ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( fic exo ) OH'S REASONS, hunhan krisyeol

    ลำดับตอนที่ #5 : เหตุผลของคุณชายโอ : ข้อที่สี่ พี่เขายอมไปเที่ยวด้วย

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 58


















    เหตุผลของคุณชายโอ ข้อที่สี่ พี่เขายอมไปเที่ยวด้วย






    All I need is just all of you

    ขอบคุณภาพจาก http://www.decorreport.com/










    ร่างสูงของเด็กฝึกงานรีบวิ่งเอาแฟ้มงานทั้งหมดที่อยู่ในอ้อมกอดเข้าไปให้ผู้จัดการแผนกอย่างโดคยองซู เพราะถ้าหมดแฟ้มกองนี้เมื่อไหร่เขาก็จะว่าง เนื่องจากเมื่อเช้าเขาได้ขอลูกพี่ลูกน้องที่ควบตำแหน่งผู้จัดการแผนกได้สัญญาไว้ว่าถ้างานกองนี้เสร็จเมื่อไหร่ขอกลับบ้านก่อน ซึ่งลูกพี่ลูกน้องก็อนุญาตอย่างโดยดี

     

    ตุบ!!!

     

    “โอย วางอย่างนี้โยนเลยเถอะ” พอมาถึงที่ห้องผู้จัดการฝ่ายก็รีบวางแฟ้มทันทีจนโดนผู้จัดการฝ่ายประชดใส่

     

    “เย้! ผมว่างแล้วใช่มั้ย”

     

    “เออๆๆ มีนัดกับสาวสินะถึงรีบแบบนี้” คยองซูพูดอย่างรู้ทัน

     

    “อื้ม สาวที่บ้าน” โอเซฮุนยักคิ้วอย่างยียวนส่งไปให้ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือราคาแพง “จะว่าไปเสร็จก่อนเวลานะเนี่ย”

     

    “นัดใครไว้อ่ะ” คนเป็นพี่เห็นคนเป็นน้องน่าสงสัยเลยถาม

     

    “ก็บอกแล้วว่าสาวที่บ้าน”

     

    “จะไปไหนก็ไปๆ” เบื่อที่จะถามต่อกับคนที่ชอบตอบแบบกวนๆ ก็เลยรีบไล่ให้ออกไปเพื่อจะได้เคลียร์งานต่อ

     

     

     

     

    ใช้เวลากับการขึ้นลิฟท์เพื่อมาที่ชั้นดาดฟ้าไม่นาน ข้างบนชั้นดาดฟ้ามักจะเป็นที่ที่นักศึกษาฝึกงานแอบมาหลับหรือไม่ก็มานั่งกินลมเล่นบ่อยๆ เวลาว่าง เนื่องจากชั้นดาดฟ้าถูกออกแบบให้มีต้นไม้ที่ทำให้ร่มรื่น สนามหญ้าสะอาดๆ ที่สามารถนอนได้ และมีม้านั่งให้นอนได้สบายๆ

     

    ในเมื่อรู้ว่ามีเวลาเหลืออีกเยอะจนจะถึงเวลานัด จึงอยากขึ้นมานั่งตากลมเล่นข้างบนแต่ก็ไม่ยักจะรู้ว่าในเวลานี้จะมีร่างของคนบางคนที่คุ้นตาดีกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนสนามหญ้าและกำลังใช้สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าสีสดใส

     

    เอ...ทำไมรองประธานบริษัทถึงดูเศร้าๆ อย่างนั้นล่ะ ไม่เหมือนคนโหดๆ เวลาเขาแกล้งเลย ตลอดหนึ่งเดือนที่มาฝึกงานที่นี่โอเซฮุนก็ยังคงแกล้งผสมกับจีบรองประธานบริษัทและโดนรีแอคชั่นโหดๆ กลับมา

     

    “นั่งเหม่อลอยเป็นนางเอกเอ็มวีเลยนะ” ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ วันนี้ลู่หานมาแปลกตาหน่อย ปกติจะใส่สูทตามสไตล์รองประธานแต่วันนี้กลับใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายตรงสีขาวดำสลับกันกับกางเกงยีนส์

     

    คงไม่ได้ตั้งใจมาทำงานสินะ...

     

    “...วันนี้ไม่มีอารมณ์เถียงด้วยหรอกนะ” นอกจากแปลกเรื่องเสื้อผ้าแล้ว ยังแปลกทั้งอารมณ์อีก นัยน์ตากวางที่ตอนนี้ดูว่างเปล่าหันมาบอกก่อนจะกลับไปนั่งเหม่อลอยตามเดิม

     

    “พี่เป็นอะไรรึเปล่า บอกผมได้นะ” เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาต่อล้อต่อเถียงด้วยหรอก และยิ่งเห็นคนตัวเล็กเป็นแบบนี้แล้วยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

     

    “ถึงผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้”

     

    “...”

     

    “แต่ผมก็อยากให้พี่ระบายออกมา” 

     

    “แน่ใจนะ...ว่าถ้าฟังแล้วจะเจ็บ” เป็นอีกครั้งที่นัยน์ตาว่างเปล่าหันมามองแล้วถามด้วยคำถามที่ชวนสงสัยมากกว่าเดิม

     

    ทำไมต้องเจ็บด้วย... เรื่องอะไรวะ

     

    “อื้อ” ถึงจะเคลือบแคลงใจเพียงใดก็ยอมพยักหน้ารับ

     

    “แฟนเก่าโทรมาขอคืนดี” ปากได้รูปขยับพูดออกมาให้คนที่นั่งข้างๆ ฟัง แต่สายตาก็ยังคงเหม่อมองไปยังผืนฟ้าสีสวย

     

    “...” กลายเป็นว่าโอเซฮุนเป็นอีกคนที่ทำนัยน์ตาเศร้าไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งที่ยอมรับฟังเขาแล้วและเขาก็เตือนมาแล้วด้วยว่าถ้าฟังแล้วจะเจ็บ

     

    ความรู้สึกปวดหนึบอวัยวะที่อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายพวกนี้มันมาจากไหนกัน จีบก็ยังจีบไม่ติดแถมยังมาได้ยินว่าแฟนเก่ากำลังจะขอคืนดีอีก

     

    “แล้วพี่ตอบกลับไปว่าไง” เพราะเป็นฝ่ายคะยั้นคะยอให้เขาเล่าเองจึงต้องดำเนินต่อไป

     

    “ก็...ไม่ได้ตอบไปที”

     

    “เขาดีกับพี่มั้ยล่ะ” เป็นคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเลย แต่ไม่รู้ทำไมปากถึงพลั้งถามไปแบบนั้น

     

    “ก็ดีนะ...แต่สุดท้ายเขาก็ไม่คิดจะหยุดแค่ที่ฉันคนเดียว” เสียงที่เปล่งออกมาตอนแรกก็ดีพอพูดถึงตอนที่เลิกกันก็เศร้าไปเลย “สุดท้ายเราสองคนก็ต้องเลิกกัน ความจริงเขาก็ยื้อไว้นะ แต่ฉันก็ไม่อยากหยุดชีวิตไว้กับคนที่ไม่คิดจะจริงจังอยู่แล้ว”

     

    แต่ผมจริงจังกับพี่นะ...

     

    คนที่นั่งรับฟังอยากพูดออกไปมาก แต่ก็ได้เก็บไว้ในใจ ไม่กล้าพูดออกไป ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาโอเซฮุนตั้งใจจีบแบบไม่แคร์ใครแต่ทำไมวันนี้มันถึงมีความกลัวเข้ามาครอบงำ ก่อนหน้านี้ลูกพี่ลูกน้องเขาก็ได้บอกไว้แล้วว่ามันมีสาเหตุที่ลู่หานไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ

     

    ที่แท้ก็มาจากคนนี้นี่เอง... สงสัยรักมากแน่ๆ

     

    “แล้วพี่รักเขามากมั้ยอ่ะ” และนี้คงเป็นคำถามที่แปลกทีเดียวเชียว ถามคนที่ชอบว่ารักแฟนเก่ามากแค่ไหน... เพราะอยากรู้จึงถามออกไป คนที่โดนถามอย่างลู่หานก็หันหน้ามามองอย่างสงสัยก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

     

    ป๊อก!

     

    “โอยยย” คนที่ถามคำถามแปลกกุมหน้าผากไว้ทันทีเมื่อโดนคนหน้าหวานดีดนิ้วใส่

     

    “ไอ้เด็กบ้า ใครเค้าถามคนที่จีบว่ารักแฟนเก่ามากแค่ไหนบ้างล่ะ” คนตัวเล็กแสยะยิ้มที่มุมปาก ลู่หานรู้ว่าไอ้เด็กบ้าตรงหน้ากำลังจีบอยู่ก็ไม่น่ามารู้เรื่องอะไรแบบนี้แล้วยิ่งไปกว่านั้นยังมาถามด้วยคำถามแปลกๆ อีก

     

    ไม่เจ็บบ้างรึไงนะ...

     

    “ง่าาา ก็อยากรู้เฉยๆ”

     

    “อืม...ก็รักมากอ่ะ” ลู่หานตอบคำถามไปและรอดูปฏิกริยาที่ตอบกลับมา

     

    “เหรอ...”

     

    “...”

     

    “...”

     

    ถ้ารู้ว่ามันจะรู้สึกเจ็บแบบนี้เซฮุนควรเลือกที่จะไม่ถามมากว่า...

     

    “แต่ก็แค่เคยรัก” ลู่หานเฉลยสิ่งที่พูดยังไม่จบพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กๆ เขาแค่จะทดสอบดูว่าเด็กข้างๆ เขาเนี่ยมันจะรู้สึกยังไงถ้าได้ยินว่าเขารักแฟนเก่ามาก ร่างสูงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

     

    “ถามจริงเถอะ พี่ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ ผมจีบพี่มาหนึ่งเดือนแล้วนะ” เซฮุนตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่อง ดูเหมือนคนที่เคยทำหน้าตาเศร้าๆ เริ่มยิ้มออกมาบ้างแล้วจึงไม่อยากวกให้กลับไปอยู่ที่เรื่องเดิม

     

    โอเซฮุนก็แค่คนหนึ่งที่อยากทำให้คนที่ชื่อ ลู่หาน มีความสุขเวลาอยู่กับเขา

     

     

    “เหอะ ไม่อ่ะ” อย่างน้อยๆ ลู่หานก็กลับมาเป็นพี่หน้าหวานแข้งโหดคนเดิมแล้ว ด้วยการส่งเสียงร้องในลำคอแล้วตอบอย่างเย็นชาก่อนจะส่ายหน้าไปมา แม้จะตอบไม่ตรงกับที่เซฮุนคาดหวังไว้แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้เซฮุนรู้สึกไม่ดีเหมือนเมื่อกี้

     

    “โกหกใจตัวเองไม่ดีนะครับ” เด็กขี้เล่นก็ยังขี้เล่นวันยังค่ำ ใบหน้าหล่อที่มักจะชอบยียวนใส่ลู่หานยื่นเข้ามาใกล้จนลู่หานต้องถอยออกมา

     

    “คะ...ใครว่าฉันโกหก”

     

    “เหรอครับ...เสียงตะกุกตะกักนะ” แขนทั้งสองข้างคร่อมร่างของคนตัวเล็กไว้พลางใช้สายตาเจ้าเล่ห์มอง

     

    RRRRrrr

     

    เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นขันจังหวะพอดี ถ้าโทรศัพท์ไม่ดังมีหวังโอเซฮุนทนไม่ไหวต้องประทับรอยจูบไปอีกแน่ๆ หลังจากวันที่ไปดูหนังลู่หานก็พยายามไม่ให้เซฮุนเข้ามาทำอย่างนั้นได้อีก

     

    “ฮัลโหล” พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็รับทันที ไม่นานเสียงแว๊ดๆ ก็ดังขึ้น เซฮุนพอจับใจความได้จึงตอบกลับไปอย่างประชด “รู้แล้วครับ คร้าบบบบบบบบบบบบบบบ”

     

    เมื่อวางสายไปแล้วก็กลับมาสนใจพี่หน้าหวานต่อ ดูเหมือนตอนที่เซฮุนคุยโทรศัพท์พี่หน้าหวานคงจะกลับเข้าสู่โหมดเดิมอีกแล้ว เหม่อมองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาอันว่างเปล่า และเขาก็คิดบางอย่างได้

     

    “พี่ลู่หาน”

     

    “หือ?” คนตัวเล็กหันมามองตามเสียงเรียก

     

    “ไปเที่ยวกันมั้ย”

     

    “...”

     

    “แต่ก่อนไปผมขอพาพี่ไปที่ๆ นึงก่อนนะ”




    .

    .

    .

    .






    คาวาซากิ ZZR1400  สีดำเคลื่อนผ่านประตูรั้วที่แสนโอ่อ่าอีกครั้ง และมันก็ทำให้คนที่นั่งซ้อนท้ายอย่างรองประธานบริษัท The Luciano Company ต้องอ้าปากค้างใต้หมวกใบใหญ่ที่คนขับเสียสละให้ใส่

     

    เซฮุนเป็นแบบนี้เสมอเวลามีคนซ้อนท้าย ไม่ว่าจะน้องสาวหรือเพื่อนสนิทและมีหมวกแค่อันเดียวเขาก็จะเสียสละให้คนข้างหลังใส่ ช่างเรื่องนั้นเถอะ ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงมากๆ ไม่ได้มาจากการขี่รถมอเตอร์ไซด์คันนี้หรอก คนที่นั่งซ้อนท้ายเขาตอนนี้มากกว่า

     

    เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขาได้ชวนให้ลู่หานไปเที่ยวด้วยกัน ตอนแรกนึกว่าอีกคนจะไม่ไปแต่พอคะยั้นคะยอสักพักคนตัวเล็กก็ตกลง และเป็นเรื่องที่ดีมากที่คนตัวเล็กไม่ได้มาบริษัทด้วยยานพาหนะส่วนตัว จึงทำให้ต้องซ้อนท้ายมากับเขา

     

    แต่ที่ต้องเข้ามาที่บ้านโอเซฮุนก่อนนั้น เพราะต้องมารับสาวที่บ้านอย่างที่เคยบอกคยองซูไว้ และเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกสาวคนเล็กของบ้าน เพราะโรงเรียนของมินอาหยุดทำให้เด็กน้อยอยากไปเที่ยว แต่เนื่องจากป่ะป๊ากับม่ะม๊าต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศทำให้ไม่มีใครพามินอาไปเที่ยว เซฮุนเลยต้องพามินอาไปเที่ยวแทนเพื่อไม่ให้น้องต้องเสียใจ

     

    และคนที่โทรตามเมื่อกี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากมินอาที่อยากไปเที่ยว... ปกติวันหยุดน้องสาวคนเล็กจะตื่นสายแต่พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวก็รีบตื่นตั้งแต่หกโมงแถมเข้ามาปลุกพี่ชายด้วยคำสัญญาอีกต่างหาก

     

    คาวาซากิสีดำถูกนำให้ไปจอดในที่จอดรถของบ้านที่มีรถไม่ได้ใช้งานเรียงอยู่หลายคัน และมันก็ทำให้ลู่หานอึ้งมากๆ เขาไม่คิดเลยว่าโอเซฮุนจะรวยขนาดนี้

     

    “โอ๊ะ! นั่นมัน...” คนตัวเล็กที่ลงจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคคืนเจ้าของต้องเบิกตากว้างและร้องขึ้นมาทันทีเมื่อสายตาไปสะดุดกับรถคันที่จอดอยู่ข้างๆ กัน “Mercedes-AMG GT Brabus คันที่ราคาหลายสิบล้านวอนนี่”

     

    “เอ่อ...ใช่” พอได้ยินชื่อเซฮุนก็ตอบกลับไปแบบงงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักเพียงแต่อาการท่าทางของคนตัวเล็กมันน่าขบขันมากๆ ไอ่ท่าทางภูมิใจที่ได้เห็นรถที่ชื่นชอบ ดวงตาวิบวับเป็นประกายต่างจากเมื่อกี้มากๆ

     

    “เฮ้ย! Maserati Grancabrio สีขาวด้วย”

     

    “...”

     

    “ชอบจัง” ลู่หานยังไม่หยุดทำท่าทางแบบนั้นสักที แม้มันจะน่าขำ...

     

    แต่มันก็น่ารักในสายตาเซฮุนอยู่มาก...

     

    “พี่จะรออยู่ตรงนี้มั้ย หรือเข้าไปข้างในด้วย” เซฮุนถามเพราะเห็นพี่หน้าหวานเอาแต่สนใจรถคันหรู ซึ่งคนตัวเล็กก็ได้สติและเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำท่าทางที่น่าอายขนาดไหนไปจึงหัวเราะแห้งๆ ให้ก่อนจะส่ายหัวซึ่งแปลว่าจะเข้าไปข้างใน

     

    พอคนตัวเล็กได้เดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ก็ต้องอึ้งกว่าเดิม ข้างนอกว่าหรูแล้วข้างในนี่หรูเป็นสองเท่าเลย ให้ตายเถอะ! พ่อแม่เซฮุนเปิดบ่อนคาสิโนรึเปล่านะถึงได้รวยขนาดนี้ บ้านลู่หานยังไม่ขนาดนี้เลย

     

    “โห...นี่ นายเคยหลงทางในบ้านป่ะ” คนตัวเล็กที่พ่วงใบหน้าหวานเอ่ยถามด้วยเสียงใส

     

    “ฮ่ะๆ” คนถูกถามหัวเราะออกมาก่อนจะตอบ “เคยมั้งครับ...ตอนเด็กๆ”

     

     

     

     

    “ฮุนฮูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”

     

    จู่ๆ เสียงแหลมปรี๊ดของเด็กก็ดังมาจากข้างในห้องรับแขกที่อยู่ทางซีกขวามือ และไม่นานก็มีก้อนเล็กๆ โผล่มาให้เห็นหน้า โอมินอารีบวิ่งเข้ามาหาพี่ชายสุดที่รักทันที เซฮุนต้องยิ้มขำๆ อย่างเอ็นดูให้กับเด็กน้อยวัยหกขวบที่ตื่นเต้นกับการไปเที่ยวสวนสนุกเป็นพิเศษ

     

    โอมินอาในสภาพเสื้อแขนยาวสีชมพูติดผ้ามุ้งสีดำที่มีเพชรแต้มรอบๆ เหมาะกับสีผิวขาว ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงสกินนี่สีเทา ผมถูกเกล้าขึ้นไปทำให้เห็นใบหน้าน่ารักอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้เซฮุนอดขำอย่างเอ็นดูไม่ได้คือแว่นตากันแดดที่อันใหญ่กว่าหน้า และมันเป็นของเยริมด้วยถ้าจำไม่ผิด สงสัยจะแอบเข้าไปรื้อของพี่สาวที่ไปโรงเรียนแน่ๆ เลย

     

    “วันนี้น่ารักจังเลยนะตัวเล็ก แต่ฮุนฮุนว่าตัวเล็กถอดแว่นดีกว่านะ” พอร่างสูงอุ้มหนูน้อยมินอาขึ้นมาก็บอกให้เจ้าตัวถอดแว่นอันใหญ่ ซึ่งมินอาก็ไม่ดื้อ (ขืนดื้อเซฮุนก็ไม่พาไปเที่ยวน่ะสิ) ยอมถอดให้แต่โดยดี เขาเลยยื่นแว่นให้กับแม่บ้านเอาไปวางไว้ในห้องนั่งเล่น

     

    “ว่าแต่พี่คนสวยคือใครเหรอคะ” เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเพิ่งสังเกตว่ามีแขกเข้ามาในบ้าน และสวยซะด้วยจึงเอ่ยปากถามพี่ชายไป

     

    “เรียกเขาว่า คุณลุงลู่หาน นะ” โอเซฮุนหันหลังกลับไปให้หนูน้อยได้เห็นหน้าพี่หน้าหวานของเขา

     

    “บ้า! เรียกลูลู่ก็ได้ครับ” คนโดนแกล้งถลึงตาใส่พร้อมทั้งตีไปที่แขนซ้ายอย่างเบา (เหรอ) ก่อนจะหันมาคุยกับหนูน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่ดูเหมือนจะเป็นน้องสาวของโอเซฮุน “ว่าแต่หนูชื่ออะไรครับ”

     

    “ชื่อมินอาค่ะ ลูลู่เรียกเค้าว่าตัวเล็กเหมือนฮุนฮุนก็ได้นะ” โอมินอาแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร เป็นเรื่องแปลกที่มินอาทักทายอย่างเป็นมิตรกับลู่หาน เพราะปกติเวลาเซฮุนพาเพื่อนผู้หญิงคนไหนมาทำงานที่บ้านมินอาจะทำหน้าไม่รับบุญอยู่ตลอด ไปแกล้งเค้าบางอะไรบ้าง “ว้า...หน้าตาก็สวย ไม่น่าเป็นทอมเลย”

     

    “ห๊ะ...?” ประโยคที่มินอาเอ่ยพึมพำออกมาเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงกินจุดไป

     

    “ฮ่ะๆ ลูลู่เป็นผู้ชายครับตัวเล็ก แค่หน้าสวยเฉยๆ”

     

    “อ้าวเหรอคะ...”

     

    “ครับ...ลูลู่เป็นผู้ชาย” ลู่หานสนับสนุน มิเช่นนั้นเขาคงจะกลายเป็นทอมในสายตาหนูน้อยโอมินอาแน่ๆ

     

    “ว่าแต่ลูลู่จะไปกับเรามั้ยง่า” มินอาในอ้อมแขนพี่ชายเอ่ยถาม มินอาคิดว่ามันคงจะดีถ้ามีลูลู่ไปเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน

     

    “ไปสิครับ” ลู่หานตอบกลับไปพร้อมส่งรอยยิ้มไปให้ก่อนจะขยี้หัวของหนูน้อยเบาๆ อย่างเอ็นดู หน้าตาไม่ค่อยไปทางเซฮุนเท่าไหร่เลยสงสัยอาจจะมีใครได้พ่อ ส่วนอีกคนน่าจะได้แม่

     

    เซฮุนปล่อยให้หนูน้อยมินอาลงยืนกับพื้นก่อนจะบอกให้ทั้งสองรอ เพราะเขาจะไปเอากุญแจรถที่อยู่บนห้องนอน หนูน้อยมินอาเดินเข้ามาหาพี่ชายหน้าหวานก่อนจะกระตุกชายเสื้อพร้อมกับเรียกเสียงหวาน

     

    “ลูลู่”

     

    “ครับตัวละ...”

     

    “ลูลู่กับฮุนฮุนเป็นแฟนกันเหรอคะ” หนูน้อยมินอาไม่รอให้พี่ชายหน้าหวานขานรับก็สวนกลับไปด้วยคำถามที่เล่นลู่หานไปไม่ถูกเลยทีเดียว

     

    “เอ่อ...” ร่างเล็กจะตอบยังไงดีนะว่าพี่ชายของหนูมาจีบ แต่หนูน้อยมินอาก็แค่ถามว่าเป็นแฟนกันรึเปล่านี่นา... จะคิดอะไรมาก “เปล่าครับ เซฮุนเขาไปฝึกงานที่บริษัทลูลู่น่ะ”

     

    “อ๋ออออ ความจริงนะ...เค้ายอมให้ลูลู่เป็นแฟนกับฮุนฮุนเลยนะ เห็นว่าลูลู่น่ารักดี...” ประโยคที่เด็กหกขวบกล่าวออกมาลู่หานไม่ค่อยเข้าใจหมดหรอก แต่พอโดนชมก็ต้องเกาท้ายทอยแก้เขิน

     

    ไม่นานร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับกุญแจในมือ ลู่หานจับมือมินอาให้เดินมากับเขา โดยมีเซฮุนเดินตามข้างหลังด้วยรอยยิ้ม และเซฮุนก็เลือกจะโดยสารด้วยมาเซราติแกรนคาบริโอสีขาวคู่ใจ เขาเดินไปประตูฝั่งคนนั่งให้ลู่หานได้ขึ้นไปและตามด้วยมินอาที่อยากนั่งหน้ากับพี่หน้าหวาน ก่อนจะเดินไปฝั่งคนขับ

     

     

     

    น่ารักเนอะ...เหมือนครอบครัวจริงๆ เลย






     

     

     

    OHS’REASON

     

     

    “โว๊ยยยยยย!

     

    มือหนาขัดจานเค้กทำเหมือนกับว่ามีคราบเลือดที่แห้งแล้วติดอยู่ทั้งที่ความจริงเป็นแค่คราบช็อคโกแลต เพื่อระบายความแค้นที่เพื่อนผัวเมียตัวแสบทำไว้ วันนี้เลิกฝึกงานที่บริษัทของครอบครัวจื่อเทาเสร็จเร็ว เลยเหลือครึ่งวันก็ตัดสินใจจะมาช่วยงานที่ร้าน

     

    แต่พอมาถึงก็ไม่เจอทั้งสองที่ขอมาก่อน รอเป็นชั่วโมงแล้วก็ไม่เห็นคู่ผัวเมียโผล่เงากะลาหัวมาเสียที ไม่รู้ไปได้กันกี่น้ำแล้ว ให้ตายเถอะ!!!

     

    มีจานกองเป็นพะเนินเทินทึกให้ล้าง!!! แล้ววันนี้เสือกเป็นวันที่คนเข้ามาเยอะอีก พอโทรตามก็ไม่ยอมรับสาย แล้วยังมีหน้าส่งข้อความมาหาก่อนจะปิดเครื่องหนีอีกว่า

     

    แบคกี้น้อยไม่น้อยเหมือนชื่อ : กูสองคนขอโทษนะเว้ย แต่วันนี้วันเป็นวันครบรอบวันตายอาม่าของอาม่าของอาม่าจื่อเทาอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูให้มึงพักเลย ไม่ต้องมาช่วยงาน ขอโทษนะอิปาร์ค และขอบคุณที่เข้าใจนะ T-T

     

     

     

     

     

     

    เข้าใจบ้านมึงจะมาหัวเสียอย่างนี้มั้ยหา!!!

     

    “ขัดให้มันเบาๆ หน่อยก็ได้ เดี๋ยวจานก็แตกหรอก” อู๋อี้ฟานที่เดินเข้ามาเห็นลูกจ้างกำลังจะทำลายข้าวของก็รีบปรามไว้ก่อน เขาพอรู้ว่าเหตุที่ทำให้ลูกจ้างตัวสูงคนนี้หัวเสียคืออะไร

     

    “เสือกจริง” ด้วยความหงุดหงิดจึงทำให้ชานยอลเผลอพูดออกไป คนที่ได้ยินอย่างเจ้าของร้านกรอกตาขึ้นลงอย่างระอา ช่วงหลังมานี่ ชานยอลไม่ค่อยพูดหยาบๆ ใส่เขาแล้วนะ แต่สงสัยจะหงุดหงิดจริงๆ

     

    แต่ทำไมครั้งนี้มันแปลกไปล่ะ... มันรู้สึกแปลกๆ กับคำด่าของชานยอล

     

    “ชานยอล...ไปปิดร้านเถอะ” อี้ฟานเดินเข้าไปหาใกล้ๆ ก่อนจะแย่งสก๊อตไบรท์มา พอโดนสายตาสงสัยมองกลับมาก็อธิบายต่อ “จะไปซื้อของเข้าร้านเลยปิดเร็ว”

     

    “อือ” คนที่อารมณ์ไม่ค่อยดีพยักหน้าแล้วล้างมือที่มีฟองน้ำยาล้างจานเต็มไปหมด ต่อจากนั้นก็เดินไปข้างนอกครัวเพื่อไปล็อคประตูข้างหน้าแล้วกลับมาเคลียร์บัญชีของวันนี้ให้เรียบร้อย

     

    ใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จและพบว่าเจ้าของร้านอย่างอู๋อี้ฟานก็ล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชานยอลเองก็ต้องไปซื้อของเข้าร้านกับอี้ฟานด้วย มันเป็นเรื่องปกติสำหรับชานยอลที่ต้องไปด้วย ระหว่างที่นั่งรถที่ร่างสูงเป็นคนขับ บรรยากาศในรถช่างเงียบยังไงอย่างนั้น

     

    ปกติจะมีเสียงของคนตัวสูงที่คอยพูดจาแหย่เขา แต่วันนี้กลับเงียบแปลกๆ ชานยอลเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูรึเปล่านะ...

     

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลแคร์อยู่แล้ว คนตัวสูงจะเงียบก็ไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลต้องสนใจ ดีแล้ว ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงด้วย

     

     

    แต่มันก็เงียบแปลกๆ นะ .__.

     

    ปาร์คชานยอลเริ่มปลงเรื่องสองผัวเมียนั้นแล้วล่ะ อารมณ์ตอนนี้ก็เลยเป็นปกติ...แต่มันก็เริ่มไม่ปกติอีกแล้วอ่ะ ยิ่งในรถเงียบแค่ไหน มันก็อึดอัดมากแค่นั้น หรือว่าอี้ฟานจะโกรธที่เขาพูดจาไม่ดีใส่เมื่อกี้

     

    ก็คนมันโมโหนี่หว่า...

     

    ตลอดหนึ่งเดือนที่ทำงานที่ร้านชานยอลเริ่มไม่ค่อยพูดจาหยาบๆ ใส่อู๋อี้ฟานเท่าไหร่แล้ว ทำให้เงินที่บอกว่าจะหักครั้งละพันวอน โดนหักไปแค่เจ็ดพันวอนเอง (บางครั้งก็เผลอ) จะว่าไปกลับมาสนใจคนที่นั่งขับรถไม่สนใจที่จะพูดอะไรออกมาดีกว่า

     

    “นี่...” แม้ชานยอลพยายามจะไม่คิดเรื่องที่อี้ฟานเงียบแล้ว แต่สุดท้ายมันก็อดไม่ได้

     

    “...” ไม่มีสัญญาตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก...

     

    “...ขอโทษ” ชานยอลไม่กล้าหันไปมองคนที่ขับรถจึงหันมาทางกระจกแล้วเอ่ยขอโทษไป

     

    “...”

     

    “ขอโทษที่พูดไม่ดีเมื่อกี้”

     

    “อื้ม” อี้ฟานแอบยิ้มกริ่มในใจ เขาแค่อยากจะแกล้งเงียบดูบ้างว่าชานยอลจะรู้สึกและจะจัดการเรื่องพวกนี้อย่างไร ซึ่งผลตอบรับก็เป็นที่พึงพอใจสำหรับอี้ฟานอย่างมาก

     

    เมื่อมาถึงที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า ก็จอดรถไว้แล้วเดินเข้าไปในตัวห้าง อี้ฟานตัดสินใจเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นให้กับชานยอลที่มาช่วยที่ร้าน แม้ไม่นานแต่ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน ซึ่งปาร์คชานยอลก็โอเคที่มีคนเลี้ยงมื้อเย็น แถมยังเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ชานยอลชอบอยู่

     

    “เอาแค่นี้แหละครับ” อี้ฟานเอ่ยจบให้กับการสั่งอาหารก่อนจะยื่นเมนูคืนไป

     

    ไม่นานอาหารทุกอย่างที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ ทำให้คนทั้งสองที่ตกอยู่ในห้วงเวลาของตนเองโดยการเล่นโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมามองอาหาร ชานยอลทำตาลุกวาวกับสิ่งตรงหน้า เขาได้มากินสักพักแล้วล่ะ ปกติจะมากินกับที่บ้านแต่เพราะไม่ค่อยว่างบวกกับช่วยงานที่ร้านแล้วเลิกดึกด้วย

     

    “ชอบอาหารญี่ปุ่นมากเลยเหรอ” อี้ฟานที่คอยมองคนตรงข้ามตลอดอ้าปากถาม ยิ่งชานยอลรีบจับตะเกียบแล้วคีบซูชิเข้าปากมันดูน่าเอ็นดูยังไงบอกไม่ถูก

     

    “อื้อ...” คนเคี้ยวแก้มตุ่ยครางในลำคอพร้อมทั้งพยักหน้า

     

    อี้ฟานเห็นซูชิหน้ายำสาหร่ายดูน่าจะอร่อยจึงลองหยิบมาทานบ้าง โดยละอูด้งตรงหน้าไปก่อน แต่พอชิมเข้าไปแล้วก็ต้องสำลักทันที เพราะฤทธิ์ของวาซาบิที่ไม่รู้ติดมาตอนไหนมันขึ้นจมูก มือหนาจึงต้องเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำชาเขียวขึ้นมาดื่มแก้เผ็ด

     

    “ฮ่าๆๆๆๆ” ชานยอลที่นั่งตรงข้ามเห็นเหตุการณ์เลยหัวเราะออกมาอย่างตลก อันที่จริงเขาวางเป้าหมายไว้ที่ชิ้นนั้นแล้วเลยเอาวาซาบิโปะจองไว้ ไม่รู้ว่าอี้ฟานถึงไม่เห็นว่ามีวาซาบิโปะอยู่บนซูชิหน้ายำสาหร่าย

     

    สงสัยสีจะเหมือนกันล่ะมั้ง...

     

    “นี่! จงใจแกล้งฉันใช่มั้ย?” เมื่อกระดกน้ำให้พอโอเคก็วางแก้วลงก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดรอบๆ ปาก สายตาก็มองไปเห็นคนตรงข้ามกำลังหัวเราะอย่างชอบใจ จึงตีโพยตีพายใส่

     

    “ก็เปล่า...ก็ยอลจะกินอันนั้นก็เลยวางวาซิบิไว้ก่อน ฟ่านดันมาหยิบเองอ่ะ” คนตัวสูงโย่งพอๆ กับอี้ฟานเล่นหูเล่นตาพลางบอกความจริงออกไป

     

    ตอนนี้อี้ฟานไม่ได้สนใจคำแก้ตัวของอีกฝ่ายเลย เขาแค่สนใจคำว่า ฟ่าน ที่ออกมาจากปากบางสีชมพูอ่อนนั่น... ไม่บ่อยหรอกทีปาร์คชานยอลจะเรียกเขาว่า ฟ่านถึงมันจะไม่มีคำว่า พี่ นำหน้า สำหรับใครหลายคนอาจจะคิดว่าชานยอลปีนเกลียวแต่สำหรับอี้ฟาน เขาไม่คิดเช่นนั้น

     

    แถมยังแทนตัวเองว่า ยอล อีก... ไม่ค่อยได้ยินเลยแฮะ

     

    จะบอกว่าน่ารักก็ไม่เชิง...

     

    “เอ้อๆ ช่างมันเถอะ” อี้ฟานเลิกคิดเรื่องพรรค์นั้น เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในใจ เจ้าของร้านคาเฟ่ใช้ตะเกียบหยิบซาชิมิขึ้นมากินและตรวจดูดีๆ แล้วว่าไม่มีวาซาบิอยู่

     

    “ฟ่าน...คือ รับสมัครพนักงานเพิ่มจะดีมั้ย” ชานยอลกลืนซูชิอีกชิ้นที่กินเข้าไปลงท้องก่อนจะเอ่ยแสดงความคิดเห็นที่เขาคิดมาสักพักแล้ว

     

    “ทำไมอ่ะ” อี้ฟานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนหน้าหวาน (นิดๆ) แต่กำลังสาละวนกับการคีบเส้นอูด้งขึ้นมากิน

     

    “คือ...ที่ร้านดูยุ่งๆ แถมพวกเราสามคนก็มาช่วยทำงานแค่ตอนเย็น” สามคนที่ชานยอลหมายถึงก็คือชานยอล แบคฮยอน และจื่อเทา นอกจากต้องไปฝึกงานที่บริษัทของครอบครัวจื่อเทาทุกวันจันทร์ถึงศุกร์แล้วยังต้องมาช่วยร้านคาเฟ่ของอี้ฟานในตอนเย็นอีก ดังนั้นตอนเช้าจึงไม่มีคนช่วยที่ร้านเลย

     

    “ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนเช้าคนไม่ค่อยเยอะจนวุ่นวายมาก” อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมาอธิบายตามจริง เขาก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่รับสามคนนี้เข้ามาทำงานว่าจะมาช่วยที่ร้านได้แค่ตอนเย็นเท่านั้น แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง...เลยต้องรับเข้ามา

     

    หลังจากจบประโยคอี้ฟาน ชานยอลก็ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาอีก ก้มหน้าก้มตากินของตนเองไป อี้ฟานก็เช่นกัน เจ้าของร้านไมรู้ว่าจะยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดกับลูกน้องดีเลยตั้งใจกินอูด้งในถ้วยต่อไป

     

    เจ้าของร้านร่างสูงคีบเส้นที่แสนคีบยากขึ้นมาก่อนจะใช้ปากงาบไว้และดูดเข้าไป แต่ก็ไม่รู้ทำไมเส้นนี้ถึงได้ยาวนัก เพื่อไม่อยากยืดเยื้อเวลาให้นานจึงดูดเข้าปากอย่างรวดเร็ว และแล้วน้ำที่ติดมาก็กระเด็นไปโดนหน้าของคนฝั่งตรงข้าม

     

    “อ๊ะ!” ชานยอลสะดุ้งทันทีเมื่อมีน้ำคล้ายๆ น้ำซุปมาติดบนจมูก พอเงยหน้าขึ้นไปจะด่าคนที่กินไม่มีมารยาทก็พบกับใบหน้ายิ้มแห้งๆ ให้ “แกล้งคืนป่ะเนี่ย”

     

    “ขอโต๊ด...พอดีรีบไปหน่อย ไม่ได้จะแกล้ง” แก้ตัวพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ส่งให้ก่อนจะพบว่าลูกน้องตนเองยังไม่ได้หยิบทิชชู่มาเช็ดคราบน้ำซุปที่ไปหยดอยู่บนจมูกและแก้มขาว

     

    ด้วยความที่รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่มีมารยาทจึงหยิบทิชชู่มาก่อนจะบรรจงเช็ดให้ที่จมูกโด่งอย่างค่อยๆ จากนั้นก็ซับคราบน้ำซุปบริเวณแก้มขาว และนั่นก็ทำให้ดวงตาคมของอี้ฟานต้องสบกับดวงตาโตของชานยอลที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว

     

    อีกแล้ว...ความรู้สึกแปลกๆ มันเกิดขึ้นอีกแล้ว

     

    ดวงตาคมสำรวจใบหน้าน่ารักของชานยอลไปทั่ว...เมื่อได้มองอย่างนี้และในแบบที่ชานยอลไม่ได้เป็นเหมือนวันแรกๆ ที่เจอกันแล้ว เขารู้สึกว่า...

     

    ชานยอลน่ารักมาก... ยิ่งตอนนี้แก้มขาวกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อแล้ว ยิ่งทำให้อวัยวะด้านซ้ายเต้นแรงขึ้นทุกที

     

    “อะแฮ่ม” ปาร์คชานยอลรู้ตัวว่าโดนจ้องนานไปแถมมือกร้านที่ใช้ทิชชู่เช็ดยังคาไว้ที่แก้มอยู่จึงร้องขัด และนั่นก็ทำให้อี้ฟานหลุดออกจากภวังค์แล้วรีบเอามือออกจากแก้มของชานยอลก่อนจะสนใจอูด้งในถ้วยต่อ

     

    ทั้งสองไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งเช็คบิลก่อนจะเดินมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของเข้าร้านจึงจะพูดคุยกัน

     

    บางที...อีกไม่นานอี้ฟานคงจะพบโรคที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้


    100% Already
    TO BE CONTINUED

    - - - - - - - - - - - - - - - - -
    ฮัลโหลลลลลลลลลลล
    เอ้โย้วจีจี .______.
    เรารู้สึกว่าตัวเองดำเนินเรื่องราวไปเร็วมาก55555555555
    เพราะหลังจากนี้มันจะมีๆ หลายเรื่องเข้ามา เลยไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อเท่าไหร่
    ตอนนี้เราเสียใจมากกก T_T มีแต่คนอ่านแล้วไม่ค่อยเม้นเลยงื้อออออ

    ตอนนี้
    ถ้าอ่านแล้วไม่เม้นต์ 
    เราขออนุญาตให้แปะเมลล์เวลามีฉากนั้นนะคะ

    เราขอโทษที่ต้องทำแบบนี้แต่คือ เราอยากได้กำลังใจในการแต่งบ้าง
    บางทีคือ เราหัวไม่แล่นแต่พอมาอ่านคอมเม้นต์แล้วกำลังใจมันก็มา
    และเราก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและเม้นต์นะคะ
    :D





    ยังไงก็อย่าลืมคอมเม้นให้กำลังใจด้วยน้าาาา *-*

    แล้วก็ฝากติดตามอีกเรื่องด้วยนะคะ

    http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1383086





    อย่าลืมคอมเม้นต์กับแฮชแท็กน้า
    #ฟิคเหตุผลของฮุน


    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×