คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Lost On You 12
Lost on You
[12]
ลมหายใจผมชอบสะดุดเวลาอาชานยอลอยู่ใกล้ๆ
ผมเผลอกลั้นใจ หรือบางทีก็ลืมหายใจ รู้ตัวอีกทีก็ตอนสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด ที่ว่าใกล้นั้นไม่ใช่ว่าอยู่ใกล้ๆแบบปกติ แต่เป็นความใกล้ชิดที่ใกล้เกินไป อย่างการที่เขานอนกอดผม เวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าแผ่นหลังของผมแนบนาบอยู่กับอกเขา หรือไม่ก็ซุกตัวอยู่กับอกของเขาผมไม่เคยชินสักที ลมหายใจจะติดขัดขึ้นมาจนยากควบคุม ต้องนอนนิ่งๆ พยายามทำให้ใจสงบทั้งที่ฟุ้งซ่านไปไกล อาชานยอลทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติผมก็เลยต้องทำอย่างนั้นไปด้วย บางทีผมเห็นว่าเขามองผมอยู่เฉยๆ ช่วงสอบผมต้องอ่านหนังสือ เมื่อก่อนตอนอยู่ชั้นประถมไม่ว่าจะการบ้านหรือเวลาใกล้สอบ อาชานยอลก็จะช่วยสอนช่วยดูให้ พอมีแทมินแล้วอาก็เลิกไป ตอนนี้เมื่อผมมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่คอนโดเขา อาก็แค่เอางานมานั่งทำใกล้ๆ เงยหน้าขึ้นมาก็สบตากันโดยทันที เดี๋ยวนี้ผมต้องหลบตาเขา จ้องนานไม่ได้เกินห้าวินาที ต้องเสมองอย่างอื่นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูก รอยยิ้มนั้นของอานั่นแหละที่ชอบขโมยลมหายใจของผมไปบ่อยๆ
มุมกระดาษสีน้ำตาลยับย่นขณะที่ผมใช้นิ้วเขี่ยเล่นพลางๆระหว่างอ่านหนังสือ ผมได้ยินเสียงเพลงแว่วๆจากหูฟังของอา มันไม่ได้ทำลายสมาธิหรืออะไร บรรยากาศกำลังดีทีเดียว อีกไม่กี่หน้าก็จะจบบท แต่โทรศัพท์ของผมที่สั่นเรียกทำให้ผมต้องหยุดอ่านไปก่อน ผมละสายตาจากหนังสือ อาชานยอลเองก็มองที่มือถือของผมที่มีหน้าแทมินโชว์หราอยู่บนหน้าจอ
“ว่าไง” ผมรับสาย
“กลับบ้านมากินข้าวด้วย แม่สั่ง”
“แม่สั่งหรือนายสั่ง”
“ทั้งคู่…ไปที่นู่นมีสมาธิอ่านบ้างหรือเปล่า?”
“อ่านจะจบแล้ว”
“งั้นก็รีบกลับบ้านแล้วกัน พ่อก็ถามหา”
“อืม เดี๋ยวก็กลับ”
แทมินเซ้าซี้นิดหน่อย จริงๆวันนี้ผมเตรียมตัวจะกลับบ้านอยู่แล้วเลยรับปากไปง่ายๆ แต่ผมยังไม่ได้บอกอาชานยอลว่าจะกลับ ระหว่างที่ผมคุยกับแทมินเขาถอดหูฟังออกและรับรู้จากบทสนทนา พอวางสายเขาก็มองผมเหมือนรอให้ผมพูดอะไร
มุมหนังสือยับยู่ยี่กว่าเดิมเมื่อผมเขี่ยมันไม่เลิก อาชานยอลยื่นมือมาจับนิ้วผมที่เขี่ยให้หยุด เขาลูบเล็บนิ้วชี้ที่เป็นรอยแตก มันเป็นรอยจากประตูรถหนีบสมัยประถม เลือดอาบร้องไห้อยู่เป็นนานให้อาต้องปลอบผมแทนพ่อ คิดไปถึงนั่นก็ยังมีแต่เรื่องของอาชานยอล รู้สึกตัวอีกทีผมก็ถอนหายใจ
“กลับไปนอนบ้านใช่ไหมวันนี้”
“ครับ” หลังอาป่วยผมมานอนที่คอนโดเขาบ่อยขึ้น ค้างติดๆกันหลายวันจนแม่ต้องให้แทมินโทรมาตามแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเหลวไหล
“อ่านจบหรือยัง ต้องกลับเลยรึเปล่า”
“อ่านให้จบก่อนดีกว่า อีกนิดเดียวเอง”
“อืม” เขาตอบรับเบาๆ ผมเอานิ้วชี้เกี่ยวนิ้วอาชานยอลที่ลูบนิ้วผมไว้แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อจนจบบท
“อาอยู่กินข้าวบ้านผมด้วยกันนะ”
สิบห้านาทีผ่านไปผมก็ปิดหนังสือ เก็บของเตรียมตัวจะกลับบ้าน ผมมาอยู่กับอาตั้งแต่คืนวันศุกร์จนวันนี้วันอาทิตย์ ความสัมพันธ์ของผมกับเขาเวลาอยู่ด้วยกันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน อาจมีแต่ผมที่คิดว่ามันเปลี่ยน ผมหาเหตุผลที่เขาชอบชวนผมมาค้างด้วยอย่างไม่คิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่ไม่ว่ามันจะชวนงุงงงสงสัยแค่ไหนผมก็ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรทั้งนั้น ผมปล่อยให้ตัวเองมีความสุขไปในแบบนี้
“เข้าไปให้พี่คังอินเห็นหน้าคงโดนด่า”
“ก็โดนประจำอยู่แล้ว” พ่อชอบว่าอาประจำแต่เราก็รู้กันว่าไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร แย่งกันเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่ผมสนใจอามากกว่าพ่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่หาเรื่องว่าอาไปอย่างนั้น
“อาแค่ไปส่ง คงไม่เข้าไปหรอก”
“อารีบไปไหนหรือเปล่า”
“เปล่า…” อาตอบโดยไม่ขยายความ ระยะหลังเขาไม่ค่อยเข้าไปในบ้านกับผม จอดรถรออยู่แค่หน้าบ้าน ซึ่งผมก็พอรู้เหตุผลของเขา
“ไม่รีบก็อยู่กับผมก่อน”
อาชานยอลไม่ได้ตอบรับว่าตกลง เขาพาผมออกจากคอนโดไปส่งที่บ้าน เมื่อจอดเทียบหน้าบ้านแล้วเขาก็ดับเครื่อง ลงจากรถเดินเข้าบ้านมากับผม
“อาทิตย์นี้เพิ่งจะเห็นหน้า” พ่อผมเอ่ยทักเป็นคนแรก ไม่แน่ใจว่าพูดกับผมหรือว่าอากันแน่ที่ว่าไม่เห็นหน้า
“เอามาส่งให้แล้วไง”
“ไม่โทรไปตามก็ไม่กลับ” พ่อบ่นไปตามประสา แม่เดินออกจากครัวพอดีเจอผมเลยให้ผมไปเรียกแทมินลงมากินข้าว
“สอบกันอีกกี่วัน” เมื่อเรานั่งกันพร้อมหน้าพ่อก็เป็นคนเริ่มบทสนทนาเป็นปกติ ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับหน้าที่ตัวเอง
“อีกทั้งอาทิตย์เลยพ่อ” แทมินตอบ
“อ่านหนังสือหรือเปล่า อยู่แต่ในห้องไม่ใช่มัวแต่เล่นเกม”
“ก็ทั้งอ่านทั้งเล่น” พี่ชายผมตอบตามความจริง พ่อไม่ซีเรียสกับผลการเรียนเท่ากับแม่เลยยิ้มๆ ผิดกับแม่ที่ทำหน้านิ่ว
“ผลออกมาไม่ดีแม่จะยึดให้หมด” แม่ว่า
“ลูกแม่ฉลาด แม่ไม่ได้ยึดของผมหรอก”
“แล้วเราล่ะ ไปอยู่ห้องอา ได้อ่านหนังสือจริงๆหรือเปล่า” พ่อหันมาถามผม พร้อมๆกับที่อาชานยอลคีบอาหารมาใส่ในจานให้
“อยู่กับผมเขาก็อ่านตลอด” อาชานยอลตอบแทน
“ดีแล้วที่คอยคุม แต่ไม่กลับบ้านบ่อยๆแม่เขาก็เป็นห่วง” ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องวกมาเรื่องนี้ ทั้งผมทั้งอาชานยอลได้แต่เงียบ
แม่มองที่ผม มองลงมาที่เสื้อยืดของอาที่ผมใส่ มันใหญ่กว่าตัวผมพอควร สายตาของแม่มีความอึดอัดใจและเป็นกังวล
“ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปนอนที่อื่นหรอก” แม่บอกเรียบๆ พยายามทำให้มันไม่เหมือนประโยคคำสั่ง
“อยู่กับอาไม่เห็นมีอะไรที่แม่ต้องเป็นห่วงเลย” ผมพูดเพราะผมคิดอย่างนั้น แต่เหมือนแม่จะไม่เห็นด้วย
“อยู่บ้านเรายังไงก็ต้องดีกว่า”
“เอาเป็นว่าไปนอนเฉพาะจำเป็นแล้วกัน แม่จะได้สบายใจ” พ่อตัดสินใจให้เท่ากับเป็นคำสั่งเด็ดขาด ผมเหลือบมองปฏิกิริยาของอา เขาแค่นิ่งเฉย ผมแอบผิดหวัง รู้สึกเหมือนถูกกีดกัน ผมค่อนข้างแน่ใจว่าแม่กังวลเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับอา ทั้งๆที่มันยังไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น และดูท่าจะเกิดขึ้นได้ยากในเมื่อเป็นแบบนี้
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารต่อจากนั้นผมไม่ได้สนใจ แทมินจับอารมณ์ซึมเศร้าและที่มาของมันได้เลยแกล้งเตะขาผมใต้โต๊ะ ไม่ยอมให้ผมนั่งคิดอะไร เอาแต่กวนจนผมหัวเราะออกมาพร้อมสบถด่าถึงหยุด
“ปิดเทอมนี้ว่างๆอยากทำอะไร เหมือนเคยขอพ่อว่าอยากไปไหนกันนะ” พ่อถาม ผมกับแทมินมองหน้าแล้วตอบพร้อมกัน
“อเมริกา”
พวกเราชอบนักเต้นอยู่คนหนึ่ง เราเคยคุยกันไว้ว่าอยากไปเรียนที่สตูดิโอของเขาดูสักครั้ง เคยบอกพ่อเอาไว้ด้วยก่อนหน้านี้
“จะไปจริงๆก็เตรียมตัว ไปกันเองสองคนได้ใช่ไหม”
“สบายมากพ่อ” แทมินว่า ผมแน่ใจว่าเราดูแลตัวเองได้อยู่แล้วจึงพยักหน้าเสริม พอพูดถึงเรื่องเต้นผมก็ตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้ไปถึงที่นั่น ที่ที่มีนักเต้นเก่งๆรวมตัวกันอยู่เยอะแยะ
“จะปล่อยไปสองคนเหรอพี่” อาชานยอลถามพ่อ
“โตแล้ว ก็อยากปล่อยให้ไปเรียนรู้อะไรเอง ไม่ต้องมีคนคอยดูแลหรอก”
“ผมเป็นห่วง”
“มึงก็ห่วงจงอินเกินไป ดูด้วยว่าอายุเท่าไหร่แล้ว กูเป็นพ่อก็ต้องห่วงเหมือนกันนั่นแหละ”
“ผมพาไปดีไหม” อาชานยอลตื้อพ่อไม่เลิก ผมมองอากับพ่อสลับกันว่าพวกเขาจะเอายังไง
“เด็กไปเรียนกันเป็นเดือน จะทิ้งงานไปเฝ้าก็เกินไปละชานยอล นี่ลูกมึงหรือลูกกู” พ่อพูดแซวเล่นแต่อาชานยอลไม่ขำด้วย ดูเขาจะเป็นห่วงมากจริงๆ
“อาไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก” ผมบอกอา พอเขาหันมามองผมก็ไม่อยากไปขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง เพราะผมว่าผมต้องคิดถึงเขามากแน่ๆ
“โตแค่ไหนก็ต้องห่วง”
ห้าวินาทีที่ผมมองเขาแล้วก็ต้องหลบตา ผมกลัวว่าถ้าจ้องนานกว่านี้ผมจะล้มเลิกความตั้งใจไม่ไปอเมริกาไปซะดื้อๆ
…
การไปอเมริกาครั้งแรกนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเรา อาชานยอลเป็นคนดูแลจัดการดำเนินเรื่องเกือบทุกอย่างให้ เหมือนตอนที่ผมบอกว่าอยากเรียนเต้นบัลเล่ต์เขาก็บอกว่าจะส่งผมเรียนถ้าพ่อไม่ให้เรียน เวลาผมบอกว่าชอบหรือต้องการอะไรเขาก็จะหามาให้ผมเสมอ ผมอยากไปเรียนเต้นที่อเมริกากับนักเต้นที่ผมชอบเขายังหารายละเอียดมาให้แบบละเอียดยิบ เรื่องบางเรื่องตอนนี้ยังรู้ละเอียดกว่าผมกับแทมินอีก
พอพ่ออนุญาตให้ไปผมกับแทมินค่อยมีกำลังใจอ่านหนังสือสอบ อาทิตย์เดียวมันก็ผ่านพ้นไป และหลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ผมกับแทมินก็ต้องเดินทาง
เราปิดเทอมเกือบสามเดือน วางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่นั่นสองเดือนเรียนเต้นคอร์สสั้นๆ พอเข้าใกล้วันที่ต้องไปเห็นหน้าอาชานยอลทีไรผมก็แอบเศร้า ไม่รู้เลยว่าถ้าไม่เจอกันเลยสองเดือนผมจะทรมานขนาดไหน แค่ผมไม่ได้ไปค้างที่ห้องอาบ่อยๆผมยังคิดถึง
ผมได้ค้างกับอาในคืนก่อนวันเดินทาง อาชานยอลพาผมมาแล้วค่อยโทรบอกพ่อ เขาทำให้ผมเห็นว่าเขาคงจะคิดถึงผมด้วยการกอดผมไว้หลวมๆบนเตียง สั่งโน่นสั่งนี่เยอะแยะจนผมจำได้ไม่หมด เขาพูดจนผมเคลิ้มหลับ พร้อมจูบราตรีสวัสดิ์บนหน้าผากที่ไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือความฝัน
เอาเข้าจริงผมเกือบร้องไห้ที่สนามบิน อาชานยอลพาผมมาส่ง จับมือผมข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางให้ อายังพูดสั่งว่าจะไปไหนต้องไปกับแทมิน ห้ามไปคนเดียว ผมต้องจำเบอร์อาเอาไว้แม้ว่าจะมีเบอร์อยู่ในเครื่องอยู่แล้ว แทมิน พ่อ และแม่ มาถึงสนามบินก่อนเรา ผมจับมืออาชานยอลแน่นและมองมือของเรา อาชานยอลบีบมือผมตอบ ผมรักความอบอุ่นของอาแบบนี้ที่สุดไม่ว่าเขาจะคิดกับผมแบบไหนก็ตาม
นอกจากใจหายที่ต้องห่างจากอา ผมก็ใจหายที่ต้องห่างกับพ่อด้วย ผมกอดพ่อนิ่งนาน ห่างจากพ่อน่ากลัวมากกว่าห่างจากอาเพราะพ่อเป็นคนเดียวที่ปกป้องผมได้ ครอบครัวเราใหญ่ขึ้น แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อที่มีมาก่อนเนิ่นนานเป็นความผูกพันที่หาอะไรมาแทนไม่ได้ ผมกอดลาแม่ และกอดลาอาชานยอลคนสุดท้าย
“ดูแลตัวเองดีๆ อาโทรไปต้องรับทุกครั้ง ไม่มีอะไรก็โทรมาหาอาได้”
“ผมโทรหาอาทุกวันได้ไหม”
“ได้”
“พูดเล่น ผมไม่กวนอาทุกวันหรอก”
“ไม่โทรมาเดี๋ยวอาโทรไปหาเอง”
ริมฝีปากอาเฉียดแก้มผมตอนที่คลายกอดออกจากกัน เหมือนจงใจมากกว่าเรื่องบังเอิญ แก้มผมร้อนเมื่อสบตาอา ลืมหายใจอีกแล้วชั่วขณะ ก่อนที่ผมจะถูกพ่อกับแม่ต้อนเข้าประตูไป
…
ที่แอลเอ จุดหมายเราคือมาเพื่อนเต้น แต่ประสบการณ์ที่ได้ที่นั่นกลับมากกว่านั้น
ผมกับแทมินเหมือนเริ่มชีวิตวัยรุ่นที่อเมริกา เราไม่มีคนคอยดูแล ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ผมว่าพ่อไว้ใจพวกเรามากที่ปล่อยเรามาแบบนี้ ที่สตูดิโอที่เรามาเรียนเต้นมีคนหลายแบบหลายเชื้อชาติ เราถูกทดสอบกันในตอนแรก หากมีฝีมือก็จะเป็นที่ยอมรับ ผมกับแทมินเป็นที่จับตามองตั้งแต่วันแรกที่เราก้าวเข้าไป พวกเรายังเด็ก แต่ใครหลายคนก็บอกว่าพวกเราไม่ธรรมดา เราเรียนรู้เกี่ยวกับการเต้นใหม่ๆที่ผสมผสานกันระหว่างสองสไตล์ ด้วยความที่ประสบการณ์น้อยผมจึงตื่นเต้นอยากเรียนรู้ไปซะหมด
ผมกับแทมินมีเพื่อนใหม่หลายคน ส่วนใหญ่จะอายุมากกว่า ผมชอบที่เขาพาเราไปดูการแข่งเต้นหลายๆที่ ชอบบรรยากาศในคลับที่นักเต้นเก่งๆรวมตัวกันในคลับแห่งหนึ่งในคืนวันเสาร์ ความเร่าร้อนของคนที่นี่พาให้เราเร่าร้อนขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเต้นหรือเรื่องอื่นๆ
แทมินก้าวกระโดดไปไกลกว่าผมด้วยการมีเซ็กซ์ครั้งแรกที่นั่นกับหญิงสาวผมสีบรูเน็ตชื่อเคท เธอโตกว่าเราสองปี แทมินตกหลุมรักเธอ เราอยู่ในสถานการณ์ที่ตกหลุมรักได้ง่าย ผมเองก็มีหวั่นไหวบ้าง แค่ความรู้สึกหวั่นไหวเท่านั้น พอใบหน้าของผมเคลื่อนเข้าใกล้ใครสักคนผมก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีออกมาก่อน ผมไม่นึกอยากจูบคนอื่นเลยสักครั้งเดียว ระยะทางกับเวลาตอกย้ำความรู้สึกของผมที่มีต่ออามากขึ้นไปอีก เราคุยโทรศัพท์กันทุกวัน ผมเล่าให้อาฟังเกือบทุกเรื่อง ยกเว้นไม่กี่เรื่องที่ละไว้ ผมไม่กล้าเล่าว่าผมเกือบจูบกับใครให้อาฟัง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เกือบจูบกับผู้หญิงไม่กล้าเล่า กับผู้ชายยิ่งไม่กล้าเล่า แค่ผมไม่รับโทรศัพท์อา หายไปเพราะเมื่อคืนเที่ยวดึกผมยังโดนอาโกรธ เราทะเลาะกันสองสามครั้ง แต่ละทีอาโมโหร้ายน่าดู พออารมณ์เย็นลงมาคุยกันอีกที เราดีกันใหม่ก็คุยกันนานเป็นชั่วโมง ผมชอบความรู้สึกแบบนั้น เดินคุยโทรศัพท์กับอาในสถานที่ที่มีแต่คนแปลกหน้า เจออะไรก็เล่าให้เขาฟัง มีทั้งความสุข คิดถึง และความโรแมนติกของระยะทางที่ผมคิดไปเองฝ่ายเดียว
ผมกับแทมินใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ สองเดือนผ่านไปเร็วแต่บางจังหวะก็ช้า พอเห็นโลกกว้างขึ้นก็โตขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะอยู่ที่สนามบินกำลังจะกลับผมเห็นสายตาเศร้าๆของแทมิน ผมเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายรู้สึก ทั้งๆที่รู้ว่าระยะเวลามันสั้นแต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว และมันยากที่จะสานต่อ
เคทมาส่งพวกเรา ผมมองพวกเขาจูบลา ยิ้มให้กัน กอดกัน โบกมือลา และบอกว่าสักวันอาจจะได้พบกันใหม่ ครั้งหน้าถ้าปิดเทอม ขอให้แทมินมาที่นี่ ผมยิ้มให้เคทกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่มาส่งเรา คิดว่าปิดเทอมหน้าผมจะชวนแทมินกลับมาใหม่แน่ๆ
ตอนขากลับ ยิ่งใกล้ถึงบ้านผมยิ่งตื่นเต้นกว่าขาไปซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จัก ผมไม่เคยห่างจากอาชานยอลโดยไม่เห็นหน้ากันนานเป็นเดือนขนาดนี้ตั้งแต่จำความได้ สำหรับคนอื่นคงแค่สองเดือน แต่สำหรับผมมันตั้งสองเดือน
เมื่อผมเห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนรอผมอยู่ข้างนอก ความคิดถึงมันผลักให้ผมวิ่งเข้าไปหา ผมกระโดดกอดเขาที่อ้าแขนรออยู่…
เรากอดกันแน่นที่สุดเท่าที่เคยกอด อาชานยอลรัดแน่นชนิดที่รู้สึกเจ็บไปถึงกระดูก มันเจ็บจนผมเกือบขาดใจตายเพราะความสุข
#FicLostonYou
ความคิดเห็น