คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Lost On You 3
Lost on You
[3]
จังวะชีวิตของผมกับพ่อเริ่มมาเปลี่ยนไปเอาช่วงที่ผมขึ้นชั้นประถม ตอนนั้นอาชีพนักดนตรีของพ่อเปลี่ยนเป็นคำว่าศิลปิน ผมถูกพ่อหิ้วพาไปไหนมาไหนหลายที่ที่พ่อไป พ่อไม่เคยฝากผมไว้กับคนอื่นเกินหนึ่งวัน ผมเห็นพ่อเหนื่อย แต่ก็เห็นความสุขในแววตาของพ่อในขณะเดียวกัน ถึงผมไม่ค่อยชอบขาดเรียนเพราะกลัวตามเพื่อนไม่ทันผมก็ไม่เคยงอแงปริปากบอก พ่อก็ไม่ได้อยากให้ผมขาดเรียน แต่พ่อก็ไม่อยากทิ้งผมไว้เวลามีงานต้องเดินทางไปที่ไกลๆ ชีวิตผมก็เลยไม่ค่อยเหมือนเด็กทั่วไป แวดล้อมด้วยผู้ใหญ่ ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเพื่อนๆสักเท่าไหร่ ทำให้บางทีผมก็อดรู้สึกเหงาไม่ได้
“ไม่สบายรึเปล่า”
อาชานยอลนาบมือบนหน้าผากผม ผมไม่ตอบอะไร เขาคงจะรู้ว่าผมสบายดีจากอุณหภูมิร่างกายที่ยังเป็นปกติ แต่เขาคงยังสงสัยกับอาการเซื่องซึมของผมจึงเอาแต่จับจ้องมองหาสิ่งผิดปกติ
“เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว” เขาว่า ลูบหัวผมเป็นการปลอบใจระหว่างที่ผมนั่งรอพ่อจัดการธุระคุยกับผู้จัดการวงตรงล็อบบี้ สมาชิกในวงที่เหลือมีอาอีทึก อาเยซอง และอาชานยอลอยู่ดูแลผมแทนพ่อ
“ง่วงหรือหิวไหม” อาชานยอลถามต่อ ผมส่ายหน้า ไม่รู้สึกต้องการอะไรทั้งนั้นนอกจากกลับบ้าน
“กูว่าคังอินน่าจะหาคนช่วยดูลูกจริงๆจังๆเวลามันไม่อยู่ได้แล้วนะ” อาอีทึกออกความเห็น อาเยซองลูบหัวผมเบาๆพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่ดีหรอกพี่ อยู่ไกลสายตาน่าเป็นห่วงออก” อาชานยอลว่า ผมนั่งซ้อนอยู่ตรงหว่างขาของเขาระหว่างที่สายตาทอดมองไปที่พ่อที่กำลังคุยธุระ
“มึงห่วงเองหรือเปล่า” ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึดังอยู่ข้างหลังเมื่ออาเยซองถามจบ
“ใครจะห่วงลูกเท่าพี่คังอินได้”
“มึงก็ห่วงน้อยเมื่อไหร่ อย่างกับพ่ออีกคน จงอินติดมึงยิ่งกว่าพ่ออีกมั้ง”
“ผมว่าน้องคงเหงา ขาดเรียนบ่อยๆไม่ได้อยู่กับเพื่อน แต่ถ้าผมเป็นพี่คังอินก็คงพามาด้วยแบบนี้ ผมไม่ไว้ใจใครเหมือนกัน”
“ก็ถึงบอกว่ามึงเหมือนพ่อ”
ไม่หรอก อาชานยอลไม่เหมือนพ่อของผม หน้าตา การพูดจา หรือนิสัยก็ไม่ได้เหมือนกับพ่อ อาชานยอลก็คืออาชานยอล เขามักรู้ว่าผมต้องการอะไร อย่างที่เขาเพิ่งบอกว่าเขารู้ว่าผมเหงา สามสี่ปีมาแล้วที่เขาย้ายมาอยู่ที่ตึกเดียวกับผม เขาทำงานกับพ่อ วนเวียนอยู่ในชีวิตผมรองจากพ่อ ผมชอบเวลามีเขาอยู่ใกล้ๆ เขาชอบทำให้ผมยิ้ม แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ผมกลัวเวลาที่เขาดุผม เวลาที่เขาขมวดคิ้วตีหน้ายักษ์จะน่ากลัวมาก น่ากลัวยิ่งกว่าพ่อ ผมเคยกลัวไม่กล้าเข้าใกล้เขาอยู่พักหนึ่งเหตุเพราะผมเอาสีโปสเตอร์สีแดงที่เขาซื้อให้มาผสมน้ำละเลงหัว ทำมันเข้าตาจนแสบไปหมด เขาดุจนผมร้องไห้ น้ำตาที่ไหลเพราะแสบตาเทียบไม่ได้กับตอนที่มันพรั่งพรูออกมาตอนเขาดุ เขาจับผมล้างตาเท่าไหร่มันก็ยังไหล ไม่ใช่แค่กลัวแต่มันผสมความเสียใจน้อยใจไปด้วย แม้ตอนหลังเขาจะพูดดีกับผม ผมก็ไม่สนใจเขา หลีกเลี่ยงการพูดคุยหรืออยู่ใกล้ แต่ตอนไหนที่ผมยอมเปิดปากคุยกับเขาเหมือนเดิมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมจำไม่ได้ อาจจะประมาณอีกสองวันหลังจากนั้นที่เขาย้อมผมเป็นสีดำ และมาบอกกับผมว่าตอนนี้เราก็ผมสีเดียวกันแล้ว
“กลับไปเสาร์อาทิตย์นี้อาพาไปว่ายน้ำเอาไหม”
ประโยคคำถามของอาชานยอลทำผมหูผึ่งเลยทีเดียว เขาชอบพาผมไปว่ายน้ำ แต่พักหลังนี้งานของเขากับพ่อยุ่งมากก็เลยไม่ได้ไปนานแล้ว ผมพยักหน้าตอบตกลงคำชวนจนคอแทบหัก
“หรืออยากไปสวนสนุก” เขาถาม ผมก็พยักหน้าอีก อาชานยอลยกยิ้มมุมปากมองท่าทางผมที่อยู่ๆก็กระตือรือร้นขึ้นมา
“อยากให้อาพาไปเที่ยว” ผมบอก
“ถ้าอาพาไปจงอินจะให้อะไร”
ผมยืดตัวปีนขึ้นไปบนตักเขาทันที ส่วนเขาก็ก้มลงมาให้ผมหอมแก้มทั้งสองข้างของเขาได้ถนัด ก่อนเขาจะบี้จมูกหอมแก้มผมอย่างแรงคืนมา เท่านั้นก็ถือเป็นคำสัญญาระหว่างเราว่าเขาจะพาผมไปเที่ยวในอาทิตย์นี้
“ขอพ่อเขารึยังจะพาลูกเขาไปเที่ยว” อาอีทึกถามจริงหรือล้อเล่นก็ไม่รู้ แต่มันทำให้ผมกังวลว่าจะไม่ได้ไปจึงหันไปมองอาชานยอลรอว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร
“โธ่พี่ ทำไมต้องขอ เขาคงไม่ปล่อยจงอินให้ไปกับผมสองคนหรอก”
“อืม ขออย่าให้มีงานแทรกแล้วกัน ดูจงอินสิ อยากไปเที่ยวจะแย่แล้ว หายซึมเลย”
ผมลืมความเหงาหงายเศร้าสร้อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อนึกจินตนาการไปก่อนแล้วว่าอาชานยอลจะพาผมไปเที่ยวเล่นที่ไหนบ้าง
…
ผมปลุกพ่อในตอนเช้าวันอาทิตย์ พ่อผมงัวเงียไม่ยอมตื่นผมจึงลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนวิ่งไปปลุกพ่ออีกรอบ
“พ่อออ ตื่น อาชานยอลจะมาแล้ว” ผมมุดเข้าไปในผ้าห่ม เอาตัวทับพ่อแล้วตะโกนใส่หู
“มันยังไม่ตื่นหรอก เช้าป่านนี้” พ่อพลิกตัวหนีทำผมกลิ้งตกมานอนอยู่ข้างๆ
ผมกะพริบตามองพ่อที่นอนนิ่ง หายใจขึ้นลงสม่ำเสมอจึงไม่รบกวนอีก เข้าไปอาบน้ำ เลือกเสื้อยืดสีขาวกับชุดเอี๊ยมยีนส์ตัวโปรดมาใส่และออกมานั่งรอเสียงเคาะประตู รอไปรอมาผมก็เริ่มรู้สึกหิวจึงเดินไปที่ตู้เย็นหยิบนมกล่องมากิน
ผมนั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมงพ่อถึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัว ผมเดินตามพ่อตอนที่พ่อแต่งตัวพลางถามไถ่ว่าอาชานยอลจะมาเมื่อไหร่ พ่อบอกว่าไม่รู้ พ่อว่าอาชานยอลอาจจะลืมไปแล้ว พอได้ยินผมก็เลยงอแงบอกพ่อว่าจะลงไปตามอาชานยอลที่ห้องเองแล้ววิ่งไปที่ประตู จังหวะเดียวกันนั้นเสียงเคาะที่ผมรอก็ดังขึ้น
“จงอินจะลงไปตามมึงที่ห้อง ตื่นมาก็ร้องหาแต่อาชานยอล” พ่อบ่น มือก็จัดของใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กของผมและเป้ของตัวเอง
“พี่ไม่บอกล่ะว่าเรานัดกันกี่โมง”
“ก็แกล้งเล่น นี่กลัวว่าจะไม่ได้ไปจะแย่แล้ว” ผมไม่โกรธเคืองที่พ่อแกล้งผมเพราะตอนนี้อาชานยอลมายืนอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยไม่ต้องไปตาม
“ใส่ชุดโปรดอีกแล้ว” เขาย่อตัวนั่งลงหน้าผม จัดสายเอี๊ยมของผมที่พลิกม้วนเป็นเกลียวให้เรียบร้อย
“จงอินรออามารับ” ผมบอกเขา
“ไปกันสองคนเลยไหม พ่อไม่ต้องไปแล้วดีไหม” พ่อผมทำหน้าน้อยอกน้อยใจ ผมจะตอบว่าไม่ได้ พ่อต้องไปด้วย แต่อาชานยอลพูดตอบพ่อไปก่อน
“เอางั้นก็ได้นะพี่ ผมดูแลจงอินได้สบาย”
“เรื่องอะไรกูจะปล่อยลูกไปเที่ยวกับคนอื่น” พ่อทำท่าง้างมือจะตบหัว อาชานยอลไม่ต่อคำ เขาเดินไปหยิบรองเท้ามาให้ผมใส่และผูกเชือกรองเท้าให้
พวกเราออกเดินทางด้วยรถยนต์คันใหม่ของพ่อ อาชานยอลเองก็มีรถใหม่เหมือนกัน และอีกไม่นานพ่อบอกว่าเรากำลังจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ที่พ่อซื้อรถก่อนเพราะจะได้สะดวกรวดเร็วเวลาไปรับผมที่โรงเรียนและพาไปไหนมาไหน พ่อก็ดูจะภูมิใจอยู่มากที่หาเงินมาซื้อรถคันแรกได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พ่อเห่อรถคันนี้มาก รักรถคันสีขาวเหมือนลูกอีกคน ผมได้ยินอาชานยอลแซวพ่ออย่างนั้นอยู่หลายหน
พ่อกับอาชานยอลจูงมือผมคนละข้าง ที่ที่พามามีทั้งสวนน้ำและสวนสนุก อาชานยอลบอกว่าจะพาไปเล่นน้ำก่อนแล้วค่อยพาไปเล่นที่สวนสนุก ผมตาวาวด้วยความตื่นเต้นอย่างเด็กที่นานๆได้มาสักครั้ง เมื่อก่อนพ่อไม่ค่อยมีเงินผมจึงเคยมาแค่ครั้งสองครั้งและไม่ใช่สวนสนุกใหญ่ๆแบบนี้ ที่นี่เดินผ่านไปที่ไหนก็น่าตื่นตาไปหมด ถ้าไม่มีคนคอยจูงมือผม ผมก็คงวิ่งไปดูนู่นดูนี่ตามอะไรที่ดึงดูดสายตาในขณะนั้น
“ไปเล่นสไลด์เดอร์กัน อาจะพาไปเล่นอันนั้น”
“อันตรายไปไหม จงอินสูงถึงรึยัง” พ่อผมห้ามปราม ผมเล่นสไลด์เดอร์อันเล็กๆมาหลายอันแล้ว แต่อันที่อาชานยอลชี้ทั้งสูงทั้งคดเคี้ยว
“เล่นได้พี่ มันมีอันที่เด็กเล่นได้”
“งั้นกูรอข้างล่างนี่”
อาชานยอลจูงผมขึ้นบันไดหลายชั้น พาผมเล่นสไลด์เดอร์สนุกๆจนเหนื่อย ปล่อยพ่อผมรอข้างล่างตั้งนานผมกับอาเลยโดนบ่นแต่พวกเราก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลย พอตกบ่ายผมเริ่มบ่นหิวพ่อกับอาก็จับผมอาบน้ำแล้วพาไปกินไก่ทอดเป็นมื้อกลางวันก่อนที่เราจะไปกันที่สวนสนุก
“มึงเที่ยวกับจงอินเหมือนตอนเด็กๆไม่เคยเที่ยว” พ่อว่าขณะที่อาชานยอลถ่ายภาพผมกำลังกินไอศกรีมไปหลายรูป
“ก็ผมไม่เคยเที่ยวตอนเด็กๆ เคยมากับแฟนเก่าครั้งนึงก็ไม่สนุก”
“มากับจงอินสนุกไหม” ผมถาม หยุดกินไอศกรีมชั่วคราว
“แล้วจงอินสนุกไหม” อาชานยอลถามกลับ
“สนุก”
“จงอินสนุก อาก็สนุก”
“ถามพ่อบ้างสิว่าพ่อสนุกไหม”
“พ่อสนุกไหม” ผมถามตามใจพ่อ
“จงอินสนุก พ่อก็สนุก”
คำตอบเหมือนกันเป๊ะ ผมไม่เข้าใจว่าพ่อจะให้ผมถามทำไม ได้ยินอาชานยอลกระซิบบอกผมเบาๆว่า ‘พ่ออิจฉาอา’ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าอิจฉาหมายความว่าอย่างไร
ผมยังคงกระตือรือร้นไม่หมดแรงง่ายๆ เมื่อกินไอศกรีมเสร็จก็ลากทั้งพ่อทั้งอาไปขึ้นรถไฟ เครื่องเล่นบางอย่างผู้ใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปได้อาชานยอลกับพ่อก็จะคอยโบกมือให้ผมอยู่ข้างล่าง แต่ถ้าอันไหนผู้ใหญ่ขึ้นได้อาชานยอลกับพ่อก็จะสลับกันพาผมขึ้นไป จนตกเย็นผมถึงเริ่มเหนื่อย พ่อฝากผมไว้กับอาชานยอลแล้วไปหาน้ำเย็นๆสำหรับพวกเรา ส่วนอาชานยอลก็ถ่ายรูปผมเล่น ถอดหมวกของผมออกให้เก็บใส่กระเป๋าแล้วจับผมยืนตรงกลางทางเดินซึ่งมีฉากหลังเป็นม้าหมุน
“นิ่งๆนะ…ดีมาก”
อาชานยอลกดไปหลายครั้ง จากนั้นเขาก็กดเช็กดูรูปถ่าย และในระหว่างนั้นผมหันไปมองรอบๆ…
“หมี…”
ผมเห็นคุณหมีตัวใหญ่สีน้ำตาลอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขากำลังเดินไปทางหนึ่งผมจึงเดินตามไปหา วิ่งตามไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ละสายตาไปจากหมีตัวนั้นจนกระทั่งไปถึง ผมแหงนหน้ามอง
“คุณหมี” ผมเรียก เขาก้มลงมาหา มือนุ่มๆลูบหัวผมเบาๆ ผมเล่นกับเขา จับตัวเขาเล่น จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าอยากเรียกให้อาชานยอลดู ผมก็มองไม่เห็นแล้วว่าอาชานยอลอยู่ตรงไหน
ผมหันซ้ายหันขวา เห็นแต่คนแปลกหน้า หาพ่อกับอาชานยอลไม่เจอจึงเริ่มตื่นตระหนก ผมยืนอยู่กับที่ไม่รู้นานเท่าไหร่ ที่นี่มันใหญ่เกินไปเมื่อไม่มีคนนำทาง และผมก็คิดจริงๆจังๆว่าอาจจะไม่ได้เจอพ่อกับอาชานยอลแล้วก็ได้
“หลงทางเหรอ”
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ ผมเงยหน้ามองเจอชายแปลกหน้าวัยกลางคน เขายิ้มให้ผม ผมนิ่งมองโดยไม่ตอบ
“หลงกับใครอยู่”
“หลงกับพ่อ…อา…”
“ช่วยตามหาเอาไหม” เขายื่นมือมาหา ผมลังเลใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พยายามมองหารอบๆอีกครั้ง ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที
“งั้นหนูชื่ออะไรล่ะ เดี๋ยวจะไปบอกประชาสัมพันธ์ให้” เขาลูบหัวผมคล้ายจะปลอบใจ
“จงอินครับ” ผมตอบ
แต่ทันใดนั้นเองมือที่อยู่บนหัวผมก็ถูกกระชากออก
“ไอ้เหี้ย! ทำอะไร!”
อาชานยอลปรากฏตัวตรงหน้า ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นหน้าเขาอีกครั้ง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นผมก็เริ่มกลัวใบหน้ายามโกรธเกรี้ยวของเขา
“ใจเย็นครับ ผมไม่ได้ทำอะไร แค่จะช่วยน้องตามหาพ่อ”
“ไม่ต้องช่วยแล้ว ขอบคุณในความหวังดี”
ชายคนนั้นเจอท่าทีของอาแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว พอเขาไป สายตาเกรี้ยวกราดดุร้ายก็กวาดมองมาที่ผม อาชานยอลย่อตัวลงจับไหล่ทั้งสองข้างผมพลางเขย่าถาม
“ทำไมอยู่ๆวิ่งไปที่อื่น! หายไปจะทำยังไง! ใครหลอกไปไหนจะทำยังไง!” อาชานยอลตวาดเสียงดังลั่น ผมกลัวจับใจยิ่งกว่าครั้งไหน
“…..”
“จะไปไหนทำไมไม่บอก! บ้าเอ้ย!” ไหล่ผมถูกบีบอย่างแรง ผมเจ็บ น้ำตาไหล เม้มปากแน่นไม่กล้าส่งเสียง
“จงอิน!”
พ่อผมวิ่งเข้ามาหา เหงื่อซึมไหลบนหน้าผากและดูเหนื่อย คงจะวิ่งตามหาผมกับอาอยู่ ทันทีที่ผมเห็นพ่อผมก็ร้องไห้เสียงดัง โผตัวไปจะหาพ่อแต่อาชานยอลยังไม่ปล่อยผม
“ลูกพี่อยู่ดีๆก็วิ่งหายไปไม่บอกผม เกือบโดนใครพาไปไหนแล้ว!”
“มึงปล่อยจงอินก่อน” พ่อดึงแขนอาชานยอลออก ผมโผเข้ากอดพ่อ กอดแน่นด้วยความกลัวและเสียใจ
“ดุลูกกูใช่ไหม! กูบอกให้หัดควบคุมสติอารมณ์บ้าง” เสียงร้องไห้ของผมผสมเสียงว่ากล่าวของพ่อ อาชานยอลเงียบไป ได้ยินแต่เสียงหายใจแรงๆและเสียงสูดหายใจเข้าลึก
“ผมควบคุมอารมณ์ไม่ได้หรอก จงอินหายไปแบบนั้น”
“กูก็ร้อนใจยังไม่ด่ามึงเลยที่ดูแลจงอินไม่ได้ ปล่อยให้ลูกกูหายไป แต่กูจะด่าที่มึงทำร้ายจงอิน ทำให้เด็กตกใจกลัว”
“ผมไม่ได้ทำร้าย…”
พ่อคลายกอดผม ดึงเสื้อตรงไหล่ผมเปิดให้อาชานยอลดู
“กูเห็นมึงบีบ แรงด้วย” แม้จะมองผ่านม่านน้ำตาผมก็เห็นสีตาตกใจและรู้สึกผิดของเขา
“พี่…ผมขอโทษ..ผม…”
“ไม่ได้ตั้งใจ กูรู้ แต่กูขอเลยนะ มึงต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้”
“ผมขอโทษจริงๆ”
พ่อผมโบกมือเป็นสัญญาณว่าให้ช่างมันก่อนจะหันมาสนใจผม หยิบผ้าจากกระเป๋าเป้มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม
“จงอินคนเก่งของพ่อไม่ต้องร้องแล้วนะ” ผมพยายามหยุด เมื่อเจอพ่อผมอุ่นใจมาก ให้ความรู้สึกว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
“เราจะไปเล่นม้าหมุนกันใช่ไหม พ่อจะพาไปเล่นม้าหมุนนะ” ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย พ่อจูงมือผมเดิน อาชานยอลเดินตามมาห่างๆ จนถึงม้าหมุนแล้วเขาก็ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆกับพ่อ เขาไม่ได้พูด ไม่ได้แตะต้องจูงมือผม แต่สายตาเขาจับจ้องผมตลอดเวลาเหมือนกลัวว่าจะคลาดสายตาไป
ม้าหมุนไม่ได้สนุกอย่างที่คิดทั้งๆที่มันควรจะสนุก บรรยากาศของพวกเราสามคนไม่สนุกสนานเหมือนเดิม พอตกกลางคืนพ่อก็ชี้ให้ผมดูไฟสวยๆเยอะแยะ ทำให้ผมพอจะลืมเรื่องก่อนหน้านี้ได้บ้าง
ผมมองดูไฟ มองดูลูกโป่งกลุ่มใหญ่ที่มีคนถืออยู่ พอตกกลางคืนบรรยากาศก็สวยไปอีกแบบแตกต่างจากตอนกลางวัน พ่อพาผมไปขึ้นชิงช้าสวรรค์เป็นอย่างสุดท้าย อาชานยอลยังคงนิ่งเงียบไม่ปริปาก เขามองออกไปนอกกระจกตลอดเวลา
“สวยไหม” พ่อถามผม ชิงช้าสวรรค์เคลื่อนตัวสูง ผมมองออกไปบ้าง เห็นสวนสนุกในมุมสูงดูแปลกตา ชี้ถามพ่อว่าตรงไหนเป็นตรงไหน
“ถามอาชานยอลสิว่าม้าหมุนเมื่อกี้อยู่ตรงไหน” พ่อบอกให้ผมถาม ผมยังไม่กล้าถาม เกาะตัวติดหนึบอยู่กับพ่อจนกระทั่งลงมาข้างล่าง พอลงมาอาชานยอลก็บอกพ่อว่าเดี๋ยวมาแล้วก็หายไป ผมถามพ่อว่าอาชานยอลไปไหนพ่อก็บอกว่าไม่รู้ ไม่นานนักอาชานยอลก็วิ่งกลับมาพร้อมกับลูกโป่งสีแดงใบหนึ่ง
เขาเดินเข้ามาหา นั่งลงข้างหน้าก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนกลัวว่าผมจะหนีเตลิดไปไหน มันนุ่มนวลกว่าเวลาที่เขาพูดกับผมยามปกติ
“อาขอโทษนะ” เขาพูด หยิบข้อมือไปผูกสายลูกโป่ง เขารู้อีกโดยที่ผมไม่ต้องบอกอีกนั่นแหละว่าผมอยากได้ลูกโป่ง
“ผูกไว้ จะได้เห็นว่าจงอินอยู่ตรงไหน”
เขากุมมือผมเบาๆเมื่อผูกเสร็จ พ่อยิ้มบางๆไม่ได้พูดอะไร อาชานยอลจูงมือผมเดินหลังจากนั้นอีกนานไม่ยอมปล่อย…
และแม้ว่าเขาจะปล่อยมือผมแล้ว…ผมก็รู้สึกว่าเขายังคงกุมมือผมไว้อยู่ตลอดเวลาด้วยข้อมือที่ผูกสายลูกโป่งข้างนั้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
#ficLostOnYou
ความคิดเห็น