ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    △ Whistling Autumn Wind the B.A.P Short-Fic

    ลำดับตอนที่ #7 : △ Unrevealed Song :: ZL'YJ

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 58


      






     

    When you turn this song on, I may not be beside you

     

     

     

     

    “เฮ้ย ไอ้เตี้ย ไปไหนมาทำไมเพิ่งกลับวะ?”     ร่างโปร่งขี่สเก็ตบอร์ดสีเหลืองคู่ใจมาหยุดขวางหน้าร่างเล็กที่เพิ่งก้าวลงจากรถบัสเดินตรงสู่บ้านตัวเอง คนถูกเรียกช้อนสายตาเบื่อหน่ายมองคนอายุน้อยกว่าแต่กลับไม่เคยทำตัวมีมารยาทกับตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

     

    “เรื่องของฉัน”    คนอายุมากกว่าก้าวเลี่ยงพลางเร่งฝีเท้า คนตัวสูงรีบไถลสเก็ตบอร์ดตามอย่างเคยชิน    “แล้วใครว่าไม่ใช่ แต่พอดีว่าฉันอยากรู้เรื่องของนาย”    คนตามเอ่ยน้ำเสียงทุ้มเนิบนาบทว่าฟังดูยียวนอยู่ในที ร่างบางเบ้ปากทำปากขมุบขมิบด่าอีกฝ่ายเบาๆแต่ก็ยังไม่ยอมตอบคำถาม

     

    “ย่าห์! ยูยองจ..”

     

    “โอ๊ย!!”    คนตัวสูงสะดุ้งปล่อยแขนบางทันทีเมื่อเอื้อมมือไปแตะแล้วอีกฝ่ายร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ทันทีที่ตั้งสติได้มือหนาก็คว้าแขนบางขึ้นมาอีกครั้งแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น ตาเรียวเกร็งแน่นจ้องเขม็งไปที่รอยถลอกขนาดใหญ่บริเวณข้อศอก

     

    “ไปทำอะไรมา?”    คนอายุน้อยกว่าถามเสียงเรียบโดยที่ดวงตายังคงจ้องอยู่ที่แผลบนแขนบาง

     

    “ไม่ใช่เรื่องของนาย”

     

    “ถามดีๆก็ตอบมา”    ตาเรียวตวัดจ้องคนแก่กว่าอย่างเอาเรื่อง

     

    “ช่วยเลิกยุ่งกับฉันซะทีเถอะ”   

     

    “จะบอกดีๆหรือจะให้ฉันไปบอกแม่นายเรื่องที่นายเอารถไปชนเสาไฟหน้าบ้านฉัน?”    คนตัวเล็กพ่นลมหายใจ กรอกตาขึ้นฟ้า    “ซ้อมกีฬาแล้วหกล้ม พอใจรึยัง? ปล่อยได้ละ”    แขนเล็กขยับบิดให้หลุดจากการเกาะกุมแต่มือหนายังคงจับไว้แน่น

     

    “เจ็บมากมั้ย?”    คนอายุน้อยกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดปกติจนอีกฝ่ายต้องเงยหน้ามอง   “กินยาผิดรึไง?”

     

    “ตอบ”    ร่างโปร่งสั่งเสียงเข้ม คนแก่กว่านิ่งอยู่นานก่อนตอบกระแทกเสียง    “........เออ เจ็บ”

     

    “ก็แค่เนี๊ยะ”    มือใหญ่ปล่อยแขนบางลงอย่างเบามือ ก้มลงหยิบสเก็ตบอร์ดก่อนคว้าข้อมืออีกข้างของคนตัวเล็กแล้วลากให้เดินตาม

     

    “ย่าห์ จะไปไหนของนายเนี่ย?”

     

    “ทำแผลสิ ถามโง่ๆ”

     

     

     

     


    Couldn’t see the feeling in your eyes while listening to it 

     

     

     

     

    “ย่าห์ชเวจุนฮง!! หยุดอยู่นั่นเลยนะ”    ขาเรียวก้าวฉับๆมาหยุดตรงหน้าร่างโปร่งที่กำลังขี่สเก็ตบอร์ดออกจากบ้านด้วยสีหน้าเบิกบานเกินจำเป็น

     

    “อะไรไอ้เตี้ย? ทักแต่เช้านี่คิดถึงรึไง?”

     

    “คิดถึงบ้านปู่แกสิ นี่แกกุเรื่องไปเล่าให้แม่ฉันฟังอีกแล้วใช่มั้ยหา?!”   

     

    “กุเรื่องอะไรวะ? ไม่เห็นรู้เรื่อง”

     

    “แกหาว่าเพื่อนใหม่ฉันเป็นอันธพาล ตอนนี้แม่ฉันสั่งให้เลิกคบหมอนั่นแล้ว สะใจนายมากใช่มั้ยห๊ะ?!”   คนตัวเล็กสับขาเดินตามพลางตะคอกอย่างเคียดแค้นในขณะที่คนฟังถีบสเก็ตบอร์ดไปข้างหน้าอย่างสบายอารมณ์

     

    “โอ๊ะ จริงหรอ? ดีใจจัง ฉันก็แค่เป็นห่วงว่านายจะกลายเป็นเมียอันธพาลเองนะ ไอ้ดำนั่นหน้าตามันน่ากลัวจะตาย โอ๊ย!”    คนอายุน้อยกว่ายกมือขึ้นกุมหัวตัวเองเมื่อถูกคนตัวเล็กโยนมะเหงกใส่เสียงดังปั้ก

     

    “จองแดฮยอนไม่ใช่อันธพาลรู้ไว้ซะด้วย เขาน่าคบกว่านายเป็นล้านเท่า”

     

    “ว่าไงนะ? ย่าห์ ยูยองแจ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

     

     

     



    But there’s one part I badly want you to hear

     

     

     

     

    “ไม่ไปโรงเรียนรึไงตามอยู่ได้ นี่มันห้องสมุดมหาลัยนะ ไม่ใช่สนามเด็กเล่น”    นิ้วเรียวไล่ไปตามสันหนังสือบนชั้น พูดโดยที่สายตายังคงมองหาหนังสือที่ต้องการ

     

    “ทำไม? กลัวเด็กอย่างฉันมากวนเวลาเดทของนายกับไอ้ดำนั่นรึไง?”    ปล่อยให้คำพูดของอีกฝ่ายลอยผ่านหูอย่างไม่ใส่ใจ ร่างเล็กเขย่งตัวเอื้อมหนังสือที่ต้องการบนชั้นเกือบบนสุด

     

    “ฉันรู้นะว่านายมีนัดกับไอ้หมอนั่นที่นี่น่ะ”

     

    “.........”    คนที่กำลังง่วนอยู่กับการค้นหนังสือเพียงแต่กรอกตาหน่ายๆ ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำกับเด็กตัวสูงไม่รู้จักโตที่ยืนอยู่ข้างหลัง

     

    “หูหนวกรึไงไอ้เตี้ย”    ร่างโปร่งที่ยืนพิงชั้นหนังสืออีกด้านเอามือล้วงกระเป๋าพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่คิดจะช่วยคนที่กำลังเขย่งเอื้อมหนังสือจนปวดขา

     

    “เห็นรึเปล่าว่าทำอะไรอยู่”    คนแก่กว่าหันมองอีกฝ่ายอย่างนึกรำคาญ คนถูกถามกระตุกยิ้มก่อนขยับขาเพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวอีกฝ่าย   “อยากให้ช่วยก็ขอดีๆสิ”

     

    “ใครต้องการความช่วยเหลือจากนาย? ไม่ใช่ฉันแน่นอน”   พูดเสียงเรียบก่อนบิดตัวกลับแต่ถูกแผ่นอกหนาของร่างโปร่งดันเอาไว้ ครั้นจะเงยหน้าขึ้นด่าปลายจมูกของอีกฝ่ายก็อยู่ห่างหน้าผากเพียงไม่กี่เซน   

     

    “นายเขย่งอีกสามชาติก็เอื้อมไม่ถึงหรอกไอ้เตี้ย ขอฉันสิ แล้วจะหยิบให้”    คนถูกเบียดหลับตาแน่นเพราะลมหายใจร้อนๆของคนตรงหน้า พยายามระงับอารมณ์ขุ่นของตัวเองที่ทำท่าจะคุขึ้นมา

     

    “บอกว่าจะหยิบเอง นายช่วยถอยไปห่างๆเถอะ”

     

    “ฉันบอกให้ขอไง”    ร่างโปร่งออกคำสั่งน้ำเสียงเข้ม คนถูกสั่งจำต้องสูดหายใจเข้าก่อนกัดฟันเอ่ยขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก

     

    “...หยิบหนังสือให้หน่อย”    ร่างหนายกยิ้มอย่างพอใจก่อนยกมือขึ้นหยิบหนังสือจากบนชั้นส่งให้อีกฝ่ายแล้วก้าวถอยหลังมายืนล้วงกระเป๋าอย่างเดิม ยืนมองคนอายุมากกว่าสำรวจเนื้อหาในหนังสืออยู่ไม่กี่นาทีก็ก้าวมายืนข้างๆชะเง้อมองหน้าหนังสือที่อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าอ่านอย่างมีสมาธิ

     

    “แรงโน้มถ่วงงั้นหรอ?”

     

    “ถามทำไม? นายรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้รึไง?”

     

    “เปล่า รู้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยว”

     

    “เรื่องอะไรของนาย?”

     

    “การที่คนเราตกหลุมรักใครซักคน...มันไม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง”    พูดพลางเงยหน้ามองข้างบนคล้ายจะพูดกับตัวเองซะมากกว่า

     

    “..........เป็นอะไรมากมั้ยนายน่ะ”    คนตัวเล็กหันไปส่ายหน้าเอือมใส่คนข้างๆก่อนเดินหนีไปอีกทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกใจสั่นแปลกๆกับประโยคที่ฟังดูไม่มีสาระของคนอายุน้อยกว่า

     

     

     


     That is I’ve fallen for you, but have left it unrevealed for so long

     

     

     

     

    “ตามสบายนะยองแจ”   

     

    “ครับคุณน้า”    ร่างบางโค้งรับน้อยๆให้กับเจ้าของบ้านหลังถัดจากตนที่ตอนนี้อยู่ในสภาพอิดโรยโศกเศร้า ตาบวมจากการร้องไห้อย่างหนักเนื่องจากลูกชายคนเดียวเพิ่งเสียไปเพราะโรคร้ายที่เจ้าตัวต้องเผชิญมาเป็นเวลาหลายปี

     

    ยองแจไม่เคยรู้เรื่องนี้และเด็กคนนั้นก็ไม่เคยแสดงอาการอะไรออกมาให้เขาเห็นเลยซักครั้ง ....หรืออาจเป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้สังเกต

     

    ร่างบางก้าวอย่างเชื่องช้า เดินสำรวจห้องนอนรกๆทว่าไม่ถึงกับสกปรกของเด็กผู้ชายตัวสูงที่เอาแต่ตามเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่บ้านข้างๆด้วยความรู้สึกแปลกหน้ากับตัวเอง ยองแจไม่เคยเข้ามาในห้องของเด็กคนนี้มาก่อน และก็ไม่เคยรู้สึกว่างโหวงในช่องอกคล้ายขาดออกซิเจนเมื่อนึกถึงใบหน้าของเด็กจอมกวนคนนั้นเหมือนที่กำลังรู้สึกในขณะนี้ด้วยเช่นกัน ยองแจไม่รู้ตัวว่าดวงตาคู่สวยของตนดูหมองเศร้าขนาดไหนเมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆห้องนอนอันเงียบสงัด ร่างเล็กหายใจชะงักอยู่เสี้ยววินาทีเมื่อสายลมอบอุ่นที่หอบเอากลิ่นอ่อนจางของใบไม้แห้งด้านนอกหน้าต่างพัดเข้ามาปะทะใบหน้า ขาเรียวหยุดลงตรงหน้าตะกร้าทรงกระบอกสูงขนาดใหญ่ถัดจากหัวเตียง สายตาไปสะดุดกับลายมือเขี่ยๆที่เขียนด้วยปากกาเมจิกบนขอบด้านหนึ่งของตะกร้า

     

    ของจุนฮง ห้ามแตะต้อง

     

    ร่างเล็กมองเข้าไปในกล่องทรงกระบอกสูงก็พบเศษกระดาษถูกขยำบรรจุอยู่เต็ม มือเรียวเอื้อมไปจับตะกร้าเทเหล่าก้อนกระดาษลงบนพื้นก่อนย่อตัวลงนั่ง หยิบกระดาษยับๆแต่ละชิ้นขึ้นมาแกะดูสิ่งที่อยู่ภายใน....

     

     

    นี่จะใช้ร่มที่ไอ้แฟนคลับคนนั้นซื้อให้ทุกวันเลยรึไงให้ตายสิ

     

    นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกวะยูยองแจ!’

     

    ไอ้ดำนั่นชื่อจองแดฮยอน หึหึ...เสร็จแน่

     

    ทำตัวเองเจ็บอีกจนได้ โง่จริงๆเลยไอ้เตี้ยเอ๊ย

     

    คนงี่เง่าอย่างนายไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันชอบนายขนาดไหน ไม่มีทาง...

     

    หวังว่านายคงไม่เห็นตอนฉันเดินออกจากห้องพยาบาลหรอกนะ

     

    อย่าซุ่มซ่ามจะได้มั้ยไอ้เตี้ย! วุ๊!’

     

    ไอ้เตี้ยข้างบ้าน....มีคนให้แกล้งแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ

     

    ไอ้เตี้ยร้องไห้! ร้องไห้! ร้องไห้ทำไม? ใครทำอะไรมันวะ? โถ่เว้ย!!!’

     

    ฉันว่าฉันคงอยู่รักแกได้อีกไม่นานแล้วว่ะ ฉันควรทำยังไงดี...?’

     

    ยิ้มให้ฉันบ้างก็ได้นะ ยูยองแจ

     

    ฉันพยายามเลิกกวนนายแล้วนะ แต่โทษว่ะ ทำไม่ได้ แบร่

     

    ยิ้มแบบนั้นแหละ ยิ้มนะ ยูยองแจ

     

     

     

     

    ยองแจตื่นแล้ว ตื่นตั้งแต่ก่อนที่แม่จะขึ้นมาเรียกไปทานข้าวเช้าด้วยซ้ำ แต่ร่างเล็กยังไม่ยอมลุกออกจากเตียงแม้ว่าแสงแดดสีส้มอบอุ่นในตอนเช้าเริ่มจะเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้น ตาเรียวจ้องนิ่งไปที่จุดๆหนึ่งบนเพดานสีครีมมาเป็นชั่วโมงๆราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่างจากบนนั้น น้ำตาไหลออกมาและแห้งไปเองไม่รู้กี่รอบตั้งแต่เมื่อวาน ยองแจไม่อยากเชื่อ เขาหวังอยากให้เรื่องที่รับรู้มาเมื่อเย็นวานเป็นเพียงแค่ความฝัน เช่นเดียวกันกับความจริงที่ว่าจุนฮงจากโลกนี้ไปแล้ว จากไปโดยที่คำๆนั้นยังไม่เคยเล็ดลอดออกจากปากเพื่อบอกกล่าวให้เขาได้รับรู้ ไม่ ยองแจไม่เคยรู้ เด็กนั่นไม่เคยแม้แต่จะแสดงท่าทีอะไรที่ทำให้คิดไปในทางนั้น แต่แปลก เรื่องไม่คาดคิดนี้กลับทำให้ยองแจรู้สึกเสียใจอย่างที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะเสียใจได้มากมายขนาดนี้

     

     

     

     

     

    ผมคิดว่าผมกำลังหายใจไม่ออก

     

    ไม่สิ

     

     

     

    ผมยังหายใจได้ แต่ทำไม...

     

     

     

     

     

     

    ......แทบไม่มีแรงหายใจ

     

     

     

     

     

     

     

    ณ ห้วงหนึ่งของความเจ็บปวด ก่อนที่น้ำตาระลอกใหม่จะถั่งโถมเข้ามา บนใบหน้าหวานปรากฎรอยยิ้มเล็ก ดวงตากลมแดงก่ำรื้นไปด้วยน้ำใสจ้องจรดไปที่จุดหนึ่งบนฝ้าเพดานสีนวลราวกับกำลังยิ้มให้อะไรบางอย่างที่อยู่บนนั้น.......อะไรบางอย่างที่อยู่สูงกว่าเพดานขึ้นไป

     

     

     

     

    ยิ้มให้ฉันบ้างก็ได้นะ ยูยองแจ





























    cinna mon
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×