ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ douluo dalu ] .......

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 64




    5 ปีต่อมา


    ร่างหญิงสาวนั่งหลับตาอยู่ภายในกรงขังหนามขนาดใหญ่ ออร่าสีแดงเปล่งประกายเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า นางดูดซับวงแหวนวิญญาณระดับแสนปี! นางนั่งอยู่ตรงนี้เกือบสามเดือนแล้ว


    รอบๆมีทหารใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬมีดอกกุหลาบสีแดงที่อกข้างซ้ายหลายร้อยคนคอยดูและระวังภัยให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังหนาม


    “ระวัง! ยุพาชมพูมาทางนี้”


    “คุมกัน ท่านนักปราชญ์!”


    ยุพาชมพูหลายสิบตัวทุกตัวเป็นระดับพันปีขึ้นไปทั้งสิ้น หมอกสีชมพูเริ่มปกคลุม


    “อย่าให้หมอกนี่เข้าใกล้ท่านนักปราชญ์ได้!”


    เหล่าทหารทำงานกันเป็นทีมช่วยกันต้านกองทัพยุพาชมพู


    ทักษะวิญญาณที่ 6 หนามแมงมุมดูดเลือด!


    ตู้ม!! ตู้ม! โฮกกกก!


    หนามแมงมุมหลายจำนวนมากพุงใส่เหล่ายุพาชมพูราวห่าฝน 


    เหล่ายุพาชมพูจำนวนมากล้มตายจนพวกมันต้องล่าถอย


    “คารวะ ธิดาเทพ!”เหล่าทหารหันไปทำคุกเข่าความเคารพผู้เป็นเจ้าของทักษะวิญญาณเมื่อครู่


    หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงาม เส้นผมสีชมพูดวงตาเรียวสีทับทิมมองเหล่าทหารเกราะทมิฬด้วยความพอใจ


    ใช่ นางคือ ธิดาเทพแห่งสำนักวิญญาณยุทธ ปี่ปิตง!


    “ไม่เลวสำหรับการต่อสู้จริงครั้งแรกของพวกเจ้า แม้จะผิดพลาดและมีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกหลายอย่าง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะหาจุดผิดพลาดของตัวเองและปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ให้เสียชื่อของกองอัศวินกุหลาบโลหิต”


    เหล่าทหารดวงตาเป็นประกายดีใจกันแต่ก็ต้องเก็บอาการกันเอาไว้


    กองอัศวินกุหลาบโลหิตในเมืองวิญญาณยุทธเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นกองกำลังส่วนตัวของนักปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งสำนักวิญญาณยุทธที่องค์สังฆราชมอบให้


    เนื่องจากความดีความชอบที่คิดค้นโอสถเพิ่มพลังวิญญาณที่ช่วยในการเพิ่มเลื่อนระดับพลังวิญญาณและโอสถฟื้นฟูพลังวิญญาณที่ช่วยในการรักษาและฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว


    แต่มันก็มีอีกเหตุผลที่มอบเป็นกองกำลังส่วนตัว


    เนื่องจาก นักปราชญ์คนนี้เป็นคนที่หวงความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก ถ้าไม่จำเป็นก็แทบไม่เคยให้ใครมายุ่งกับชีวิตส่วนตัวเลยสักครา 


    เว้นแค่ธิดาเทพที่เป็นสหายคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไปวุ่นกับชีวิตเจ้าตัวแล้วไม่โดนเทศนา


    พอเดากันได้ใช่ไหม?


    ใช่! นักปราชญ์คนนี้ก็ คือ หวงจื่อเสีย


    ห้าปีก่อน หวงจื่อเสียเข้าร่วมกับสำนักวิญญาณยุทธในฐานะผู้ติดตามคนสนิทของธิดาเทพ


    สี่ปีก่อน นางใช้ความรู้ที่มีในการใช้สมุนไพรในการสกัดและหลอมสร้างยาตัวใหม่ๆแล้วเรียกมันว่า ‘โอสถ’


    จนได้รับกองกำลังจำนวนสามร้อยคนไว้คุ้มกันตัวเอง แน่นอนว่าจื่อเสียยืนเถียงกับองค์สังฆราชไปหลายวัน


    ต้องรู้ก่อนว่าหวงจื่อเสียเป็นคนที่ไม่ค่อยขึ้นเสียงหรือเถียงกับใครสักเท่าไหร่


    แต่สุดท้ายก็ต้องรับมาเพราะเหตุผลเรื่องความปลอดภัย


    จื่อเสียไปคุยกับปี่ปิตงให้ช่วยควบคุมกำลังในฐานะผู้บัญชาการ ส่วนจื่อเสียจะออกแบบและวางแผนในการฝึกให้ เพราะกลัวว่านิสัยใจดี ใจอ่อนของตัวเองเป็นปัญหากับการที่จะเป็นคนที่บัญชาการ


    ปี่ปิตงก็ไม่ว่าและตอบรับคำขอเพราะรู้นิสัยสหายของตนดี 


    หากให้จื่อเสียเป็นคุมก็คงไม่ไหวมีแววว่าจะมีทหารโดดฝึกมากกว่าครึ่ง


    ด้วยการร่วมมือของทั้งสองคน ในปีต่อมากองอัศวินกุหลาบโลหิตกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด เหนือกว่ากองกำลังทูตสวรรค์ซะอีก


    ทำให้องค์สังฆราชเพิ่มจำนวนคนให้กองกำลังในทุกๆปี ทำเอาหวงจื่อเสียและปี่ปิตงต้องปวดหัวกับการจัดการกองอัศวินจนไม่เป็นอันฝึกไปเกือบสองเดือนในทุกปี


    จนปัจจุบันกองอัศวินกุหลาบโลหิตมีจำนวนกว่า 5,000 คน ความจริงมันควรมีมากกว่าหนึ่งหมื่น


    หากไม่ใช่เพราะหวงจื่อเสียและปี่ปิตงวิ่งไปประท้วงถึงห้องบัลลังก์ขององค์สังฆราช


    ทหารร้อยกว่าคนตรงหน้าปี่ปิตงคือ จำนวน 1 ใน 4 ของทหารใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้าเมื่อครึ่งปีก่อน



    ปัง!


    เสียงระเบิดพลังวิญญาณสีแดงเข้มกระจายไปทั่วทำให้เกิดกระแสลมเชี่ยวกราด ทหารหลายร้อยนายกระเด็นไปคนละทิศละทาง


    มีเพียงปี่ปิตงที่ยังคงอยู่ที่เดิม นางเรียกกระดูกวิญญาณภายนอกขาแมงมุมสีดำข้อต่อสีทองออกมาใช้ยึดตัวนางให้อยู่กับที่ไม่ให้นางกระเด็นอย่างคนอื่น


    กระแสลมสงบลงนางมองไปที่กรงขังหนามเริ่มคลายออกเผยให้เห็นบุคคลที่อยู่ด้านใน


    หญิงสาวผู้ครอบครองใบหน้างดงาม เส้นผมสีดำขยับเพียงเล็กน้อยมันไม่ได้รับผลกระทบกับกระลมก่อนหน้านี้


    ดวงตาของหญิงสาวค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นนัยตาสีฟ้าใส


    หญิงสาวคนนี้ คือ หวงจื่อเสีย!


    “เป็นยังไงบ้าง?”ปี่ปิตงยิ้มทักทายสหายที่ไม่ได้พูดกันถึง 3 เดือนเต็ม


    หวงจื่อเสียยิ้มอย่างอ่อนโยน “ตงเอ๋อ ลำบากเจ้าแล้ว”


    “อย่าเพ้อเจ้อน่า ข้าลำบากแค่ขยับปากสั่งงานเจ้าพวกหน้าใหม่ก็เท่านั้น”ปี่ปิตงกล่าวพลางชี้ไปที่กองทหารชุดเกราะทมิฬที่รีบวิ่งกลับมายืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ


    หวงจื่อเสียหัวเราะ “คิดถูกจริงๆที่ให้เจ้าบัญชาการ ไม่งั้นข้าทำเองคงไม่มีทางได้แบบนี้”


    ปี่ปิตงยิ้มเดินนำจื่อเสียไปที่รถม้าที่จอดรออยู่ พวกนางออกมานานเกินไปถึงเวลาต้องกลับบ้านซักที


    รถม้าออกตัวจากป่าล่าวิญญาณตรงกลับสำนักวิญญาณยุทธ เนื่องจากบุคคลที่นั่งอยู่บนรถม้าทั้งสองจำต้องกลับไปจัดการงานของตนต่อ


    รถม้าหยุดที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้หอสังฆราช ที่นี่เป็นสถานที่ทำงานของจื่อเสียหลังรับตำแหน่งนักปราชญ์


    นี่ต้องยกความดีความชอบให้ปี่ปิตง ที่วิ่งไปคุยเรื่องนิสัยรักพื้นที่ส่วนตัวของนางกับองค์สังฆราช


    นับว่าเป็นสิทธิพิเศษของคนสนิทของธิดาเทพได้ล่ะนะ


    แน่นอนว่าทำให้หลายคนไม่พอใจกับการตัดสินใจครั้งนั้นขององค์สังฆราช


    ตัวองค์สังฆราชก็ทำเป็นไม่เห็นการท้วง เห็นได้ชัดว่าเข้าข้างให้ท้ายปี่ปิตงกับหวงจื่อเสียอย่างเต็มที่


    สุดท้ายในเวลาไม่กี่เดือนหวงจื่อเสียก็สร้างผลงานมากมาย ทำให้พวกที่ประท้วงนั้นต้องเงียบปากแล้วกลับไปทำงานของตนโดยไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกเลย


    หวงจื่อเสียและปี่ปิตงเข้ามาในห้องทำงาน


    หญ้าสีฟ้าครามพุ่งเข้ามารัดข้อมือของทั้งสองทำเอาหวงจื่อเสียหัวเราะ


    “พวกเรากลับมาแล้ว เสี่ยวอิ๋น”


    ปี่ปิตงมองหญ้าที่รัดข้อมือตนอยู่ก็ทำหน้าเบื่อๆ “ข้าต้องทำงานปล่อยได้แล้ว”


    ปี่ปิตงมองไปที่หญ้าเงินครามที่เติบโตจนสูงกว่าปกติ ปลูกอยู่ในกระถางขนาดใหญ่ใกล้หน้าต่าง


    ครั้งที่นางไปล่าวงแหวนวิญญาณ เมื่อครึ่งปีก่อนไปเจอมันระหว่างทางกลับจากป่าล่าวิญญาณ


    เห็นมันแปลกดีจึงเก็บมาเป็นของฝากให้จื่อเสียเพราะเจ้าตัวชอบพวกศึกษาพืชสมุนไพรอยู่แล้ว


    ใครจะไปนึกว่าสิ่งที่นางเก็บมาจะเป็นสัตว์วิญญาณประเภทพืชอายุหมื่นปีและใครจะไปคิดว่าจื่อเสียจะชื่นชอบเจ้านี่จนขอนางเลี้ยงไว้แบบไม่บอกใคร


    แถมตั้งชื่อให้ซะดิบดีว่า “หวงเสี่ยวอิ๋น”


    ประเด็นคือ จื่อเสียคุยกับมันได้และคุยจนบางครั้งเมินนางก็มี


    เมื่อนางเห็นจื่อเสียกำลังจะเดินเข้าไปเล่นกับหญ้าเงินครามทำนางต้องไปดึงหูเจ้าตัวดีให้หันกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วไม่วายหันไปดุเสี่ยวอิ๋นให้อยู่เฉยๆระหว่างที่พวกนางทำงาน


    ‘อย่าหวังว่าวันนี้ข้าจะยอมนั่งจัดการเอกสารคนเดียว’


    เมื่อเห็นกองเอกสารที่ล้นโต๊ะทำงานทำเอาทั้งสองต้องหันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน


    แต่ก็ต้องจำใจเข้าไปจัดการกองเอกสารทั้งหมด


    “เอกสารพวกนี้จะเยอะเกินไปแล้ว...นี่ข้าใช้เวลาดูดซับวงแหวนแค่ 3 เดือนแน่หรอ? ตงเอ๋อ เจ้าแน่ใจนะว่าข้าใช้เวลา 3 เดือนไม่ใช่ครึ่งปี?”หวงจื่อเสียนั่งอ่านเอกสารทีละอย่างอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่ตัวนางใช้เวลาครึ่งปีในการดูดซับวงแหวนรึเปล่า?


    เอกสารเหล่านี้มันดูเยอะกว่าปกติมาก


    ปี่ปิตงขมวดคิ้วขณะอ่านเอกสาร “เสียเอ๋อ ข้าเองก็สงสัยไม่ต่างจากเจ้าหรอก”


    “นี่คงไม่ใช่องค์สังฆราชโยนงานเอกสารมาให้เราอีกใช่ไหม?”หวงจื่อเสียกล่าวหยอกเล่นๆ


    ปี่ปิตงหัวเราะก่อนจะก้มหน้าทำงานในส่วนของตนต่อ



    ก๊อก ก๊อก ก๊อก


    “ท่านอาจารย์ ธิดาเทพมีโองการจากองค์สังฆราชถึงพวกท่าน”


    หวงจื่อเสียหันไปมองปี่ปิตงก็เห็นสหายของตนเหมือนจะงงเช่นกัน “เข้ามา”


    หญิงสาวในชุดอัศวินทมิฬผมสั้นสีทองดวงตาสีเงิน รองผู้บัญชาการของกองอัศวินกุหลาบโลหิต เยว่ฉี เป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาติให้เข้าออกคฤหาสน์หลังนี้ได้ตามต้องการ


    เยว่ฉียังมีอีกสถานะนึง นั่นคือ นางเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของหวงจื่อเสียแม้จะอายุของเยว่ฉีจะมากกว่าหวงจื่อเสียถึงสองปีก็ตาม...


    เยว่ฉีส่งมอบจดหมายให้อาจารย์ของตน ก็รีบขอตัวออกจากห้องอย่างรวดเร็วประหนึ่งต้องการหนีจากภัยพิบัติ


    ปี่ปิตงงงงัน “เยว่ฉีเป็นอะไรไปทำไมรีบไปจัง”


    หวงจื่อเสียก็สงสัยแต่ก็ปัดทิ้งไปแล้วหันมาสนจดหมายในมือ 


    เมื่อหวงจื่อเสียอ่านเนื้อความในจดหมายก็ต้องกุมขมับก่อนจะหันไปหาสหายตน “ข้าว่านางกลัวพวกเราโมโหล่ะมั้ง?”


    ปี่ปิตงไม่เข้าใจแต่เมื่อรับจดหมายมาอ่านก็มุมปากกระตุก


    ตอนนี้พวกนางรู้แล้วว่าทำไมเอกสารถึงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก



    “องค์สังฆราช!!!!!/ท่านอาจารย์!!!!”




    ( จบตอน )



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×