คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : △ The Dream Stranger :: YG'HC
หนึ่งวันผ่านไป เป็นเศษหนึ่งในหลายพันหลายหมื่นส่วนของช่วงชีวิตที่ผ่านไป ใครหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็หายไปเป็นเศษหนึ่งในหลายล้านส่วนของความทรงจำ หายไปไม่มากก็น้อย...มันก็เป็นเช่นนั้น...
แต่ถ้าหากความทรงจำทั้งหมดที่ใครคนหนึ่งมีหายไปกับหนึ่งวันที่ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
คนที่อยู่ในความทรงจำที่สูญหายจะทำเช่นไร....
September 4, 2012
9.41 a.m.
เจ้าของบ้านหลังถัดจากผม ชายตาตี่ผู้ซึ่งคนในละแวกนี้คิดว่าเขาอารมณ์ดี 363 วันใน 1 ปี ยกกล่องลังเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้านขยับปากพูดอะไรบางอย่างกับผู้ชายตัวบางที่ยืนอยู่กับกองกระเป๋าเสื้อผ้าสามสี่ใบด้านนอกรั้วไม้เตี้ยสีขาวปลอดด้วยสีหน้าบูดบึ้งราวกับมีเรื่องหนักใจ มันดูแปลกตาที่เห็นเขาในสีหน้าแบบนั้น ผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ ชายตาตี่ที่กำลังขนกล่องลังขึ้นท้ายกระบะคนนั้นบ่นให้ผมฟังขณะเราสองคนบังเอิญออกมากวาดใบไม้แห้งหลากสีจากต้นไม้ใหญ่หลากชนิดซึ่งเรียงรายตลอดแนวถนนของหมู่บ้านพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อเย็นวันก่อนว่าเขาต้องย้ายออก ‘อีกแล้ว’ ผมเพียงพยักหน้าน้อยๆตอบกลับอย่างทุกครั้งทั้งที่ไม่เข้าใจคำว่า ‘อีกแล้ว’ ของเขาแม้แต่น้อย พูดอีกอย่างก็คือผมไม่ใส่ใจอยากจะรู้เรื่องของเขานัก หรือถ้าจะให้ชัดกว่านั้นก็คือผมไม่ใช่พวกสนใจเรื่องชาวบ้านชาวเมืองซักเท่าไหร่
เจ้าของมือเรียวใหญ่ละสายตาจากภาพตรงหน้า ก้มกลับมาขยับดินสอร่างแบบแปลนบนกระดาษตรงหน้าต่อแต่สายตาดันไปสะดุดกับใบหน้าของเพื่อนบ้านคนใหม่ขณะเจ้าตัวหันหน้ามาทางนี้เสียก่อน จากหน้าต่างบานใหญ่ตรงส่วนหน้าของตัวบ้านซึ่งร่างสูงมักใช้เป็นที่นั่งทำงานซึ่งไม่ห่างจากรั้วด้านหน้าของบ้านเดี่ยวหลังซึ่งอยู่ติดกันมากนัก แน่นอนว่าการมองเห็นของเขาไม่ผิดพลาด
ราวกับโลกหยุดหมุนชั่วขณะ ทุกสิ่งอย่างรอบตัวบังยงกุกชะงักนิ่ง ขณะเดียวกันภาพที่เห็นก็ค่อยๆเลือนลางจางไปกระทั่งสิ่งเดียวที่เข้ามาสู่การรับรู้คือใบหน้าของผู้ชายคนนั้น โครงหน้าเรียวขาวผ่อง พวงแก้มเนียนละเอียดสีส้มเรื่อ ดวงตากลมเรียวคู่หวานรับกับกรอบคิ้วสีเข้ม จมูกโด่งเป็นสันราวกับถูกปั้นโดยจิตรกรเอก กลีบปากอิ่มหยักรูปกระจับสีชมพูพีชน่าจับจองเป็นเจ้าของ
ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะเชื่อรึเปล่า แต่ผมคงบอกได้เพียงแค่ว่าผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ผมไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ผมเคยเจอเขามาก่อน จนถึงตอนนี้คงราวๆสามเดือนได้แล้ว...
ผมเจอเขาในความฝัน ใช่ ฝันนั่นแหละ เจอแทบทุกครั้งที่นอนหลับมาเป็นเดือนๆจนผมคิดว่ามีใครอีกคนอยู่ด้วยในบ้านไปแล้ว มันเป็นฝันที่ไม่เคยมีบทสนทนาใดเกิดขึ้น ผู้ชายคนนั้นเพียงแต่ยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่สว่างสดใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต ราวกับเขากำลังมีความสุข แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าจากรอยยิ้มหวานน่าประทับใจนั่น อันที่จริงไม่ใช่แค่สัมผัสได้หรอก หัวใจของผมรู้สึกเจ็บแปลบบาดลึกทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั้น และที่แปลกกว่านั้นคือผมไม่ได้รู้สึกเพียงแค่ในความฝัน...
มันเจ็บแปลบลามไกลมาถึงหัวใจของผมในความเป็นจริงด้วย.....
September 6, 2012
4.29 p.m.
เสียงกริ่งหน้าบ้านปลุกร่างหนาซึ่งกำลังจมง่วนอยู่กับกองกระดาษงานเขียนแบบที่ได้รับมอบหมายติดต่อกันมาเกือบสี่ชั่วโมงให้ละสายตาจากกระดานตรงหน้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ประตูรั้วด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกรบกวนสมาธิ แวบแรกที่มองเห็นคนกดกริ่งเต็มตายงกุกคิดว่าตัวเองฝันไป หากเพียงเสี้ยววินาทีที่นึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องจริงหัวใจก็เต้นถี่รัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย รู้สึกถึงเหงื่อเม็ดเล็กๆที่เริ่มผุดขึ้นตามขอบไรผม
“สวัสดีครับ ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังถัดจากคุณ ชื่อคิมฮิมชาน เป็นช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยวครับ” เจ้าของบ้านใช้ความพยายามมากพอสมควรในการระงับอาการแปลกประหลาดไม่ต่างจากคนโรคจิตของตัวเองขณะเอ่ยตอบผู้ชายหน้าหวานที่คลี่ยิ้มสดใสค้างไว้ตั้งแต่เขาเปิดประตูออกมา คนตรงหน้าเลิกคิ้วมองอย่างคาดหวังเป็นเชิงกดดันกลายๆ ร่างสูงมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่อึดใจก่อนจะแนะนำตัวอย่างเกร็งๆ
“ผมบังยงกุก...เป็นสถาปนิก” ฮิมชานยกยิ้มกว้างก่อนจะยื่นโหลแก้วซึ่งบรรจุเต็มด้วยคุ้กกี้สีเนยให้เจ้าของบ้าน สายตาเรียวคมของร่างสูงปราดมองคุ้กกี้ในขวดโหลเพียงแวบเดียวก็ย้ายมาหยุดที่มือเรียวบางของคนตรงหน้าแทนโดยไม่ได้ตั้งใจ แหวนสีเงินเรียบๆวงหนึ่งส่องประกายสงบนิ่งอยู่บนนิ้วนางข้างขวา
“ผมทำเอง ถ้าอร่อยบอกได้ แต่ถ้าไม่อร่อยห้ามบ่นนะครับ” ร่างบางพูดแล้วขำออกมาเอง ยงกุกละสายตาจากมือบางหันมาหัวเราะน้อยๆอย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนักกับคำพูดติดตลกค่อนไปทางฝืดและท่าทางสดใสของเพื่อนบ้านคนใหม่ ปกติเขาไม่ใช่คนที่ยิ้มหรือหัวเราะบ่อย นานครั้งที่ยงกุกจะได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเอง มันทำให้เจ้าตัวรู้สึกประหลาดและไม่คุ้นเคยเสมอ แปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อยตอนที่ทำแบบนั้นกับคนตรงหน้า ร่างหนารับโหลคุ้กกี้มาแล้วกล่าวขอบคุณก่อนเอ่ยชวนเพื่อนบ้านคนใหม่เข้าบ้านตามมารยาท
“ไม่ครับๆ ไม่เป็นไร วันนี้ผมมีเรื่องต้องทำ ไว้วันหลังผมจะมาเยี่ยมอีกแน่นอน” คนหน้าหวานก้มหัวน้อยๆก่อนขอตัวกลับ ร่างสูงเผลอมองตามเพื่อนบ้านคนใหม่จนร่างบางหายลับเข้าไปในประตูบ้าน ก้มลงมองคุ้กกี้ในมือพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในใจ
ความรู้สึกเจ็บแปลบเวลาที่เห็นใบหน้าร่างบางยังคงเกิดขึ้นกับยงกุก แต่ความสับสนปนสงสัยที่เขาคนนั้นมีตัวตนขึ้นมาจริงๆเข้ามาผสมปนเปกับอาการเจ็บแปลบจนกลายเป็นความงุนงงสับสน...กลายเป็นช่องว่างซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควันสีเทาหม่น...
รู้สึกดี..หากทว่าไม่ชัดเจนเมื่อมองลึกลงไป.....
September 13, 2012
7.09 p.m.
“..ผม...เข้า.ป..มั้..” ยงกุกหลุบสายตาจากหนังสือในมือเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่างข้างนอกบ้านที่แทรกอยู่ในเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำด้วยความตั้งใจ ฝนฤดูใบไม้ร่วงมันน่าหงุดหงิดเสมอสำหรับเขา กริ่งหน้าบ้านคงช็อตเพราะโดนน้ำฝนอีกตามเคย บางทีอาจมีคนมาหาเขาที่หน้าบ้านแต่กดกริ่งไม่ได้ ร่างหนานั่งนิ่งฟังเสียงขาดห้วงอยู่นานก่อนตัดสินใจลุกขึ้นคว้าร่มออกไปดูที่หน้าบ้าน
“ฮิมชาน!!” ขายาวพุ่งไปที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นร่างบางซึ่งยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตูรั้ว มือข้างหนึ่งถือร่มสีแดงอีกข้างหิ้วถุงจากซุปเปอร์มาเก็ต พายุฝนและลมกระโชกทำให้ร่มที่ถืออยู่แทบไร้ประโยชน์ ร่างเล็กเปียกปอนด้วยน้ำฝน ใบหน้าขาวและปากสีชมพูพีชซีดจางเนื่องจากความหนาวเหน็บ ยงกุกพาคนตัวสั่นเข้ามาในบ้าน จัดแจงหาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มายื่นให้
ความหงุดหงิดวิ่งพล่านอยู่ในใจเพราะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง บังยงกุกไม่เคยลุกลี้ลุกลนเพราะเป็นห่วงใครขนาดนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้เขาเคยจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้เสมอไม่ว่าในสถานการณ์แบบไหน แต่ครั้งนี้กลับนึกไม่ออกแม้แต่น้อยว่าต้องควบคุมมันยังไง
“แล้วทำไมนายถึงไม่เข้าบ้านล่ะ?” เจ้าของบ้านถามขณะคุ้ยค้นหาเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใช้ในตู้ถัดจากห้องครัว คิ้วหนาเคลื่อนชนกันอย่างลืมตัวเมื่อรับรู้ว่าในตู้เก็บของไม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่เหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว
“ผมลืมกุญแจไว้ในบ้านน่ะครับ นั่นคุณหาอะไรอยู่?” คนถูกถามหันมองคนที่กำลังตกอกตั้งใจเช็ดผมอยู่บนโซฟานิ่งก่อนตอบตามความจริง
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ผมใส่ชุดนี้ก็ได้” คนบนโซฟาพูดแล้วก็ห่อไหล่กระชับผ้าเช็ดตัว ร่างสูงท้วงขึ้นอย่างลืมตัวด้วยความเป็นห่วงซึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าโมโห ฮิมชานหัวเราะน้อยๆก่อนพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“ถ้างั้นเอาชุดคุณให้ผมยืมก่อน ไว้ผมจะซักมาคืนให้วันหลัง” ร่างสูงยืดตัวยืนขึ้น เข้าไปในห้องนอนหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่คิดว่าเหมาะกับคนหน้าหวานที่สุดออกมาให้ นึกหงุดหงิดตัวเองที่จริงจังเกินจำเป็นกับแค่การเลือกเสื้อผ้าให้คนที่รออยู่ข้างนอก
“ขอโทษนะครับ แต่เครื่องทำน้ำอุ่นของคุณมันไม่ยอมปล่อยน้ำออกมา” เสียงตะโกนเรียกของคนที่เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียกยงกุกที่กำลังจะจมไปกับกองกระดาษเขียนแบบอีกครั้งให้ก้าวตรงไปที่ห้องน้ำอย่างไม่รีรอ
“.......” ร่างหนาชะงักเมื่อเห็นสภาพคนในห้องน้ำ ฮิมชานเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าแห้งที่ให้ยืมเรียบร้อย แต่บนหัวกลับมีฟองแชมพูอยู่เต็มไหลย้อยมาถึงขมับและหางคิ้ว คนหน้าหวานหลับตาปี๋ทั้งสองข้างไม่ให้ฟองไหลเข้าตา มือที่เคลือบด้วยฟองสีขาวทั้งสองข้างยื่นออกไปข้างตัว
เจ้าของบ้านเผลอยิ้มละมุนกับภาพตรงหน้าก่อนก้าวไปสำรวจเครื่องทำน้ำอุ่น ห้องน้ำที่ถูกออกแบบให้มีขนาดไม่ใหญ่มากมีกำแพงสูงระดับอกกั้นแบ่งโซนอาบน้ำและโซนชักโครกทำให้ร่างสูงต้องแทรกตัวเข้าไปยืนเบียดใกล้ร่างเล็กที่ยืนหลับตานิ่งไม่ขยับอยู่ใต้ฝักบัว
ยงกุกรู้สึกได้ว่าสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนักขณะพยายามจัดการกับเครื่องทำน้ำอุ่นตรงหน้า และรับรู้ถึงสภาวะสติเตลิดกระเจิงอย่างแจ่มชัดเมื่อเผลอกดเปิดน้ำทั้งที่ตัวเองยังยืนอยู่ภายใต้ฝักบัวติดเพดาน....
ร่างสูงชะงักนิ่ง ปล่อยกระแสน้ำอุ่นไหลซึมเสื้อผ้าของทั้งตัวเองและอีกฝ่ายจนเปียกโชก ตาเรียวตรึงอยู่ที่กลีบปากหยักใสสีพีชที่เคลือบด้วยน้ำจากฝักบัว เคลื่อนต่ำลงมาที่ลำคอขาวนวล กระดูกไหปลาร้า และเรียวไหล่เล็กบาง ก่อนเลื่อนลงมาที่เสื้อสีขาวบางของตัวเองที่ค่อยๆแนบเนื้อเนียนไร้ตำหนิของคนตรงหน้าจนสุดท้ายมองเห็นร่างกายท่อนบนทั้งร่างราวกับไม่ได้มีสิ่งใดปกคลุมอยู่
“เฮ้ย!! คุณ!” ฮิมชานที่เพิ่งลืมตาขึ้นหลังจากล้างฟองหมดจากใบหน้าตกใจก้าวถดออกจากวิถีฝักบัว ตาเรียวกลมเบิกจ้องร่างสูงอย่างงุนงง คนถูกจ้องที่ได้สติในวินาทีต่อมาแสร้งอธิบายการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่นรัวๆอย่างทำตัวไม่ถูกก่อนอ้างจะไปหาชุดใหม่ให้แล้วเผ่นออกจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่ขายาวจะเอื้ออำนวย
“คืนนี้ผมขอค้างบ้านคุณได้มั้ย?” ร่างบางเอ่ยขึ้นหลังจากเหลือบมองนาฬิกาสลับกับสภาพอากาศนอกหน้าต่างและพบว่าไม่มีทางที่จะโทรเรียกช่างให้มาจัดการเรื่องกุญแจได้ในช่วงเวลาพายุเข้าเช่นนี้ เจ้าของบ้านตวัดสายตาขึ้นจากกองกระดาษบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่มองคนบนโซฟาอีกฝั่งนิ่ง ร่างบางมองตอบแววตาไร้ความรู้สึกซึ่งเป็นปกติของร่างหนาท่ามกลางความเงียบภายในโถงกลางบ้าน
“...ยังไงนายก็เข้าบ้านไม่ได้อยู่แล้วหนิ” ยงกุกพูดยักไหล่ เสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์ดังสะท้อนผนังเย็นเฉียบท่ามกลางความเงียบและเสียงพายุด้านนอก ก่อนเจ้าของเสียงจะก้มลงสนใจกับกองกระดาษตรงหน้าต่อ
บังยงกุกเหยียดกายลุกขึ้นหมุนคอไปมาคลายเมื่อยหลังจากก้มหน้างมอยู่กับงานบนโต๊ะมานานกว่า 2 ชั่วโมง เดินมาหยุดที่โซฟาสีเทาเข้มซึ่งมีร่างบางนอนขดตัวหลับตาพริ้มอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของโซฟา บนโต๊ะมีจานอยู่ 2 จาน จานหนึ่งมีแซนวิชหน้าตาหน้ากินวางอยู่สองชิ้น อีกจานมีแซนวิชที่ถูกกัดกินไปเพียงครึ่ง ส่วนโกโก้อีกสองแก้วบนโต๊ะ แก้วหนึ่งเหลือเพียงคราบสีน้ำตาลเข้ม อีกแก้วคือโกโก้อุ่นเกือบเย็นซึ่งอดีตเคยร้อนและส่งกลิ่นหอมกรุ่น
ความรู้สึกเจ็บแปลบที่คุ้นเคยวาบกลับมากระทบหัวใจอีกครั้ง ร่างสูงเคยชินกับมันเสียแล้ว มือเรียวใหญ่เอื้อมหยิบแซนวิชครึ่งที่เหลือใส่ปากเคี้ยวหมดภายในสองคำ ถือจานและแก้วโกโก้ทั้งหมดบนโต๊ะเข้าไปในห้องครัวภายในคราวเดียว วางโกโก้ทั้งสองแก้วในอ่างล้างจาน เปิดตู้เย็นเก็บแซนวิชสองชิ้นที่เหลือ
พลันสายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่หายไปเมื่อวานวางอยู่ใกล้กับกระป๋องเบียร์สี่ห้ากระป๋องตรงประตูตู้เย็น มือเรียวใหญ่หยิบแท่นสี่เหลี่ยมแบนบางเย็นเฉียบออกมาวางบนเค้าเตอร์อย่างไม่ใส่ใจก่อนเดินออกจากห้องครัว ยงกุกนึกดีใจที่เจอมันในตู้เย็นแทนที่จะเป็นเครื่องซักผ้าหรือตู้ไปรษณีย์เหมือนครั้งก่อนๆ....
เจ้าของบ้านช้อนตัวร่างเล็กที่นอนขดบนโซฟาขึ้นอย่างไม่ยากเย็น เปิดประตูห้องนอนวางคนหน้าหวานลงบนเตียงนุ่มด้วยความรู้สึกประหลาด ใจสั่นรัวควบคุมไม่ได้ไร้ซึ่งสาเหตุที่แน่นอน ไม่ชัดเจนว่าต้นเหตุมาจากคนตรงหน้าหรืออย่างอื่นแน่ ร่างหนาถอดเสื้อยืดของตัวเองออกเหวี่ยงลงตะกร้าผ้าที่มุมห้องอย่างเคยชินแล้วหย่อนตัวลงบนเตียงอีกฝั่ง ความเมื่อยล้าจากการทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานกำลังคลืบคลานเข้ามาดึงสติลงสู่นิทราทว่ายงกุกฝืนตัวเองเอาไว้ เขายังไม่อยากนอน ยังอยากนั่งมองคนบนเตียงอีกซักพักถึงแม้ตัวเองจะไม่รู้ถึงเหตุผลของการกระทำก็ตาม...
ผ่านไปไม่ถึงห้านาที สายฝนด้านนอกไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ความอ่อนล้าบีบบังคับให้ร่างหนาต้องเข้าสู่สภาวะหลับไหล ก่อนที่สติเสี้ยวสุดท้ายจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแห่งนิทรา แขนแกร่งเอื้อมคว้าเอวบางของคนที่นอนอยู่ข้างๆเข้ามาแนบตัว กระชับกอด กดจมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากเส้นผมก่อนวางคางลงบนกลุ่มผมนุ่มของคนในอ้อมแขนอย่างทนุถนอม
สติสัมปะชัญญะอันบางเบาเป็นเหตุให้ร่างหนาไม่ใส่ใจจะคิดหาเหตุผลของการกระทำ มีเพียงบางสิ่งในจิตใต้สำนึกซึ่งโหยหาความอบอุ่นจากร่างกายและจิตใจคนที่นอนข้างๆเท่านั้นที่สั่งการให้แขนแกร่งกระชับกอดให้แน่นขึ้นไปอีก...
มันผ่านไปเพียงแค่ 2 สัปดาห์ที่ผมได้รู้จักกับเพื่อนบ้านคนใหม่ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกต่อผู้ชายที่มีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้าหวานๆแทบจะตลอดเวลาคนนั้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงน้อยนิด ผมรู้สึกคุ้นเคยกับฮิมชานราวกับเขาเป็นใครบางคนที่รู้จักตัวผมพอๆหรือบางทีอาจจะมากกว่าที่ผมรู้จักตัวผมเองด้วยซ้ำไป รู้สึกมีความสุขที่สุดเวลาที่เขาอยู่ใกล้ๆทั้งที่ปกติผมจะหงุดหงิดเสมอเวลามีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายอยู่ข้างๆไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ ทั้งที่มั่นใจว่าไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนแต่ผมกลับคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด....
แต่ถึงอย่างนั้น สมองผมก็ยังคงเต็มไปด้วยหมอกควันสีเทา....มันยังคงไม่ชัดเจนในความรู้สึก
September 19, 2012
4.43 p.m.
“คุณมาที่นี่บ่อยหรอครับ?” ผู้ชายหน้าหวานที่นั่งอยู่ริมบึงกว้างข้างๆร่างหนาในสวนสาธารณะขนาดย่อมของหมู่บ้านถามขณะยกกล้องขึ้นส่อง ขยับเลนส์ อึดใจต่อมาเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอย่างแปลกแยกท่ามกลางเสียงลมเอื่อยเฉื่อยและเสียงใบไม้แห้งปลิวร่วงตกลงพื้น ครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้ฮิมชานขอตามยงกุกมาที่นี่ขณะเห็นเจ้าตัวกำลังเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อยอยู่บนทางเท้า คนถูกขอก็ยิ้มรับอย่างยินดีทั้งที่ไม่ใช่ปกติวิสัย
...ทว่ากับคิมฮิมชาน...บังยงกุกมักจะเป็นแบบนั้นเสมอ......
“ใช่...” คนถูกถามตอบเสียงเบาขณะเหม่อมองบรรยากาศสงบเงียบของสวนสาธารณะซึ่งโดดเดี่ยวจากผู้คน แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยสาดกระทบทั่วบริเวณ สีน้ำตาลของต้นไม้แห้งหลากชนิดกลายเป็นสีน้ำตาลทองให้ความรู้สึกอบอุ่น สูงขึ้นไปเป็นท้องฟ้าโปร่งมีริ้วเมฆขนาดเล็กกระจายบางตา
“คุณคงชอบที่นี่” เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้เลนส์กล้องหันตรงมาทางยงกุกที่นั่งเหม่ออยู่ คนที่ถูกถือวิสาสะถ่ายรูปเหลือบมองคนข้างๆที่คลี่ยิ้มน่ารักให้อยู่ก่อน ร่างหนาไม่ว่าอะไร ยิ้มตอบน้อยๆแล้วเบือนหน้าทอดสายตาไปยังบึงกว้างเบื้องหน้า
“ท้องฟ้าที่นี่สวยมากนะ”
“ท้องฟ้าไม่เคยสวยไปกว่าท้องฟ้าหรอกครับ คนที่อยู่ข้างๆตอนมองท้องฟ้าต่างหากที่เป็นเหตุผลให้แผ่นสีฟ้าข้างบนนั้นสวยงาม...” ทันใดนั้นตาเรียวตวัดมองคนที่กำลังเงยหน้ามองฟ้าสองมือถือกล้องเอาไว้ระดับอก ร่างหนาจ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยแวบความคิดนั้นลอยหายไปกับกระแสลมเอื่อยที่พัดผ่านมาอย่างเงียบเชียบ
ยงกุกรู้สึกราวกับเคยได้ยินใครบางคนพูดประโยคนี้มาก่อน ทว่าก็เป็นเพียงความรู้สึกที่ไร้ซึ่งหลักฐานแห่งความทรงจำใดๆ ร่างหนาจึงปล่อยความคิดที่เพิ่งสว่างวาบขึ้นมาปลิวหายไปกับสายลมอย่างง่ายดายภายในเวลาไม่กี่อึดใจ.....
September 23, 2012
7.52 a.m.
บังยงกุกวิ่งมาหยุดค้ำเข่าหอบท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในชั่วโมงเร่งด่วนของวันทำงานอยู่หน้าตึกรูปทรงประหลาดขนาดไม่ใหญ่มากซึ่งตั้งแทรกอยู่ระหว่างแนวตึกสูงซึ่งตระหง่านขนาบทั้งสองข้าง ไม่กี่นาทีต่อมาร่างสูงยืดตัวยืนนิ่งงัน ตาเรียวจ้องค้างนิ่งที่จุดๆเดียว คิ้วเข้มขมวดจนแทบชิดกันเป็นเส้นเดียวเมื่อจู่ๆจุดหมายปลายทางของการวิ่งกระหืดกระหอบออกจากบ้านมาเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปจากสมองเสียดื้อๆ....
ในหัวว่างเปล่า ราวกับเขาได้ทำชิ้นส่วนของสมองบางชิ้นหล่นหายไประหว่างทาง ยงกุกก้มมองวัตถุสีดำในมือชุ่มเหงื่อ มันคือกล่องทรงกระบอกบรรจุแบบแปลนที่เพิ่งร่างเสร็จเมื่อคืนก่อน เขารู้ว่าต้องนำสิ่งที่อยู่ในกล่องมาส่งให้ใครบางคนซึ่งโทรไปโวยวายทวงงานกับเขาแต่เช้าตรู่
แต่ทิศทางที่ต้องมุ่งไปส่งมอบชิ้นงานนั้นกลับไม่ปรากฎอยู่ในสมอง....
“อ้าวรุ่นพี่ ไม่เจอตั้งนาน มาส่งงานหรอครับ? อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุคราวก่อนหายดีแล้วใช่มั้ย?” ยงกุกสะดุ้งหันขวับไปมองเด็กหนุ่มท่าทางสุภาพที่เข้ามาแตะไหล่ทักทาย ตาเรียวมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่ไว้ใจ เด็กหนุ่มเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ผมยูยองแจไงรุ่นพี่ ทำไมพี่ต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยพี่ยงกุก?” ร่างเล็กเอียงคอถามพลางขยับกรอบแว่น
“...เปล่า ไม่มีอะไร” ตอบออกไปอย่างเหม่อลอย มือเรียวใหญ่ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อซึ่งไหลจากขมับย้อยลงสู่ใต้คาง คอเสื้อเริ่มชื้นเนื่องจากเม็ดเหงื่อซึ่งเกาะพราวอยู่ทั่วลำคอ ยงกุกรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่เย็นเฉียบทั้งๆที่เหงื่อซึมออกมาแทบชุ่มเสื้อเชิ๊ต
“พี่โอเครึเปล่าพี่ยงกุก? ผมว่าเข้าไปนั่งพักในบริษัทก่อนดีกว่านะ” เด็กหนุ่มรีบถ่ายกระเป๋าสัมภาระไปไว้ในมือข้างเดียวก่อนจะยกมือข้างที่ว่างแตะหลังร่างสูงเป็นเชิงเร่งให้เดินเข้าตึกด้วยกันอย่างเป็นห่วง ยงกุกเดินตามอีกฝ่ายโดยไม่ขัดขืน ขณะสาวเท้าสู่สถานที่ซึ่งร่างเล็กกำลังนำเขามุ่งไปในหัวก็ครุ่นคิดถึงแต่ข้อมูลที่หายไปจนปรากฎแววความเครียดฉายออกมาทางสีหน้า ทำเอาคนเดินข้างๆอดเป็นห่วงไม่ได้หากแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ได้ยินเป็นแน่
“ผมว่าพี่ควรจะไปหาหมอนะ บางทีอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งก่อนอาจจะยังไม่หายสนิท” เด็กหนุ่มยื่นกาแฟมาตรงหน้ายงกุกแล้วเดินไปยืนจิบกาแฟพิงขอบโต๊ะใกล้ๆ ร่างหนารับแก้วมาถือไว้ในมือนิ่ง สมองคล้ายจะปรับเข้าสู่สภาพปกติ แม้จะยังไม่เต็มร้อยดีนักแต่ก็พอจะให้เกิดความสงสัยในประโยคชวนฉงนของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง
“อุบัติเหตุอะไร?” คำถามของร่างสูงบนเก้าอี้ทำเอาคนที่ยืนพิงโต๊ะเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อสายตา
“ตลกน่า ก็ที่พี่โดนรถชนเมื่อครึ่งปีก่อนไง นี่พี่จำไม่ได้จริงๆหรอ?”
“.......” ร่างสูงเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาว่างเปล่า ในสมองไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนั้นแม้แต่น้อย บาดแผลบนตัวที่เป็นหลักฐานของอุบัติเหตุยงกุกก็ยังไม่เคยเห็น นี่เขาลืมอะไรไปจริงๆหรือเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังอำเขาเล่นกันแน่...
ความคิดเห็น