ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [1D Fiction] Watch out! รักนี้ต้องระวัง!

    ลำดับตอนที่ #4 : -3- The boys

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 55


    Chapter 3 : The boys


    ความรู้สึกของเขาตอนนี้คือกังวลผมสมตื่นเต้น

     

    ตื่นเต้น เพราะจะได้ไปทำงานเป็นครั้งแรก จะได้รู้ว่าที่เรียนมาจะทำอะไร จะดูแลใครซักคนได้ขนาดไหน

    ส่วนกังวลน่ะ....ไม่ได้เกี่ยวกับกลัวว่าเจ้านายคนแรกหรอกนะ เขามั่นใจว่าเขาน่าจะปรับตัวเข้าหาเจ้านายคนใหม่ได้ไม่ยาก เซนก็เคยบอกไว้นี่นาว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดี จริงใจ ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ คงไม่เป็นไรใช่ไหมที่เขาจะเชื่อคำพูดของเซนน่ะ....

     

    ที่กังวลน่ะ กังวลเรื่องเซนกับเจ้านายคนแรกต่างหาก....

     

    จะว่าอย่างไงดีล่ะ?...ตลอดเวลาที่เป็นรูมเมทกันในโรงเรียนบอดี้การ์ด มันนานพอที่จะทำให้เขารู้ว่าเซนเป็นคนอย่างไง เซนเป็นคนจริงจัง ตั้งใจ ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง มันก็เป็นข้อดีในความคิดของเลียม แต่ถ้าเจ้านายคนใหม่ของเซนดันเป็นคนที่ไม่คิดว่ามันเป็นข้อดีแล้วมันจะเป็นอย่างไงกัน? มันจะส่งผลตอนงานครั้งแรกของเซนแบบไหน?

     

    ยิ่งคิดยิ่งห่วงแฮะ....

     

    แต่เลียมก็มีเวลาห่วงเซนไม่นานนัก เพราะไม่กี่วินาทีถัดมา รถคันหรูที่เขานั่งมาก็หยุดลงตรงลานหน้าคฤหาสน์หลังมหึมาสีน้ำตาลอ่อนหลังหนึ่ง

     

    “นายท่าน คุณนายกับคุณหนูรอคุณอยู่ที่ห้องรับแขกนะครับ เข้าห้องโถงแล้วเลี้ยวซ้าย” คนขับรถพูดกับเขา เลียมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะลงจากรถไป

     

    ถ้าวัดตามเกณฑ์ของเขาแล้ว คฤหาสน์หลังนี้น่าอยู่มากทีเดียว ไม่ใช่น่าอยู่เพราะมันใหญ่โต มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันหรือตกแต่งสวยงามหรอกนะ แต่เพราะเลียมรู้สึกได้ตั้งแต่นาทีแรกที่เดินเข้ามาแล้วว่าบ้านหลังนี้อบอุ่น.....

     

    ดูเหมือนเจ้านายใหม่ของเขาจะเป็นคนดี ถือเป็นโชคดีของเขาแหละ

     

    “คุณคะ!” สุภาพสตรีในชุดเดรสสีฟ้าสวยแตะไหล่สามีเป็นเชิงเรียกเมื่อเห็นเขาเข้ามา “บอดี้การ์ดใหม่ของตาหนูมาแล้วค่ะ”

     

    “หรอ.....เข้ามาได้เลยๆ” คุณโฮรันพูด ยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง โบกมือให้เขาเดินเข้ามา แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาแอบเหลือบมองต่อจากคุณและคุณนายโฮรันก็คือคุณหนูโฮรัน...คนที่เขาต้องดูแลนั่นแหละ

     

    สิ่งแรกที่เขาจำได้ในตัวคุณหนูคือสีผม...ทองซะ!

     

    “ไม่ต้องยืนหรอก นั่งลงสิ!” ไม่จำเป็นต้องเหลือบมองอีกต่อไปเมื่อคุณหนูพูดกับเขาโดยตรง แถมยิ้มให้อีกต่างหาก เลียมค้อมตัวน้อยๆขอบคุณก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโซฟาที่ครอบครัวโฮรันนั่งอยู่ เอาล่ะ การคาดการณ์ถูกต้อง เขาโชคดีที่ได้มาทำงานกับครอบครัวนี้จริงๆด้วย

     

    “สำหรับรายละเอียดงานคงไม่ต้องพูดมาก นายรู้แล้วจากเอกสารที่ได้รับไปใช่ไหม?” คุณโฮรันเอ่ยถาม เขาพยักหน้าน้อยๆ “งั้นเราก็มาแนะนำ.......”

     

    “ฉันชื่อไนออล!” ตัดบทพ่อตัวเองพร้อมกับยิ้มให้เขาอีกที คราวนี้เลียมอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆตอบ...ใส่เหล็กดัดฟันด้วยแฮะ....หน้าเด็กไม่สมกับอายุเลย

     

    “ตัดบทคุณพ่ออีกแล้ว ลูกคนนี้!”คุณนายโฮรันดุ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่จริงจังนัก “จะรีบอะไรนักหนา ฮึ?”

     

    “อ้าวววว ก็ผมอยากรู้จักบอดี้การ์ดคนแรกของผมไวๆนี่นา นายชื่ออะไรนะ? เลียมใช่ป้ะ?”

     

    “ครับ”

     

    “หรอๆ...แล้ว......” ไม่ทันที่ไนออลจะได้พูดอะไรต่อ ผู้เป็นพ่อก็ยกมือเป็นเชิงปราม

     

    “หยุดก่อน ไนออล ให้พ่อได้พูดอะไรกับบอดี้การ์ดของเราหน่อย ไอ้เรื่องที่อยากรู้น่ะเอาไว้ทีหลังก็ได้ เรากับเลียมยังมีเวลาอีกเยอะ”

     

    “ก็ได้ฮะ” รับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะเอนตัวลงพิงโซฟา หยิบมือถือขึ้นมากดอะไรกึกๆ แล้วก็หัวเราะ ถ้าให้เขาเดานะ ต้องคุยกับเพื่อนชัวร์ๆ.....ซึ่งเพื่อนที่ว่า ก็อาจจะเป็นคุณหนูที่เซนไปดูแลก็ได้นะ ถ้าเป็นงั้นจริงๆ...ไว้เลียบๆเคียงๆถามดีกว่าว่าสถานการณ์ฝั่งนั้นเป็นไง.....

     

    ถึงจะสบายใจเรื่องงานตัวเองก็ยังห่วงเรื่องเซนไม่หายนี่นา....

     

    “สิ่งที่ฉันอยากจะพูดคือฉันขอฝากลูกของฉันกับนายด้วย”

     

    “ครับ ผมจะทำให้เต็มความสามารถ ให้สมกับความไว้วางใจที่เลือกผม” เลียมพูดออกไปอย่างหนักแน่น เรียกรอยยิ้มจากครอบครัวโฮรันทั้งสามได้ไม่ยาก

     

    “ไม่รู้เพราะอะไร...แต่ฉันรู้สึกมั่นใจนะ ว่านายจะดูแลตาหนูของเราได้เป็นอย่างดี” คุณนายโฮรันพูด “ยังไงๆก็ฝากไนออลด้วย เขาเป็นเหมือนชีวิตของพวกเราสองคน....ถ้าเขาเป็นอะไรไป พวกเราก็คง....”

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ คุณหนูจะไม่เป็นอะไรเด็ดขาดถ้าตราบใดที่ผมเป็นคนดูแลให้”

     

    “ถ้างั้น พวกเราก็หายห่วง” คุณโฮรันพูด ยิ้มกว้างไม่ต่างจากภรรยา “งั้น....พวกเราก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกได้เสมอนะ....ทำตัวดีๆล่ะ ไนออล อย่าทำให้คุณบอดี้การ์ดหนักใจ”

     

    พูดจบก็วางมือลงบนหัวลูกชายก่อนจะขยี้จนผมสีทองสว่างนั้นยุ่งไม่เป็นทรง

     

    “อะไรกัน! ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ผมไม่ใช่แฮร์รี่ซักหน่อย!!” ไนออลพูดเคืองๆ เล่นเอาพ่อกับแม่หัวเราะ

     

    “พาดพิงเพื่อน...ป่านนี้แฮร์รี่จามตายไปแล้วมั้งนั้น.....” พอพูดจบคุณโฮรันก็ละมือออกจากหัวลูกชาย หันมายิ้มให้เขาอีกทีก่อนจะพาภรรยาเดินออกไป ลับสายตาไม่ถึงสิบวิดี คุณหนูไนออลก็โพล่งขึ้น

     

    “แล้วนายคิดอย่างไงมาเป็นบอดี้การ์ดอ่ะ?”

     

    “เอ่อ....” โดนยิงคำถามกะทันหันแบบนี้ ใครจะตอบทันที! “...ก็......”

     

    “แล้วไอ้โรงเรียนบอดี้การ์ดนี่มันเป็นอย่างไง? ไม่เหมือนพวกโรงเรียนทั่วไปอย่างไงหรอ?”

     

    “ก็.....” ตอบคำถามไหนก่อนดีเนี่ย....

     

    “แล้ว...................”

     

     

    ก่อนจะคิดว่าจะตอบคำถามไหนก่อนดี คงต้องคิดว่าเมื่อไหร่จะถามหมดดีกว่ามั้ง!

     

    .

    .

    .

    .

     

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ในที่สุด เลียมก็ตอบคำถามที่ไนออลยิงมาได้หมด ตอบละเอียดยิบด้วยนะ...ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าเขากับคุณหนูกำลังคุยกันสบายๆอยู่แทน

     

    “สรุปคือนายเป็นคนอังกฤษ เรียนไฮสคูลที่อังกฤษ...แต่ไปต่อโรงเรียนบอดี้การ์ดที่อเมริกาสินะ”

     

    “ครับ”

     

    “งั้นก็ต้องขอบคุณพ่อฉันสินะที่ไปจ้างนายมา นายเลยกลับมาทำงานที่บ้านเกิดได้ ถ้าวันไหนว่างๆแล้วจะกลับไปเยี่ยมบ้านก็ได้นะ ฉันไม่ว่า” พูดจบก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้ม ไม่เข้าจริงๆว่าทำไมถึงยิ้มได้เก่งขนาดนี้? ขนาดเซนว่าเขายิ้มเก่งแล้วพอมาเจอคุณหนูไนออลแล้ว เขาว่าเขาคงแพ้หลุดลุ่ยเลยล่ะมั้ง?

     

    “ขอบคุณครับ คุณหนู”

     

    “ก่อนฉันจะให้นายไปเก็บของหรือพักผ่อน ขอพูดอะไรอีกเรื่อง”

     

    “เชิญพูดมาได้เลยครับ”

     

    “ไม่ต้องใช้คำพูดสุภาพๆก็ได้ ยังไงๆฉันก็อายุน้อยกว่านายนี่ เวลาพูดก็ไม่ต้องลงท้ายด้วยครับ ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหนู เรียกว่าไนออล แล้วก็ไม่ต้องแทนตัวเองว่าผม แทนว่าฉันได้เลย ไม่มีปัญหา”

     

    “เอ่อ...มันจะดีหรอครับ? คือ....”

     

    “บอกว่าไม่ให้ใช้ครับก็ใช้อีกแล้ว โถ่เอ้ย” ไนออลพูด ส่ายหัวแบบเหนื่อยใจก่อนจะลุกเดินมาหาบอดี้การ์ด (ที่เขาแอบลงมติไปเรียบร้อยแล้วว่ายิ้มได้หวานจริงๆ) เอามือแตะไหล่ “พ่อฉันจ้างคนวัยเดียวกันมาเป็นบอดี้การ์ดเพราะอยากให้สนิทกัน ไม่ใช่สุภาพใส่กันนะ ถ้ายังมีครับ คุณ ผม เนี่ย ฉันว่าให้ตายก็ไม่สนิทกันหรอก”

     

    “แต่มัน....”

     

    “เหอะน่า.....ถ้าใครว่าเดี๋ยวฉันรับหน้าแทนเอง โอเค?” แต่ดูจากสีหน้ากังวลๆเหมือนคนหลงทางนี่น่าจะยังไม่โอ “ถ้านายไม่ตอบตกลง เราก็ยืนจ้องตากันแบบนี้ทั้งวันไปเลยละกัน ฉันจะไม่ปล่อยนายจนกว่านายจะตอบตกลง”

     

    ถึงคำพูดจะเป็นเชิงขู่ แต่รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าเสมอก็ไม่หายไปไหน เลียมกระพริบตาน้อยๆ ถอนหายใจเบาๆ....

     

    ดูท่าทางเขาจะต้องยอมแพ้แล้วล่ะมั้ง?

     

    “ก็ได้คะ.....” ไม่ทันพูดให้จบ มือของไนออลก็ลอยมาปิดปากซะก่อน เลียมเบิกตามองอย่างงงๆ ไนออลทำเสียงจุ๊ๆ

     

    “ไม่เอาคำว่าครับ! พูดจบก็จ้องตาสีน้ำตาล (เหมือนช็อคโกแลต เห็นแล้วหิว...เอ่อ....ไม่เกี่ยวกันเนอะ?) นั้นนิ่ง พอปล่อยมือออกจากปากอีกทีก็ได้ยินสมใจว่า

     

    “ก็ได้”

     

    “งั้นก็ไปพักเหอะ ฉันไม่กวนแล้ว...ตอนเย็นอย่าลืมลงมากินข้าวด้วยกันนะ!

     

    “คะ....” พอจะหลุดคำว่าครับไปด้วยความเคยชินก็โดนตาสีฟ้าเหมือนท้องฟ้านั้นจ้องกลับมาอย่างไม่พอใจ “...อื้อๆ เจอกันตอนเย็นนะ”

     

    ไนออลยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่เลียมพูดออกมา ก่อนจะโบกไม้โบกมือเป็นเชิงให้ไปพักได้ เลียมก็เลยหมุนตัว เตรียมจะกลับไปพัก ในใจก็คิดว่าช่างโชคดีจริงๆที่ได้มาทำงานกับครอบครัวนี้...

     

    อ่าว..มัวแต่สบายใจกับเรื่องของตัวเองจนลืมถามไปเลยว่าเซนกับอีกคุณหนูน่ะ เป็นอย่างไงบ้าง

     

    แย่จริง.....

     

    .

    .

    .

    .

     

    ในหลักสูตรบอดี้การ์ดน่ะ มีวิชาเกี่ยวกับจิตวิทยาด้วยนะ แบบเรียนรู้วิธีการที่จะรับมือแรงกดดัน ความอึดอัดอะไรแบบนั้น และเขาก็ทำได้ดีซะด้วยสิ...ไอ้ตอนที่เรียนจบมาน่ะ เขามั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าไอ้วิชานี้ต้องมีประยุกต์ใช้ได้จริง

     

    คือ...หมายความว่าประยุกต์ใช้กับศัตรูได้นะ...แต่เอามาประยุกต์ใช้กับคุณหนูนี่ชักไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้รึเปล่า!

     

    หลังจากวินาทีเปิดเผยหน้าตานั่น คุณสไตล์ก็พูดอะไรอีกนิดหน่อย ทำนองว่าฝากลูกชายด้วย หวังว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้ และก็ไม่ลืมที่จะหันไปย้ำกับลูกด้วยว่า “อย่าเฮี้ยว อย่าซนให้มาก!” จากนั้นก็มีสายเข้ามา คุณสไตล์เลยต้องรีบไปประชุม...

     

    ทิ้งให้เขากับคุณหนูแฮร์รี่นั่งกันอยู่ในห้องสองคนนั่นแหละ...ซึ่งนั่งในที่นี้คือนั่งเฉยๆ ไม่พูด ไม่คุย ไม่มองหน้าอะไรกันทั้งสิ้น (ที่ไม่มองหน้าเพราะไอ้แม๊กกาซีนเวสป้าสีชมพูเล่มเดิมที่เอามาปิดหน้าอีกครั้งนั่นแหละ...พ่ออยากจะเขวี้ยงออกนอกหน้าต่างจริงๆ) ไอ้การนั่งเฉยๆเนี่ยแหละ ที่ทำให้เกิดความอึดอัดขึ้น

     

    คือเขาก็ควรจะเริ่มพูดอะไรกับคนที่ตัวเองจะต้องดูแลบ้าง ใช่ป้ะ? ประเด็นคือไอ้เปี๊ยก (เรียกในใจ ไม่เป็นไรหรอก) นี่ไม่มีทีท่าว่าจะอยากคุยกับเขาเล้ยยยยยย ช่วยพูดอะไรออกมาก่อนหน่อยเถิ๊ดดดด เงียบแบบนี้มันอึดอัด!!!!!!!!!!!!!!!

     

    ..........................

     

    ใจเย็นๆไว้ เซน ใจเย็นๆ....

    ...การทดสอบอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะยังผ่านมาได้ จะมาแพ้อะไรกับการแค่เด็กคนหนึ่งไม่ยอมพูดด้วยเนี่ยนะ!~ ไม่สมกับเป็นที่หนึ่งโรงเรียนบอดี้การ์ดเลยนะว้อย! ถ้าอึดอัดเพราะเงียบก็พูดออกไปซี่!

     

    “คือ...” เขาส่งเสียงออกไป

     

    “นี่....”เสียงดังผ่านแม๊กกาซีนที่ปิดหน้าอยู่ออกมา

     

    กรรมเวร....

    พอนึกอยากพูดก็ดันอยากขึ้นมาในเวลาเดียวกันอีก!

     

    “............”

     

    “............”

     

    เขากับคุณหนูเลยจ้องตากันแทน อืม....ถึงแววตาจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ...ว่าเขาไม่เคยเห็นใครตาสีเขียวแล้วสวยขนาดนี้มาก่อนเลย

     

    “เชิญคุณหนูพูดก่อนครับ” รวบรวมความกล้าอีกหนแล้วพูดออกไป คุณหนูวางแม๊กกาซีนไว้ที่โต๊ะข้างๆ กอดอกเลิกคิ้วมองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหมือนไอติมในตู้แช่ว่า

     

    “มีมารยาทเหมือนกันนี่”

     

    ขอบคุณอาจารย์วิชามารยาทมา ณ จุดนี้ (โรงเรียนบอดี้การ์ดมีสอนวิชามารยาทในการเข้าสังคมด้วยนะเออ เผื่อตามเจ้านายไปงานหรูๆไรงี้) ที่สอนประโยคนี้ให้กับเขา อยากจะกลับไปมอบช่อดอกไม้ให้จริงๆ

     

    “ถ้ามีมารยาทอย่างนี้ก็น่าจะมีมารยาทให้กับเรื่องอะไรอีกซักเรื่องนะ....”

     

    “................”

     

    “....เรื่องที่ว่า ก็คือเรื่องที่ถ้าคนเขาไม่อยากให้อยู่ ก็ไม่ต้องอยู่..” ยิ่งพูดแววตาก็ยิ่งไม่เป็นมิตรมากขึ้นทุกที

     

    “หมายถึงว่าคุณหนูไม่อยากให้ผมอยู่? ไม่อยากให้ผมเป็นบอดี้การ์ดว่างั้น??”

     

    “ฉลาดนี่นา...แต่จะฉลาดมากกว่านี้ถ้านายลุกจากเก้าอี้ ไปเก็บกระเป๋า แล้วจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านนายไปซะ” พูดจบก็จ้องหน้าเขาตรงๆ แววตานั้นสื่อออกมาว่าหมายความตามที่พูดจริงๆ ....... เขาเองก็จ้องกลับไป ณ จุดนี้พักเรื่องมารยาทไว้ก่อน เพราะเขาว่ายิ่งจ้อง...เขายิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้นเรื่อยๆแฮะ...

     

    “ที่ผมต้องขับเวสป้ามาจากแอร์พอร์ตจนถึงที่นี่เป็นฝีมือคุณสินะ” เซนพูดกลับไป น้ำเสียงไม่เย็นเจี๊ยบเหมือนอีกฝ่ายก็จริงแต่ก็เรียบสนิทไม่แสดงอารมณ์อะไรเลย แฮร์รี่ยักไหล่นิดๆ

     

    “ฉลาดอีกแล้ะ ใช่ ฉันเอง”

     

    “ไม่ต้องฉลาดก็รู้ได้ครับ คุณหนูเล่นเอาแม๊กกาซีนมาอ่านยืนยันแบบนั้น”

     

    “หรอ? อืมมมม...ถ้ารู้ว่าเป็นฝีมือฉันก็ดี จะได้ไม่ไปโทษโรเบิร์ตเขาว่าต้อนรับนายไม่ดี....และอีกอย่างที่ดีก็คือนายจะได้รู้ไว้...” มาถึงตอนนี้ตาสีเขียวนั่นก็จ้องเขาเขม็ง “....ว่าถ้านายไม่ยอมไป และดึงดันจะอยู่ล่ะก็ อะไรๆที่มากกว่าเวสป้าจะตามหลอกหลอนนายจนกว่านายจะยอมลาออกไปเลย ชีวิตฉันฉันดูแลได้ ไม่ต้องมีใครมายุ่ง!

     

    มั่นใจจริงนะ ว่าเขาจะออกน่ะ....แล้วไม่คิดบ้างหรอว่าเขาจะคุมคุณหนูจอมเฮี้ยวอย่างตัวเองให้อยู่ได้?

     

    เลียมเคยบอกเขาไว้ว่าการยึดมั่นในความคิดของตัวเองของเขาน่ะ บางทีมันก็เป็นข้อเสีย แต่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าข้อเสียนี้มันแก้ได้..แต่น่าจะยากพอๆกับการเอาน้ำลายไปดับพระอาทิตย์นั่นแหละ ก็มันอยู่กับเขามาตั้งแต่เกิดนี่นะ ขนาดแม่เขายังเปลี่ยนไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับไอ้เปี๊ยกนี่ที่จะมาเปลี่ยน?

     

    จะมาเปลี่ยนความคิดของเขาที่ตั้งใจจะทำงานแรกให้ดีที่สุดต้องล้มเลิกไปก่อนที่จะได้ทำเพราะกลัวไอ้อะไรที่มากกว่าเวสป้านั่นน่ะหรอ?....

     

    ไปนอนกอดตุ๊กตาหมีแล้วฝันเอาเถอะครับ!

     

    “งั้นหรอครับ...แต่ผมเสียใจจริงๆที่ผมจะบอกคุณหนูว่า...ผมเลือกที่จะดึงดันอยู่แล้วผจญกับอะไรๆที่มากกว่าเวสป้านั่นมากกว่าที่จะยอมลุกจากเก้าอี้ เก็บกระเป๋า แล้วจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านไป” พูดจบก็ตบท้ายด้วยการจ้องหน้าคุณหนูกลับ เพื่อเป็นการยืนยันว่ายังไงก็ไม่กลัว ไม่ยอมแพ้แน่นอน!

     

    เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของเซน มาลิคเลยว่าเขาจะต้องปราบไอ้คุณหนูตัวกระเปี๊ยกจอมเฮี้ยวนี่ให้ได้เลย คอยดูไปเหอะ! ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนความคิดนี้ของเขาไม่ได้แน่นอน! ฟันแมว...เอ้ย ฟันธง!

     

    .

    .

    .

    .

     

    แฮร์รี่ยังคงกอดอกอยู่ตอนที่บอดี้การ์ดของเขาพูดจบ

     

    ถ้าถามความเห็นเขาว่าวินาทีแรกที่เห็นหน้าบอดี้การ์ดคนใหม่ คิดว่าอย่างไง เขาก็คงจะตอบไปว่าหน้าตาแบบนี้ไปเป็นพระเอกฮอลลีวู้ดไป ไม่เห็นเหมาะกับการเป็นบอดี้การ์ดเลยซักนิด.....

     

    แต่ถ้ามาถามความเห็นเขาใหม่ตอนนี้ เขาก็คงจะตอบใหม่ว่า ไอ้บ้านี้มันมีมารยาท ฉลาด แต่เสียตรงที่ว่ามันดึงดันไม่ยอมแพ้เขาเนี่ยแหละ!

     

    ปกติเวลาเขาขู่แบบนี้ทีไร ส่วนใหญ่คนก็ยอมแต่โดยดี ทำตามที่เขาต้องการทั้งนั้น แล้วไอ้นี่มันเป็นใคร? กล้าดีอย่างไงมาบอกว่าจะไม่ยอมแพ้เขา!!

     

    …..แต่มันก็ดีเหมือนกัน......

    ไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อนเลย น่าสนุกดีเหมือนกันแฮะ...หมอนั่นจะทนเขาได้ซักกี่น้ำเชียว?....

    ...แต่เขาก็มั่นใจล้านนนนนนนนนนนนนนนน (ลากน.หนูไปให้ถึงพระจันทร์) เปอร์เซ็นต์ ว่าหมอนั่นต้องยอมแพ้เขาเข้าในซักวัน ไม่มีทางที่จะทนได้นานหรอก!

     

    คิดได้แบบนี้แล้ว...รู้สึกว่ามันน่าสนุกจริงๆด้วยแฮะ (เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปบอกไนออลให้มาแจมเรื่องสนุกๆแบบนี้ด้วยกันดีกว่า ฮี่ๆ)

     

    แฮร์รี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอามือล้วงกระเป๋าแล้วลอยหน้าลอยตาพูดด้วยท่าทางที่ไนออลเคยบอกว่ากวนเบื้องล่างที่สุดว่า

     

    “นายจะดึงดันอยู่ใช่ไหม? งั้นเดี๋ยวฉันก็จะดื้อดึงใส่จนนายรู้สึกผิดต่อตัวเองที่ดึงดันเลย คอยดูไปเถอะ!

    continue -4-

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    Talk

    รีบอัพก่อนฝนตก เป็นคนที่กลัวการเล่นคอมตอนฝนตกมากกกก ถึงจะชอบเล่นขนาดไหนก็ต้องปิด T_____________T
    ช่างเรื่องคอมและฝน มาพูดเรื่องฟิคกันดีกว่าเนอะ!


    ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ อ่านแล้วมันมีกำลังใจเขียนต่อจริงๆเลย *กอด*
    หวังว่าตอนนี้คงอ่านแล้วสนุกกันนะค๊า อย่าเพิ่งถามว่าลูอิสไปไหน เดี๋ยวเฮียแกก็มา ฮี่ๆ......

    ตอนหน้า.......เราจะพาทุกท่านไปพบกับฤทธิ์เดชของคุณหนูจอมแสบและความละมุนละไมของคุณหนูนักกินนะฮับ 55555

    ขอบคุณทุกคลิ๊ก ทุกคอมเม้นท์ค่ะ *โค้ง*





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×