คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Awkward
-2-
Awkward
คิมจงอิน จงอิน...
เขาคนนั้นที่มักอยู่ในสายตาของผม ในที่สุดผมก็ได้รู้ชื่อของเขา
คืนนั้นหลังจากที่เขาบอกชื่อไม่ทันขาดคำ เซฮุนก็ออกมาจากห้องน้ำพอดีและเดินมากอดคอจงอินพากลับบ้านไป ผมที่นัดพี่มินอาเอาไว้ก็แยกย้ายกับคริสจากที่นั่งกับมันได้แค่สักพัก
ผมกับพี่มินอามาจบกันที่โรงแรมไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวนั้น ทันทีที่ได้เข้าห้องผมก็เป็นฝ่ายจู่โจมเธอก่อน เธอมองผมอย่างแปลกใจแต่ก็ปล่อยร่างกายโต้ตอบผมอย่างร้อนแรงเช่นเดียวกัน นั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มก่อนแทนที่จะให้อีกฝ่ายเล้าโลมผมอย่างที่เคย
แม้แต่ผมก็ยังแปลกใจกับการกระทำของตัวเองด้วยซ้ำ ผมไม่อยากนึกถึงสาเหตุเลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ อะไรหรือใครที่กระตุ้นให้ผมเป็นแบบนี้
แม้ผมจะเห็นแต่ภาพของเขาอยู่ตลอดก็ตาม...
พี่มินอามาส่งผมที่ห้องตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่เธอจะได้กลับบ้านเตรียมตัวไปทำงาน ผมเองวันนี้มีเรียนช่วงบ่ายจึงขึ้นมานอนต่อจนถึงช่วงสายๆ
“โหลๆ ตื่นยังเพื่อน" เสียงไอ้คริสโทรมาปลุก ผมใช้มันโทรปลุกแบบนี้ประจำเวลาที่ต้องทำงานดึก หรือจำเป็นต้องกลับบ้านดึกแล้วมีเรียนอีกวัน
“อืม...เออๆ ตื่นแล้ว"
“ลืมตาแล้วรีบออกมาด่วนๆ กูหิวข้าว"
“เออๆ รอแป๊บ เดี๋ยวไป"
ผมวางสายแล้วมาจัดการตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็หอบกีตาร์ขึ้นรถประจำทางมามหาวิทยาลัย เรานัดเจอกันที่เดิมใต้คณะก่อนจะเดินมากินข้าวด้วยกันข้างๆมหาลัย
“เลย์ เมื่อวานมึงพลาดนะ ชวนแล้วไม่ยอมไปด้วยกัน" คริสพูดตอนที่เราสามคนกำลังเริ่มจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“พลาดอะไรอะ เล่าดิ"
“เมื่อวานกูชวนแบคฮยอนไปร้าน แบคฮยอนรุ่นน้องปีสองอะ กูรู้จักกับมันอยู่เลยบอกให้มันชวนเพื่อนๆมันไปด้วย ที่ทำนี่เพื่อไอ้ชานยอลมันเลยนะเว้ย"
“กูไม่ได้ขอร้อง เสือกไม่เข้าเรื่อง" ผมรีบสวน
“เหรอครับเพื่อน แล้วใครวะมองเด็กมันอย่างกับจะกลืนกิน เลย์ เพื่อนมึงโคตรปากแข็งเลย กูเห็นมองแม่งเป็นปีละ ไม่เห็นทำไรสักที หงุดหงิดชิบหาย"
“พูดเหี้ยอะไรของมึง"
“โห่ กับเพื่อนกับฝูงมึงจะแอ๊บทำไม มึงชอบผู้ชายแล้วมันจะตายห่าเหรอ"
“ไม่ใช่อย่างงั้น กูก็แค่มอง ไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย มึงจะมารู้ดีกว่ากูได้ยังไง"
“หึ กูสิรู้ดีกว่ามึง อยู่กันมาตั้งแต่ประถม ไม่เห็นมึงจะเคยสนใจใครขนาดนี้ ทำไมกูจะไม่รู้"
“ชานยอล ขนาดกูรู้จักมึงตอนปีหนึ่ง กูยังดูออกเลยนะ" คราวนี้เป็นเลย์ที่พูดเสริมไอ้คริส เพื่อนทั้งสองคนของผมทำหน้าตาเป็นจริงเป็นจังทั้งคู่เหมือนให้ผมรู้ว่าที่พวกมันพูดไม่ใช่เรื่องที่อยากล้อเลียนหรือล้อเล่น แววตาของทั้งคู่คล้ายกำลังสื่อว่ามันเป็นห่วง
ไม่รู้ทำไม พอถึงตอนนี้ผมถึงเถียงไม่ออก
“เอาแต่มองแล้วเมื่อไหร่จะได้เรื่องวะ จะหาว่ากูเสือกก็ช่าง แต่ถ้ามึงยังไม่แน่ใจและอยากจะแน่ใจว่ารู้สึกยังไงมึงก็ลองให้โอกาสตัวเองดู อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ว มัวชักช้าแล้วจะมาเสียใจทีหลัง"
ผมก้มหน้าก้มตากินข้าว ใจนึงก็อยากปฏิเสธไอ้คริสว่าไม่ใช่อย่างที่มันคิด แต่ก็แย้งมันไม่ได้ในเมื่อสิ่งที่มันพูดใช่ว่าจะผิดไปซะทั้งหมด
ชอบหรือไม่ชอบ สนใจหรือไม่สนใจ หากไม่โกหกตัวเอง ผมเองก็รู้ดี
แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้
ผมไม่กล้าคิด
“แบคฮยอน!”
ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกของคริส ไม่ต้องรอให้ผมคิดอะไรมากไปกว่านี้ ไอ้คริสก็จัดการย่นระยะห่างของผมกับเขาเข้ามาอย่างกะทันหัน
แบคฮยอนพาเพื่อนอีกสามคนเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเราตามคำชวนของไอ้คริส ยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจอะไร คิมจงอินก็นั่งอยู่ข้างๆผมแล้ว
“เซฮุน สลับที่กัน" เขาหันไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลักษณะเหมือนแสดงความรู้สึกรังเกียจผมอย่างเปิดเผย
“พี่ชานยอลเขาไม่กัดมึงหรอก จะย้ายทำไม อย่าเรื่องมาก" เซฮุนพูดจบ จงอินก็ถอนหายใจอย่างหัวเสีย
ผมสงสัยมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าทำไมเขาถึงตั้งท่าเป็นศัตรูกับผมขนาดนี้ พูดจาดีๆก็ไม่พูด ดูหงุดหงิดแบบนี้ทั้งสองครั้งที่ผมอยู่ใกล้ๆ
อยากรู้จริงๆว่าทำไม
“ไม่พอใจอะไรพี่รึเปล่า" ผมหันไปถามแค่พอได้ยินกันสองคน แต่ทุกคนบนโต๊ะกลับได้ยินและเงียบรอคำตอบกันหน้าสลอน ทั้งเพื่อนผมและเพื่อนจงอิน
“เปล่า"
เขาตอบเรียบๆแล้วหันหน้าหนีไปทางเซฮุน
“มันก็เป็นงี้ล่ะพี่ เหมือนเด็กอะ ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า พี่อย่าไปถือสา" เซฮุนพูดด้วยท่าทางเป็นมิตรแก้ตัวแทนเพื่อน
“ใช่ๆ แรกๆตอนปีหนึ่งกับผมก็เป็นงี้แหละ มันเหมือนจะหยิ่ง แต่ไม่ใช่หรอกครับ" จื่อเทาร่วมผสมโรงอธิบาย
“หุบปากไปเลย"
จงอินขว้างตะเกียบใส่เพื่อนที่อยู่ตรงข้าม พวกเราทุกคนหัวเราะกับท่าทางเด็กๆอย่างที่เพื่อนเพิ่งบอก ดูไปดูมาก็คล้ายว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าที่เขาแสดงออกกับผมมันมีอะไรที่มากกว่า เหมือนเขาสร้างกำแพงขึ้นมากั้นเพื่อจะกีดกันผม
หรือผมอาจจะคิดมากไปก็ได้…เพียงแต่…
ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ…
ตัวผมล่ะ อยากจะทำลายกำแพงนั้นหรือเปล่า…
“พี่เห็นพวกเราซ้อมเต้นทุกเย็น จะไปแข่งอะไรที่ไหนกันเหรอ” เลย์ถามพวกน้องๆ เพราะพวกผมเห็นมันซ้อมกันที่ใต้ตึกคณะบ่อยๆ แต่จะว่าซ้อมเพื่องานของคณะก็ไม่น่าใช่ เพราะนี่มันเข้าช่วงสอบแล้ว
“พวกผมลงแข่งเต้นของค่ายเอสเอ็มครับพี่ วันแข่งติดกับวันที่สอบเสร็จเลย ช่วงนี้เลยต้องทั้งซ้อมทั้งอ่านหนังสือ หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน”
แบคฮยอนเล่า เพื่อนๆมันก็พยักหน้าเสริม จื่อเทาถึงขนาดส่ายหน้าทำหน้าเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดาแล้วพูดต่อแบคฮยอนว่า “กลัวจะตายกับข้อสอบก่อนถึงวันแข่ง”
“พูดซะน่าสงสาร” เลย์พูดยิ้มๆกับคำของจื่อเทา
“เอางี้ เดี๋ยวพวกพี่ช่วยติว” ไอ้คริสพูด ขณะที่ขามันก็สะกิดผมยิกๆอยู่ใต้โต๊ะ ผมรู้ว่ามันกำลังหาทางช่วยผมอีกแล้ว เลยพูดออกมาเรียบๆ
“ไม่ยากอย่างที่คิดหรอกข้อสอบ อยากให้ติวตัวไหนก็เอามาให้ช่วยดูก็ได้ พวกพี่ผ่านกันมาหมดแล้วทั้งนั้น” จงอินเหลือบมองผมนิดๆตอนที่ผมกำลังพูด ผมเลยหันไปปะทะสายตากับเขา และทันทีที่เขาเห็นผมมอง เขาก็ดึงสายตาตัวเองกลับ ทำเป็นไม่สนใจผมตามเดิม
ยิ่งเขาทำเหมือนต้องการเอาตัวออกห่าง ความรู้สึกผมกลับตรงกันข้าม จากที่ไม่เคยคิดไปไกลนอกจากแค่มอง ตอนนี้ผมราวกับถูกดึงดูดด้วยท่าทางเย็นชา มันทำให้ผมอยากจะเข้าไปอยู่ใกล้ๆ
อย่างน้อยๆให้หันมามองผมบ้างก็ยังดี
“ดีเลยครับพี่ พวกผมอยู่ใต้ตึกคณะทุกวัน วันไหนพี่ว่างก็มาติวให้พวกผมได้เลย” เซฮุนบอก ตอบรับความช่วยเหลืออย่างไม่สนใจสายตาของเพื่อนที่ดูไม่ค่อยพอใจนัก ทั้งเซฮุน แบคฮยอน และจื่อเทาดูเป็นเด็กเฮฮาที่สนิทสนมกับคนได้ง่าย จะมีแตกต่างจากพวกก็เห็นจะเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมนี่แหละ
มื้อกลางวันวันนั้นจบลงด้วยการนัดแนะเจอกันเย็นๆที่ใต้ตึกคณะของรุ่นพี่และรุ่นน้อง
ที่จริงเราเรียนกันคนละสาขา ผม คริส และเลย์เรียนเอกดนตรี ส่วนกลุ่มแบคฮยอนเรียนเอกแดนซ์ แต่จะว่าช่วยเหลือกันไม่ได้ก็คงไม่ใช่เพราะหลายๆวิชาที่เรียนก็เหมือนๆกัน
และก็ด้วยเรื่องนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มต้นได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น
อาทิตย์แรกของการติวหนังสือ เย็นๆทุกวันเดี๋ยวนี้พวกผมก็เจียดเวลาซ้อมดนตรีของตัวเองออกมาเพื่อรวมกลุ่มกับรุ่นน้อง ไม่ใช่แค่กลุ่มของผมกับแบคฮยอนกลุ่มเดียวที่ติวหนังสือให้กัน ยังมีนักศึกษาอีกมากที่มารวมตัวกันใต้ตึกคณะหน้าดำคร่ำเครียดกับการอ่านหนังสือ
ผมได้เจอกับเขาทุกวัน ได้นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ แต่ความใกล้ชิดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้จักเขามากขึ้นเท่าไหร่ เรียกว่าไปไม่ถึงไหนจากครั้งแรกที่ได้คุยกันก็ว่าได้
คิมจงอินเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยจะเฮฮาไปตามเพื่อนเท่าไหร่ เหมือนที่ผมเคยเห็นอยู่ไกลๆเสมอว่าเขามักจะทำเพียงแค่นั่งอยู่ในกลุ่มและมองเพื่อนๆเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรมากนัก แต่ถึงจะอย่างนั้นเพื่อนๆทุกคนก็ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเขาอยู่มาก โดนเฉพาะเซฮุน
นอกจากนี้ยังมีคนที่คอยวนเวียนอยู่รอบๆตัวเขาอยู่อีกคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน คนๆนั้นชื่ออีแทมิน อยู่ปีสามเอกแดนซ์เหมือนกับจงอิน ช่วงแรกผมคิดว่าแทมินคงจะมาช่วยแนะนำช่วยดูพวกน้องๆที่กำลังจะแข่ง ดูผิวเผินเป็นแบบนั้น แต่เมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงแค่อาทิตย์เดียวผมก็รู้แล้วว่าไม่ใช่
อีแทมินคนนี้ ดูก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จากท่าทางการแสดงที่สื่อชัดแบบนั้น
“น้องจงอินฮอทขนาดนี้ ยังจะนั่งทำหน้าบึ้งไม่ทำคะแนนอีก”
คริสกระซิบให้เราได้ยินกันแค่สองคน หลังจากที่ติวหนังสือกันเรียบร้อย น้องๆมันก็ต้องซ้อมเต้นต่อ พวกเราก็เลยนั่งดูเพลินๆ ผมยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะทำงานก็ดึกๆก็เลยยังไม่กลับ แต่เมื่อเห็นภาพที่จงอินกับแทมินแสดงความสนิทสนมกันเกินหน้าเพื่อนคนอื่นๆก็ให้นึกหงุดหงิดอยากกลับบ้านขึ้นมาทันที
แทมินจัดท่าให้จงอิน ยืนซ้อนหลังโอบเอว กับคนอื่นไม่เห็นจะสอนอะไรขนาดนี้
ยอมรับก็ได้ว่ารู้สึกไม่ชอบ ไม่อยากเห็นภาพอะไรแบบนี้
จากอาทิตย์นึงที่ได้อยู่ใกล้ ดูเหมือนจะห้ามใจไม่ให้ถลำลงไปไม่ได้เลย
ผมยอมรับก็ได้ว่าผมชอบเขา
“เดี๋ยวมา” ผมบอกคริสแล้วลุกออกมา เดินช้าๆไปยังตู้กดน้ำที่อยู่อีกฝั่งของตึก ผมไม่อยากเห็นภาพบาดตาเท่าไหร่เลยเลือกที่จะไม่มองดีกว่า หากยังเห็นจงอินกะตือรือร้นกับการเต้น และยิ้มให้แทมินแบบนั้น
ผมกดน้ำให้พวกแบคฮยอนแล้วเดินมาซื้อน้ำเปล่าที่ซุ้มก่อนจะกลับไปที่โต๊ะ
“พี่ชานยอลช่างรู้ใจ เหนื่อยจะตายเลยเกี่ยงกันไปซื้อน้ำอยู่พอดี” แบคฮยอนพุ่งมาเอาก่อนที่ผมจะถึงโต๊ะซะอีก ผมยื่นถุงน้ำอัดลมไปให้มัน แต่อีกมือยังถือน้ำเปล่าของจงอินเอาไว้
“น้ำครับ” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมยื่นขวดน้ำให้ หวังว่าเขาจะไม่ปฏิเสธเพราะผมจำได้ว่าเขาดื่มแต่น้ำเปล่า
เขามองขวดน้ำแล้วก็ไล่สายตาขึ้นมองหน้าผม ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าจะเหนื่อยมากจากเหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผม
“ขอบคุณ” จงอินรับน้ำจากผมไปดื่มในที่สุด ผมยิ้มนิดๆที่เขาไม่ได้ปฏิเสธ
“พี่ชานยอลนี่ใจดีเนอะ เพราะอย่างงี้แน่เลยสาวๆคณะอื่นถึงมาหาบ่อยๆ” จื่อเทาพูดออกความเห็นจบก็ดื่นน้ำตามไปอึกใหญ่
“มาหาคริสมัน ไม่ได้มาหาพี่หรอก” ผมพูดขณะที่คริสก็หัวเราะ แต่เราสองคนรู้กันว่าจริงๆแล้วผู้หญิงชอบมาหาไอ้เลย์ต่างหาก ซึ่งเหตุผลก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
“พวกผมรู้จักพวกพี่ก่อนเจอตัวจริงอีกนะรู้เปล่า ตั้งแต่ปีหนึ่งละ แต่พอเห็นหน้าก็เข้าใจแหละว่าทำไมถึงป๊อป”
“หล่อใช่ป่ะล่ะ” ไอ้คริสคนที่หลงตัวเองเป็นที่สุดพูด ทำเอาทุกคนทำท่าจะอ้วกกับไปหมด
พวกเรานั่งคุยกันสักพักก็ตกลงแยกย้ายกันกลับบ้านเพราะเริ่มมืดแล้ว ไอ้คริสอาสาไปส่งน้องที่อยู่ทางเดียวกัน จะเหลือก็แต่ผมและจงอินเท่านั้นที่อยู่ใกล้ๆเดินไปหรือนั่งรถไม่กี่ป้ายก็ถึงบ้าน มันเลยได้โอกาสจัดการให้ผมได้อยู่กับจงอินอีกครั้งลากเพื่อนจงอินทั้งหมดไปกับมัน
ผมก็เพิ่งรู้ว่าบ้านจงอินเดินกลับได้สบายๆเพราะห่างจากมหาวิทยาลัยเพียงแค่สวนสาธารณะกั้น นึกดีใจที่อย่างน้อยก็มีโอกาสบ้าง แต่จะดีใจมากกว่านี้ถ้าไม่มีใครอีกคนพ่วงเข้ามา
“เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง” ไม่ใช่ผมที่พูด แต่เป็นแทมินที่แสดงเจตนาที่ชัดเจนของตัวเองอีกครั้ง และถ้าผมมองไม่ผิดสายตาที่แทมินมองผมก็ไม่เป็นมิตรนัก
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้” จงอินปฏิเสธเรียบๆ
“แต่พี่อยากไปส่ง”
“อย่าเลยครับ”
“ทำไมถึงไม่เคยยอมให้พี่ไปสักที”
“ผมไม่ชอบ ผมเป็นผู้ชาย เดินกลับเองได้”
“พี่ก็แค่เดินไปเป็นเพื่อน คิดอะไรมาก”
“แต่ผมไม่ชอบ”
ตอนนี้เหลือแค่เราสามคนเพราะคนอื่นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ผมเลยยืนฟังเงียบๆ แม้จะชอบใจที่ได้ยินแบบนั้นแต่ยังอดคิดไม่ได้ว่าจงอินใจร้าย
“โอเค ถ้าจงอินไม่ชอบ พี่ไม่ไปก็ได้” จงอินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ เราสามคนเลยเดินออกมานอกมหาลัยพร้อมๆกัน จากนั้นแทมินก็แยกตัวข้ามถนนไปอีกฝั่ง
พอแทมินไป จงอินก็เดินแยกออกไปไม่สนใจผม ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา กับผมจงอินกลับใจร้ายยิ่งกว่าไม่แม้แต่จะพูดกับผมสักคำเดียว ทำไมถึงเป็นผู้ชายเย็นชาขนาดนี้ก็ไม่รู้
แต่ถ้าเขาไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ผมเดินตามเขาเงียบๆก็ได้...
จงอินเดินเข้าสวนสาธารณะในขณะที่ผมเดินตามอยู่ด้านหลังไม่ห่างนัก
“เดินตามมาทำไม” พอเดินไปได้สักระยะ เขาเหมือนจะทนไม่ไหวเลยหันกลับมาถาม ในที่สุดก็พูดกับผมสักที
“ตามที่ไหน ก็บ้านกลับทางนี้เหมือนกัน”
“โกหก”
“รู้ได้ไงว่าโกหก รู้เหรอบ้านพี่อยู่ไหน”
“ไม่รู้ ใครจะไปรู้!” พูบจนจงอินก็หันหลังเดินเร็วๆเหมือนไม่อยากจะสนใจผมอีกแล้ว ผมเลยต้องเดินเร็วๆตามไปด้วย
“นี่ พูดดีๆกับคนอื่นเขาเป็นไหม” ผมถามไล่หลัง ขาก็พยายามก้าวยาวๆตามจงอินให้ทัน แต่เขาทำหูทวนลมทำเป็นไม่ได้ยิน
“จงอิน...”
ผมเรียก ยังไงๆเขาก็ยังไม่ตอบสนอง ผมเลยคว้าแขนเขาให้หันหลับมา เขามองผมอย่างไม่พอใจแล้วสะบัดแขนตัวเองออกจากมือผมอย่างแรง
“ไม่ชอบอะไรพี่รึเปล่า ทำไมถึงพูดกันดีๆไม่ได้”
“มันเรื่องของผม อย่ามายุ่งมากได้ไหม” คนมีตั้งเป็นล้าน ทำไมผมถึงไปชอบเด็กเอาแต่ใจพูดกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้ ผมก็พูดดีด้วยทุกครั้ง แต่เด็กนี่กลับกวนประสาท
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก...” ผมว่าแล้วยิ้ม ยักคิ้วกวนประสาทกลับไปบ้าง
“ก็ดี!”จงอินพูดท่าทางโมโหที่โดนผมกวนกลับบ้าง เขาเดินต่อทำท่าเย็นชาไม่สนใจผมอีก ผมก็เดินตามเรื่อยๆไม่รีบร้อน เดินไปถึงบ้างเขาเลยยิ่งดี
“นี่...ถามจริงๆ ไม่พอใจอะไร”
ผมรู้สึกว่าตัวเองทำเสียงนุ่มนวลยิ่งกว่าเวลาพูดกับผู้หญิงเสียอีก ผมอยากรู้จริงๆว่าทำไม ทั้งที่เราก็ไม่เคยรู้จัก ทั้งที่ผมไม่เคยทำอะไรให้เขา ทำไมถึงได้พยายามกีดกันไม่ให้ผมได้เข้าไปใกล้ๆ
“...ผมไม่ชอบสายตาของพี่ที่มองผม...มันน่าอึดอัด...”
จงอินหยุดเดิน ยอมตอบคำถาม แต่หันหลังไม่ได้แสดงสีหน้าให้ผมเห็น
ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองแสดงสายตาแบบไหนเวลามองเขา ไม่รู้เลย ผมจึงไม่รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นแบบไหนเขาถึงจะพอใจ
ผมเดินอ้อมไปดักหน้าจงอิน จ้องมองด้วยสายตาที่เขาไม่ชอบ ครั้งนี้เขาก็จ้องตอบผมอย่างไม่ยอมแพ้
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่เขายอมมองสบตาผมตรงๆแล้วไม่หันหนี แววตาของเขายังคงดื้อดึง แต่ก็มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ผมตีความไม่ออกอยู่ด้วย มันไหวระริกคล้ายความหวาดกลัว
ผมขยับสาวเท้าเข้าไปใกล้ แววตานั้นยิ่งเข้มชัดขึ้น
ผมยิ้มให้เขาบางๆ
ยิ้มอย่างขอโทษที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ยิ้มให้กับความรู้สึกเศร้าที่เกิดขึ้นชั่ววูบหนึ่งที่ได้สบตา ผมค่อยๆก้าวถอยหลัง ยอมทำตามความต้องการของเขาหากจะทำให้เขาสบายใจขึ้น ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้เขาต้องอึดอัด
“งั้น...กลับบ้านดีๆล่ะ...”
ความคิดเห็น