คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : The Way It Was
-13-
The Way It Was
ก่อนที่วงของจงอินเดบิวต์ไม่นานพี่คังตะเรียกพวกเราประชุมเกี่ยวกับวงน้องๆเป็นการพิเศษ พวกเราต่างก็เป็นวงที่พี่คังตะปั้นเหมือนๆกัน เขาจึงอยากให้พวกเราช่วยเหลือและดูแลน้องๆหลายๆอย่าง ทั้งยังมีแผนงานที่ต้องออกโปรโมทไปพร้อมๆกันอยู่อีกหลายงาน
ผมไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่มันออกมาเป็นแบบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าพยายามหาทางเข้าใกล้แทบตาย พอคิดอยากจะหนีบ้างกลับหนีไม่พ้น
ยิ่งหนี…ก็ยิ่งใกล้…
ความจริงแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่ศิลปินในบริษัทจะอยู่หอเดียวกันเพื่อความสะดวกสบายในการดูแลและติดตาม ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญอะไร ไม่เคยคิดว่ามันจะสร้างความลำบากใจให้ผมได้ จนกระทั่งวงของจงอินย้ายมาอยู่ที่นี่ หนำซ้ำยังเป็นชั้นเดียวกัน ใกล้แสนใกล้จนหากคิดตั้งใจจะหลบเลี่ยงก็ทำไม่ได้ง่ายๆ
หากว่าผมไม่รู้สึกอย่างนั้นกับจงอิน ผมคงไม่คิดว่ามันหนักหนาอะไรและยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง แต่พอเป็นจงอิน มันกลับไม่ง่าย ความพยายามสองสามเดือนที่ผ่านมาดูเปล่าประโยชน์ขึ้นทุกทีๆที่ผมเจอหน้าเขา
ในบางครั้งที่เราต้องเจอกันตามสถานการณ์ต่างๆ ผมและเขาต่างฝ่ายต่างอยากจะหลบหน้าเราจึงไม่มีบทสนทนาระหว่างกันหากไม่จำเป็น แต่หากจำเป็นเราก็ได้แต่แสร้งยิ้มให้กันเท่านั้น
ผมรู้สึกโล่งใจที่ช่วงนี้มีตารางงานที่ต่างประเทศ เรามีคอนเสิร์ตติดต่อกันสามที่ทำให้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ประมาณสามอาทิตย์ การไม่ต้องเห็นเขากับเซฮุนทำให้ผมรู้สึกขอบคุณที่ไม่ต้องทรมานไปมากกว่านี้
พวกเราอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนานที่สุดประมาณอาทิตย์กว่าๆเพราะเป็นที่สุดท้ายของคอนเสิร์ตและมีงานอีเวนท์อื่นๆต่ออีกสองงาน ระหว่างที่อยู่ที่นี่แม้เราจะพอมีชื่อเสียงแต่ก็ยังหาความเป็นส่วนตัวได้อยู่ พวกเราจึงออกไปเที่ยวไปดื่มด้วยกันอยู่หลายคืน
และคืนหนึ่งขณะที่เราอยู่ในคลับ ผมก็เจอกับซอฮยอนโดยบังเอิญ
เราสบตากันผ่านแสงไฟและผู้คน ผมคุ้นเคยกับสายตาของเธอดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ประกายตายั่วเย้าที่ผมเคยเมินเฉยมาตลอด วันนี้ผมกลับสนใจ
แต่ทันทีที่ผมตัดสินใจกำลังจะเดินเข้าไปหาเธอนั้นก็ถูกคว้าแขนไว้ก่อน ผมหันไปมอง เห็นคยองซูที่จับแขนผมอยู่
“แน่ใจเหรอ” เขาถามสั้นๆ
“มีอะไรต้องลังเล” ผมยิ้มถามย้อนกลับไป
“เพราะมึงเมา”
“ไม่หรอก…กูไม่ได้เมา”
คยองซูมองผมอยู่พักใหญ่ๆ มองเหมือนรอว่าผมอาจจะเปลี่ยนใจ
“ตามใจ” ในที่สุดเขาปล่อยแขนผม ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ
ผมกับซอฮยอนคุยกันอยู่สักพักเธอก็จับมือผมเดินออกมาทางหลังร้าน กับพวกเราบทจะง่ายมันก็ง่ายอย่างนี้ และด้วยความที่ต้องระวังตัวพวกเราจึงมาจบกันที่โรงแรมใกล้ๆไม่ไกลจากร้านนัก
ผมและเธอต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไร เราก็เพียงแค่ต้องการสัมผัสของกันและกัน ต้องการเติมเต็มความต้องการ มันเป็นเรื่องของเซ็กซ์…ไม่ได้ตอบสนองเชิงอารมณ์ ตอบสนองแค่ทางร่างกายเท่านั้น
แต่ก่อนแต่ไรผมก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยต้องคิดอะไรให้มากมาย ผมอยากจะกลับมาเป็นคนเดินก่อนที่จะมีเขาเข้ามา อยากจะกลับไปคนที่ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกของใครให้ตัวเองต้องเจ็บปวด
มันคงจะดีหากผมจะกลับไปเป็นแบบนั้นได้
“นึกถึงใครอยู่…” เธอถาม ลูบใบหน้าผมเบาๆ เวลานี้เราแค่นอนกอดก่ายกันหลังจากทุกอย่างจบลงแล้ว
“เปล่า…”
“ถามไปอย่างนั้น ไม่ต้องบอกก็ได้”
“ทำไมถึงคิดว่าผมจะคิดถึงใคร”
“เวลาแบบนั้นโกหกไม่ได้หรอกว่าเขากำลังอยู่กับเราหรือกำลังคิดถึงคนอื่น”
“คุณอาจจะคิดไปเอง”
“เชื่อเถอะ…ฉันรู้…” เธอบอกแล้วก้มลงจูบผม
ผมรู้ว่าเธอรู้ และผมก็รู้ ว่าคนที่ผมนึกถึงไม่ใช่เธอ แม้อยากจะหลอกตัวเองยังไงก็รู้ดี
คืนนั้นผมใช้เวลาทั้งคืนกับซอฮยอน ผมโทรไปบอกเพื่อนๆแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง โชคดีที่ในวันพรุ่งนี้ไม่มีงานจึงไม่มีโทรศัพท์จากพี่ฮีชอลมาตาม ผมจะกลับไปเช้าหรือบ่ายก็คงได้
ซอฮยอนมีงานถ่ายแบบในวันถัดมาเราจึงแยกย้ายกันในตอนเช้า เราจากกันหลังจากที่ต่างคนต่างมีเบอร์ของกันและกันเพียงแค่นั้น
“มึงระวังตัวดีแล้วใช่ไหม” นี่คือคำถามแรกของเลย์เมื่อเจอหน้าผม สีหน้ามันเต็มไปด้วยความกังวลกับเรื่องของผมที่ผ่านไปเมื่อคืน
“นี่พี่ฮีชอลยังไม่รู้ พวกกูไม่ได้บอกด้วย มึงอย่าให้เขามารู้ทีหลังแล้วกัน” เฉินบอก ท่าทางไม่ได้กังวลมากนัก
“ไม่ต้องห่วงหรอก กูรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่”
“รู้แน่เหรอวะ” คราวนี้เป็นคยองซูที่ถาม ปกติเขาจะเป็นผู้ฟังเฉยๆ แต่ตอนนี้เขากลับถามคำถามนี้อีกครั้ง คำถามที่ไม่เข้าหูผมสักเท่าไหร่
“บอกมึงไปแล้วไงว่ากูไม่ได้เมา”
“กูรู้ มึงไม่ได้ไปเพราะเมาหรอก แต่มึงไปเพราะมึงกำลังเฮิร์ท” คยองซูพูด ไม่รู้ฟังแล้วทำไมถึงแทงใจ หรือเพราะว่ามันคือความจริง…
“ที่ผ่านมามึงก็น่าเป็นห่วงอยู่แล้วนะชานยอล ทำอย่างงี้พวกกูยิ่งห่วง ห่วงทั้งมึง ห่วงทั้งวง” ซูโฮที่ฟังอยู่พูดขึ้นบ้าง ผมไม่เข้าใจว่ามันไม่ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทั้งที่มันยังไม่เกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
“บอกแล้วว่ากูระวัง พวกมึงคิดมากไปแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าพวกกูไม่เข้าใจมึงนะ กูเข้าใจแต่ก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้ อย่างมากก็แค่เตือน”
ทุกคนพยักหน้ากับคำพูดของซูโฮ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา มันพาลทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมา ผมไม่ได้พูดต่อความหรือแก้ตัวอะไรอีกจึงแยกตัวมาอยู่คนเดียวในห้อง
อีกสองวันก็ต้องกลับแล้ว ผมยังไม่พร้อมจะกลับไปเจอหน้า ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องไหนที่มันยากกับความรู้สึกผมขนาดนี้ ใจนึงไม่อยากเจอเขาแต่ลึกๆก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากเจอ
ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง จะมีทางไหนเลี่ยงเขาได้บ้าง
“พี่ฮีชอลครับ” ผมโทรหาผู้จัดการตัวเองที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปทำธุระที่ไหน
“ว่าไง มีอะไร”
“หลังจากนี้กลับไปเรามีงานเลยรึเปล่า”
“อืม…” พี่ฮีชอลใช้เวลานึกสักพัก “ก็ไม่มีนะ มีอีกทีอาทิตย์หน้า”
“งั้นผมขออยู่ที่นี่ต่อได้รึเปล่า ค่อยกลับไปอาทิตย์หน้าได้ไหมครับ”
“เดี๋ยวพี่เช็คกับบริษัทให้แน่นอนก่อนแล้วค่อยบอกเราอีกทีนะ อยากอยู่เที่ยวใช่ไหมล่ะ”
“ครับ ฝากด้วยนะพี่” ผมบอกก่อนจะวางสาย
ผมตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยไม่ได้บอกพวกเพื่อนในวงเพราะพวกมันคงไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้วผมก็ได้วันหยุดอีกเกือบหนึ่งอาทิตย์และอยู่ที่นี่อย่างคนหนีปัญหา ผมยังไม่อยากเผชิญหน้า
ระหว่างที่อยู่ที่นี่ ผมกับซอฮยอนก็เจอกันอีกหลายครั้ง เธอช่วยให้ผมไม่ทรมานมากนักอย่างที่เคยเป็น แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวแต่มันก็ยังช่วยผมได้ ผมต้องการความอบอุ่น ต้องการให้ใครก็ได้ปลอบใจ เพราะหากให้ผมอยู่คนเดียวมันทรมานเกินไป…ความเหงาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมันค่อยๆกัดกินผมอยู่ข้างในจนแทบทนไม่ไหว
ผมรู้สึกดีที่เจอเธอในเวลานี้ เธอไม่เคยถามผมเรื่องอะไรทั้งนั้น นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบเธอ มันเป็นความรู้สึกสบายใจ ไม่มีความรู้สึกผูกมัดหรือผูกพัน ไม่มีความรู้สึกอะไรที่พิเศษ มีแต่แววตาที่แสดงความเข้าอกเข้าใจของเธอ
“กลับไปเราจะได้เจอกันอยู่ไหม” ผมถาม เรายืนอยู่ที่ระเบียงในคอนโดของเธอ ลมตอนกลางคืนแม้จะเย็นมากแต่เราก็ยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ขึ้นอยู่กับคุณ”
“ทำไมถึงตามใจผมจัง”
“ไม่ใช่หรอก ฉันแค่ไม่ชอบวิ่งตามใคร ไม่ชอบรั้งใคร”
“แม้ว่าคุณอยากจะให้เขาอยู่กับคุณน่ะเหรอ”
“ใช่…”
“ทำแบบนั้นคุณไม่เจ็บหรือไง”
“ฉันมันเลยจุดนั้นมาแล้ว” เธอบอก มองผมด้วยแววตาของความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่ผมคิดว่าอาจจะเข้าใจมันเป็นอย่างดี
“คุณน่ะ ดูเศร้าอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” เธอละสายตาจากผมมองลงไปที่แสงไฟระยิบระยับข้างล่างที่กระจายไปทั่ว
“ดูน่าสงสารสำหรับคุณงั้นสิ”
“เปล่า…มันดูน่าค้นหาดี”
“ผมไม่มีอะไรให้ค้นหาหรอก…มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง” เธอฟังแล้วก็ยิ้ม
“คุณเป็นผู้ชายที่น่าสนใจนะ มีเสน่ห์ของตัวเองที่ฉันอธิบายไม่ถูก เหมือนเป็นคนด้านชาแต่ก็มีอารมณ์อ่อนไหวที่ผู้ชายปกติไม่ค่อยมี”
“คุณก็เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจเหมือนกัน” ผมคิดอย่างนั้น ซอฮยอนเป็นผู้หญิงที่มองโลกกว้าง ไม่ยึดติดกับอะไร มั่นใจในตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนง่ายๆขัดกับภาพลักษณ์
“ตกลงเราจะได้เจอกันอีกไหม”
ผมถามย้ำเธออีกครั้ง แต่เธอไม่ตอบ
เธอแค่จูบผมเบาๆ
…
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในต่างประเทศ จะว่านานก็นาน จะว่าไม่ก็ไม่ เพราะผมรู้สึกว่ามันผ่านไปไวเหลือเกิน
ผมกลับมาก็มีงานในวันนั้นทันที เป็นงานที่วงผมและวงเขาต้องขึ้นแสดงเวทีเดียวกัน เรามาถึงที่งานระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ห้องพักศิลปินก็ถูกจัดไว้ร่วมกัน ทั้งสต๊าฟ ช่างแต่งหน้า ผู้จัดการและศิลปินวุ่นวายจอแจกันอยู่ในห้อง เฉินกับซูโฮเริ่มสนิทสนมกับแบคฮยอนและจื่อเทาแล้วพวกมันสี่คนจึงหาอะไรเล่นกันเสียงดังโหวกเหวก จากที่รู้สึกว่าพวกมันเป็นตัวสร้างสีสัน เริ่มรู้สึกว่าพวกมันน่ารำคาญหน่อยๆ
หลังแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยผมมานั่งฟังเพลงอยู่ข้างๆคยองซูที่สนใจแต่มือถือตัวเอง ผมฟังเพลงและมองเพื่อนๆที่เล่นกัน มองจนไม่มีอะไรน่าสนใจผมก็ละสายตามองไปที่อื่น…
และสะดุดกับสายตาของจงอินที่กำลังมองผมอยู่ผ่านกระจก
ผมไม่รู้ว่าเขามองผมอยู่นานแค่ไหน และคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อสบตาเข้ากับสายตาของผมเขาก็รีบหันไปมองทางอื่น ผมเจ็บใจตัวเองมีความรู้สึกมากมายกับแค่สายตาของเขา คิดมากไปต่างๆนานาว่ามันอาจจะมีความหมาย แค่เขาไม่เมินเฉยผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
แต่ผมก็ดีใจได้ไม่ถึงไหน ไม่ทันได้คิดไปไกล ผมก็ต้องมองไปที่ความจริงขณะที่เซฮุนเดินเข้ามาหาเขา แค่พวกเขาพูดคุยกันหรือยิ้มให้กันมันก็ทำให้ผมยิ้มไม่ออกและกลับไปรู้สึกอย่างเดิมๆ
“อย่าร้องไห้นะเว้ย” ผมได้ยินเสียงคยองซูพูดเลยดึงหูฟังออก
“ร้องอะไรวะ”
“ก็ดูมึงทำหน้า”
“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งเฉยๆ” ผมบอกแต่สายตากลับไม่เชื่อฟังมองไปที่เขาอีกแล้ว
“อย่ามองๆ” คยองซูเอามือมาปิดตาผม ผมรู้ว่ามันพยายามกวนตีนหันเหความสนใจผม ผมเลยแกล้งปัดๆมือมันออก มันก็เอามือกลับมาปิดอีก
“จีบไม่ติดจริงๆก็ฉุดเลยไหมวะ” มันว่า
“ไอ้บ้านี่ นับวันลามปาม” ผมผลักหัวคยองซู พอเราสนิทกันผมก็เริ่มรู้แล้วว่ามันร้ายแค่ไหน
“ชานยอล! คยองซู! เตรียมตัว” พี่ฮีชอลเรียกตัดบทสนทนาของเรา จากนั้นเราก็ไปรวมตัวและทำสมาธิก่อนขึ้นเวที
งานวันนี้มีศิลปินมาหลายวง พวกเราต้องขึ้นโชว์สองเพลงก่อนที่วงของจงอินจะขึ้นต่อ ผมปรับสมาธิให้จดจ่ออยู่แค่งานและจากนั้นมันก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
ผมโชว์เสร็จก็มายืนมองวงน้องๆอยู่หลังเวที ผมเคยคิดอยู่หลายๆครั้งว่าเขาจะเป็นอย่างไรหลังจากที่ได้มาอยู่ตรงนี้เต็มตัว และวันนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันออกมาเป็นแบบไหน
ที่ตรงนั้นมันคงจะเป็นของเขาจริงๆ ไม่มีที่ไหนจะเหมาะสมไปกว่านี้ ยิ่งมองข้างหลังผ่านการแสดงของเขาและมองผ่านไปยังผู้คนผมยิ่งรู้สึกว่ามันมีพลัง
เขาสามารถสะกดคนดู เหมือนๆที่เขาสะกดผมให้ยืนนิ่งค้างทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว
ผมยืนอยู่หลังเวทีกับพี่ฮีชอลและพี่คังอิน ส่วนเพื่อนคนอื่นกลับห้องพักไปหมดแล้ว พอการแสดงจบและเห็นเขาวิ่งเข้าหลังเวทีผมก็คิดจะเดินกลับห้องพัก ไม่อยากให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด
“จงอิน ระวัง!” เป็นเสียงของพี่ฮีชอลที่ทำให้ผมหันกลับไป
ผมเห็นเขาสะดุดบันไดทางลงเข้าพอดีแต่ก็ช่วยไว้ไม่ทัน หัวใจผมหล่นวูบลงที่เห็นเขาตงลงจากบันไดลงมาบนพื้น ไวเท่าความคิดผมวิ่งรีบวิ่งเข้าไปหาเขา
“เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” ผมถามเขาที่เอามือกุมข้อเท้าสีหน้าเจ็บปวด
ผมเห็นตรงนี้คนเยอะเกินไปจึงช้อนตัวเขาขึ้นอุ้มกลับไปที่ห้องพัก ความเป็นห่วงมากมายท่วมท้น เวลานี้ผมไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น ไม่แม้แต่จะสนใจสายตาของใครๆ
“น้องเป็นอะไรวะ” เลย์ถามเมื่อเห็นผมอุ้มจงอินเข้ามาในห้อง พวกมันรีบลุกขึ้นเคลียร์ที่นั่งให้ผมวางเขาลง
“ตกบันได ไม่รู้เหม่ออะไร” พี่ฮีชอลที่วิ่งตามหลังผมมาเป็นคนตอบ พอได้ยินอย่างนั้นใครๆก็เลยมายืนมาดูด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมากไหม” ผมวางเขาบนโซฟาเรียบร้อยก่อนจะถาม จงอินยังกำอยู่ที่เสื้อผมแน่นไม่ยอมปล่อย เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“เดี๋ยวพี่โทรเรียกรถก่อน รอแป๊บนึงนะ พี่คังอินบอกแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง ผมย่อตัวนั่งลงดูที่ข้อเท้าของเขาสังเกตอาการ แต่แผลแบบนี้ดูจากภายนอกยังไม่ออกว่ามันร้ายแรงแค่ไหน
“เจ็บ!” ผมจับข้อเท้าเขาแค่เบาๆเขาก็ร้อง นั่นทำให้ผมรู้สึกว่ายิ่งน่าเป็นห่วง
“ขอโทษ ไม่เป็นไรนะ” ผมพูดเบาๆ ไม่ดังไปกว่าคนสองคนจะได้ยิน
“ทำไมไม่ระวังตัวมากกว่านี้” พี่ฮีชอลพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เขาต้องคิดถึงปัญหาที่จะตามมาแล้วแน่ๆถึงอดไม่ได้ที่จะพูดแบบนั้นออกมา
“รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเจ็บหนัก มันมีผลต่อวงแค่ไหน นี่ก็เพิ่งจะเดบิวต์ได้ไม่ถึงเดือน”
“ขอโทษครับ”
“เรายังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า พี่ใจเย็นๆก่อน” เฉินพยายามไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดมากไปกว่านี้ แต่พี่ฮีชอลก็ยังคงดูไม่พอใจ
“ใจเย็นไม่ได้หรอก ถ้าต้องพักงาน บริษัทจะเสียหายเท่าไหร่รู้รึเปล่า” ผมมองจงอินอยู่ตลอดและรู้สึกเห็นใจ ไม่มีใครอยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก โดยเฉพาะตัวเขาเอง
ผมกุมมือเขาไว้ให้กำลังใจเพราะดูเหมือนว่าเขากำลังเก็บกลั้นน้ำตาจากดวงตาที่แดงก่ำ
“รถมาแล้ว” พี่คังอินกลับมาพอดี พอจงอินได้ยินก็ลุกขึ้นเอง เขายืนขึ้นโดยพยายามไม่ทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างนั้น แต่ดูยังไงก็ไม่น่าไหว ผมเดินเข้าไปโอบเขาตั้งใจจะอุ้มแต่เซฮุนก็เสนอตัวขึ้นมาก่อน
“ผมเองพี่”
ผมมองไปที่เซฮุนแล้วก็มองไปที่เขา รู้ว่าต้องปล่อยแต่มือกลับไม่ยอมปล่อย
“ให้ชานยอลพาไปกับคังอินแล้วกัน พวกเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวพี่จะพาทุกคนกลับหอเอง คังอินฝากด้วย” พี่ฮีชอลจัดการออกคำสั่งโดยไม่มีใครสามารถโต้เถียงได้ ได้ยินแค่นั้นผมก็อุ้มเขาไปขึ้นรถ ทิ้งเซฮุนที่ได้แต่มองพวกเราอย่างทำอะไรไม่ได้
จงอินใช้เวลาในการตรวจนานพอสมควรทำให้ผมเริ่มเป็นห่วง จนกระทั่งเห็นนางพยาบาลเข็นรถเข็นเขาออกมา ตอนนี้ที่ข้อเท้าของเขาใส่เฝือกอ่อนอยู่
“หมอบอกว่าเป็นอะไร” ผมถามเขาระหว่างรอพี่คังอินไปจัดการเรื่องยาและค่าใช้จ่าย
“เอ็นข้อเท้าฉีก”
“แล้วนานไหมกว่าจะหาย”
“ไม่ได้ร้ายแรงมากแต่ก็ต้องพักประมาณเดือนนึง” เขาบอกด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เราต่างก็รู้ดีว่าแม้จะแค่เดือนนึงมันก็กระทบกับงานมากมายขนาดไหน ตารางที่วางไว้ทั้งหมดก็ไม่อาจจะเลื่อนได้ตามใจเพราะมันเป็นค่าเสียหายทั้งนั้น
“ไม่เป็นไรนะ” ผมปลอบใจ ลูบเส้นผมของเขาเบาๆ
จงอินเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาเงียบๆ ผมรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“เจ็บมากเลยเหรอ” ผมนั่งลงถามเขา
“…” เขาส่ายหน้า เอามือเช็ดน้ำตาออกแรงๆ
“อย่าร้องไห้เลย…” ผมไม่ชอบเลยที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ เห็นแล้วผมก็เจ็บเหมือนกัน ผมจับมือเขาออกจากใบหน้าตัวเองเพราะตอนนี้หน้าเขาแดงหมดแล้ว หน้าแดงจมูกแดงไปหมด
“พี่ชานยอล…”
“เสร็จแล้ว กลับกันเถอะ” เขาเรียกผมยังไม่ทันจะพูดอะไรพี่คังอินก็กลับมา
ผมเข็นรถพาเขาออกมาขึ้นรถจากนั้นก็กลับหอโดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีก ปล่อยให้พี่คังอินพูดวิธีดูแลรักษาตัวและกินยาให้ตรงเวลา จงอินเหม่อออกไปนอกหน้าต่างไม่รู้ว่าตั้งใจฟังอยู่หรือเปล่าผมจึงตั้งใจฟังแทน
“พยายามอย่าเดินดีที่สุด อย่าให้มันกระทบกระเทือนจะได้หายเร็วๆ พักซะแล้วไม่ต้องคิดอะไร ดูแลแค่ตัวเองก็พอ เข้าใจนะ” พี่คังอินร่ายยาว ถึงดูเป็นงานเป็นการแต่ก็ยังรู้ว่าเขาเป็นห่วง
“ครับ” จงอินตอบเบาๆดูซึมๆ พี่คังอินเลยได้แต่มองผ่านกระจกไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นพี่ฮีชอลก็โทรมาถามอาการ พวกเขาปรึกษาเรื่องงานกันอย่างเคร่งเครียด
กลับถึงหอผมพาจงอินมาส่งหน้าห้อง คนที่มาเปิดประตูเป็นเซฮุนที่ดูท่าทางลุกลี้ลุกลน สายตาเป็นกังวลอย่างเปิดเผย ผมต้องปล่อยมือจากรถเข็นของจงอินอย่างช่วยไม่ได้
“พี่ไปนะ” ผมบอก
“ขอบคุณนะครับ…” จงอินพูด ผมมองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและตาช้ำๆที่ผ่านการร้องไห้ เวลานี้ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวผมคือผมอยากจะกอดเขา
“พักผ่อนเยอะๆล่ะ” แต่ผมก็พูดได้แค่นั้น
“เดี๋ยวผมดูแลเอง”
ก่อนหน้านี้ผมเกือบลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ลืมว่ากำลังพยายามตัดใจจากเขา ลืมความหมางเมินระหว่างกัน และลืมว่าเขาเลือกแล้วที่จะอยู่กับใคร
จนได้ยินคำพูดของเซฮุนนั่นแหละ ทำให้ผมกลับสู่ความเป็นจริง
ผมไม่อยากเป็นคนชั่วช้า ไม่เคยอยากคิดแย่งของๆใคร แต่ทำไมเวลานี้ผมถึงรู้สึกว่ายอมไม่ได้ เพราะสายตาของจงอิน ท่าทีของเขา หรือช่วงเวลาที่ผมได้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน ทุกสิ่งทุกอย่างมันทำให้ผมไม่อยากปล่อยมือจากเขา ผมพยายามแล้วแต่ก็ทำไม่ได้
“อืม…ดูแลให้ดีๆแล้วกัน”
สุดท้ายผมก็พูดกับเซฮุนแบบนั้น พร้อมๆกับความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใครเล่นทวิตเตอร์ติดแท็กกันได้นะจ๊ะ #ฮมอซ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ค่ะ^^
ความคิดเห็น