ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LifeAfterDeath 2

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 54


    บทที่ 7

      ณ คำคืนที่ดวงจันทร์ข้างขึ้นส่องแสงลงมา ดวงจันทร์แห่งโลกปีศาจไร้ซึ่งวันข้างแรม กลางลานโลงในป่าร่างหลายร่างถูกตรึงอยู่กับเสาไม้อันใหญ่หลายอันที่กระจายตัวอยู่รอบกองไฟในลานแห่งนั้น

      "ท่านไซมอนคะ... ตอนนี้พวกเรามารอกันพร้อมหมดแล้วค่ะ" ร่างๆหนึ่งกล่าว กลางหลังของร่างๆนั้นเป็นขาแมงมุมแปดขา และขาอีกสองคู่พุดออกมาจากแก้มทั้งสองข้างของเธอ หน้าตาของเธอครั้งหนึ่งนั้นเคยจัดได้ว่าดูดี 

      ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องใส่แว่นสายตาอีกต่อไปแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันตอนนี้เพราะว่าตอนนี้สายตาของเธอนั้น ดีขึ้นกว่าเดิมนับร้อยเท่า รวมทั้งความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของเธอทุกอย่างกลับเพิ่มขึ้นจนเกินขีดของมนุษย์ไปแล้ว 

      เธอคือเด็กหญิงที่เป็นหนึ่งในเหยื่อฆาตกรรมนามว่า มาซามูเนะ เรย์ นั่นเอง!!

      "ดีมากเรย์... เจ้าไปพักได้แล้ว" ไซมอนกล่าวกลับเธอ ผมสีดำของเรย์เป็นประกายสะท้อนกับแสงไฟนัยน์ตาของเธอเรืองแสงสีแดงออกมานิดๆ

      "ค่ะ...." เธอกล่าวก่อนจะจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งไซมอนไว้พร้อมกับฝูงสัตว์อสูรขนาดย่อมๆที่รอรับประทานอาหารมื้อใหญ่อยู่

      "นายท่าน..." เสียงหนึ่งเรียกไซมอนในความมืด เสียงนั้นแหบแห้ง สักครู่ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้นข้างหน้าไซมอน

      มันคือร่างในชุดคลุมดำร่างหนึ่ง ส่วนใบหน้าทั้งหมดของมันเป็นหัวกะโหลกเปล่าเปลือยไร้ซึ่งเนื้อหนังมังสา แต่ดวงตาของมันกลับแดงก่ำทอแสงอยู่ในความมืด

      "มีอะไร..." ไซมอนถาม

      "ข้าพบดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งมากดวงหนึ่ง นายท่านจะให้ข้าพามาหรือไม่" ร่างนั้นกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง ไซมอนทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

      "อืม.... เอามา คราวนี้... ลองแบบไม่ต้องฆ่า แค่กระชากวิญญาณออกมา เอาให้ยังมีห่วงกับโลก แล้วยังเชื่อมจิตกับกายเนื้อด้วย ไม่แน่เราอาจจะได้พวกร่างผสานสายพันธุ์ใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น" ไซมอนสั่ง

      "ขอรับนายท่าน..." มันรับคำสั่งก่อนจะเลือนหายไปอย่างเร็วราวกับตอนที่มันมา

      วิญญาณแข็งแกร่งที่สองคนนั้นพูดถึงนั้นคือใครกัน?


      ก๊อกๆ 

      ไลฟ์ยืนเคาะประตูบ้านต้นไม้ของสามพี่น้อง เขารออยู่ได้ไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออกผู้เปิดคือเจ้าของนัยน์ตากลมโตสีม่วง

      "ท่านพี่อูร์รออยู่ชั้นบนแน่ะ... เข้ามาสิๆ" สกูลด์กล่าวก่อนจะเปิดบานประตูออกกว้าง

      วันนี้หลังจากออกลาดตระเวณรอบกลางวันเมื่อกลับมาถึงบ้าน ทันทีที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จอูร์ก็ตรงมาหาไลฟ์แล้วบอกเขาว่า

      "จะรอที่ห้องฉันนะ..." พูดเพียงเท่านี้แล้วเธอก็เดินออกจากบ้านไปยังบ้านต้นไม้ของเธอ อลิซมองไลฟ์ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วนคานาโกะกลับแสดงสีหน้าแปลกๆออกมา

      "มีอะไรเหรออูร์..." ไลฟ์ถามขึ้นเมื่อขึ้นมายังชั้นบนสุดของบ้านต้นไม้ ที่นั่นมีหน้าต่างบ้านใหญ่ติดไว้แสงจันทร์สีเงินจากดวงจันทร์ไร้ข้างแรมของโลกปีศาจส่องกระทบเรือนผมสีเทาเป็นประกายของเธอดูแล้วงดงามยิ่งนัก

      "ฉันมีเรื่องจะบอกเธอไลฟ์..." เธอกล่าวก่อนจะยื่นมือในลักษณะเชิญให้ไลฟ์นั่งลงบนเบาะใบหนึ่งในห้อง

      "เรื่องอะไรเหรอ..." ไลฟ์ถามพลางนั่งลง

      "ศัตรูของโลกปีศาจ" อูร์กล่าว เธอคงจะหมายถึงไซมอนและกองทัพขนาดย่อมๆของเขา

      "ไซมอน..." อูร์กล่าวต่อไป

      "เขาคือน้องชายคนเดียวของจอมซาตานองค์ปัจจุบัน เจ้าไม่รู้เรื่องของเขาเลย?" อูร์กล่าวเป็นเชิงถาม

      "ไม่.. ฉันไม่เคยรู้จักเขา ลูซิเฟอร์ที่ดูเหมือนจะรู้จักก็ไม่โผล่หน้าออกมาตั้งหลายวันแล้ว สงสัยพลังหมดแล้วล่ะมั้ง"

      "เขาคือหนึ่งในผู้สามารถใช้ศาสตร์แห่งการตัดต่อวิญญาณ" อูร์อธิบายต่อ

      "ศาสตร์แห่งการตัดต่อวิญญาณ??" ไลฟ์ถามอย่างงุนงง

      "มันคือศาสตร์ต้องห้ามอย่างหนึ่ง มันเป็นการนำวิญญาณจากสิ่งมีชีวิตร่างหนึ่ง ไปใส่ในร่างของสิ่งมีชีวิตอีกร่างหนึ่ง และผลที่ได้ อาจจะเกิดพลังอันมหาศาลที่ได้จากการผสมผสานวิญญาณเราเรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นว่า 'ร่างผสานวิญญาณ' ไซมอนได้ทำการทดลองนี้เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วและที่ร้ายแรงที่สุดคือ เขาได้ทำการทดลองนี้กับวิญญาณมนุษย์... นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาถูกขับไล่ออกจากโลกปีศาจ" อูร์เล่าเรื่องราวให้ไลฟ์ฟัง

      "แล้วเธอรู้เรื่องละเอียดขนาดนั้นได้ยังไงล่ะเนี่ย?" ไลฟ์ถามอย่างงุนงง

      "เธออย่าลืมสิไลฟ์... พวกเราคือเทพพยากรณ์ และผู้เฝ้ามองและศึกษาอดีต คือฉัน" อูร์กล่าว เมื่อยังคงเห็นไลฟ์ทำหน้าสงสัยอยู่เธอจึงถือโอกาสอธิบายเรื่องราวและความสามารถทั้งหมดของพวกเธอทั้งสามคน

      เริ่มที่สกูลด์ ความสามารถทำนายอนาคตของเธอนั้นเป็นไปได้สองรูปแบบคือ รูปแบบนิมิต มันจะมาแบบสุ่ม บางช่วงก็มาติดๆกันโดยส่วนใหญ่จะเป็นนิมิตของช่วงสุดท้ายของชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือบางครั้งนิมิตก็เป็นนิมิตทำธรรมดาและบางครั้งนิมิตก็ไม่มีโผล่มาเลยเป็นเดือนๆ อีกรูปแบบก็คือการทำนายซึ่งที่มีคนขอให้ทำนายให้ คำพยากรณ์ในรูปแบบนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ 

      เวอร์แนนดีเป็นผู้หยั่งรู้แห่งปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในรัศมีการทำงานของพลังของเธอซึ่งก็กว้างมากที่เดียว มันจะไหลเข้ามาในสมองของเธอราวกับสายน้ำจึงมีบางครั้งที่เรื่องราวต่างๆจะเกินกำลังที่สมองของเธอจะรับรู้ได้

      ส่วนอูร์นั้น เธอสามารถค้นดูในอดีตได้ราวกับมันเป็นระบบเซิร์จเอนจิ้นเธอสามารถเข้าไปดูเหตุการณ์อะไรก็ได้ที่เกิดในอดีต แต่การค้นดูอดีตของอูร์นั้นจำเป็นต้องใช้สมาธิและเวลาเป็นอย่างมาก

      และทั้งสามพี่น้องยังสามารถแสดงภาพเหล่านั้นออกมาคล้ายการฉายหนัง นอกจากนั้นพวกเธอยังมีความสามารถในการเทเลพอร์ทและใช้พลังพื้นฐานอย่างการยิงลูกบอลพลังได้

      "การใช้พลังของพวกเธอเนี่ยมันมีข้อจำกัดยุ่งยากเหมือนกันนะเนี่ย..." ไลฟ์กล่าวหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด

      "แล้วกำไลข้อมือนั่นหล่ะ.." ไลฟ์ถามพลางชี้ไปทางกำไลข้อมือของอูร์ เธอยกกำไลข้อมือนั้นขึ้นมา มันคือกำไลข้อมือคู่โตที่สวมอยู่ที่มือ ไม่ใช่แค่เธอผู้เดียวที่สวมอยู่ ทั้งเวอร์แนนดีและสกูลด์ก็มีกำไลข้อมืออย่างนี้สวมอยู่เช่นกัน

      "มันคือกำไลข้อมือที่ใช้จำกัดพลังของพวกเรา ไม่ให้เราใช้พลังพิเศษอย่างหนึ่งได้" อูร์พูดพลางจิบชาที่วางอยู่ข้างๆตัวเธอ

      "พลังอะไรเหรอ" ไลฟ์ถาม อูร์ยิ้มขึ้น

      "ปั่นด้าย...  ตัดด้าย... คุ้มครองด้าย... หากได้พลังนั้นกลับมาเราจะสามารถกำหนดชะตาชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลผ่านเส้นด้าย" พูดถึงตรงนี้ไลฟ์ก็รู้สึกเย็นหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก อูร์หัวเราะขึ้นเบาๆ

      "ล้อเล่นน่า!! ไม่ถึงขนาดกำหนดได้เด็ดขาดอย่างนั้นหรอก ถ้าทำได้ง่ายอย่างงั้นเราก็ครองโลกไปแล้ว" อูร์กล่าว แต่ไลฟ์กลับรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมันไม่เหมือนพูดเล่นสักนิด...


      นาโอมิปั่นจักรยานกลับจากตลาด เธอเพิ่งถูกใช้ไปซื้อของทำกับข้าววันนี้ 

      ไอ้บ้าไลฟ์.... ไปไหนของมันนะ ตั้งแต่วันที่เธอกลับมาถึงญี่ปุ่น นี่ก็อาทิตย์กว่าๆแล้ว ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมาเลย

      บ้าๆๆๆๆ!!

      นาโอมิคิดอย่างเซ็งๆ ถ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงโมโหไลฟ์ขนาดนี้ คำตอบก็คงเป็น...

      ไม่มีเหตุผล...

      ก็ผู้หญิงกับเหตุผลนี่ไม่สามารถเข้ากันได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ 

      เธอคิดไปพลางๆระหว่างปั่นจักรยานกลับบ้าน เธอดลี้ยวเข้าซอยๆหนึ่งที่เป็นทางลัดกลับบ้าน บัดนี้ก็เย็นมากแล้ว ถึงจะยังไม่ค่ำแต่ช่วงโพล้เพล้อย่างนี้ก็มืดไม่ใช่น้อย ไฟหน้ารถจักรยานของนาโอมิฉายส่องทาง 

      แล้วนาโอมิก็สังเกตเห็นบางอย่างที่กลางซอยที่เปลี่ยวผู้คนนั้น

      มันคือร่างสีดำร่างหนึ่งมาพร้อมกับเคียวยาวใบหน้าที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุมคือใบหน้าท่อนล่างอันซีดขาว

      ไม่สิ... เรียกว่าซีดขาวคงจะไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก มันคือส่วนล่างของกะโหลกที่ไม่มีเนื้อหนังเลยมากกว่า…
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×