหงุดหงิดนิดหน่อย ถึงแม้การแสดงออกทางสีหน้าจะตรงข้ามกับภาษาสุภาพ(?)ที่เอ่ยออกมา แต่ใครที่รู้จักเขาดีจะรู้ว่าหากเทียบกับคนปกติ ดีกรีความหงุดหงิดของร่างเล็กในตอนนี้นั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่า มาก เด็กหนุ่มคลายมุมปากลงแต่ยังคงรอยยิ้มระบายจางบนใบหน้าใสซื่อ

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกจับได้ และไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตัวเล็กหงุดหงิดใส่เขาแบบนี้ หากแต่ไอดอลหนุ่มไม่เคยคิดที่จะหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ เขาชอบเดินตามพี่ชายตัวเล็กหลังเลิกเรียนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก่อนจะเข้าเป็นเด็กฝึกด้วยซ้ำ ทำมันจนกลายเป็นสิ่งเสพติดที่ถ้าหากวันหนึ่งต้องเลิกจริงๆคงประสบปัญหาใหญ่ในการดำรงชีวิต....เด็กหนุ่มเชื่ออย่างนั้น

     

     

    สุดท้ายร่างเล็กก็ได้แต่พ่นลมหายใจหนักๆก่อนหมุนตัวออกเดินต่อ ระอากับสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังทำแต่ก็จนปัญญาจะห้าม ยิ่งตอนเด็กนั่นทำหน้าตาน่าสงสารออดอ้อนอย่างนั้นยิ่งดุไม่ลง ในฐานะพี่ชายต่างสายเลือดแต่ร่วมชายคาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เด็กหนุ่มย้ายมาอยู่ในโซล มุนจงออบไม่อาจผลักไสน้องชายต่างสายเลือดได้อย่างจริงจังซักครั้ง ถึงแม้การกระทำของเด็กคนนี้จะสร้างปัญหาให้ตนมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ตาม

     

    แฟนๆส่วนใหญ่รู้ว่าครอบครัวของมักเน่แห่งวงบอยแบนด์ชื่อดังมีสมาชิกกี่คนและเด็กคนนั้นมีบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่โซล บ้างคาดกันว่าอาจจะอยู่กับแม่หรือพี่ชาย แต่ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วบ้านหลังนั้นมีเพียงเด็กหนุ่มม.ปลายคนหนึ่งอาศัยอยู่ ส่วนแม่ของไอดอลหนุ่มนั้นย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่มกโพตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว

     

    มุนจงออบไม่ได้เป็นลูกติดของภรรยาหรือสามีใหม่ของพ่อหรือแม่ของไอดอลหนุ่มแต่อย่างใด เขาเป็นลูกของสามีใหม่ของป้าแท้ๆของจุนฮงซึ่งมีบ้านอยู่ในโซล หรือจะให้ชัดกว่านั้นคือ เขาเป็นเจ้าของบ้านที่ใครๆคิดว่าเป็นบ้านในโซลของไอดอลชื่อดัง และเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องอยู่บ้านคนเดียวก็เพราะพ่อกับแม่ใหม่ทำธุรกิจอยู่อีกย่านหนึ่งจึงย้ายไปพักอยู่แถวนั้นเพื่อความสะดวกในการเดินทาง

     

     

     

     

     

    “วันนี้ที่โรงเรียนเป็นไงมั่ง?”   

     

     

    “ก็ดี มีแต่คนถ่ายรูปเต็มไปหมด”        ขายาวก้าวมาเดินข้างๆคนเตี้ยกว่า เดินย่ำน้ำขังบนพื้นมองระลอกน้ำกระเพื่อมท่าทางเหมือนเด็ก เพราะสนิทกันเหมือนเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คำพูดสุภาพจึงไม่เคยหลุดออกจากปากเวลาที่สองพี่น้องต่างสายเลือดอยู่ด้วยกัน

     

     

    “เหอะ มึงเป็นไอดอลหนิ...เหี้ย! แขนไปโดนอะไรมา?”        ร่างเล็กหยุดเดินพลางกระตุกแขนหนาขึ้นมาสำรวจทันทีที่เหลือบไปเห็นรอยช้ำสีม่วงบริเวณข้อศอก คิ้วบางเคลื่อนเข้าหากันน้อยๆหากก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าง่วงมึนดูต่างจากที่เป็นปกติ.......แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏอยู่บนใบหน้าใสซื่อของร่างสูง

     

     

    “ซ้อมเต้นน่ะ ไม่เจ็บซักหน่อย”       ร่างหนาดึงมือกลับพลางเสมองไปอีกทางซ่อนอาการร้อนที่ใบหู หวังในใจเล็กๆว่าคนข้างๆอาจจะเซ้าซี้แสดงความเป็นห่วงมากกว่านี้ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำกลับเป็นเพียงการมองนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้าวเดินต่อ เด็กหนุ่มรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็อดคิ้วขมวดทำปากคว่ำขณะก้าวขาเดินตามอีกฝ่ายไม่ได้

     

     

    นี่เชื่อจริงๆหรอว่าไม่เจ็บน่ะ?!

     

     

    เย็นชา หยาบคาย คือคำจำกัดความของนักเรียนม.ปลายปีสามที่ชื่อ มุนจงออบ บุคลิกและนิสัยต่างจากชื่ออันแสนละมุนราวฟ้ากับเหว เรื่องต่อยตีไม่ค่อยถนัดนักแค่อาทิตย์ละครั้งพอเป็นกระสัย เรื่องการเรียนเห็นอย่างนี้ไม่เคยหลุดจากสิบอันดับแรกของโรงเรียน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่จุนฮงคาใจมาตลอด ส่วนเรื่องความรักไม่ต้องพูดถึง มุนจงออบไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าใกล้ในระยะวาดขาเตะก้านคอสะดวก แม้จะมีเด็กนักเรียนจากต่างโรงเรียนไม่น้อยที่อยากทำความรู้จักกับเขา แต่จงออบก็ไม่แม้แต่จะสนใจใครหน้าไหนเป็นพิเศษ.....นั่นเป็นสิ่งที่จุนฮงยินดีเป็นที่สุด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “หิว”        เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะทั้งสองเดินผ่านร้านค้าริมทาง อาหารทอดหลากหลายชนิดส่งกลิ่นยั่วยวนคลุ้งถนน ทว่าราวกับคำพูดไม่เคยเอ่ยออกไป คนเตี้ยกว่าทอดน่องเดินต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก

     

     

    “จงออบ...”        เด็กหนุ่มก้าวอาดๆมาจับแขนบางให้หยุดเดิน คนถูกเรียกหันมองน้องชายร่างสูงนิ่งอย่างไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ ถึงแม้จะคุ้นเคยกับนิสัยเย็นชาของพี่ชายร่วมชายคาดี แต่จุนฮงก็ไม่เคยทำใจชอบมันได้เลยซักครั้งเดียว

     

     

    “ฉันหิว”         ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆทำหน้าออดอ้อนไม่ต่างจากลูกหมาร้องหาเจ้าของ แต่แล้วก็ต้องชะงักนิ่งรู้สึกเย็นวาบบริเวณหัวเมื่อมือเรียวของคนที่กำลังอ้อนอยู่ยกขึ้นมายีหัวแรงๆจนฟู ใบหน้าของร่างเล็กไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆเหมือนเคย ทว่าสัมผัสที่มือเรียวมอบให้กลับมอบความอบอุ่นได้ยิ่งกว่าผ้าห่มผืนใหญ่เสียอีก

     

     

     

     

     

    นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้...

     

     

     

     

     

    “อย่...”         กลืนคำว่า อย่าเพิ่ง กลับลงคอแทบไม่ทัน ร่างสูงลืมตัวโพล่งออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายดึงมือกลับ ท่าทางแบบนั้นเรียกความสงสัยจากสายตาที่มองมาร่างเล็กกว่าได้เป็นอย่างดี

     

     

    “เอ่อ...นายไม่หิวหรอ?”       ถามพลางทำหน้าเหลอหลา เกือบทำอะไรงี่เง่าออกไปให้พี่ชายตัวเล็กเห็นอีกแล้ว

     

     

    “ไปกินที่บ้านเถอะ ช่วงนี้ชีวิตกูวุ่นวายพออยู่แล้ว”        ตอบเสียงเรียบพลางออกเดินต่อ อีกไม่กี่ซอยก็จะถึงที่หมายอยู่แล้ว...บ้านเดี่ยวสองชั้นหลังเล็กสีเขียวอ่อน

     

     

    “....ก็ได้”       ตอบตกลงหงอยๆ จู่ๆความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นเต็มหัวใจ

     

     

     

     

    จุนฮงเป็นต้นเหตุให้พี่ชายต่างสายเลือดคนนี้ต้องเดือดร้อนนับครั้งไม่ถ้วนเพราะการปรากฎตัวอยู่กับคนตัวเล็กบ่อยครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่อีกฝ่ายจะดุด่าเขาอย่างจริงๆจังๆ ไม่แม้แต่จะเล่าว่าเจออะไรมาบ้าง จุนฮงทำได้เพียงสังเกตุเอาเองจากการแผลถลอกฟกช้ำเล็กๆน้อยตามร่างกายของพี่ชาย ครั้นพอเอ่ยปากถามถึงที่มาของแผลเหล่านั้นคนตัวเตี้ยกว่าก็กลับบอกอย่าใส่ใจ แม้จุนฮงจะรู้ดีว่าพี่ชายตัวเล็กเป็นพวกไม่ใส่ใจโลกมากนัก คนพวกนั้นไม่สามารถทำให้เขารู้สึกไม่ดีมากไปกว่าสร้างความรำคาญเล็กๆน้อยๆ แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงจับใจคือกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะได้รับอันตรายเพราะเขาเข้าสักวัน....

     

     

     

     

    “ที่บ้านมีอะไรกิน?”

     

     

    “.......”          ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของพี่ชายต่างสายเลือด ร่างเล็กกว่าเพียงหันมองหน้าร่างโปร่งครู่หนึ่งแล้วก้าวเดินต่อ เด็กหนุ่มยืนนิ่งคิดอยู่ไม่นานก็ร้องเสียงดัง

     

     

    “...รามยอนอีกแล้วหรอ?!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “นี่มึงยังไม่กลับอีกหรอ?”        ร่างเล็กเอ่ยถามเมื่อเงยหน้าจากหนังสือตรงหน้าขึ้นมองนาฬิกาผนังซึ่งบอกเวลาอีกไม่กี่นาทีจะสามทุ่ม เด็กหนุ่มตัวโตที่นั่งต่อเลโก้อยู่บนพื้นถัดจากโซฟาที่เขานอนอยู่มาเกือบชั่วโมงหลังจากกินรามยอนฝีมือเขาเสร็จไม่ได้ยินสิ่งที่ถามเพราะหูฟังที่เสียบอยู่ที่หูทั้งสองข้าง

     

     

    “นี่ ชเวจุนฮง”        คราวนี้ไม่เรียกเปล่า แขนบางยื่นมาผลักหัวร่างโปร่งอย่างที่น้อยคนจะสามารถทำได้....น้อยคนที่จะสามารถสัมผัสหัวของเด็กหนุ่มโดยที่เจ้าตัวยินดีและเต็มใจแบบนี้

     

     

    “หืม?”       คนถูกเรียกหันหน้ามามองแวบหนึ่งแล้วก็หันไปสนใจกองเลโก้หลากสีตรงหน้าต่อ

     

     

    “ยังไม่กลับอีกรึไง? จะสามทุ่มแล้วนะ”

     

     

    “อีกแปบเดียว...ไล่อยู่ได้”       ประโยคหลังกะจะพูดแหย่คนบนโซฟาเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงตัวเองกลับทำหน้าหงอยหัวใจฟีบเสียเอง ร้อนถึงอีกฝ่ายต้องทำอะไรบางอย่าง

     

     

    “ไล่อะไร? หา? ไล่อะไร?”       ไม่พูดเปล่า จงออบวาดขาเรียวยันแผ่นหลังกว้างของน้องชายอย่างรักใคร่ เด็กหนุ่มหันมามองหน้าพี่ชายอย่างค้อนๆก่อนเขยิบตัวเบี่ยงให้พ้นจากวิถีบาทา

     

     

    “อยู่นิ่งๆไปเลยไป”

     

     

    “...กู...ง่วง..”         มือเล็กเอื้อมมาดึงแก้มเด็กหนุ่มให้หันไปทางตัวเอง จุนฮงสบตาอีกฝ่ายได้ไม่นานก็ต้องเป็นฝ่ายชักสายตากลับมาจดลงบนเลโก้ตรงหน้า ครั้งนี้ร่างโปร่งรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าและใบหู

     

     

    รู้แล้วว่าง่วง แค่มองหน้าก็รู้แล้ว จะหยิกแก้มทำไมกัน!

     

     

     

     

    “เรียบร้อย”        ร่างโปร่งยกยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกหลังเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง มองผลงานของตัวเองอย่างชื่นชม หันมองด้านข้างก็พบร่างเล็กบนโซฟาที่หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ขาข้างหนึ่งชันเข่า ขาอีกข้างห้อยลงที่ขอบโซฟา ปากอ้าออกเล็กน้อย มือข้างที่ติดพนักโซฟายังจับหนังสือค้างไว้หลวมๆ จุนฮงหัวเราะเบาๆให้กับท่าทางตลกค่อนไปทางน่ารักของพี่ชายร่วมชายคา จ้องมองอยู่ไม่นานมือหนาก็คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายบ่าแล้วยืนขึ้นเต็มความสูงโดยไม่ลืมคว้าผลงานบนพื้นติดมือขึ้นมาด้วย

     

    เด็กหนุ่มจัดการดึงหนังสือออกจากมือเรียวแล้วยัดผลงานของตัวเองใส่แทนที่ ยืนมองอยู่ไม่นานก็บังคับตัวเองให้ก้าวไปที่ประตู มือหนาเอื้อมไปจับลูกบิดประตูนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หมุนตัวเดินกลับมายืนตรงหน้าโซฟาตัวเดิม เอื้อมมือมายีหัวร่างเล็กที่นอนหลับอยู่แล้ววิ่งกลับไปที่ประตู หยุดยืนที่หน้าประตูอยู่ไม่กี่วินาทีก็วิ่งกลับมาที่โซฟาอีกครั้ง คราวนี้มือใหญ่เอื้อมมาหยิกแก้มคนที่นอนอยู่แล้วหมุนตัววิ่งกลับไปที่หน้าประตูเป็นครั้งที่สอง ร่างโปร่งยืนจับลูกบิดประตูหลับตาแน่นอยู่หลายอึดใจก่อนจะกลับหลังหันวิ่งกลับมายืนที่หน้าโซฟาตัวเดิมอีกครั้ง คุกเข่าย่อตัวลง เคลื่อนหน้าเข้าใกล้ร่างเล็กจนจมูกกดลงบนแก้มนุ่มแล้วผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

     

     

    “คิดถึงนะฮยอง”       เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นรัวแทบจับคำไม่ได้ก่อนร่างโปร่งจะวิ่งไปที่ประตู

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างบางบิดขี้เกียจจนสุดแขนขาไล่ความเมื่อยล้าจากการนอนขดบนโซฟานานกว่าเจ็ดชั่วโมงก่อนลืมตาตื่นมาพบกับหลอดไฟสีนวลบนเพดานที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน มองไปรอบๆไม่พบวี่แววของน้องชายตัวสูงแล้ว

     

     

    เสียงวัตถุบางอย่างหล่นกระทบพื้นพรม จงออบหันมองพื้นข้างตัวตามทิศทางเสียง มันคือเลโก้เมื่อคืนที่เด็กหนุ่มต่ออย่างใจจดใจจ่อทว่าเขาไม่สนใจจะมองมัน มือเรียวหยิบขึ้นมาสำรวจใกล้ๆ โดยไม่ต้องนึกให้เสียเวลา รูปร่างของตัวต่อบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว

     

     

     

     

    กบน้อยถือหัวใจ...


     

     

     

     

     

     

    ร่างเล็กที่เพิ่งงัวเงียตื่นพ่นลมหายใจหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าเอือมๆพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้กับตัวต่อในมือ    “นอกจากจะไม่ยอมบอกว่าคิดถึงต่อหน้ากู แอบหอมแก้มกูตอนนอน แล้วยังต่อเลโก้เป็นสัตว์ที่กูเกลียดอีกนะ ไอ้เด็กป๊อดเอ๊ย

     

     

     
































    ? Supercell
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×