คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Lost On You 15
Lost on You
[15]
ณ เวลานั้น ผมกับอาลืมคิดไปว่าอะไรจะตามมาหลังจากที่มันเกิดขึ้น
ผมได้แต่หลับตา ซึมซับรสจูบอ่อนหวาน ผมไม่อยากให้เขาหยุด อยากให้มันดำเนินไปเรื่อยๆไม่มีจุดสิ้นสุด แม้ว่ามันจะทำให้ผมขาดใจตาย
“เข้าบ้านได้แล้ว”
อาชานยอลพูด ผมลืมตาช้าๆ มือเขายังจับใบหน้าของผมอยู่ เขาเกลี่ยแก้มผมเบาๆแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ ผละออกไปนั่งหลังพวงมาลัยตามปกติ
ผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ไม่กล้าหันไปมอง ไม่กล้าสบตา ผมเม้นริมฝีปากฉ่ำชื้นของตัวเอง ค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดประตู ก้าวขาลงจากรถปราศจากคำล่ำลาใดๆก่อนจะเข้าบ้านมา ทักทายคนในบ้านพอเป็นพิธีแล้วรีบวิ่งขึ้นห้อง เพื่อจับหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงจนใกล้ระเบิด ปลุกปลอบมันให้สงบลงบ้าง แต่ไม่ว่าจะปลอบมันยังไงก็ไม่สามารถทำให้มันสงบลงได้เลย
…
ในหัวมีคำถามเต็มไปหมด นอกจากความรู้สึกดีๆที่มีอยู่ล้นอก ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทำไมอาถึงจูบผม เขาตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ อะไรทำให้เขาทำแบบนั้น เพราะอะไร ผมแอบหวังอยู่มากว่าเขาจะรู้สึกพิเศษกับผม ความคิดนั้นทำให้ผมคิดฝันพร่ำเพ้อ คิดถึงจูบของอาอยู่ซ้ำๆ คิดถึงริมฝีปากของเขา หวิวหวามในอกทุกครั้งที่คิด ถลำลึกลงไปจนหาทางออกไม่เจอ หรือต่อให้เจอ ผมก็คงไม่ไปไหน
“มีอะไรรึเปล่า” แทมินเดินมาดักหน้าก่อนที่ผมจะเปิดรั้ว
“ไม่มีนี่” ผมเบี่ยงตัวหนี
“นายยิ้ม”
“ยิ้มก็ไม่ได้?”
“ช่างเถอะ” แทมินบอกปัดไม่เซ้าซี้ ช่างเป็นพี่ชายที่รู้ใจ ไม่ใช่ไม่อยากเล่า แต่ผมยังอยากเก็บเรื่องนี้ไว้ เก็บความสุขนี้ไว้กับตัวก่อน
ผมเปิดรั้วบ้านออกมาก็เจอรถอาจอดอยู่ ที่เดิม เวลาเดิม แต่อยู่ๆก็ตื่นเต้นกว่าทุกวันไม่รู้ตั้งกี่เท่า ผมขึ้นรถเขาไปนั่งข้างๆ เหตุการณ์เมื่อคืนหวนกลับมาให้นึกถึง ผมไม่กล้าสบตาเขาเลยจนถึงโรงเรียน ระหว่างทางเอาแต่มองนอกหน้าต่าง แอบมองเขาจากเงาสะท้อนของกระจก เห็นใบหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติของอาแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าเขากำลังคิดอะไร
แทมินลงจากรถไปก่อนเหมือนทุกวัน ผมนั่งนิ่งอยู่สักพักอย่างอึดอัด ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเมื่อวานก็ทำไม่ได้ และผมก็ไม่อยากทำด้วย
“จงอิน”
ผมหันไปหาเขาทันที สบตากับเขา สังเกตสีหน้าท่าทางของเขา อาชานยอลไม่เชิงว่ายิ้มอยู่ แต่สีหน้าของเขาและแววตาอ่อนโยนเหลือเกิน อ่อนโยนเป็นพิเศษ ผมจ้องมองเขา ความรักท่วมท้นล้นอก หลุบมองฝีปากเขาอย่างเผลอไผล และพอเลื่อนขึ้นมามองตาเขา ผมก็เห็นว่าเขามองริมฝีปากผมอยู่เหมือนกัน
“เจอกันตอนเย็น”
เขาทำลายความเงียบระหว่างเรา ผมยิ้มให้เขาโดยไม่ได้พูดอะไร ลงจากรถเดินไปหาแทมินกับกลุ่มเพื่อนแล้วหันกลับมามองก็ยังเห็นรถอาจอดอยู่ ผมเหลียวหันมองจนลับสายตาอย่างคนที่หัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลังจากวันนั้น ผมกับอาระหว่างเราเหมือนไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในสายตาคนนอก เขายังเป็นผู้ปกครองที่คอยไปรับไปส่ง ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง เวลาที่อยู่ด้วยกันไม่ได้มีมากนัก แต่ในความรู้สึกผม ผมคิดว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงระหว่างเรา แม้เราจะไม่เคยพูดถึงมันเลยก็ตาม
อาชานยอลไม่เคยจูบผมอีก มันล่วงเลยมาเป็นเดือน เหตุการณ์นั้นแม้จะตราตรึงแต่ก็เหมือนความฝัน แต่การะทำต่างๆของอานับวันผมก็ยิ่งสับสน สายตาที่เขามอง ความเอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เขายังสนใจฟังเรื่องที่ผมเล่าแม้ว่ามันจะน่าเบื่อหน่าย อย่างเช่นการได้คะแนนอันดับหนึ่งของห้องวิชาพละ ชนะด้วยคะแนนฉิวเฉียดกับแทมินไปแค่คะแนนเดียว หรือเรื่องที่มีเพื่อนชวนให้ลองบุหรี่ พอเล่าให้อาฟังเขาก็จ้องผมด้วยสายตาดุดันจนต้องรีบบอกว่าผมปฏิเสธที่จะลอง แต่ก็มีเรื่องบางเรื่องที่ผมเก็บเป็นความลับไม่กล้าเล่า เช่นเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเล่าประสบการณ์เรื่องเซ็กซ์อย่างถึงพริกถึงขิง ผมอยู่ในวัยที่อยากรู้จึงฟังอย่างตั้งใจ แอบดูคลิปที่เพื่อนเอามาให้ดูก็เคย บอกตามตรงผมดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน บางทีผมเผลอนึกถึงอา บางทีก็คิดถึงถุงยางอนามัยของอาที่เคยเจอในกระเป๋าตังค์ คิดมากไปไกลจนสุดท้ายต้องหยุดความคิดตัวเองเมื่อมันเริ่มที่จะเจ็บ
เมื่อมีสิ่งรบกวนใจมากๆผมก็เลือกที่จะเต้น มันช่วยปลดปล่อยได้เยอะทีเดียว ไม่ว่าจะกังวลใจ ไม่สบายใจ สับสน หรือกำลังเศร้า พอได้เต้นผมก็รู้สึกดีขึ้น ซึ่งระยะหลังผมเริ่มสับสนบ่อยๆ ผมก็เลยใช้เวลาเต้นนานขึ้นในแต่ละวันโดยมีแทมินอยู่เป็นเพื่อน
ล่าสุดเรื่องที่ทำให้ผมสับสนคือตอนที่เห็นว่าหน้าจอล็อกสกรีนมือถือของอาชานยอลเป็นรูปมือของผม ตอนแรกผมไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจมองว่าเป็นมือของใคร พอเป็นคนหยิบขึ้นมาดู ได้เห็นมันชัดๆผมถึงเพิ่งรู้ว่าเป็นมือตัวเอง ถ่ายไว้ที่ไหนเมื่อไหร่ก็นึกไม่ออก แต่ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่มันถ่ายที่ไหน เมื่อไหร่ มันอยู่ที่ว่าทำไมมันถึงเป็นรูปมือของผม มันหมายความว่าอะไร
ผมสับสน
“อาซื้อหนังมาเรื่องนึง ดูด้วยกันไหม” เขาถามระหว่างที่แวะกินข้าวเย็นร้านประจำ อาชานยอลเลิกงานเร็ว เขามารับผมที่โรงเรียนแล้วก็รู้ว่าวันนี้ผมกับแทมินจะไม่เข้าบริษัท เขาเลยชวนผม
“ดูที่ห้องอาเหรอ”
“ก็ต้องห้องอาสิ หรือจงอินอยากดูที่บ้าน”
“เปล่า…ดูที่ห้องอานั่นแหละ”
ระยะหลังผมได้ไปห้องของอานานๆครั้งเท่านั้น แต่ถึงห่างไปนานพอเข้าไปทีไรก็รู้สึกคุ้นเคยเหมือนบ้านตัวเอง มีมุมโปรดบนโซฟาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆเปียโน มันเป็นโซฟาของผม อาชานยอลไม่เคยขยับย้ายไปไหน ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะมองตามอาชานยอลที่เดินเข้าห้องนอนไป
เขาเดินออกมาใหม่เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มสีเทา เราตกลงกันแล้วว่าวันนี้ผมจะค้างที่นี่ เขาเลยถามว่าผมจะอาบน้ำเลยไหม
“รอก่อนนะ ผมอาบแป๊บเดียว”
“อาบนานก็รอได้” อาว่าอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้อาบนาน ไม่อยากให้เขาต้องรอ
หนังเรื่องที่อาดูเป็นหนังดราม่าชีวิตชวนหลับ เพราะอย่างนี้ผมถึงอาบน้ำก่อนเพราะรู้ว่าอาจจะหลับไประหว่างดู ผมพยายามจะดูแต่ก็หลับเป็นวูบๆ หงายศีรษะไปโดนแขนอาที่วางพาดพนักอยู่หลายรอบจนอาทนไม่ไหวหันมามอง
“ง่วงก็นอน หรือจะเข้าไปนอนในห้องนอน”
“นอนตรงนี้” ผมบอก เขาเลยเอาแขนที่พาดพนักอยู่โอบไหล่ผมแล้วกระชับเข้าหาตัว ผมเอนซบบ่าอาโดยทันที เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเพราะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง บ่าของอาเป็นที่พักพิงแสนสบายมาตั้งแต่เด็ก ผมอยู่ในอ้อมกอดเขามากี่ครั้งต่อกี่ครั้งนับไม่ถ้วน
ผมหลับตานอน แต่กลับไม่หลับ อยู่ๆความง่วงก็หายไป แม้อาจะลูบหัวผมเบาๆผมก็ยังหลับไม่ลง ผมลืมตาขึ้นใหม่ กะพริบตาปริบๆดูหนังในจอ อาชานยอลก้มลงมามองก็เห็นว่าผมยังไม่หลับแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เรานั่งดูหนังกันไปเรื่อยๆ ผมนั่งอยู่ในอ้อมกอดของอา ซุกซบอิงแอบราวกับเป็นคนรัก แต่ก็ไม่ใช่
หนังน่าเบื่อจบลงอย่างน่าเสียดาย ผมอยากจะให้มันนานกว่านี้อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง ผมจะได้นั่งอยู่กับอาแบบนี้นานๆ ยังไม่อยากลุกเลย
“อยากนอนตรงนี้ทั้งคืนหรือไง ไม่ยอมลุกสักที”
“อืม...” ผมตอบรับเบาๆ ถูศีรษะไปมากับบ่าอา
“ไปนอนดีๆดีกว่า” เขาหัวเราะเบาะๆกับการกระทำของผม จับเส้นผมของผมเล่น จมูกกับริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้หน้าผาก ผมรู้สึกถึงลมหายใจของเขา ทำให้ผมนึกถึงจูบคราวนั้นอีกแล้ว
ผมไม่ยอมลุกขึ้น อาก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น เราเงียบกันไป ผมหลับตาพยายามควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ แต่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งเต้นดัง และยิ่งดังขึ้น เมื่ออยู่ๆเขาแนบริมฝีปากกับหน้าผากผม
“จูบผมทำไม” ไม่ใช่แค่คิด แต่ผมถามมันออกมาเพราะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ผมทนให้อาทำมันอีกครั้งโดยไม่รู้คำตอบไม่ได้
“….”
“อา…จูบผมทำไม”
ผมถามซ้ำเบาๆ กลัวคำตอบแต่ก็อยากรู้ อาชานยอลพิงศีรษะเข้ากับผม กระชับกอดผมไว้
“อารู้ไหม…ผมสับสน”
เขาเงียบไปอย่างน่าใจหาย ผมร้อนที่ขอบตา มันอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูก เขาเลื่อมมือลงมาจะจับมือผม แต่ผมกำมือตัวเองแน่นไม่ให้เขาจับ ตอนนี้ผมกลัวความอบอุ่นของเขา มันกำลังทำร้ายผม
“ผมจะไปนอนแล้ว”
ผมถอดใจ ไม่อยากได้คำตอบอะไรจากเขาแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาเพื่อขอร้องให้เขาปล่อยผมไป พยายามกลั้นน้ำตาไว้
อาชานยอลไม่ยอมปล่อย แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร ผมเริ่มออกแรงยันตัวเขาออก แต่พอได้สบตาเขานานๆผมก็เริ่มนิ่ง แววตาของเขาบอกอะไรผมบางอย่าง มันเศร้า มันกลัว มันคืออะไรสักอย่าง หรือหลายๆอย่างรวมกัน ผมไม่แน่ใจ
“อารู้รึเปล่า…ผม…”
ยังไม่ทันได้สารภาพ เขาก็จูบผม ปิดปากผมแน่นจนเจ็บ เขาไม่พูด และไม่ยอมให้ผมพูด ผมเจ็บตรงไหนก็ไม่รู้ เจ็บขนาดต้องร้องไห้ออกมาเพื่อบรรเทา
ฟันของเขาขบริมฝีปากผม ผมต้องเปิดปากขึ้นเพื่อหายใจ ผมไม่เคยโดยจูบแบบนี้มาก่อน ลิ้นที่ส่งเข้ามารุกเร้าให้ตอบสนอง ผมโต้ตอบเขาด้วยอารมณ์ที่เก็บไว้ ถ้าเขาไม่ให้ผมพูด ผมก็จะทำให้เขารู้ ผมจูบเขาเหมือนคนกระหาย ทำไปโดยสัญชาตญาณ เรียนรู้จากสิ่งที่เขาทำ มือเกาะเกี่ยวกอดคอเขาไว้ เหนี่ยวรั้งเข้ามาหาตัว
ความรุนแรงในตอนแรกค่อยๆผ่อนลง ผมครางโดยไม่รู้ตัว ลิ้นของเราตอบสนองกันอย่างดี สลับกับจูบที่ริมฝีปาก เราค่อยๆผ่อยลงช้าๆจนหยุด..นิ่ง ประกบค้างแช่ไว้ ก่อนที่ริมฝีปากของอาจะเลื่อนขึ้นมาที่ใบหน้าผม จูบซับคราบน้ำตาที่แก้มถึงหางตา
“อา…”
ผมเรียกเมื่อเราสบตากัน เพ้อเรียกไปอย่างนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไร ผมคิดว่าเขารู้สิ่งที่ผมต้องการจะบอก ผมมองเขาอย่างเปิดเผย เขาเองก็มองผม สายตาเขาตีความยาก แต่ผมก็รู้ ในความรู้สึกต่างๆทั้งหมด ในนั้น สิ่งที่เขาอยากบอกแต่ไม่ยอมพูดออกมา
ไม่ใช่เรื่องที่ผมเพ้อฝันไปเองหรอก
…ผมรู้แล้ว…ว่าเขาเองก็รักผมเหมือนกัน
ป.ล. อย่างที่เคยบอกว่ามันจะดำเนินไปช้าๆเรื่อยๆ ตามสภาพของคนเขียนที่มีแรง
รู้สึกว่าจงอินโตเต็มที่แล้วก็ตอนนี้ล่ะ
#FicLostonYou
ความคิดเห็น