คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] The One That Got Away
The One That Got Away
แม่ชอบกอดเขาแล้วร้องไห้
ส่วนเขาก็ชอบอ้อมกอดอุ่นๆของแม่เหนือสิ่งอื่นใด เขาสัมผัสได้ถึงไออุ่น ได้กลิ่นแป้งฝุ่นหอมๆเฉพาะตัวของแม่ มันเป็นอ้อมกอดที่นิ่มมาก แม่กอดเขาแน่น รัดด้วยสองแขน แล้วร่ำไห้โดยไร้ซุ่มเสียง เขารองรับหยาดน้ำตาอุ่นๆด้วยสองบ่าและแผ่นหลังเสมอๆ ไม่มีอะไรที่เขาทำได้มากกว่านั้น เขาเด็กเกินกว่าจะปลอบประโลมใครให้คลายเศร้า ทำได้แค่ร้องไห้เป็นเพื่อนในบางครั้งเมื่อความโศกเศร้าของแม่ถ่ายทอดจากอ้อมกอดมากระทบจิตใจของเขา
“ช่วยพี่เขาด้วยนะจงอิน” แม่กล่าวกับเขา น้ำเสียงแผ่วเบาชวนให้ใจหวิว จงอินพยักหน้า เขารักแม่ อยากให้แม่ยิ้ม ไม่เคยอยากเห็นแม่ร้องไห้
“ผมไม่เจ็บหรอก” แม่จูบแก้มเขา จงอินยิ้มเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะกลัว
จงอินส่งมือน้อยๆของตัวเองให้นางพยาบาล เดินไปตามทางเดินเงียบสงัดที่ทอดยาว นี่ไม่ใช่ทางที่เขาอยากเดินไปแต่เขาก็ก้าวย่างอย่างมั่นคง หัวใจดวงเล็กๆของเขาเข้มแข็งกว่าที่ใครจะนึกจินตนาการได้
…
คิมจงอินนอนอยู่บนเตียง สายตาทอดมองพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงอีกเตียงที่พี่ชายของเขานอนอยู่ เขามองดูแม่จูบมือพี่ ส่วนพอก็ลูบเส้นผมเบาๆย้ำๆด้วยสัมผัสรักใคร่ทะนุถนอม ไม่มีใครรู้ว่าเขาตื่นแล้ว และกำลังเฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก
จงอินในวัยเจ็ดปีเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจความกังวลของพ่อกับแม่ เข้าใจว่าพวกเขารักลูกชายคนแรกมากมายแค่ไหน คอยเฝ้าดูจังหวะการหายใจ สังเกตการกะพริบของเปลือกตา จับมือกันและกันเอาไว้ แล้วในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะยิ้มด้วยรอยยิ้มสว่างไสวเมื่อพี่ชายของเขาลืมตาขึ้น
“ไค…” แม่ของเขาร้องไห้อีกแล้ว ทว่านั่นเป็นน้ำตาของความดีใจอย่างสุดซึ้ง
“แม่…” พี่ชายฟื้นแล้ว เมื่อเห็นอย่างนั้นจงอินจึงหลับตาลง เขาดีใจที่ช่วยพี่ชายได้ ดีใจที่แม่ยิ้ม แต่บางส่วนลึกๆในใจของจงอินกลับเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ได้
มีบางส่วนภายในใจของจงอินเว้าแหว่งหายไป มันจะหายก็ต่อเมื่อแม่กอดเขาเอาไว้ หรือพ่อลูบเส้นผมเขาซ้ำๆ ซึ่งนานๆครั้งเท่านั้นที่เขาจะได้รับสัมผัสเหล่านั้น เขาไม่เคยกล้าร้องขอ ไม่กล้าเรียกร้องอะไรเพราะไม่อยากให้พ่อแม่หนักใจ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆจงอินก็ไม่กล้า เขาขลาดกลัว ในใจส่วนหนึ่งนึกกลัวอยู่เสมอว่าจะได้รับการปฏิเสธจากสิ่งที่ร้องขอ
…
“พี่ไคทำอะไร” จงอินถามเมื่อเห็นพี่ชายทำท่าทางลับๆล่อๆ ไคเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองจงอินจึงเงียบ แต่ก็ยังคงมองด้วยแววตาสงสัย
“จะแอบออกไปข้างนอก” ไคก้าวขาข้างหนึ่งออกนอกหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง
“ไปด้วย” จงอินเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง ไคส่ายหัวปฏิเสธ
“อย่าบอกแม่นะ” พี่ชายยีหัวเขาเบาๆก่อนจะไต่ลงตามเสากระโดดลงไปบนสนามหญ้า เขาได้แต่มองพี่วิ่งจนหายลับไป
จงอินห่างกับพี่ชายห้าปี ปีนี้พี่ชายของเขาอายุสิบสอง ร่างกายที่อ่อนแอไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับพี่ หากมีแรงลุกขึ้นไปไหนมาไหนได้เมื่อไหร่พี่ชายก็จะแอบออกไปหาเพื่อน ออกไปจนมืดค่ำไม่เคยเกรงกลัวแม้รู้ว่ากลับมาจะโดนพ่อกับแม่ดุ จงอินอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างแต่พี่ไม่เคยอนุญาตให้เขาติดสอยห้อยตามไป บางครั้งก็ให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เขาโดนดุไปด้วย แต่จงอินคิดว่ามันมีเหตุผลอื่น เช่นว่าเขาอาจจะเด็กเกินไป เล่นด้วยแล้วไม่สนุก พี่ไคถึงไม่ชอบเล่นกับเขา
จงอินนั่งเกาะขอบหน้าต่างเฉยๆ ตอนนี้พ่อแม่ไม่อยู่บ้านแต่อีกเดี๋ยวก็คงกลับ พี่เลี้ยงของพวกเขาสองพี่น้องอยู่ข้างล่าง ทำงานบ้านทั้งวัน นานๆครั้งถึงจะขึ้นมาดูความสงบเรียบร้อยหรือไม่ก็เรียกไปทานอาหาร จงอินใช้เวลาหงอยเหงาอยู่คนเดียว เขาไม่อยากเล่นของเล่น แต่อยากออกไปข้างนอกบ้าง อยากมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆให้แอบไปหาเหมือนพี่ เขาได้แต่คิด แล้วสายตาก็จับจ้องไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านไป
ผ่านไปพักหนึ่งดวงตาของจงอินเป็นประกายแวววาวขึ้นมา เขานึกอยากได้จักรยานเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้นบ้าง หากมีมัน เขาก็คงไม่ต้องแกร่วอยู่แต่ในบ้านในช่วงปิดเทอมอย่างนี้
ด้วยเหตุการณ์ไม่กี่วินาทีนั้น จงอินจึงเฝ้าฝันถึงจักรยานอยู่หนึ่งอาทิตย์เต็มๆถึงรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอแม่ แล้วแม่ก็หันไปมองพ่อที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ขณะที่พี่ชายของเขาก็เฝ้ารอลุ้นอยู่เป็นเพื่อน
“ได้สิครับ” แม่ยิ้มบางๆ ลูบหัวเขาหนึ่งครั้งแล้วสัญญาว่าจะซื้อจักรยานให้ จงอินยิ้มกว้าง โผเข้ากอดอ้อมกอดอุ่นๆที่เขาชอบ เขามีความสุขเมื่อทุกอย่างสุขสงบ เมื่อทั้งพ่อและแม่ปราศจากความกังวลในแววตา ซึ่งทั้งหมดที่เป็นอยู่นี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของพี่ชายยามปกติแข็งแรงดี
จงอินได้จักรยานคันแรกของเขาสองวันถัดมา เป็นจักรยานคันใหญ่กว่าตัวเขานิดหน่อย ต้องเขย่งสุดปลายเท้าถึงจะทรงตัวได้แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เขาตื่นเต้นดีใจ ไม่กลัวแม้ว่าจะขี่ไม่เป็น ไม่กลัวจะล้ม ไม่กลัวจะเจ็บ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
“อย่าไปไกลนัก” พ่อกำชับแล้วเดินเข้าบ้านไป ทั้งพ่อและแม่ไม่ได้อยู่ดูเขาขี่จักรยานครั้งแรก แต่เข้าไปดูพี่ชายที่อาการไม่ค่อยดี ปล่อยให้พี่เลี้ยงเฝ้าเขาเอาไว้แค่นั้น
จงอินหัดขี่จักรยานด้วยตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานบ้างเป็นธรรมดา บาดแผลถลอกตามร่างกายเปรียบเสมือนที่ระลึกของความกล้าหาญ เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมาย ซ้ำความเจ็บแสบทำให้มีชีวิตชีวามากกว่าเก่า เป็นธรรมดาของเด็กๆที่มีความสุขเวลาได้เที่ยวเล่นนอกบ้าน ภายในวันเดียวเขาก็สามารถทรงตัวบนจักรยานสองล้อจนได้ เขาเรียกให้พี่เลี้ยงดูด้วยความตื่นเต้น พี่เลี้ยงก็แค่ยิ้มให้ จงอินไม่ได้สนใจใบหน้าเบื่อหน่ายนั้นเลย เอาแต่พูดว่าเขาขี่ได้แล้ว พอหักเลี้ยวก็ล้มอีกครั้งหนึ่ง แต่แทนที่จะร้องไห้เหมือนคนอื่นเขากลับหัวเราะ จับจักรยานขึ้นตั้งแล้วถีบใหม่อย่างไม่ลังเล
เย็นนั้นเขาเล่นของเล่นใหม่จนมืดค่ำ กลับเข้าบ้านด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อพ่อกับแม่เห็นสภาพของเขาในบ้านก็เหมือนเกิดพายุ
“ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้ยังไง!” แม่ตวาดลั่นไปที่พี่เลี้ยง จับดูตามร่างกายเขาที่เป็นแผล
“ฉันให้ดูแลเขาให้ดี แล้วนี่อะไร! รู้ไหมว่าเขาสำคัญแค่ไหน!” พี่เลี้ยงก้มหน้ายืนบื้อใบ้ ไม่รู้ว่าสำนึกผิดอยู่หรือขี้เกียจจะฟังเหมือนๆกับที่ขี้เกียจดูแลเขา
น้อยครั้งที่แม่จะระเบิดอารมณ์ และเรื่องที่แม่ระเบิดอารมณ์มักเป็นเรื่องเดิมๆของพี่ชาย ซึ่งครั้งนี้แม้จะดูเป็นเรื่องของเขา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขา นับว่ามีความเกี่ยวพันกับพี่ชายอยู่ดี
“ผมขี่จักรยานได้แล้ว” จงอินบอก อยากให้อารมณ์แม่เย็นลง ส่วนพ่อก็มองเขาด้วยสายตาเคร่งเครียด ไม่ลูบหัวชื่นชมเขาอย่างที่นึกหวัง
“แม่ไม่ให้ขี่แล้ว”
“ผมไม่เป็นอะไร…”
“ไม่เป็น? นี่ก็เห็นอยู่ ไม่เจ็บหรือไง ทำไมถึงเป็นแผลขนาดนี้”
“ขี่จักรยานสนุกมากเลย…ผมชอบ อยากขี่อีก”
“เอาไว้ก่อน มาทำแผลก่อน” แม่บอกปัด พาเขามานั่งทำแผล แสบยุบยิบไปหมด แต่ลมเบาๆที่แม่เป่าช่วยให้ดีขึ้น
“ห้ามปล่อยให้ตัวเองเป็นแผลอีก นิดหน่อยก็ไม่ได้ คราวหน้าถ้าแม่เห็นอีกแม่จะตี”
จงอินไม่ได้กลัวคำแม่ แต่รู้สึกน้อยใจอย่างช่วยไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าแม่รักเขาบ้างหรือเปล่า นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาคิด และหลังจากนั้นคำถามนี้ก็ติดอยู่ในใจเขาเรื่อยมา
…
จงอินได้รับอิทธิพลหัวขบถมาจากพี่ชาย เมื่อมีอะไรสักอย่างที่นึกอยากทำ เขาเอาพี่เป็นแบบอย่าง นั่นคือการลงมือทำอย่างไม่ลังเล
คราวนี้พี่ชายของเขาที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเป็นผู้เฝ้ามองจงอินจากทางหน้าต่าง ดูเขาแอบเอาจักรยานไปขี่รอบๆละแวกบ้านด้วยดวงตาเศร้าสร้อย
หลังจากวันนั้นพวกเขาก็ได้พี่เลี้ยงคนใหม่มาดูแล ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแอบย่องหนีให้พ้นสายตา แต่พอจังหวะประจวบเหมาะ จงอินก็แอบออกจากบ้าน วิ่งไปที่จักรยาน แล้วปั่นไปให้ไกลเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ เขาเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายแล้วว่ามันคุ้มค่าแม้สุดท้ายจะโดนดุ เขาเลือกที่จะทำเพราะมันคือความสุขเล็กๆของเขา
จงอินขี่รถไปไกล แต่ไม่ไกลจนเกินไป เขาขี่วนเวียนอยู่ละแวกบ้านกลางแดดจ้า เป็นเส้นทางเงียบสงบที่คุ้นเคย เขาขี่จักรยานคล่องแล้ว หลังจากวันแรกก็ไม่เคยล้มสักครั้ง แต่แล้ววันนี้กลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ได้แผลถลอกที่หัวเข่าแผลใหญ่ เมื่อแมวตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถ จงอินหักหลบกะทันหัน เสียการทรงตัวจนล้มลงในที่สุด
เขานั่งมองแผลที่หัวเข่า เลือดสีแดงสดไหลซึม วันนี้นอกจากจะโดนดุที่แอบออกมาแล้ว เขาก็คงจะโดนดุที่ทำให้ตัวเองเป็นแผลอีกด้วย จงอินอดหวาดหวั่นไม่ได้
“เป็นอะไรรึเปล่า” จงอินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่ได้ยิน เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ก้มลงมาถามด้วยแววตาฉงนสงสัย สายตามองบาดแผลสีแดงสดที่หัวเข่า
“รถล้ม แต่เราไม่เจ็บ”
“เลือดไหลเต็มเลย ไม่เจ็บเหรอ” เด็กผู้ชายถาม จงอินอยากจะยืนยันหนักแน่น แต่พอนึกได้ว่านี่ไม่ใช่แม่ เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็ง เขาจึงพูดความจริง
“ก็เจ็บ…”
“ถ้าเป็นแผลต้องล้างก่อนแล้วทายา” เด็กผู้ชายคนนั้นพูดเหมือนท่องจำมา
“อืม…” จงอินพยักหน้า แต่เขายังไม่อยากกลับบ้าน ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่เลี้ยงที่ต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่แน่ๆ
“ลุกขึ้นไหวไหม เดี๋ยวทำเราแผลให้” จงอินเอียงคอมองพิจารณาคนตรงหน้าที่ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ เห็นอย่างนั้นจงอินก็ยิ้มตาหยีตอบกลับไป
จงอินจับมือที่ยื่นมาช่วยพยุงลุกขึ้น ช่วยกันจับจักรยานของเขาพิงกำแพงเอาไว้ แล้วเด็กผู้ชายแปลกหน้าก็พาเขาเข้าบ้าน จงอินคิดว่าตัวเองโชคดีที่รถล้มหน้าบ้านเด็กผู้ชายใจดีคนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงนั่งเศร้ากับบาดแผลตรงหัวเข่าโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“นายอยู่แถวนี้รึเปล่า” หลังจากพาไปล้างแผลในห้องน้ำเสร็จอีกฝ่ายก็ถามขึ้นระหว่างเขย่งเอากล่องพยาบาลที่หลังตู้ จงอินนั่งลงบนโซฝารับแขกแล้วมองรอบๆ ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่บ้าน
“เราอยู่อีกซอยตรงนู้น” จงอินชี้ไปในทิศทางหนึ่ง ดูเหมือนว่าอีกคนจะเข้าใจว่าจงอินหมายถึงตรงไหนจึงพยักหน้า
“มาไกลจัง”
“ไม่ไกลมากหรอก ขี่แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว” จงอินบอก ในใจนึกถึงความแสบยุบยิบตอนใส่ยา เขาหดขาเข้าหาตัวโดยอัตโนมัติ
“ไม่ต้องกลัวหรอก แสบนิดเดียวเอง”
“อื้ม” เขากล้าๆกลัวๆ แต่ความกล้ามีมากกว่าจึงยอมยื่นขาออกไปให้ใส่ยา
“นายชื่ออะไร”
“คิม จงอิน”
“อายุเท่าไหร่”
“เจ็ดขวบ!” จงอินพูดเสียงดังเมื่อสำลีชุ่มยาแตะโดนแผล
“งั้นเราก็เป็นพี่ พี่ชื่อปาร์ค ชานยอล แก่กว่าจงอินสองปี” แนะนำตัวจบชานยอลก็ก้มลงเป่าแผลให้เมื่อเห็นว่าจงอินนั่งไม่ติดเพราะความเจ็บ
“พี่ชานยอล…” จงอินทวนชื่อ
“ยังเจ็บอยู่เหรอ”
“ไม่แล้วครับ” ชานยอลยิ้ม ลูบหัวอีกคนด้วยความเอ็นดูที่อยู่ๆก็พูดจาสุภาพกับเขา
จงอินนั่งมองกระทั่งพี่ชายคนใหม่ปิดแผลให้เรียบร้อย เขาภาวนาไม่ให้แม่เห็นแผลนี้ กลัวว่าจะโดนห้ามเด็ดขาด กลัวว่าแม่จะยึดจักรยานเขาไป
ชานยอลเหมือนจะรู้ว่าจงอินยังไม่อยากกลับบ้านจึงชวนเล่นเกมด้วยกัน จงอินตื่นเต้นดีใจกับเกมใหม่ๆและเพื่อนใหม่ อะไรๆก็ดูสนุกไปหมด เขาเล่นอย่างเพลิดเพลิน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนนึกเสียดายเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เขายื้อเวลามาจนสุด ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ
“ไว้มาเล่นด้วยกันอีกนะ” ชานยอลปั่นจักรยานมาเป็นเพื่อนจงอินจนถึงหน้าบ้าน เขาถูกชะตากับเพื่อนใหม่ตัวน้อย พอต้องแยกจากไม่ใช่แค่จงอินที่รู้สึกเสียดาย แต่ชานยอลก็มองจงอินด้วยแววตาหม่นเศร้า
“อื้อ” จงอินพยักหน้ารับปาก ถ้าไปได้ เขาก็อยากไปเล่นกับพี่ชานยอลอีก ในที่สุดเขาก็มีเพื่อนให้แอบไปหาเหมือนพี่ไคแล้ว
ชานยอลยืนส่งจนเด็กน้อยจงอินเดินเข้าบ้านไป จากนั้นก็หักเลี้ยวรถจักรยานปั่นกลับบ้านด้วยรอยยิ้มบางๆ
และนับจากวันแรกที่พบกันวันนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองจึงเริ่มต้นขึ้น
…
นอกจากพ่อ แม่ และพี่ชาย ปาร์คชานยอลก็นับว่าเป็นคนที่มีความสำคัญในชีวิตของจงอินอีกคนหนึ่ง แม้ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่จงอินก็รู้สึกผูกพัน เป็นคนที่เขาขาดไม่ได้ ชานยอลเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่หลบภัยให้เขาพักพิงยามมีเรื่องรบกวนจิตใจ ไม่ว่ายามเหงา เศร้า หรือยามที่จิตใจว่างโหวงเว้าแหว่งหายไป เพียงแค่ได้เจอหน้า จิตใจจงอินก็จะสงบลง และนอกจากอ้อมกอดของแม่ที่เขาชอบแล้ว เขาก็ชอบฝ่ามือที่มักกุมมือเขาเอาไว้ ชอบอย่างไร้เหตุผล ชอบอย่างที่ไม่สามารถบรรยายมันออกมาได้
“อาทิตย์หน้าสอบ ผมต้องอยู่บ้านอ่านหนังสือ คงไม่ได้ออกมาหา” จงอินบอก ค่อยๆหย่อนอาหารในโหลปลาทองสองตัวของชานยอลทีละเม็ด มองดูมันแหวกว่ายไปมา ไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาที่นอนมองเขาอยู่บนเตียงของตัวเอง
“งั้นพี่จะไปหาที่บ้าน” จงอินถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้”
“ใครห้าม พ่อแม่จงอินไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“ถ้าพี่มาผมคงไม่ได้อ่านหนังสือสอบ”
“พี่นั่งเงียบๆ ไม่กวนจงอินสักหน่อย”
“อย่าเลย เดี๋ยวผมสอบเสร็จก็มาหาพี่เองแหละ ไม่กี่วัน”
ชานยอลในวัยสิบเจ็ดปีไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาหงุดหงิดจึงเลือกที่จะเงียบ เขากับจงอินแทบไม่เคยทะเลาะอะไรกันสักครั้ง เป็นเขาที่ยอมให้น้องชายคนสนิทของเขาคนนี้ทุกครั้งไป เขากับจงอินรู้จักกันมาหลายปี ความสนิทสนมอยู่ในขั้นรู้จักทุกอย่างของกันและกัน สนิทสนมเป็นพิเศษ จากแรกเริ่มที่รู้สึกถูกชะตา ถึงตอนนี้คิมจงอินเปรียบเสมือนของขวัญ ของขวัญที่พระเจ้าหรือใครสักคนส่งมาให้ เขาเชื่อว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญที่จงอินรถล้มที่หน้าบ้านเขาในวันนั้น จงอินถูกส่งมาให้คนเหงาๆอย่างเขา มาทำให้ชีวิตเขาสดใส ทำให้เขายิ้มได้
“ไม่กี่วันก็หลายวันอยู่ดี” ชานยอลรำพึงรำพันกับตัวเอง จงอินมองปลาทองแล้วยิ้มบางๆ
“เหงาเหรอ” จงอินถาม ใจจริงก็รู้ว่าพี่ชายของเขาคนนี้แสนจะขี้เหงา
“ก็รู้นี่” แม้ชานยอลจะเข้าใจเหตุผลของจงอินแต่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองที่อยากไปหา ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อน เขาก็แค่เป็นคนเอาแต่ใจและไร้เหตุผล เขารู้ตัว
ตั้งแต่ระยะแรกที่รู้จักกัน พวกเขาเจอกันอย่างสม่ำเสมอ อยู่ด้วยกันทุกวันตอนปิดเทอม หากโรงเรียนเปิดก็เจอกันตอนเย็นหลังเลิกเรียน เล่นเกมด้วยกันบ้าง ขี่จักรยาน เดินเล่น หรือไม่ก็อยู่เฉยๆ ใช้ช่วงเวลาว่างเปล่าให้ผ่านไปด้วยกัน ยิ่งได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นเท่าไหร่ ชานยอลก็ยิ่งสังเกตเห็นอะไรบางอย่างของจงอินที่ทำให้เขานึกเป็นห่วง เขาสัมผัสมันได้ทางความรู้สึก จากแววตาเหงาๆเศร้าๆ เขาพยายามหาเหตุผล สรรหาคำถามสัพเพเหระเกี่ยวกับครอบครัว พ่อ แม่ และพี่ชาย จนกระทั่งเขาได้คำตอบ
จงอินเล่าให้เขาฟังว่าความจริงแล้วตัวเองเกิดมาเพื่อพี่ชาย เพื่อช่วยเหลือ เพื่อเป็นผู้ให้ เพื่อถ่ายโอนชีวิต
ไคเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลิวคีเมีย ตรวจพบว่าเป็นตั้งแต่อายุห้าปี รักษาด้วยเคมีบำบัดเพื่อยื้อชีวิตเอาไว้ แต่ทางรอดเดียวที่มีก็คือการปลูกถ่ายเซลล์จากไขสันหลังที่มีลักษณะทางพันธุกรรมตรงกัน พ่อกับแม่ของจงอินจึงไม่ลังเลใจเลยในการให้กำเนิดลูกชายอีกคน
จงอินเกิดมาเพื่อไค เขาเกิดขึ้นมาโดยมีเงื่อนไข มีเหตุมีผล ร่างกายของเขาเหมือนไม่ใช่ของเขา แม้ว่าพี่ชายจะหายดีแล้ว แต่เหตุผลที่เกิดมาก็ยังติดอยู่ในใจ เขามักคิดว่าพ่อกับแม่รักพี่มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ บางครั้งเขาเหมือนโดนทิ้งขว้าง ไม่ได้รับการดูแลใส่ใจเหมือนกับที่พ่อแม่ทำกับพี่ชาย แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ชานยอลอยากปลอบใจจงอินด้วยประโยคที่ว่า ‘พ่อแม่ก็รักลูกทั้งนั้น’ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ เขารู้ว่ามันไม่จริง ไม่งั้นเขาคงไม่ได้ถูกส่งมาให้น้าเลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆอย่างนี้ ชานยอลจึงปลอบใจจงอินด้วยการเปรียบเทียบกับครอบครัวเขา อย่างน้อยๆก็ดีที่มีพ่อแม่เลี้ยงดู พวกเขาอาจจะรักลูกไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รัก จงอินยิ้มรับคำพูดนั้น น้ำตาเอ่อคลอกลบนัยน์ตาแต่ไม่ได้ปล่อยให้มันไหลออกมา เขาเอนศีรษะซบลงตรงบ่าของชานยอลแล้วหลับตา ขณะที่ฝ่ามืออบอุ่นนั้นลูบเส้นผมเขาเบาๆ
พวกเขาแบ่งปันช่วงเวลาอ่อนไหวร่วมกัน แบ่งปันทุกช่วงจังหวะของชีวิต ทั้งสุข ทั้งเศร้า แต่ช่วงเวลาอ่อนไหวไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่ใครทุกคนจะเข้าใจความรู้สึก เพราะอย่างนั้นชานยอลกับจงอินจึงมีความผูกพันที่พิเศษกว่าใคร ค่อยๆซึมลึกลงในใจ ใช้เวลาหลายปี กระทั่งความรู้สึกเหล่านั้นมันเต็มล้น เมื่อนั้นพวกเขาถึงรู้สึกตัว
เป็นชานยอลที่พบความรู้สึกนั้นของตัวเองก่อน ในบ่ายวันหนึ่งที่ร้อนอบอ้าวกลางฤดูร้อน เมื่อจงอินถอดเสื้อเหลือเพียงกางเกงตัวเดียวนอนหลับอยู่บนเตียงของเขา จากแค่จ้องมองธรรมดา จู่ๆร่างกายชานยอลก็เกิดปฏิกิริยา เลือดร้อนวัยหนุ่มเดือดพล่านจนเหงื่อผุดซึมไหลย้อยลงมาตามลำคอ เขาตกใจที่ตัวเองมีปฏิกิริยาทางร่างกายขนาดนั้น ตื่นตัวที่สุดในชีวิต ใช้เวลาในห้องน้ำเพียงไม่นานก็ปลดปล่อยออกมาเมื่อเขานึกถึงภาพจงอินในขณะนั้น ชานยอลถึงเข้าใจ
ร่างกายบางครั้งทำงานประสานกับจิตใจ และความรักบางครั้งก็ต้องมีสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้รู้ตัว
เมื่อเขารู้ ตั้งแต่นั้น ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวของจงอินต่างก็มีผลกระทบต่อเขาทั้งสิ้น ชานยอลจมอยู่ในห้วงนั้นอย่างทรมาน ห้วงรักลึกซึ้งซึ่งเป็นรักแรก มีทั้งความอิ่มเอมสุขใจ คิดถึงคะนึงหา กระวนกระวายด้วยความเป็นห่วง มีความใคร่ที่เขาต้องควบคุมมันเอาไว้ การอยู่กับจงอินไม่ได้ทำให้เย็นใจเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่ม
“พี่ชานยอล ผมถามพี่หน่อยสิ”
“อะไร”
“ทำไมผมถึงเข้าห้องนอนของพี่ไม่ได้ พี่มีความลับอะไรรึเปล่า”
จงอินตัดสินใจถามในสิ่งที่ค้างคาใจระหว่างเดินจากโรงเรียนกลับบ้านด้วยกัน หลายเดือนมาแล้วที่ชานยอลบ่ายเบี่ยง หาข้ออ้างต่างๆนานาไม่ให้เขาเข้าไปในห้องนอนเหมือนเมื่อก่อน ทำตัวเหมือนกำลังมีความลับอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้จงอินขัดเคืองใจ
“ไม่มี คิดมากน่า”
“โกหกทำไม ไม่ไว้ใจผม?” จงอินถามหน้าตาเคร่งเครียด ชานยอลชอบสีหน้าของจงอินในตอนนี้เขาจึงยิ้ม ทำให้อีกคนไม่พอใจมากกว่าเก่า
“ไว้ใจ…ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จะบอกแล้วกัน”
“ตอนนี้ไม่ได้เหรอ” ชานยอลมองจงอินที่สบตากับเขา แววตาสงสัยใคร่รู้อย่างเปิดเผย ในใจของเขาตะโกนก้องบอกรัก สวนทางกับริมฝีปากที่ปิดสนิท ไม่เอื้อนเอ่ยแม้สักคำ นี่เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวที่เขารู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว เขาคิดอย่างนั้น แต่เขาคิดผิด
ความจริงแล้วพวกเขาทั้งคู่ต่างก็อ่อนไหวกับความรัก
ระยะหลังสายตาของชานยอลทำให้จงอินหวั่นไหว ที่ชานยอลคิดว่าตัวเองเก็บมิดชิด อันที่จริงเขาแสดงความรู้สึกออกมาทางแววตาทั้งหมด ยามโดนสายตาคู่นั้นจ้องนานๆเข้าจงอินจะขัดเขินจนใบหน้าร้อนผ่าว ได้แต่หลบสายตา และหาความหมายของความรู้สึกเหล่านั้นว่าเพราะอะไรมันถึงเกิดขึ้น
พวกเขาสัมผัสกันน้อยลง ไม่มีการซบไหล่ กอดคอ หรือจับมือ ไม่แม้กระทั่งการลูบหัวธรรมดาๆ กระทำทุกอย่างตรงข้ามกับในจินตนาการอย่างสุดขั้ว
ชานยอลไม่ได้ตอบคำขอร้องของจงอิน ไม่ยอมสบตาคู่นั้นที่เขาชอบนักหนา เขาจึงไม่เห็นว่าแววตาที่เขาชอบสลดวูบลง
จงอินไม่อยากให้พวกเขามีความลับต่อกัน มันเหมือนกับว่าชานยอลไม่ไว้ใจเขา และมันอาจทำให้ระหว่างพวกเขาเกิดระยะห่าง จงอินคิดมาก คิดไปไกลกว่าสิ่งที่มันกำลังเป็น
ระหว่างที่คนหนึ่งจมอยู่ในความคิด อีกคนหนึ่งก็ทนไม่ไหวกับความรู้สึกของตัวเอง ชานยอลค่อยๆสอดมือเข้ากอบกุมอีกมือที่เล็กกว่า ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน ใจเต้นโครมคราม กลัวว่าจงอินจะล่วงรู้ความรู้สึกของเขาแล้วสะบัดมือออก หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่ใช่เรื่องแปลกกับการจับมือ พวกเขาเดินจับมือกันตั้งแต่เด็กๆ มันให้ความรู้สึกอุ่นใจที่มีคนอยู่ข้างๆ ซึ่งต่างจากตอนนี้ พวกเขาไม่ได้รู้สึกอุ่นใจ แต่เป็นความรู้สึกสุขใจ ผสมปนเปกับความรู้สึกอีกนับไม่ถ้วน
แน่นอนว่าจงอินไม่ได้สะบัดมือของชานยอลออก แต่กลับกอบกุมแนบแน่นจนฝ่ามือของพวกเขาเปียกชื้น ใบหน้าที่เคยสลดวูบอมยิ้มน่ามอง เขาเดินตามชานยอลที่เดินออกนอกเส้นทางกลับบ้าน จงอินเดินตามไปเรื่อยๆ อยากให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ เขาไม่สนใจสายตาใครๆที่มองมา ไม่ได้ยินเสียงรถราหรือสิ่งรอบข้าง
ในใจของเขาก็กำลังตะโกนก้องบอกรัก
จงอินไม่รู้ความหมายของมันหรอก เขายังไม่โตพอที่จะรู้จักอะไรลึกซึ้ง มันจึงเป็นรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไขใดๆอย่างความรักของผู้ใหญ่ เป็นรักของวัยหนุ่มสาวที่หากมองย้อนกลับมาจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำเพราะความสวยงามของมัน ยามแรกรักและรักแรก
ทั้งสองคนจูงมือกันไป ชานยอลพาจงอินมาเดินเล่นเลียบแม่น้ำ พวกเขาไม่ได้สนทนากันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด ปล่อยทิ้งช่องว่างระหว่างความเงียบเอาไว้อีกครั้ง เพียงแค่สื่อสารกันผ่านรอยยิ้ม ทุกสิ่งที่ผ่านสายตาสวยงามไปหมด ระลอกคลื่นเล็กๆในแม่น้ำส่องประกาย สูดอากาศสดชื่นยาวๆเข้าปอด เดินช้าๆไม่สนใจเวลาที่ค่อยๆเคลื่อนคล้อยผ่านไป
ต่างคนต่างก็เก็บงำความรู้สึก แม้ว่าการแอบรักจะทำให้หัวใจทำงานหนักมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เลวร้าย ไม่มีใครรู้ตัวว่าระยะหลังใช้การจ้องตามากกว่าการพูดคุย หรือไม่อย่างนั้นก็คุยกันทางสัมผัสจากฝ่ามือ ชานยอลจะจับมือจงอินไว้ เกลี่ยนิ้วโป้งไปมาบนหลังมือ หลังจากนั้นก็ค่อยๆลูบสัมผัสทีละนิ้ว เริ่มจากนิ้วก้อย จากโคนนิ้วจนถึงปลายเล็บ…ไล่มาที่นิ้วนาง…ทีละนิ้วจนถึงนิ้วโป้งแบบนั้น ไม่ได้พูดกันสักคำ แต่การกระทำที่ลึกซึ้งขึ้นทีละนิดกำลังเป็นตัวบอก พวกเขาเริ่มรับรู้มันด้วยใจ ค่อยๆมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเองฝ่ายเดียว
จงอินใช้เวลาอยู่กับชานยอลมากขึ้น กลับบ้านดึกดื่นทุกวัน แม่ไม่ค่อยชอบใจนัก เขาบอกตามความจริงว่าอยู่กับพี่ชานยอล เมื่อก่อนพ่อกับแม่ไม่เคยว่าอะไร แต่เดี๋ยวนี้กลับไม่ค่อยชอบใจที่เขาเอาแต่ไปขลุกอยู่ที่บ้านพี่ชายอีกคน ส่วนพี่ชายเขาที่บางวันไม่กลับบ้านด้วยซ้ำกลับไม่ว่าอะไร พ่อกับแม่เอาแต่ซักเขาว่าอยู่ทำอะไรค่ำมืดในแต่ละวัน ราวกับกลัวว่าพี่ชานยอลจะชวนเขาทำอะไรแย่ๆอย่างนั้น
“กลับบ้านมืดๆค่ำๆทุกวัน จะไม่ให้พ่อแม่ห่วงได้ยังไง” นี่คือคำถามของคนเป็นแม่ สีหน้าฉุนเฉียวเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กเพิ่งโผล่หน้ากลับบ้าน
“แม่ก็รู้ว่าบ้านพี่ชานยอลอยู่ตรงไหน ไม่เห็นต้องห่วง ผมไม่ได้เหลวไหลที่ไหนสักหน่อย”
“แล้วทำไมต้องไปทุกวัน”
“กลับมาบ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี” จงอินเบื่อจะต่อคำกับแม่ เขาเดินหนี พอเริ่มเข้าวัยรุ่นเขาก็เริ่มห่างเหินกับพ่อแม่ ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจ เพียงแต่มันเป็นไปเองที่จะเลือกเข้าหาคนที่เข้าใจตัวเขามากกว่า
“จงอิน ตั้งแต่พรุ่งนี้ห้ามกลับหลังหกโมงเข้าใจไหม”
เสียงแม่บอกไล่หลังเขาที่เดินหนี จงอินไม่ได้ตอบรับ และไม่คิดที่จะปฏิบัติตาม
คำสั่งของแม่เหมือนผลักไสเขาออกไปไกลขึ้น จงอินอึดอัดเวลาที่แม่สั่งให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อนๆเขาต่างก็เป็น ชอบใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนฝูงมากกว่าใช้เวลาอยู่กับครอบครัว จงอินจึงไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำแปลกประประหลาดอะไรที่ขัดคำสั่งแม่ แม้จะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่เขาทำจะผิดจริงๆก็ตาม
ช่วงปีสุดท้ายชั้นมัธยมปลายของชานยอลเป็นช่วงคึกคะนองตามวัย ชานยอลเริ่มสูบบุหรี่ เที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ ไปดูคอนเสิร์ต ฟังเพลงร็อคโหวกเหวกโวยวายตามประสาเด็กผู้ชาย ซึ่งจงอินที่อยู่กับชานยอลแทบจะตลอดเวลาก็ได้รับอิทธิพลพวกนั้นมาด้วย จงอินลองบุหรี่ ฟังเพลง แต่งเนื้อแต่งตัวตามนักดนตรีที่พวกเขาชื่นชอบ กางเกงยีนต์ขาดๆซีดๆ เสื้อยืด แจ็คเก็ตหนัง กับรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง
ชานยอลมองจงอินด้วยสายตาหลงใหลและร้อนแรงขึ้นทุกขณะจังหวะชีวิตที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป มีทั้งความรัก ความปรารถนา ร้อนรุ่มในหัวใจเมื่อสัมผัสจากฝ่ามือไม่เพียงพออีกต่อไป ริมฝีปากจงอินเป็นสิ่งที่ชานยอลต้องการลิ้มลองสักครั้ง เขาคิดอย่างประมาณตนว่าขอแค่สักครั้งเท่านั้น แค่ได้สัมผัสด้วยริมฝีปากของเขาเอง มันคงจะให้ความรู้สึกยอดเยี่ยม ริมฝีปากนั้นจะต้องนุ่ม อาจจะหวาน หรือรสชาติอาจจะพิเศษกว่านั้น เขาเฝ้าถามตัวเองว่ามันจะเป็นอย่างไร กระทั่งได้จูบกันครั้งแรก เขาก็ถึงกับเพ้อ
จงอินเคยคิดภาพว่าพวกเขาจูบกันที่ริมแม่น้ำ มีแสงยามเย็นของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ไม่มีที่ไหนจะดีกว่าที่นั่น มันเป็นสถานที่ของพวกเขา แต่ความจริงกลับผิดไปจากจินตนาการ พวกเขาไม่ได้จูบกันใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น แต่จูบกันอย่างเร่าร้อนท่ามกลางความมืดและแสงไฟจากเวทีที่สาดส่องมาเป็นระยะ ท่ามกลางคนแปลกหน้านับพัน
วันนั้นในคอนเสิร์ตซึ่งเป็นวงโปรดของชานยอล อะดรีนาลีนท่วมท้นหลั่งล้นไปทั่วร่าง บนเวทีนักดนตรีกำลังเล่นเพลงที่ชานยอลชอบที่สุด จังหวะหนึ่งเขาหันไปมองจงอินที่อยู่ข้างๆ เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเขาจงอินก็หันมาสบตาและยิ้มให้ ไม่ทันได้คิดอะไรมือของเขาก็ดึงจงอินเข้าหาตัว กอดเอวไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจับใบหน้าให้เงยขึ้นรับจูบ
จงอินตกใจในทีแรก ยืนตัวแข็งด้วยความงุนงงกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ริมฝีปากของเขาโดนรุกล้ำอย่างร้อนแรงและหิวโหย ชานยอลดูดดึงเหมือนกับปากเขาเป็นขนม เหมือนกับว่ามันหวานจนต้องดูดแล้วดูดอีกเพื่อซึมซับรสชาติ ปลายลิ้นล่วงล้ำเข้ามาไล่ต้อนกับลิ้นของเขา กวาดต้อนไปทั่วจนจงอินหน้ามืดไปพักหนึ่ง แต่พอชานยอลถอนจูบออกเพื่อพักหายใจ กลับเป็นเขาเองที่ต้องการสัมผัสเหล่านั้นอีกครั้ง โน้มคอพี่ชายคนพิเศษลงมาแล้วประกบปากตัวเองเข้าไปใหม่ ทำทุกอย่างที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ และเมื่อทั้งสองฝ่ายตอบสนองด้วยความรักที่เก็บกดเอาไว้มาเนิ่นนานมันก็ระเบิดมันออกมาทั้งหมด นั่นจึงเป็นจูบแรกที่ยากจะลืมได้ลง คนรอบข้างนับพันเหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเขา มันดำเนินไปยาวนานหลายนาทีจนเพลงโปรดของชานยอลจบลง หลังจากนั้นชานยอลก็รั้งจงอินเข้ามากอด
ณ ขณะนั้น ในที่สุดจงอินคิดว่าเขาเจอแล้ว…เจอที่ที่เป็นของเขา อ้อมกอดที่เป็นของเขา ได้รับความรักที่เป็นของเขา ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งในใจที่เว้าแหว่งหายไป มันเต็มตื้น เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในชีวิต
…
วันหนึ่งจงอินถามกับไคว่า “พี่กลัวว่าตัวเองจะตายรึเปล่า”
“กลัวตายเหรอ…” ไคทวนคำถาม
“อืม” จงอินนั่งรอคำตอบอยู่ที่พื้นในห้องนอนพี่ชาย ไคเปิดหน้าต่างห้องเพื่อให้อากาศถ่ายเท สายตาเหมือนจะมองออกไปที่ก้อนเมฆ
“กลัวสิ ถึงได้ใช้ชีวิตแบบนี้ แบบที่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย”
“แต่พี่ก็หายมานานปีแล้ว ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“หายจากโรคนั้น แต่สักวันก็ต้องตายอยู่ดี”
“ผมไม่เคยคิดว่าความตายมันใกล้กับเราขนาดนั้น แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมรู้สึกมีความสุขมาก…มากจนอยากให้มันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตด้วยซ้ำ”
“นายแค่กำลังมีความรัก”
“พี่เคยรู้สึกแบบนี้ไหม” ไคหันไปมองจงอินที่ถาม ยิ้มบางให้น้องชาย
อีกครั้งที่จงอินรอคำตอบ เขาสนิทกับพี่ชายไม่เท่าพี่ชานยอล ยิ่งโตขึ้นพี่ชายเขาก็ชอบหายออกจากบ้านไปหลายๆวัน จงอินไม่รู้ว่าไคไปใช้ชีวิตอิสระที่ไหน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่ชายอยู่บ้านเขาจะต้องมาหาที่ห้อง บางครั้งก็อยู่เงียบๆ บางครั้งก็คุยกัน ไม่ได้สนิทกันมากมาย แต่ก็มีสายใยระหว่างกันที่พิเศษ
“ใครก็คงเคยทั้งนั้น” ไคตอบ ละสายตาที่มองน้องชายหันมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ ตกอยู่ในห้วงภวังค์ร่วมกัน
เป็นความจริง ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยที่ว่าจงอินมีความสุขมากจนอยากให้มันเป็นวันสุดท้าย เขากับชานยอลไม่เคยบอกรักกัน ไม่เคยพูดคุยถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้นต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าพวกเขาสำคัญต่อกันแค่ไหน
ในที่สุดชานยอลก็อนุญาตให้จงอินเข้าห้องนอนของเขาอีกครั้ง มันเริ่มต้นจากการจูบกันในห้องครัวและบรรยากาศเงียบสงบที่แสนจะเป็นใจ เมื่อจูบถึงในระดับที่ทนไม่ไหว ชานยอลก็ช้อนตัวจงอินอุ้มพาดบ่าเดินขึ้นชั้นบน เขาได้ยินเสียงจงอินหัวเราะในบางทีที่เกือบเสียการทรงตัว พอถึงหน้าห้องเขาก็เตะประตูเปิดออกอย่างรีบร้อน จับจงอินทุ่มลงบนเตียง และใช้เวลายาวนานอยู่ในนั้นเท่าที่กำลังของเขาจะสามารถทำได้
ครั้งแรกของจงอินเจ็บมากแต่เขาก็ยินยอมพร้อมใจ ค่อยๆเรียนรู้ไปจนสามารถมีความสุขกับมัน เขาเห็นอีกด้านหนึ่งของชานยอลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและเป็นด้านที่เขาไม่เคยจินตนาการถึง มีความเอาแต่ใจ เร่าร้อนดุดัน แต่บางครั้งก็อ่อนโยน ออดอ้อน และอบอุ่น ซึ่งทั้งหมดนั้นยิ่งทำให้เขารักชานยอล รักทุกสิ่ง รักทุกๆอย่างที่เป็นคนๆนี้
พวกเขาสัมผัสกันครั้งแล้วครั้งเล่า รู้จักพื้นที่ทุกส่วนบนร่างกายอีกฝ่าย ชานยอลแน่ใจว่าริมฝีปากของเขาลากไล้ทั่วทุกพื้นที่บนร่างกายของจงอินแล้ว ไม่มีตรงไหนที่เล็ดรอดไปได้ ใช้เวลาโรมรันกันบนเตียงครึ่งค่อนวันในสุดสัปดาห์ จูบดูดดื่มยาวนานก่อนจะแยกจาก และโผเข้าหากันประหนึ่งไม่เจอกันมานานแสนนานเวลาพบเจอกันใหม่ในแต่ละครั้ง ทั้งๆที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวันเต็มด้วยซ้ำ
“จงอิน…ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะนะ”
ชานยอลเกลี่ยนิ้วไปบนไหล่สีน้ำผึ้ง จูบลงบนไหล่นั้นอย่างออดอ้อนแล้วสบตารอให้จงอินตอบ หากใจจริงก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ จงอินเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ยังไม่จบมัธยมปลาย ส่วนชานยอลก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ซ้ำยังต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียน น้าของเขาเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน ทิ้งบ้านหลังนี้เอาไว้ให้ ชานยอลชอบเวลาที่มีจงอินอยู่ด้วย เขาอยากให้จงอินมาอยู่ด้วยกัน ก็แค่หวังลมๆแล้งๆ
“ไม่ได้หรอก…” จงอินตอบแบบเดิมๆเหมือนทุกครั้ง แม้จะอยากอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
“ถ้าเข้ามหาลัยแล้วลองขอแม่ดูได้ไหม”
“ผมอาจจะบอกแม่ว่าขออยู่หอ อย่างนั้นคงเป็นไปได้มากกว่า” จงอินแนบใบหน้าลงกับท่อนแขนอีกคน ถูไถไปมา เนื้อตัวเปล่าเปลือยของพวกเขาแนบสัมผัสกัน เดี๋ยวนี้มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง ยามอยู่ด้วยกันจึงแทบไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนอยู่บนเตียง เล่าเรื่องของกันและกันให้ฟัง จูบกัน สัมผัสกัน หลับด้วยกันสักหนึ่งตื่น หลังจากนั้นก็ต้องแยกย้าย
“ถ้าอยู่ด้วยกันได้ก็คงดี”
“กลัวจะเบื่อน่ะสิ” จงอินว่า
“เบื่อที่ไหน อยู่ด้วยกันจนกว่าโลกแตกก็ไม่เบื่อ เรารู้จักกันมาตั้งกี่ปีเคยนับรึเปล่า สิบปีแล้วนะ”
“เร็วจัง”
“เพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่เท่าไหร่เอง”
“อืม…ผมอยากอยู่กับพี่แบบนี้ไปนานๆ จนกว่าโลกจะแตก” พูดจบจงอินก็หัวเราะในลำคอ ชานยอลจูบเบาๆบนริมฝีปากที่กำลังยิ้ม เขาถือว่ามันเป็นคำสัญญา ที่ว่าอยู่ด้วยกันจนกว่าโลกจะแตก…มันก็คือคำสัญญาว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
…
การเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเป็นเรื่องเหนื่อย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ลำบากเกินไปจนทนไม่ได้
เวลาที่ชานยอลเจอจงอินแต่ละครั้งเขาจะลืมความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งหมด เป็นเรื่องน่าแปลกของจิตใจกับร่างกายที่ทำงานผสานกัน เขาเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าความรักบางทีมันก็หมดรักกันได้เมื่ออยู่ๆกันไป อยู่มาวันหนึ่งความรู้สึกก็เหือดหายเหมือนไม่เคยเกิด เขาฟังแล้วก็คิดว่ามันห่างไกลจากความรักของเขา กับจงอินยิ่งอยู่ด้วยกันก็เหมือนเขาจะขาดคนๆนี้ไม่ได้ ไม่มีทางจะรักน้อยลง ไม่มีทางที่ความรู้สึกเหล่านี้จะเหือดหายไป
ทันทีที่จงอินเรียนจบชั้นมัธยมปลายชานยอลก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้จงอินย้ายมาอยู่กับเขา แม้จงอินจะดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อฟังแม่แต่เขารู้ว่าจงอินรักครอบครัวมาก ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็รู้สึกผิดทุกทีที่ขัดคำสั่งและทำให้แม่เสียใจ
แต่ด้วยความต้องการอยากอยู่กับคนรักของชานยอลที่มีมากมายทำให้เขาทะเลาะกับจงอินในที่สุด จงอินต้องการรอให้แม่อนุญาตก่อนแต่เขาก็เอาแต่ใจเอ่ยเร่งเร้า กล่าวหาว่าจงอินไม่ต้องการเขาแล้ว ไม่ได้รักเขาอย่างที่เขารัก ไม่ได้อยากอยู่ด้วยกันเหมือนที่เขาอยากให้จงอินอยู่ กล่าวตัดพ้อต่อว่าจนจงอินสะบัดแขนออกจากฝ่ามือเขาวิ่งหนีกลับบ้านไป
เขาเพิ่งลิ้มรสความรู้สึกทรมานอย่างมากเมื่อจงอินหนีเขาไปอย่างนั้น เหมือนกับว่าจะทิ้งกันไป ชานยอลนั่งลงกับพื้น ไม่ขยับเคลื่อนไหวยาวนานครึ่งค่อนคืน เขาอยากจะตามจงอินไป แต่ก็อยากนั่งรออยู่ตรงนี้เพราะอยากให้จงอินกลับมาหา
แล้วจงอินก็กลับมา
ใบหน้าของคนที่เขารักเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตา จงอินหอบกระเป๋าใบใหญ่สองใบมาหาเขากลางดึก ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเขาปวดใจ ซบหน้าร้องไห้กับอกเขาจนเสื้อเปียกชื้น ชานยอลปาดเช็ดน้ำตาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า จูบศีรษะอย่างปลอบประโลม อยากจะแบกรับความทุกข์ของจงอินเอาไว้เอง เจ็บยิ่งกว่าการทะเลาะกันก็คือการเห็นจงอินร้องไห้อยู่แบบนี้
“ผมรักพี่นะ…อึก…ไม่เคยไม่รักพี่เลย อย่าพูดว่าผมไม่รักอีก…”
“ไม่พูดแล้ว…สัญญา…”
“ผมกลับไปขอแม่…แล้วผมก็ทะเลาะกับแม่ พ่อกับแม่ไม่เคยเข้าใจผม…แต่เข้าใจพี่ไคทุกอย่าง ทำไมเขาถึงให้อิสระกับพี่ไคได้แต่ให้ผมไม่ได้ ยังไงผมก็ต้องอยู่เป็นตัวแทนพี่ พวกเขาคิดแบบนั้นใช่ไหม…พวกเขาไม่เคยรักผมหรอก”
“อย่าคิดแบบนั้นเลยนะ…ไม่จริงหรอก ใครๆก็รักจงอิน พี่ก็รักจงอิน”
“แม่ไล่ผม…บอกว่าอยากไปไหนก็ไป…” จงอินบอกเล่าประโยคนั้นพร้อมๆกับน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย ดูเจ็บปวดมากกับคำพูดประโยคนั้นของแม่
“เขาพูดเพราะโมโห…เพราะอารมณ์ชั่ววูบ จริงๆที่เขาไม่อนุญาตเพราะเขาเป็นห่วงจงอินนะ”
“ผมไม่รู้หรอก…”
“พี่ขอโทษที่ก่อนหน้านี้บังคับอยากให้จงอินมาอยู่ด้วยกัน ทำให้ทะเลาะกับแม่…ขอโทษ”
“ผมไม่ชอบทะเลาะกับพี่เลย…กับแม่ก็ไม่อยาก”
“วันหลังค่อยเข้าไปคุยกับแม่ใหม่ให้เข้าใจ…พี่จะไปช่วยพูด”
“อย่าเลย…เรื่องของเรา แม่ไม่รู้…ถ้ารู้ แม่อาจจะห้ามผมเจอกับพี่ก็ได้”
ชานยอลไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เขาต้องรับไม่ได้แน่ๆถ้ามันเป็นแบบนั้น เขากอดจงอินเอาไว้แนบแน่น เหมือนกลัวว่าใครจะมากระชากจงอินไปจากเขา
“อยู่กับพี่นะ”
ในที่สุดจงอินก็พยักหน้าตกลง ค่อยๆหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ชานยอลยิ้มน้อยๆก่อนจะอุ้มจงอินขึ้นห้องนอนของพวกเขา
…
มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างที่เขานึกฝัน ชานยอลเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครก้าวเข้ามาในชีวิต มีแค่จงอินที่เขายินดีให้ก้าวล้ำเข้ามาในพื้นที่พิเศษที่เขาหวงแหน
จงอินเองก็รู้สึกมีความสุข ทุกๆครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของชานยอลเขาก็ยังคงรู้สึกเต็มตื้นทุกครั้ง ชีวิตถูกเติมเต็ม ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วทั้งนั้น
พวกเขาขาดกันและกันไม่ได้ เพราะต่างก็เป็นชีวิตของกันและกัน จวบจนเวลาผ่านไปหนึ่งปี ถึงแม้จะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่โชคชะตาและชีวิตไม่เคยแน่นอน
วันหนึ่ง…สิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดก็มาถึง เมื่อครึ่งชีวิตของชานยอลล้มป่วย
จงอินไข้ขึ้นสูง ไม่ได้ไปเรียนเป็นสัปดาห์ เขาพักอยู่บ้านกินยาและพักผ่อน มีชานยอลคอยดูแล แต่แทนที่อาการจะดีขึ้น จงอินกลับไม่หายสักที ชานยอลพยายามบังคับให้จงอินไปโรงพยาบาล แต่คนป่วยคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมากจึงดื้อดึง ชานยอลรอให้อาการดีขึ้น รอจนเขาทนไม่ไหวจึงจับจงอินส่งโรงพยาบาลกลางดึกคืนหนึ่ง
แม้จะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาชานยอลก็ยังร้อนใจ รอจงอินออกจากห้องตรวจด้วยความพะวักพะวงเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง เขารู้สึกได้
จงอินไม่ได้ออกมาจากห้องตรวจ แต่เป็นคุณหมอที่เดินมาบอกให้เขาติดต่อครอบครัวของจงอิน ทั้งที่เขาอยากรู้แทบตายแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ในตอนนั้น ชานยอลไม่มีทางเลือกนอกจากเป็นคนบอกพ่อแม่ของจงอินรู้ว่าลูกชายของพวกเขากำลังป่วย
จนเมื่อครอบครัวจงอินอยู่พร้อมหน้า เขาถึงรู้ว่าจงอินไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา จงอินเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ไคเป็นคนบอกกับชานยอล เป็นข่าวร้ายที่ทำให้ชานยอลแทบทรงตัวยืนไม่อยู่
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดซ้ำกับจงอินอีกคน คราวนี้อาการเลวร้ายกว่าพี่ชาย เป็นในระยะเฉียบพลันที่การรักษาต่างๆอาจไม่สามารถรักษาได้
ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับจงอินของเขา
ชานยอลอยากหาเหตุผลที่มันเกิด อยากจะรู้ต้นตอที่เขาจะสามารถกล่าวโทษได้นอกจากโชคชะตา เมื่อเขาเห็นจงอินนอนบนเตียงในสภาพอ่อนแรงยิ้มเศร้าๆให้เขาจึงไม่อาจรับได้ เขาหันหลังกลับออกมา วิ่งออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนจะตาย เขาก็กำลังจะตายเหมือนกัน โลกของเขากำลังจะแตก
ชานยอลไม่กล้ากลับบ้าน ไม่อยากอยู่ห่างจากจงอินจึงนั่งร้องไห้อยู่ในสวนของโรงพยาบาล ตอนที่เจอครอบครัวของจงอิน แม่จงอินตวาดด่าว่าเป็นความผิดของเขาที่เอาลูกชายเธอไป โทษว่าเขาดูแลจงอินไม่ดีถึงเป็นแบบนี้ ชานยอลยืนนิ่งไม่โต้ตอบ เขาอยากให้จงอินเห็นแม่ของตัวเองในตอนนั้นว่าเธอรักจงอินมากแค่ไหน จงอินไม่เคยรู้ จงอินไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วตัวเองสามารถทำให้หัวใจของใครต่อใครแหลกสลายได้เพียงแค่รู้ว่ากำลังจะจากไป
จงอินร้องไห้โฮเมื่อเห็นหน้าเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ชานยอลไม่ได้วิ่งหนี เขาวิ่งเข้าไปหาจงอินและกอดเอาไว้อย่างที่เคยทำมาตลอด จงอินทุบตีเขาก่อนจะกอดรัดแผ่นหลังเขาไว้แน่นจนหายใจแทบไม่ออก
“วิ่งหนีผมทำไม…” จงอินไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกายเลย แต่เขาเจ็บที่ชานยอลทำแบบนั้น
“จงอิน…” ชานยอลเรียกอย่างอ่อนแรง “ไม่ไปได้ไหม…อย่าไปเลยนะ…”
“ฮืออ..”
ชานยอลได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของพวกเขา สำหรับเขาความตายไม่ได้น่ากลัว แต่การต้องจากกันต่างหากที่น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด
“อยู่กับพี่นะ”
…
ช่วงเดือนแรกเป็นช่วงที่ชานยอลสติหลุดอยู่บ่อยๆ เขาระบายอารมณ์กับข้าวของที่บ้านตัวเองโดยที่จงอินไม่เคยรับรู้หรือรู้เห็น ต่อหน้าจงอินเขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด อยู่ดูแลและใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา พ่อกับแม่จงอินอาจจะรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา ทั้งไม่ได้ห้ามหรือไล่เขาให้ออกห่างจากจงอิน เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเหนื่อยจนเผลอหลับอยู่ที่บ้าน กลับมาที่โรงพยาบาลอีกทีก็พบว่าจงอินกำลังร้องเรียกหาเขากับแม่ ถามว่าเขาไปไหน และทำท่าว่าจะออกไปตามหา
จงอินกลัวว่าเขาจะหนีหายไปเพราะทนตัวเองในสภาพแบบนี้ไม่ได้ กลัวอยู่ตลอดเวลาแม้ชานยอลจะพร่ำบอกว่าไม่มีทางจะทิ้งไป
ช่วงเดือนที่สองและเดือนที่สามทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นทางด้านสภาพจิตใจ จงอินมั่นใจแล้วว่าชานยอลจะอยู่กับเขาจนวาระสุดท้าย แต่เป็นตัวเขาเองที่จะทิ้งชานยอลไป แววตาจงอินเศร้าจนน่าใจหาย แต่เขาก็พยายามยิ้มให้คนรัก บางทีก็ยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อชานยอลมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายใน
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของเขาก็ใช้สายตาในแบบที่เคยมองพี่ชายจ้องมองเขา มันคือสายตาของความห่วงใย เสียใจ และความรัก คำถามที่เขาเคยสงสัยได้คำตอบในสถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่เขาน่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว แต่เขาก็เพิ่งรู้ว่าแม่รักเขามากแค่ไหน รักเขาไม่ต่างจากพี่ชาย แม้เขาจะเกิดมาอย่างมีเหตุผล
จงอินหลับตาเมื่อพ่อลูบผมเขาเบาๆ พี่ชายของเขาที่หายไปจากบ้านนานๆก็มาเฝ้าเขาทุกวันเวลาที่พี่ชานยอลต้องไปเรียนหรือทำงานพิเศษ เขารับรู้ความเป็นห่วงของทุกคนได้ มันทำให้เขาเศร้า บางครั้งก็สะเทือนในจนต้องเก็บกลั้นน้ำตา เจ็บจุกที่ลำคอจากการสกัดกั้นอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ ไม่อยากให้ใครเป็นห่วงไปมากกว่านี้
“พี่ไค…” จงอินเรียก พี่ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงหันมามองเขาอย่างพิจารณา
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“เปล่า…แค่อยากคุยด้วย” ไคมีสีหน้าไม่สบายใจ เขาไม่อยากได้ยินน้องชายพูดอะไรที่เป็นการสั่งเสีย
“คุยอะไรล่ะ”
“คุยเรื่องที่เราไม่เคยคุยกันมาก่อน”
“เราก็คุยกันทุกเรื่อง…”
“พี่ไม่โทษตัวเองใช่ไหมที่ผมเป็นแบบนี้…พี่ช่วยผมเหมือนที่ผมช่วยพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ” ไคลูบหัวน้องชาย จริงๆแล้วเขาโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ แต่คิดว่าอย่างไรมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขา เขามีส่วนทำให้จงอินมีชีวิตเกิดมา และอาจจะมีส่วนทำให้จงอินจากไป เขาคิดอย่างนั้น
“ขอโทษนะ”
“อย่าขอโทษ…ถึงชีวิตผมจะสั้น ผมก็ดีใจที่ได้เกิดมานะ ผมมีความสุขแทบจะทั้งชีวิต แค่นี้ก็พอแล้ว”
“จงอินโชคดีที่เจอคนที่ทำให้มีความสุขได้”
“ใช่…ผมโชคดีที่สุดในโลก” จงอินยิ้ม ไคก็ยิ้ม ไคมองเห็นความสุขจากแววตาของน้องชาย เห็นความรักของจงอินกับชานยอลมาตั้งแต่มันเริ่มต้น เป็นความรักยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาๆสองคน ลึกซึ้งมากกว่าที่คนมองภายนอกจะเข้าใจ จริงๆไคไม่เคยรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่เขาคิดว่ารักของชานยอลกับจงอินใกล้เคียงกับคำนิยามว่ารักแท้
“พี่ไค…พี่ใช้ชีวิตแทนผมด้วยนะ ดูแลตัวเองดีๆ อย่าลืมแม่กับพ่อด้วย”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม” ไคลุกขึ้นยืน เขาไม่อยากฟัง แต่จงอินจับมือยื้อเอาไว้
“อย่าโกรธนะ…ยังไงผมก็ต้องพูดอยู่ดี” จงอินพูดเสียงสั่น ไคจึงนั่งลงอีกครั้งกุมมือน้องชาย ก้มหน้าซบลงกับเตียง แอบร้องไห้คนเดียวไม่ให้จงอินเห็น
วันเวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ความกลัวก็ยิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของชานยอล เขายังคงมองจงอินที่ผอมซูบด้วยแววตารักใคร่เช่นเดิม ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย เขาพยายามทำให้จงอินมีความสุข พาลงไปข้างล่างในสวนบ่อยๆเพราะรู้ว่าจงอินเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในห้อง พวกเขาจับมือกัน ยิ้มให้กัน และพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ สถานที่ในความทรงจำของพวกเขา เล่าว่าเริ่มรักอีกฝ่ายตอนไหน รู้สึกอย่างไรในตอนนั้น
“ถ้าผมไม่อยู่…พี่จะรักใครคนใหม่รึเปล่า” ชานยอลคุกเข่านั่งลงหน้ารถเข็น จัดเสื้อคลุมของจงอินรูดซิปขึ้น จากนั้นก็จับมือจงอินมาจูบ ยิ้มให้บางๆก่อนจะตอบ
“ไม่มีทาง”
“ถ้าพี่รู้สึกรัก แล้วเขาทำให้พี่มีความสุข ผมก็ไม่ว่าหรอก”
“พี่รักจงอินคนเดียว”
“ผมก็รักพี่ รักคนเดียวตลอดชีวิตของผมเลย” จงอินลูบใบหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขา ชานยอลหลับตาเพื่อจดจำความอบอุ่นนี้
“พี่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไง…”
“อยู่เพื่อผมไง…อยู่เพื่อผมนะ”
“อืม…” ชานยอลกัดริมฝีปาก ซ้อนจับมือจงอินที่แนบอยู่ที่ใบหน้าของเขา พวกเขารู้ว่าเวลานั้นมันใกล้เข้ามาทุกขณะ แม้ไม่อยากพูดถึงแต่ก็ต้องพูด
“ความทรงจำของเรามีแต่เรื่องที่มันสวยงาม…พี่ว่าไหม”
“อืม…”
“ไม่มีตอนไหนเลยที่พี่ทำให้ผมเสียใจ พี่รู้รึเปล่า พี่ชานยอล พี่เติมเต็มทุกอย่างในชีวิตผมนะ ผมเคยคิดว่ามันแปลกที่ต้องมีใครอีกคนหนึ่งถึงจะรู้สึกว่าชีวิตมันสมบูรณ์ หากเราอยู่ตัวคนเดียวจะรู้สึกขาดๆหายๆ โหวงๆข้างในจนต้องวิ่งหาอะไรสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าอะไรที่จะทำให้เราหยุดได้จนกว่าจะได้เจอสิ่งนั้นด้วยตัวเอง…ผมโชคดีที่หามันเจอก่อนใคร ถึงจะต้องไปก่อน ผมก็ไม่เสียดายหรอก”
ชานยอลเก็บกลั้นมันไว้ไม่อยู่ เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงบนมือของจงอิน
“พี่ก็หามันเจอก่อนใคร…เจอจงอินก่อนใคร”
“อย่าโกรธผมนะ…ถ้าผมอยู่กับพี่ไม่ได้”
ชานยอลส่ายหน้า จงอินส่งรอยยิ้มเพื่อสื่อความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดไปให้ ทั้งขอโทษ เสียใจ เศร้าใจ ดีใจ สุขใจ…และความรักที่เขามีให้สุดขั้วหัวใจ
…
หลังจงอินจากไป ชานยอลจวนเจียนจะเอาตัวไม่รอด เขาต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แต่ชีวิตของเขาเหี่ยวเฉา ความโศกเศร้ากัดกินหัวใจเขาจนเกินจะทานทน เขาพยายามและพยายาม ยึดเหนี่ยวคำพูดของจงอินเอาไว้ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ชานยอลไม่ต้องการสร้างโลกใบใหม่ เขาค่อยๆเก็บเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกกระจัดกระจายให้กลับคืนมา นึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุข มีจงอินอยู่ในความทรงจำที่สวยงาม ค่อยๆดำเนินชีวิตต่อไปบนเส้นทางที่แม้จะโดดเดี่ยวแต่เขาก็ยินดีที่จะเดินต่อไป เขาไม่ต้องการจะวิ่งหาใครหรือหารักครั้งใหม่ รักของเขาในชีวิตจะมีแค่หนึ่งครั้ง รักแท้ในชีวิตคนเราไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
เขามองแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินริมแม่น้ำ ลมพัดเส้นผมปลิวลู่ไปด้านหลัง ซึมซับภาพวิวเดิมๆ เขาเดินมาที่นี่ทุกวันเพื่อระลึกถึงคนรักของเขา นึกถึงยามที่จับมือกันเดินมาที่นี่หลังเลิกเรียน มือชื้นเหงื่อกุมกันไม่มีใครยอมปล่อย
ชานยอลมองฝ่ามือของตัวเอง เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของจงอิน นึกถึงรอยยิ้มสดใส และเสียงกระซิบอ่อนหวานในความทรงจำ
‘พี่ชานยอล…ผมรักพี่’
#เรื่องสั้นชานไค
-------------------------------------------------------------------------------------------
ลิวคิเมียไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เราเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มนึงที่เล่าเกี่ยวกับครอบครัวที่ต้องมีลูกชายอีกหนึ่งคนเพื่อช่วยลูกชายคนแรก อ่านแล้วมันติดอยู่ในใจจนอยากลองเขียนดูสักครั้งแม้ว่ามันจะเป็นพล็อตเก่ามากจนไม่มีใครเขาเขียนกันแล้ว
เรื่องนี้ประเดิมเป็นเรื่องแรก ซึ่งหลังจากนี้ก็อาจจะมีชานไคเป็นเรื่องสั้นๆมาให้อ่านกันเรื่อยๆ เรื่องยาวอาจจะพักไปก่อนสักพัก ตอนนี้ก็ฝากติดตามเรื่องสั้นกันไปก่อนนะคะ
ความคิดเห็น