ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    △ Whistling Autumn Wind the B.A.P Short-Fic

    ลำดับตอนที่ #1 : △ The Rain of Pain :: ZL'HC

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 56






     
     



     



     
     

     

    What you always see is me, who’s still here so far.

     

     

     

    “ฝนตกแล้วแฮะ หะๆๆ”          ผู้ชายหน้าหวานที่นั่งขัดสมาธิบนบันไดขึ้นตึกข้างๆผมฉีกยิ้มกว้างสุดมุมปากเหม่อมองไปที่ลานหน้าตึกที่ฝนเริ่มตกปรอยลงมาเป็นม่านจางๆ ท่าทางฮาๆเป๋อๆเหมือนเด็กประถมนั่นไม่เคยหายไปจากหมอนี่ไม่ว่ามันจะโตขึ้นกี่ปีก็ตาม ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเจอใครที่ชอบฝนขนาดมันมาก่อนเลยจริงๆ

     

    ผมแลตามองมันนิ่งเหมือนอย่างทุกครั้ง ไม่เคยอนุญาตให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อมันเล็ดลอดออกไปแสดงให้มันเห็นเหมือนอย่างที่ทำมาตลอด 4 ปีที่ผมรู้จัก...4 ปีที่ผมลักลอบใช้ความเป็นเพื่อนสนิทกอบโกยความรู้สึกดีๆที่ได้อยู่ข้างๆมันตลอดมา

     

    “พี่อิลวุนมาแล้วว่ะ ไปก่อนนะไอ้เผือก”             ฮิมชานผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นไอ้รุ่นพี่ที่มันคบอยู่โผล่หน้าออกมาจากตึกอีกฝั่ง ยืนมือมายีหัวผมเหมือนทุกครั้งแล้ววิ่งไปหาไอ้หมอนั่นท่ามกลางสายฝนที่เริ่มตกหนักขึ้นทีละน้อยอย่างลิงโลด มันไม่เคยกลัวที่จะตากฝนเลยซักครั้ง

     

    ผมมองตามจนมันเดินออกจากประตูโรงเรียนไปกับไอ้รุ่นพี่คนนั้นแล้วก้มหน้ายิ้มเศร้าๆให้ตัวเอง ทั้งๆที่เป็นวันแรกที่ผมได้มาโรงเรียนหลังจากขึ้นปี 2 มาเกือบสองอาทิตย์ ทั้งๆที่เป็นวันที่ผมมาเรียนหลังจากไม่ได้มาเหยียบที่นี่เกือบเดือนได้ ทั้งๆที่อุตส่าห์ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง คิมฮิมชาน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมก็ยังไม่คิดที่จะใช้เวลาอยู่กับผมให้นานกว่านี้ แค่นานกว่านี้อีกสักหน่อยเท่านั้นก็คงดี

     

    เพราะวันนี้ไม่มีงานและผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยนั่งอยู่อย่างนั้นอย่างคนไม่มีที่ไป อันที่จริงมันอาจจะฟังดูงี่เง่าไปหน่อยถ้าผมจะบอกว่าผมรอฮิมชาน แต่ไม่รู้สิ ผมคิดว่าผมทำจริงๆล่ะ รู้ตัวอีกทีฝนก็หยุดตก โรงเรียนทั้งโรงเรียนว่างเปล่า ผมยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาบอกเวลาราว 5 โมงเย็น เงยหน้ามองท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่ คงเพราะโรงเรียนเลิกเร็วเกินไป ผมลุกขึ้นหยิบหน้ากากสกรีนลายขาวดำขึ้นมาสวม ก้าวขาเนิบนาบไปที่ประตูรั้วโรงเรียนราวกับพยายามให้ทุกก้าวใช้เวลานานที่สุดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

     

    เสียงของใครบางคนฉุดขาของผมที่กำลังจะเดินผ่านอาคารชั้นปี 3 ที่อยู่ตรงข้ามกับตึกที่ผมเรียนให้ชะงัก ทั้งๆที่ยังไม่รู้ชัดว่าเป็นเสียงของใครแต่ขายาวๆของผมกลับเปลี่ยนทิศวิ่งเข้าไปบนตึกหาที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว สังหรณ์ใจแปลกๆ หัวใจเต้นถี่รัว ในทุกๆก้าวที่เข้าใกล้เป้าหมายราวกับพลังงานถูกดูดกลืนหายไปกับอากาศที่ตัวผมเคลื่อนผ่าน และแล้วผมก็วิ่งมาถึงจุดที่เป็นต้นเหตุของเสียงเมื่อครู่

     

    “เลิกยุ่งกับกูซะที!! กูบอกมึงไปตั้งนานแล้วว่ากูอยากจบ ไม่เข้าใจรึไงวะ!!

     

    “แต่พี่ก็ให้ผมรออยู่หน้าโรงเรียนเพื่อมาเจอกับผู้หญิงคนนี้ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ยอมรับเรื่องที่พี่บอกเลยเนี่ยนะ?”

     

    “โถ่เว้ย! จะเอาอะไรอีกวะ! กูก็บอกมึงว่าเรื่องของเรามันจบไปแล้วไง!!

     

    เพียะ!!!

     

    “ฮึก...พี่ทำอย่างงี้ได้ยังไง มาหาคนอื่นแล้วปล่อยผมที่ยังตัดใจจากพี่ไม่ได้รอพี่อยู่อย่างงั้นได้ยังไง?! ฮือออออ”

     

    “นี่มึงโง่หรือบ้ากันแน่ห๊ะ! กูบอกให้มึงกลับไปแต่มึงเสือกเลือกที่จะรอกูเอง รับความจริงซะทีเถอะ”

     

    “เดี๋ยวพี่อิลวุน! อย่าไป.....พี่อ..โอ๊ย!

     

    พลั่ก!

     

    “จุนฮง! ไม่!! อย่าทำเขา!! จุนฮงอย่า!!

     

    ผมพุ่งเข้าไปกระชากเสื้อไอ้เลวนั่นเหวี่ยงลงพื้นเต็มแรงแล้วขึ้นคร่อมรัวหมัดกระแทกหน้ามันอย่างไม่ยั้งมือ ราวกับถูกความโกรธที่เห็นมันผลักฮิมชานกระเด็นไปกระแทกพื้นครอบงำจนหูหนวกตาบอด เสียงร้องห้ามของทั้งฮิมชานและผู้หญิงอีกคนดังก้องอยู่ใกล้ๆหูแต่ผมกลับฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าพวกเขาพูดว่าอะไร ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยเลือดของไอ้เลวตรงหน้าก็ไม่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ของผมเช่นกัน






     

    Sometimes you may feel desolated, but don’t forget someone whose heart never be far from you.

     

     

     

    “แกเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่หรอ!!!!”         เสียงตะโกนปนสะอื้นของฮิมชานผ่านเข้ามาสู่โสตประสาทของผมในที่สุด หมัดเปื้อนเลือดชะงักนิ่ง มือที่กำคอเสื้ออ่อนแรง ไอ้เลวนั่นผลักผมออกแล้ววิ่งออกไปกับผู้หญิงคนนั้น ผมล้มตัวลงนอนราบกับพื้นอาคาร แผ่นอกกระเพื่อมด้วยความเหนื่อยหอบ ร่างกายกำลังต้องการอากาศปริมาณมากแต่ผมกำลังรู้สึกว่าเพียงแค่หายใจเข้าก็ยังแทบไม่มีแรง

     

    คำถามของฮิมชานเมื่อกี้ ผมอยากจะหันไปตะโกนตอบมันดังๆเหลือเกินว่า ไม่ผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนของมันเลย ยิ่งในฐานะเพื่อนสนิทแบบนี้ยิ่งทำผมแทบคลั่งเมื่อนึกถึงมัน ผมอยากจับมือมันทุกครั้งที่อยากจับ ลูบผมมันทุกครั้งที่มันยิ้มน่ารักมองสายฝน ดึงมันมากอดทุกครั้งเวลารู้สึกแย่ อยากแสดงท่าทีหงุดหงิดอย่างไม่ต้องปิดบังเวลาที่เด็กผู้ชายคนอื่นพยายามเข้าใกล้มัน

     

    การเป็นเพื่อนสนิทของมันทำให้ผมต้องอดทนกับทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ...เพียงเพื่อให้ได้อยู่ข้างๆมันแบบนี้

     

    “ฮึก...ไอ้เผือกจุนฮง ไอ้งี่เง่า...”          ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆผมยกแขนเสื้อปาดน้ำตาลวกๆก่อนจับมือผมยกขึ้นดูแผลที่ข้อนิ้วพลันน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาอีก มันสูดน้ำมูกเหมือนเด็กๆ ยกแขนปาดน้ำตาอีกครั้งแล้วหันมาจ้องผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างไม่ปิดบัง

     

    “เจ็บมั้ย?”           ฮิมชานถามเสียงแผ่วพลางลูบมือผมอย่างอ่อนโยน ผมอยากจะดึงมันมากอดแทบกระอักแต่ก็ต้องอดทนไว้อย่างที่ทำมาตลอด ผมส่ายหน้าส่งไปเป็นคำตอบ ถ้ามันหมายถึงมือผมที่มันจับอยู่ คำตอบคือไม่เจ็บเลยสักนิด

     

    แต่ถ้าถามถึงสิ่งที่เต้นอยู่ในอกผมตอนนี้...แค่คำว่า เจ็บคงอธิบายได้ไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกด้วยซ้ำ

     

    “แกล่ะ...เจ็บมั้ย?”           ผู้ชายตรงหน้าผมหัวเราะเศร้าๆก่อนตอบในสิ่งที่ทำให้ผมหลุดหัวเราะเสียงดังในใจด้วยความเจ็บปวด

     

    “เจ็บสิวะถามได้ แกไม่เคยอกหักจะรู้ได้ไง”          ผมหัวเราะออกมาเบาๆ คลี่ยิ้มทั้งที่ข้างในนี้กำลังร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา

     

    ผมอกหักเพราะคนๆเดียวมาตลอด 4 ปี อกหักก่อนที่จะได้รู้จักความรักด้วยซ้ำไป

     

    ตั้งแต่เป็นฝึกของค่ายจนกลายเป็นไอดอลที่มีแฟนคลับเป็นพันๆทั้งในและต่างประเทศอย่างทุกวันนี้ ผมแอบหวังเสมอว่าความมีชื่อเสียงของผมอาจจะทำให้ฮิมชานหันมามองผมสักวัน หลายปีที่ผ่านมาผมทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพัก แค่เวลามาโรงเรียนยังแทบไม่มี แต่ผมก็พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะมาโรงเรียน ใช้เวลาว่างอันน้อยนิดในการอ่านหนังสือเพื่อจะได้สอบไล่ขึ้นมาอยู่ห้องเดียวกันกับมันอีกครั้ง

     

    ดูเหมือนผมหวังในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงตลอดมา ระยะเวลา 4 ปีที่ผมรู้จักเด็กผู้ชายเป๋อๆอารมณ์ดีที่ชื่อ คิมฮิมชาน ผมก็อยู่ในฐานะเพื่อนสนิทของมันมาตลอด และมันก็เห็นผมเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงผิวซีดคนหนึ่งที่ชื่อชเวจุนฮงผู้ซึ่งพิเศษกว่าเด็กม.ปลายทั่วไปเป็นอยู่นิดหน่อยก็ตรงที่เป็นเพื่อนสนิทของมัน แววตาของฮิมชานที่มองผมไม่เคยแตกต่างจากวันแรกที่รู้จักกันเลยแม้แต่น้อย

     

    “จะไปไหน?”          ฮิมชานที่น้ำตารื้นอยู่เต็มเบ้าตาทำท่าจะร้องออกมาอีกครั้งเงยหน้าขึ้นถาม ผมไม่ตอบ เพียงแต่ออกแรงฉุดข้อมือมันให้ลุกเดินตาม

    ผมหยุดยืนมองสายฝนที่เริ่มโปรยตัวลงมาอีกระลอกภายใต้ผืนฟ้าสีส้มทึมๆอยู่ที่เชิงบันไดใต้ตึกครู่หนึ่ง ก่อนย้ายมือที่กำรอบข้อมือเล็กมาจับมือบางของฮิมชานแล้วพามันเดินลงตึกไปยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำบนลานกว้างว่างเปล่าเบื้องหน้า

     

    เจ้าของมือเรียวที่มือซึ่งเต็มไปด้วยแผลของผมเกาะกุมอยู่เงยหน้ามองผมอย่างไม่เข้าใจ มันรู้ดีว่าผมไม่ค่อยถูกกับสายฝนเท่าไหร่นัก ผมปั้นแต่งยิ้มที่ดูอบอุ่นที่สุดส่งให้ฮิมชาน กระชับมือที่กุมมือมัน แหงนหน้ามองผืนฟ้าสีหม่นที่โปรยเม็ดฝนลงมาถี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลับตาลงช้าๆ

     

    ไม่นานคนที่ยืนข้างๆก็เข้าใจจุดประสงค์ในการมายืนตากฝนของผม ผมได้ยินเสียงร้องของมันคลอไปกับเสียงฝนพรำ ไม่กี่นาทีต่อมามันเริ่มดังขึ้นกลายเป็นเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดแทรกผ่านสายฝนเข้าสู่โสตประสาท กรีดย้ำลงไปในหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลของผม และในที่สุด จากเสียงคร่ำครวญก็กลายเป็นกรีดร้องด่าทอไอ้เลวนั่นพร้อมกับสะอึกสะอื้นฟังแทบไม่เป็นภาษา เสียงกรีดร้องสะอึกสะอื้นที่ดังมาจากคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆกลายเป็นอาวุธสำหรับทรมานหัวใจผมไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

     

    น้ำตาที่พรั่งพรูออกจากสองตาของผมละลายหายไปกับสายฝนทันทีที่มันไหลออกมาปะทะกับอากาศภายนอก ผมกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้น ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆที่ปลายลิ้น และก่อนที่ผมจะบังคับสองขาให้ยืนอยู่ข้างมันไม่ไหว ผมกระตุกมือดึงคนตัวเล็กที่สะอึกสะอื้นตัวโยนเข้ามาสู่อ้อมกอด กระชับแขนแน่นจนมันแทบจะจมไปกับแผ่นอกกว้าง วางคางลงบนกลุ่มผมชุ่มน้ำฝนของฮิมชานที่ซุกหน้าร้องไห้บนอกผม ลูบหัวอย่างปลอบโยน

     

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ ในที่สุดคนตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นจากแผ่นอกผมตาบวมแดงก่ำ มันย่นจมูกสูดน้ำมูกแล้วปล่อยหัวเราะก่อนจะดันตัวออกจากอ้อมแขนผม ราวกับว่าท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้งทั้งที่ความจริงฝนเพียงแต่ซาไปเท่านั้น หัวใจที่ถูกกรีดแทงจนแทบไม่เหลือสภาพเมื่อครู่ราวกับได้รับการเยียวยา

    “แกโอเคจริงนะ?..ฮั๊ดชู่ว!”          ผมถามมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ระหว่างที่เราสองคนนั่งตัวเปียกรอรถบัสอยู่หน้าโรงเรียน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว รถบัสค่อยๆผ่านไปทีสาย ด้วยสัตย์จริง...ผมยังไม่อยากกลับไปตอนนี้

     

    “เออ แกไม่รู้จักรึไง ท่านคิมร้องไห้ครั้งเดียว น่ะ?”           ผมหัวเราะพรืดกับฉายาที่ไอ้เพี้ยนฮิมชานตั้งให้ตัวเอง ก็จริงอย่างที่มันพูด ไม่ว่าจะเสียใจเพราะเรื่องอะไรก็ตามคิมฮิมชานจะร้องไห้ให้มันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

    แต่ครั้งนี้มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ ถ้ามันร้องไห้เพราะเรื่องนี้อีกครั้งแล้วคนที่อยู่ข้างๆมันไม่ใช่ผมเหมือนอย่างวันนี้ล่ะก็ผมคงต้องคลั่งจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่

     

    แค่ลองนึกดูว่าถ้าวันนี้ผมไม่ได้มาโรงเรียน....มันก็ทำผมแทบล้มทั้งยืนแล้ว

     

    “ถ้าแกมีอะไรต้องรีบแชทมาบอ...ฮั๊ดชู่ว!!..บอกฉันนะเว่ย”          อย่างที่รู้ๆกันว่าผมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือ ทางเดียวที่จะติดต่อกับมันได้ก็มีเพียงโซเชียลเน็ตเวิร์ค

     

    “ทำไม? แกจะไม่ขึ้นคอนเสิร์ตแล้วรีบมาโอ๋ฉันหรอ? ห่วงตัวเองก่อนเถอะไอ้ไอดอลโรบอท ไม่น่ามายืนตากฝนกับฉันเล้ย ฉันมันสายแข็งส่วนแกน่ะโดนฝนนิดเดียวก็จามแล้ว คราวหลังถ้าทำแบบนี้อีกฉันเอาแกตายแน่ เข้าใจมั้ย?”

     

    “ครับแม่..ฮ..ฮั๊ดชู่ว!”          ผมยกมื้อขึ้นถูจมูกจนแดงกลบเกลื่อนใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีเพราะคนตรงหน้ากำลังแสดงท่าทีเป็นห่วงผมอยู่

     

    “รถบัสแกมานู่นแล้ว ไปเร็วเข้า”         รู้สึกใจหายเมื่อได้ยินประโยคนั้น มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่ผมต้องกลับไปหลังจากมาโรงเรียน เพราะนั่นหมายความว่าผมต้องรออีกหลายสัปดาห์หรืออาจจะเป็นเดือนกว่าจะได้กลับมาเรียนอีกครั้ง ผมบอกลาฮิมชานก่อนก้มลงหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม

     

    “ขอบใจจริงๆนะไอ้เผือก”          มือเรียวยกขึ้นยีหัวผมเหมือนทุกครั้งก่อนจากกัน แต่ครั้งนี้กลับเนิ่นนาน อ่อนโยน และอบอุ่นจนผมอดหัวใจพองโตกับสัมผัสนั้นไม่ได้ ผมยกนิ้วยาวผลักหน้าผากฮิมชานจนหัวคลอนก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถ







     

    To make you know, eventhough I always stand so far away from your side,

    I never think of walking away.

    Just so you know here is the heart belongs to you.

     

     

     

    ตื๊อดึง!

     

    เสียงเตือนเรียกผมที่สะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยาแก้หวัดใกล้หลับเต็มทีลุกมาควานแท็บเล็ทจากกองของขวัญแฟนคลับบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมากดรับสายซึ่งโทรผ่านโปรแกรมแชท

    พวกพี่ๆในวงเป็นห่วงกันยกใหญ่ที่ผมกลับมาเนื้อตัวเปียกโชก สั่งให้ผมอาบน้ำทานข้าวทานยาเข้าแล้วนอนทันที ยาแก้หวัดที่เพิ่งกินไปเมื่อ 10 นาทีก่อนก็เหมือนจะรู้ว่าพวกเขาต้องการให้ผมพักผ่อนขนาดไหน สาบานได้ว่าขนาดตอนปีนกลับขึ้นมาบนเตียงตาผมยังลืมไม่ขึ้นแม้แต่นิดเดียว

     

    “ฮัลโหล...”

     

    (เฮ่ยไอ้เผือก! นี่ป่วยจริงดิ? เสียงแกนี่ไหวป่ะเนี่ย?)          เสียงปลายสายกระตุ้นการรับรู้ของผม แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมควบคุมสมองได้เหมือนอย่างปกติ

     

    “อืมม..เพิ่งกินยาไป..แก....โอเคนะ?”

     

    (ถามรอบที่เท่าไหร่แล้ววะ ก็บอกแล้วว่าโอเค)

     

    “..โกหก”

     

    (...ก็รู้นี่หว่า)

     

    “ให้ฉัน..ไปหามั้ย?..”

     

    (ไม่ต้องหรอก ไกล)          คำสุดท้ายจากปลายสายเหมือนตอกย้ำสถานะของผมในตอนนี้ ระยะทางคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถปกป้องฮิมชานจากความเจ็บปวดได้

    วินาทีนี้สมองของผมขาดความสามารถในการควบคุมการกระทำให้เป็นไปตามเหตุและผลไปแล้วโดยสิ้นเชิง

     

    “ใช่..ไกล...ฉันอยู่ไกลจากแกมาตลอด เวลาที่แกต้องการใครสักคน..ฉันก็ไปยืนข้างๆแกไม่ได้ ทำได้แค่มองดูแกเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพัง...มันทรมานมากนะ.. ทุกครั้งที่แกร้องไห้..ข้างในนี้มันเจ็บ ยิ่งตอนที่ทำได้แค่มองดูอยู่ไกลๆแบบนี้...ยิ่งเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก แต่รู้อะไรมั้ย...ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บ แต่ฉันก็ไม่เคยมีสักเสี้ยวความคิดที่จะไปจากตรงนี้... เพราะอะไรรู้มั้ยคิมฮิมชาน?....”

     

    (..............)

     

    “.....เพราะหัวใจของฉันมันอยู่ที่แกแล้วไง...แกได้มันไปทั้งหมด”

     

    (.............)

     

     

     

    “....ฉันรักแก..”           คำต้องห้ามคำนั้นหลุดออกจากปากผมไปอย่างไร้การควบคุม นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เข้ามาสู่การรับรู้ของผม...ก่อนที่ฤทธิ์ยานั่นจะดึงผมให้จมดิ่งสู่ความมืดมิดไร้ขอบเขต

     

     

     

     

    (..............)

     

     

     

     

     

     

     

    (ชเวจุนฮงแกมันงี่เง่า...)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    (...ฮึก.....ทำไมเพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้..)

     

     











    CRY .q
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×