คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Lost On You 16
Lost on You
[16]
เพราะว่าเราอายุห่างกันสิบห้าปี อาจเป็นเหตุผลนี้ ที่ทำให้ผมเดาความคิดอาไม่ออก
ผู้ใหญ่มักจะมีเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ ผมมองดูอาตั้งแต่เด็ก รู้จักกันมานานแค่ไหนเขาก็ยังมีส่วนที่ลึกลับอยู่ เปรียบเทียบกับเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันหรือคนที่เข้ามาหาผม พวกเขาแสดงออกอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ทำตามความรู้สึก รัก ชอบ เกลียด หรืออิจฉา หลั่งไหลออกมาเป็นคำพูดและการกระทำ เป็นความเร่าร้อนของวัยรุ่น ใช้อารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อน ความสัมพันธ์จึงไม่มีคำว่าซับซ้อนอย่างเช่นที่ผมต้องเผชิญอยู่ตอนนี้
อาชานยอลไม่พูด ถึงอะไรจะเปลี่ยนไป แต่มันยังไม่ชัดเจนตรงไปตรงมามากพอ แต่ถ้าถามว่าผมมีความสุขไหม ผมก็จะตอบพร้อมรอยยิ้มโดยไม่ลังเลเลยว่าผมมีความสุขที่สุด
ผมแสดงความรู้สึกกับอาอย่างเปิดเผย ยกเว้นคำพูดที่เหมือนคำต้องห้าม เมื่อไหร่ที่ผมตั้งใจเอ่ยมันเขาจะขัดขวาง ดึงความสนใจผมไปที่อื่น ด้วยคำพูดบ้าง ด้วยจูบบ้าง ซึ่งจูบของเขาดึงความสนใจผมไปได้ทุกครั้ง ผมจึงเลิกพยายามจะบอกรักเขาในเมื่อเขาต้องการอย่างนั้น และเป็นฝากจูบเขาแทนเวลาที่อยากบอกรัก
ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงของอาในเช้าวันหนึ่ง กลิ่นอายของเขาอยู่รอบๆตัวผมราวกับว่าเขายังโอบกอดผมอยู่ แม้ว่าเขาจะอยากพาผมมานอนด้วย หรือผมจะอยากอยู่กับเขา พ่อกับแม่ก็ไม่อนุญาตให้มากกว่าเดือนละหนึ่งครั้ง แม่เข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ไม่อยากให้ผมไปค้างที่ไหนด้วยซ้ำทั้งๆที่ผมกับแทมินก็โตแล้ว เป็นลูกสาวยังพอเข้าใจได้ แต่พ่อผมดีหน่อยที่เห็นแก่ความผูกพันกันมานานของเราจึงอนุญาต ความคิดแบบนั้นของพ่อดีต่อเรา อีกนัยหนึ่งผมจึงรู้สึกหน่วงในใจอยู่ลึกๆที่ความสัมพันธ์ของผมกับอาไม่ได้เป็นไปอย่างที่พ่อคิดอีกแล้ว
ผมนอนพลิกตัวไปมา มองหาอาแต่เขาออกจากห้องนอนไปแล้ว ผมลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา ออกจากห้องนอนเดินไปที่ครัวเพราะได้ยินเสียง เห็นอาชงกาแฟอยู่ เขายืนหันหลังให้ผมจ้องมองแผ่นหลังกว้างๆของเขา
ผมเดินเข้าไปหา เลื่อนมือไปกอดเอว ซบใบหน้าแนบกับหลัง
พอแสดงออกความรู้สึกออกมาได้ ผมก็ทำตามใจที่ตัวเองอยากทำ อาชานยอลซ้อนมือจับมือผมมือหนึ่ง อีกมือยังคนแก้วกาแฟ ฟังเสียงแก้วกับช้อนกระทบกัน แค่นี้ผมก็มีความสุขอย่างน่าประหลาด
“อยากออกไปกินข้างนอกหรือให้อาทำให้กิน”
อาถามถึงอาหารเช้าหลังจิบกาแฟไปหนึ่งอึก ผมค่อยๆคลายกอดออกเพราะเขาหันหน้ากลับมาหา
“ให้อาทำให้กิน”
“อืม ดีนะเพิ่งแวะซื้อของมาเมื่อวาน”
“ทำแค่แซนวิชก็ได้ ผมยังไม่ค่อยอยากกินอะไรเท่าไหร่”
“เดี๋ยวทำอย่างอื่นให้ ไปซ้อมเต้นเดี๋ยวก็ลืมกินอะไรอีกจนเย็น”
ผมไม่เถียงแม้ว่าจะไม่หิว เขาก็เป็นห่วงผมแบบนี้ ผมชินแล้วก็เคยตัวที่มีเขาคอยดูแล คอยเอาใจ เป็นเด็กที่โดนอาสปอยล์แบบที่พ่อเคยพูด
ผมเดินวนๆเวียนๆตามติดอาอยู่ในครัว เขาใช้หยิบอะไรก็ทำ ผมอยู่กับเขาได้แค่ช่วงเช้านี้เพราะมีซ้อมเตรียมการแสดงที่โรงเรียน เดือนหน้าก็จะมีงานโรงเรียน ผมกับแทมินมีงานที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยออกแบบโชว์และท่าเต้น แทมินอาสาก่อนที่จะได้รับมอบหมายมาด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้เราสองคนกระตือรือร้นกว่าเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ
“วันนี้อาจะไปไหนบ้าง” ผมถามระหว่างที่เรานั่งกินมื้อเช้า กินไส้กรอกไปแค่หนึ่งอันก็อิ่มเลยยกแก้วนมดื่มแทน
“อาจจะเข้าบริษัท หรือไม่ก็กลับมานี่”
“ผมจะซ้อมเลิกกี่โมงก็ไม่รู้ วันนี้ผมกลับบ้านกับแทมินดีกว่า”
“โทรมาตอนจะออกจากโรงเรียนด้วย เผื่อมืดแล้ว อาจะไปรับเอง” เขาพูด หั่นไส้กรอกอีกชิ้นในจานผมแล้วยื่นมาจ่อปาก บังคับให้ผมต้องกิน ผมอ้าปากอย่างจนใจ เคี้ยวช้าๆอย่างครุ่นคิดเพราะมีเรื่องบางเรื่องอยากจะพูด แต่ก็ไม่กล้าสักที
“อา…”
“หืม?”
“ให้ผมไปโรงเรียน กลับบ้านเองบ้างดีไหม ไม่ต้องไปรับไปส่งผมตลอดก็ได้”
“ทำไม” แววตาอาเย็นชาเมื่อเขาเริ่มอารมณ์ไม่ดี เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่กล้าพูด
“อย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมไม่อยากให้อามารับ แต่ว่า…บางที…ผม…”
“แคร์สายตาคนอื่น” อาพูดต่อ และผมพยักหน้า
“ผมกลัวสิ่งที่คนอื่นคิด กลัวคนรู้ กลัวว่ามันไม่เหมาะ กลัวว่ามันจะทำให้ผมไม่ได้อยู่กับอา”
เขาฟังผมและครุ่นคิด เขาเองอาจจะคิดเรื่องของเรามากกว่าผมด้วยซ้ำ มันถึงยังไม่ชัดเจนอยู่แบบนี้ เราก้าวข้ามเส้นๆหนึ่งมาก็จริง แต่ก็ยังมีอีกหลายเส้นที่ยังขวางทางอยู่
“รู้อยู่แล้วว่ามันต้องยากแบบนี้”
อาพูด น้ำเสียงฟังดูล่องลอยเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดอยู่กับผม
“แค่บางวันก็แล้วกัน วันไหนกลับเย็นหรือกลับดึกต้องโทรหาอา”
“ครับ”
ผมโล่งใจที่ตกลงกันได้ สถานะของผมกับอาเปราะบางเป็นพิเศษ มีเรื่องที่ทำให้ผมหรือไม่ก็อาอ่อนไหว ผมหลีกเลี่ยงพยายามอย่างที่สุดไม่ให้เรามีเรื่องมาทะเลาะกัน และทุกอย่างมันก็ค่อยๆเป็นไปด้วยดี ไม่ใช่แค่ผมที่พยายาม ผมคิดว่าอาก็พยายามเหมือนกัน ผมรู้สึกได้ เราต่างก็ต้องการรักษาความสุขที่มีอยู่ตอนนี้ไว้ พยายามที่จะไม่ทำลายมัน
…
ผมมาสายกว่าที่นัดแทมินเอาไว้ กว่าจะได้ออกจากห้องอาใช้เวลานานไปหน่อย ผมแค่จูบแก้มเขา เริ่มต้นแค่นั้น ทำไมถึงจบลงตรงที่เรานอนจูบกันบนเตียงก็ไม่รู้ แต่ว่ามันไม่เคยเลยเถิดนอกเหนือไปจากนี้ ผมไปขั้นต่อไปไม่ถูก ส่วนอาก็หยุดเมื่อถึงเวลาที่ต้องหยุด เขาจะหอบหายใจถี่ หลับตา กอดผมนิ่งๆสักพักค่อยปล่อย กว่าจะได้ออกมาก็รออยู่นาน นั่นล่ะถึงทำให้ผมมาสาย
“มาสักที” แทมินว่า ก่อนจะมองผมอย่างสำรวจ
“มองอะไร” ผมถอยห่าง สะบัดแขนหนีเมื่อแทมินมาจับตัวผมหมุน
“มองว่ามีอะไรสึกหรอ”
“ทะลึ่งละ”
แทมินหัวเราะกวนๆ ระยะหลังมีโอกาสเมื่อไหร่ได้ทีต้องแซวผมตลอด ยิ่งวันที่ไปค้างกับอาด้วยแล้วยิ่งพูดมากกว่าปกติจนอยากหาอะไรมายัดปาก
“รู้รึเปล่า พักนี้ฉันตกกระป๋องไปแล้ว มีแต่คนถามถึงนาย เขาบอกว่านายน่ารักขึ้น”
“พูดไปเรื่อย”
“คนมีความรักก็น่ารักขึ้นได้ด้วย เพิ่งรู้” แทมินไม่ฟังผม เอาแต่พูดบ้าบอ ผมเลยเดินหนีมาหาเพื่อนๆที่นั่งจับกลุ่มรอซ้อมกันอยู่
ผมอยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน เอาจริงเอาจังยิ่งกว่าเวลาเรียนเวลาได้เต้น เราซ้อมกันในโรงยิม มีกลุ่มนักเรียนกลุ่มอื่นนัดกันมาซ้อมเหมือนกันแต่เราก็ไม่ได้สนใจ ต่างคนต่างโฟกัสอยู่ที่กลุ่มของตัวเอง
“เหนื่อยไหม” ผมสะดุ้งจากความเย็นที่แนบแก้ม ระหว่างที่พักอยู่คนอื่นแยกย้ายกันไป ผมนั่งรออยู่คนเดียวที่เดิม เงยหน้าขึ้นเห็นพี่คยองซูยื่นกระป๋องน้ำผลไม้ให้
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ” ผมรับน้ำมา กล่าวขอบคุณก่อนจะตอบ
“นั่นสินะ เวลาเต้นดูไม่เหนื่อยเลย ไม่เคยเห็นใครเต้นเก่งเท่าจงอินด้วย”
“ชมอะไรขนาดนั้นครับ คนเต้นเก่งกว่าผมมีเยอะแยะ”
“อืม จะว่าเก่งก็ไม่ถูก ต้องบอกว่ามีเสน่ห์”
ผมเปิดกระป๋อง ยกกระดกขึ้นดื่ม ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกันเวลาโดนชมแบบนี้
“พี่มาซ้อมเหมือนกันเหรอครับวันนี้”
“ใช่ ซ้อมละครอยู่ที่หอประชุม”
“เหมือนปีที่แล้วเลย จำได้ว่าเห็นพี่แสดงละครเวที”
“จำได้ด้วย ดีใจจัง”
“พี่เป็นพระเอก ผมยืนดูอยู่ แสดงดีด้วย จำไม่ได้ก็แย่แล้ว”
“ชมแบบนี้มีกำลังใจขึ้นมากเลย จงอินก็ตั้งใจซ้อมนะ พี่จะรอดู” พี่คยองซูพูดก่อนเขาจะลุกขึ้น แทมินกับกลุ่มเพื่อนผมกำลังเดินกลับมาพอดี
พี่คยองซูชอบเข้ามาหาตอนผมอยู่คนเดียว เป็นคนที่เลือกจังหวะได้เหมาะ ผมเห็นเขาเป็นรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาอาจจะคิดอะไรกับผมแต่ก็ไม่ได้รุกเข้าหามากจนเกินไป แปลกดีที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดใจเลยเวลาได้คุยกับเขา ผิดกับแทมินที่ไม่ค่อยชอบพี่คยองซูเท่าไหร่ ต่างคนต่างก็ทำตัวเย็นชา ไม่เคยทักทายกันให้ผมเห็นเลยสักครั้ง
…
“อาจะมาดูผมไหมวันนี้”
ผมโทรไปถาม ถึงวันงานก็ไม่ยอมให้คำตอบ ผมคิดกับตัวเองว่าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้คงจะยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมตัว ไม่มีเวลาได้คุยกันอีก
“เคลียร์งานทันก็จะไป”
“อามาดูทุกครั้ง ไม่เคยไม่มา”
“เสร็จงานแล้วจะไปแน่ๆ”
“ครับ ผมรออานะ”
ผมเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจ ขอแค่ต้องการรู้ว่าเขาจะมาแน่ๆก็แค่นั้นเพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง เพราะจนถึงเดี๋ยวนี้เวลาขึ้นเวทีผมก็ยังตื่นเต้นอยู่
“พ่อบอกว่าจะมา” แทมินบอกเมื่อเห็นผมวางสายจากอา ผมอดยิ้มไม่ได้ นอกจากอาแล้วก็พ่อนี่แหละที่ไม่เคยพลาดสักครั้งเหมือนกัน งานยุ่งแค่ไหนก็มาดูจนได้ ถึงผมจะโตจนป่านนี้แล้วก็เถอะ
“พ่อไม่เคยพลาด”
“ฉันว่าปิดเทอมจะขอพ่อไปอเมริกาอีก” ผมฟังที่แทมินพูด เกิดลังเลใจนิดหน่อยทั้งๆที่อยากไปเหมือนกัน แต่อยากอยู่ที่นี่ก็อยากอยู่เพราะไม่อยากไปไหนไกลจากอา
“ฉัน…ก็อาจจะไปด้วย”
“อาจจะเหรอ”
“อืม ก็คงไปนั่นแหละ”
“คิดดีๆ ถ้าไม่อยากไปก็ได้ ฉันไม่โกรธอะไรหรอก”
“อยากไป แต่ก็ไม่อยากไปเพราะอา”
“ถึงบอกให้คิดดีๆ ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน”
อะไรสำคัญกว่ากัน ทั้งสองอย่างมันเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก ผมไม่ได้ให้คำตอบแทมินทันที เราแค่คุยเกริ่นๆกันเอาไว้ กว่าจะปิดเทอมก็อีกตั้งเดือนนึง ก่อนที่เราจะขึ้นมัธยมปีสุดท้าย
ตอนเย็นเมื่อโชว์ของเราเริ่ม ผมมองเห็นพ่อชัดเจนจากบนเวที พ่อโบกมือให้ผมอย่างเคย แต่ผมไม่เห็นอาชานยอล สงสัยว่าเขาคงจะมาไม่ทัน กำลังใจผมหดหายแค่นิดหน่อยเพราะมีพ่อมาดูอยู่ทั้งคน แล้วโชว์ก็ผ่านไปอย่างราบรื่นเรียบร้อยด้วยดี
“จงอิน” ผมหันไปตามเสียงเรียกแต่ไม่เจอเจ้าของเสียง เจอแต่ช่อดอกไม้ที่ถูกยื่นมาให้ เป็นช่อดอกกุหลาบสีขาวทั้งช่อ แม้แต่กระดาษที่ห่อก็ยังเป็นสีเดียวกัน
“ขอบคุณครับพี่คยองซู” ผมรับมา ไม่ใช่ดอกไม้ช่อแรกของเขา ผมเลยรับมาด้วยความเคยชิน
“เตรียมไว้ให้ เพราะรู้ว่าจะได้ดูโชว์ดีๆของจงอิน”
“แล้วมันดีอย่างที่พี่คิดไหม”
“ดีสิ ดีจนอยากดูบ่อยๆ”
“อยากดูผมเต้นให้ดูก็ได้ แต่ค่าตั๋วแพงนะ”
“เท่าไหร่ล่ะ ยอมจ่าย แต่ขอเก็บเงินก่อน” พี่คยองซูพูดยิ้มๆ ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะชะงักค้างไปเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ไกลๆ ผมรีบขอตัวอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปหาคนที่ผมรออยู่ทั้งวัน
“อา!”
ผมเรียกเมื่อเขาเริ่มหันหลังเดินออกไป ผมวิ่งตามเขาไปจนถึงรถ
“ไม่ต้องเอามันขึ้นรถ” อารีบพูดขัดก่อนผมจะเปิดประตู นิสัยเดิมๆของอากลับมา ผมเริ่มรู้วิธีจะรับมือ และก็เข้าใจว่าทำไมอาถึงอารมณ์เสีย แต่ผมก็เสียดายดอกไม้ที่คนให้ด้วยใจจนไม่อยากจะโยนมันทิ้ง
“โยนมันไว้หลังรถได้ไหม”
“ทิ้งไปเลย” เขาย้ำ
“ใจร้ายจังเลย”
“อาไม่เคยใจดีอยู่แล้ว”
“ทิ้งก็ได้ แต่เอากลับไปทิ้งที่บ้าน”
“ก็ได้ ถ้าอยากได้ช่อนั้น” ผมงงประโยคที่อาพูด พอเปิดประตูขึ้นรถนั่นแหละถึงหายงง เมื่อเห็นดอกไม้อีกหนึ่งช่อวางอยู่บนเบาะของผม
ความรู้สึกเมื่อเห็นช่อดอกไม้ของอากับของพี่คยองซูแตกต่างกันมาก อาไม่เคยให้ดอกไม้ผม เขาไม่เคยทำเรื่องโรแมนติกเพราะสถานะของเราที่เป็นมาตลอด
แต่ตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยน
ผมกอดช่อดอกลิลลี่สีขาว พยายามเม้มปากไม่ให้ฉีกยิ้มเหมือนคนบ้า
“ว่าไง จะทิ้งไหมช่อนั้น”
“ทิ้งก็ได้ "
#FicLostonYou
ความคิดเห็น