คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Lost On You 7
Lost on You
[7]
ตั้งแต่เด็กผมเห็นอาชานยอลในหลายๆแบบ แต่ผมมักจะจดจำเขาในแบบเดียว เขาที่เป็นคุณอาใจดีของผม
ในมุมหนึ่งหลายครั้งเวลาที่ผมโดนอาดุผมมักจะร้องไห้เพราะเขาดูน่ากลัว เกรี้ยวกราดดุดันทั้งน้ำเสียงและสีหน้า เวลาที่กลัวผมจะกลัวมากบางครั้งถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก แต่พออารมณ์เหล่านั้นของเขาคลายลง เมื่อเขาเห็นผมร้องไห้ไม่นานเขาก็จะกลับมาเป็นคนเดิม อ่อนโยน ใจดี ทำให้ผมโยนความกลัวก่อนหน้าทิ้งไปแล้วเดินเข้าไปหาอ้อมกอดอบอุ่นของอา
เมื่อโตจนถึงตอนนี้ ผมก็เพิ่งมาสนใจแง่มุมอื่นๆที่ผมเคยเห็นแต่ไม่เคยสนใจ อย่างเช่นรูปร่างหน้าตา ส่วนสูงที่สูงมากจนตอนเด็กๆผมมองเขาเป็นยักษ์แต่เวลานี้ผมกลับมองว่าเป็นส่วนสูงที่น่าอิจฉา นอกจากเรื่องรูปร่างแล้วหากพูดถึงบุคลิกอาชานยอลเป็นคนที่มีบุคลิกหลากหลาย เพราะเขามีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจึงมีใบหน้าที่เคร่งขรึมติดจะเย็นชาอยู่ตลอดเวลา จะมีแค่คนสนิทๆเท่านั้นที่จะได้เห็นเขาในแบบกวนๆและเวลาใจร้อนซึ่งยังเป็นนิสัยที่ยังแก้ไม่หาย แต่เวลาโมโหเขาจะไม่โวยวายเหมือนเมื่อก่อน แค่มีรังสีน่ากลัวอยู่รอบตัวตลอดเวลากับหน้ายักษ์ๆที่กีดกันไม่ให้ใครกล้าเข้าไปหา ส่วนแง่มุมใจดีที่ผมเห็นเป็นปกตินั้นกลับเป็นเรื่องแปลกในสายตาคนอื่นเวลาที่เห็น ผมไม่ได้เอะใจสังเกตเลยจนกระทั่งแทมินเอ่ยปากตั้งข้อสงสัย
“อาชานยอลนี่แปลกดีนะ” แทมินยืนรอผมลงจากรถอาที่หน้ารั้วโรงเรียน คงถึงก่อนไม่นานเท่าไหร่ เขาพูดขณะที่เรามองอาชานยอลเลื่อนกระจกขึ้นก่อนขับออกไป
“แปลกยังไง”
“แค่เห็นจงอินใส่ผ้าพันคอที่ให้ หน้าดุๆก็เปลี่ยนไปเลย”
“ไม่เห็นแปลก อาชานยอลก็เป็นแบบนี้ ไม่ใช่คนดุอะไร”
“รู้ดี เลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็กนี่นะ” พวกเราเดินเข้าโรงเรียน แทมินพูดด้วยท่าทางสบายๆแต่ใบหน้ากลับเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
“อืม” ผมรับเบาๆพลางเหลือบมองพี่ชาย
“รู้ไหม แม่ชอบถามเรื่องอาชานยอลกับนายบ่อยๆ…”
“ฉันกับอา? ทำไม?” แทมินถอนใจแรงๆหนึ่งทีราวกับเป็นคำถามที่ทำให้หนักอกหนักใจ
“ช่างเถอะ”
“ถามอย่างเช่นเรื่องอะไร” ผมยังเซ้าซี้อยากรู้
“ทำไมถึงต้องมารับมาส่ง สนิทกันขนาดไหนอะไรพวกนี้”
“แล้วนายตอบว่าอะไร”
“ตอบว่าไม่รู้”
“อ้าว”
“ก็ไม่รู้จริงๆ” เราเดินมาถึงใต้อาคาร พวกเราหยุดเดิน แทมินหันมามองผม และผมก็รู้ว่าเขาซ่อนอะไรบางอย่างในแววตา เขาดูไม่สบายใจ แต่เพียงไม่นานเขาก็ยิ้ม ยีหัวผมแล้วก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
เราคุยกันเรื่องวันเสาร์นี้ที่จะมีคอนเสิร์ตของวงพ่อ ผมตื่นเต้นน่าดูเพราะวงพ่อไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงมีผลงานอยู่บ้างแต่งานหลักๆกลับกลายเป็นคนเบื้องหลัง เมื่อก่อนผมไปทัวร์คอนเสิร์ตกับพ่อจนเบื่อ แต่ผมไม่ค่อยได้เข้าไปดูจริงๆจังๆเพราะพ่อห้าม มันเสียงดังหนวกหูไม่ดีต่อเด็ก ผมจะได้ฟังแต่เพลงเพราะๆในซีดีกับที่อาชานยอลร้องให้ฟัง ไม่เหมือนเสียงต้นฉบับของอาเยซองแต่ก็เพราะดี ผมชอบเสียงของอา อาชานยอลยอมร้องให้ผมฟังไม่เหมือนพ่อ พ่อว่าพ่อร้องเพลงไม่เพราะแล้วก็ไม่ค่อยร้องให้ผมฟัง เอาแต่เล่นกีตาร์ให้ผมดูว่าเขาเก่งแค่ไหน
แต่แทมินนั้นไม่ได้อยู่กับพ่อ ไม่เคยได้เห็นได้สัมผัสทุกอย่างที่ผมเล่ามา แทมินบอกบ่อยๆว่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่กับผมและพ่อ ผมเองก็เสียดายเหมือนกัน เราก็เลยผลัดกันเล่าเรื่องทุกอย่างเพื่อทดแทน ระหว่างที่ผมอยู่กับพ่อและวงของพ่อ แทมินใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับแม่กับพี่เลี้ยง แม้อยู่กับตาและยายแต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ พวกท่านค่อนข้างเคร่งครัด แทมินโตมาแบบลูกคุณหนู โดนจับเรียนเทควันโด เรียนเปียโน แต่เรื่องเรียนเต้นเกิดสนใจเองเหมือนผมเลยขอแม่ไปเรียน แม่กับแทมินสนิทกันมาก ไม่เหมือนผมกับแม่ เราเจอกันบ่อยขึ้นแต่ยังมีระยะห่างอยู่มากทีเดียว จะคุยกันเยอะขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าทั้งสี่คน แทมินบอกว่าแม่น้อยใจนิดหน่อยที่ผมไม่ค่อยพูดคุยอย่างสนิทใจ แม่เลยอยากให้พวกเราย้ายมาอยู่ด้วยกันเร็วๆก็เพราะเหตุผลนี้
…
เมื่อถึงวันเสาร์ แม่กับแทมินมารับผมที่คอนโด พ่อกับอาชานยอลออกไปตั้งแต่เช้า แม่ดูตื่นเต้นยิ่งกว่าพวกผมที่จะได้ดูคอนเสิร์ตของพ่อ แทมินพูดแซวจนโดนฟาดไปหลายที บอกว่าแม่ถึงกับตื่นขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้าทั้งที่คอนเสิร์ตกว่าจะเริ่มก็ตั้งเย็น
“สวยแล้วครับ” ผมบอกอย่างเอาใจ แม่ยิ้มจนตาหยี ดูสดใสเหมือนหญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆด้วยซ้ำ
“พ่อจะมองเห็นเราใช่ไหม” แม่ถาม
“แถวหน้านะแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก” แทมินว่า บัตรของเราพ่อเป็นคนเอามาให้เอง นอกจากจะเป็นด้านหน้าแล้วยังเป็นฝั่งประจำที่พ่อยืนเล่นกีตาร์ ผมว่าคงจะได้เห็นอะไรดีๆทั้งคอนเสิร์ต
ผมชอบบรรยากาศภายในฮอลล์ ไม่ว่าจะเป็นคนดูหรือเป็นคนขึ้นแสดงเองก็จะตื่นเต้น ช่วงหลังมีแต่ผมที่เป็นคนขึ้นเวที ถึงมองไม่เห็นพ่อกับอาชานยอลผมก็แสดงด้วยความมั่นใจทุกครั้ง ทั้งพ่อทั้งอาชานยอลไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนแต่เมื่อไหร่ที่ผมต้องขึ้นโชว์ก็จะมาให้กำลังใจ การแสดงตอนเด็กๆครั้งแรกยังตราตรึงในใจผม พอมองกลับไปที่ความประหม่าความกลัวเหล่านั้นผมก็จะภูมิใจว่าเดินมาได้ไกลเท่าไหร่…
พอถึงเวลา ไฟปิดมืด โชว์บนเวทีก็เริ่มขึ้น
ไฟสว่างวาบ เราก็เห็นพ่อยืนอยู่ตรงหน้าเราพอดี พ่อมองเราทั้งสามคน มองที่แม่นานเป็นพิเศษ ผมกับแทมินอดไม่ได้หันมองหน้ากัน ผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างแม่กับแทมิน ปกติผมเห็นพ่อเล่นกีตาร์บ่อยแต่ก็ไม่เหมือนเวลาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ เสียงกรี๊ดกับเสียงร้องเพลงของคนดูเพิ่มให้การแสดงบนเวทีมีพลัง สายตาผมหลังจับจ้องที่พ่อก็เลื่อนไปมองข้างหลัง ภาพของอาชานยอลเป็นภาพที่ผมไม่คุ้นเคย เป็นอีกหนึ่งมุมที่ผมเคยเห็นแต่ไม่ได้สนใจ แต่เวลานี้ภาพที่เขากำลังตีกลองอย่างบ้าคลั่งทำให้หัวใจผมรัวเต้นรัวตามจังหวะกลองของเขา
เท่
ผมหญิงส่วนใหญ่ก็คงคิดอย่างนั้น เขาดูร้อนแรง เวลายิ้มก็ยิ้มร้ายๆ ผมแทบจะมองอยู่ที่อาชานยอลตลอดเวลาอย่างไม่อาจละสายตา แล้วเมื่อสายตาของเขามองมาข้างล่างสบเข้ากับผม เมื่อเขาส่งรอยยิ้มร้ายๆนั้นมาให้…ผมอยากจะอธิบายว่ารู้สึกอย่างไร แต่ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้
“ร้อนเหรอลูก” แม่หันมาถาม คงสังเกตเห็นเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผากของผม ผมส่ายหน้ายิ้มๆให้แม่ ละสายตาเพียงครู่เดียวก็มองที่อาชานยอลใหม่ แล้วก็ต้องแปลกใจที่อาชานยอลลุกจากกลองเดินมายืนข้างหน้า ส่วนพ่อเดินไปนั่งหลังกลองสลับตำแหน่งกัน
อาเยซองบอกว่ามันคือโชว์พิเศษ พวกเขาทุกคนสลับตำแหน่ง พออามายืนอยู่ตรงตำแหน่งพ่อ ยืนอยู่ตรงหน้าผม โซโล่กีตาร์สีแดงพร้อมกับรอยยิ้มร้ายแบบเดิม ทั้งตัวผมก็ถูกความร้อนแรงของเขาแผดเผาจนสิ้น
ผมรู้จักเขามากแค่ไหน ผมเกิดสงสัยขึ้นมา มีมุมไหนของเขาอีกไหมที่ผมยังไม่ได้เห็น
ผมไม่สนใจรอบข้างเลย ไม่รู้ว่ามีใครที่มองผมอยู่บ้าง ผมมัวแต่สำรวจความคิดตัวเองและตั้งคำถามเกี่ยวกับอาชานยอล เขาดึงดูดผมให้เข้าไปอยู่ในโลกที่มีแค่เขา
…
อาทิตย์ถัดมาผมทำให้อาชานยอลกลายร่างเป็นยักษ์อีกครั้งหลังไม่ได้เห็นมานาน คราวนี้ผมทำใจดีสู้เสือแม้จะกลัวเขามากอยู่เหมือนเดิมก็ตาม
ผมกับแทมินรถชน แทมินนึกคึกอยากหัดขับรถเลยแอบเอารถแม่มาขับ ชวนผมให้มานั่งเป็นเพื่อน เพราะเป็นเกียร์ออโต้ธรรมดาแทมินเลยคิดว่าตัวเองขับได้ แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์และไม่มีคนคอยคุมผลก็เลยอย่างที่เห็น รถพุ่งตัวไปชนเสาข้างทาง แทมินหักหลบรถกะทันหันด้วยความตกใจ ผมบาดเจ็บเพราะนั่งอยู่อีกฝั่ง หัวแตก เจ็บหัวเข่าแต่ไม่แตกหัก นับว่าเป็นอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ผมไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไร? ต้องให้ขาหักเต้นไม่ได้อีกเลยใช่ไหมถึงจะรู้สึก” อาไม่ยอมเบาเสียงแม้พยาบาลจะมาห้ามปราม เขารีบร้อนมาหาถึงโรงพยาบาลเมื่อผมโทรไปบอกหลังจากที่โทรไปหาพ่อแล้ว พ่อก็โกรธเราสองคนเหมือนกัน ยังไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่มาถึง คาดว่าถึงบ้านเมื่อไหร่คงโดนอบรมชุดใหญ่
“ขาผมหมอบอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร” ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร อยากให้อาใจเย็นลงหน่อยก็ไม่รู้ต้องทำยังไง
“แทมิน เราผิดรู้ตัวไหม” แม่พูด ดูจะเข้าใจสถานการณ์และใจเย็นลงเมื่อเห็นว่าเราไม่ได้เป็นอะไร ถึงตอนที่เห็นผมหัวแตกเสื้อเปื้อนเลือดตอนแรกแทบจะเป็นลมก็กลับมาตั้งสติได้
“ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจหักรถไปทางนั้นให้จงอินเจ็บ” แทมินรู้สึกผิดมาก เขาขอโทษผมมาเกินสิบครั้งแล้ว
“กลับไปคุยกันที่บ้าน”
พ่อเอ่ยออกมาประโยคแรก เราทุกคนทำตามโดยทันที ผมเดินคอตกไม่กล้าเงยหน้ามองอา ปวดตรงแผลนิดหน่อยและรู้สึกมึนๆ
“ให้จงอินกลับกับผมนะ เดี๋ยวผมพาไปส่ง” อาชานยอลพูดกับพ่อผมจึงต้องรีบบอก
“ผมจะกลับกับพ่อ” ผมไม่อยากอยู่กับอาชานยอลตอนโกรธ กลัวโดนเขาดุจนร้องไห้เหมือนเป็นเด็กขี้แย
“จงอินต้องกลับกับกู มึงยังโมโหไม่ยอมลงกูไม่ปล่อยลูกไปหรอก ดีไม่ดีรถได้ชนอีกรอบ”
อาชานยอลหมดคำจะเถียง ถ้าพ่อห้ามเมื่อไหร่เขาก็ขัดไม่ได้ ผมมองเขาเดินไปขึ้นรถ ปิดประตูอย่างแรงกระชากรถออกไป เห็นอีกทีก็มาโผล่ที่หน้าห้องคอนโดของผมแล้ว
ผมกับแทมินโดนพ่อแม่อบรมนานมาก อาชานยอลก็คอยเสริมเป็นพักๆ ห้ามนู่นห้ามนี่จนผมคิดว่าหลังจากนี้คงโดนจับตาอย่างเข้มงวด
“ปวดหัวเหรอ” อาชานยอลถาม ขนาดผมนั่งนิ่งๆเขายังจับสังเกตสีหน้าผมได้ ผมส่ายหน้านิดหน่อยแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
“เอะอะก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เขาตีหน้ายักษ์ พ่อจับหน้าผมให้หันไปหา
“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า” พ่อถาม คราวนี้ผมก็เลยสารภาพ
“เจ็บนิดหน่อย”
“โคตรดื้อ” อาว่า
“งั้นก็ไปอาบน้ำนอนไป”
“วันนี้ผมนอนกับจงอินไม่กลับบ้านนะ” แทมินบอกแม่ ก็เลยได้ผลสรุปว่าแม่ก็จะค้างที่นี่ด้วยอีกคน มีแต่อาชานยอลคนเดียวที่ต้องกลับ ปกติผมจะไปส่งอาที่หน้าห้อง ตอนนี้ผมได้แต่ลังเลใจเมื่ออาลุกขึ้น
พอเขาเดินไปถึงหน้าประตู ได้ยินเสียงประตูเปิดออกผมถึงลุกขึ้นวิ่งตามไป
“อา…” ผมเรียก เขาหันกลับมาหา ผมคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ แค่ไม่สบายใจที่เห็นอายังมึนตึง
“ปวดหัวก็รีบไปนอนพัก”
“อาไม่โกรธผมใช่ไหม”
“โกรธสิ”
“ทำไมถึงต้องโกรธ แค่ผมเจ็บตัวนิดหน่อยแค่นั้น”
“ไม่ใช่แค่นั้น” ผมไม่เข้าใจ
“แล้ว…หายโกรธรึยังตอนนี้” อาชานยอลไม่ยอมตอบ แต่สายตาเขากลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิมแล้ว
“ยัง” เขาตอบ เขาต้องโกหกผมแน่ๆ
“ปวดหัวจังเลย” ผมลองอ้อนอาดู โตแล้วผมไม่ค่อยได้ใช้ไม้นี้เรียกร้องความสนใจ ไม่รู้จะยังได้ผลไหม
แต่ปรากฏว่ามันได้ผลเกินคาด
เขาขยับมาใกล้ๆ ผมนึกว่าเขาจะเข้ามาดูแผล แต่เขากลับโอบตัวผมเข้าไปกอด
“อย่าทำให้อาเป็นห่วงแบบนี้ได้ไหม”
หัวแตกหรือเจ็บแค่ไหนมาทั้งวันผมก็ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่อยู่ดีๆผมก็อยากร้องไห้ออกมาซะตอนนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าเสียใจหรือเจ็บปวด มันแค่เต็มตื้นอยู่ในอกของผมที่กำลังสั่นไหว
“ผมขอโทษ อาอย่าโกรธผมเลย”
อาชานยอลคลายกอดแต่ผมยังกอดเขาไม่ยอมปล่อย เขาเลยต้องดึงตัวผมออก เขาหัวเราะนิดหน่อยที่ผมทำมือเป็นปลาหมึก พอโดนแกะออกผมก็กอดใหม่ ได้ยินเสียหัวเราะเขาผมค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้างและยอมปล่อยแต่โดยดีในที่สุด
“ป่วยแล้วขี้อ้อนนะ”
“ผมก็อ้อนแค่อา”
อาชานยอลสูดลมหายใจลึกสองที เขาไล่ผมไปนอนอีกครั้งก่อนจะบอกว่าไม่โกรธผมแล้ว แถมก่อนจากยังจับใบหน้าผมไปหาแล้วกดจูบลงกลางกระหม่อมอย่างแรงหนึ่งที
ก่อกวนความรู้สึกและกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจจนผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ตัวเองรู้สึกขึ้นมาบางๆ
…
แผลผมหายจนกลายเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆตรงหน้าผากในเดือนต่อมา
เพราะเหตุการณ์นั้นอาชานยอลเลยบอกกับผมว่าเขาจะเป็นคนสอนขับรถให้ผมและแทมินเอง ห้ามคิดจะขับรถไปไหนกันเองอีกจนกว่าจะสอบผ่านใบขับขี่
ตอนที่สอนแทมินขับผมก็ขอตามไปด้วยแต่อาห้าม แทมินเองก็ฝังใจไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำเลยห้ามผมไปด้วยอีกคน เลยกลายเป็นว่าผมโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว สอนกันเป็นอาทิตย์กว่าแทมินจะขับคล่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็อีกหลายปีกว่าจะสอบใบขับขี่ได้ อาก็แค่สอนพวกเราไว้ ถ้าอยากขับรถเมื่อไหร่ก็บอกแต่ต้องมีอาหรือผู้ใหญ่นั่งไปด้วยทุกครั้งเป็นข้อตกลงง่ายๆ เวลากลับมาจากเรียนขับรถกับอาชานยอลแทมินชอบบอกว่าอาดุ เรียนไปเกร็งไป แถมยังชอบย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามขับพาผมออกไปไหนเด็ดขาด ผมได้แต่หัวเราะขำพี่ชายเมื่อเขาบ่นกระปอดกระแปดอย่างน้อยใจว่าอาชานยอลโคตรลำเอียงห่วงแต่ผม
“พร้อมเรียนรึยัง”
ถึงตาเขาสอนผมขับรถบ้าง กว่าอาจะหาเวลาว่างได้ผมรอมาเกือบสองอาทิตย์ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นมัธยมปลาย นอกจากเข้าไปซ้อมเต้นที่บริษัทก็เที่ยวเล่นกับแทมินจนเบื่อเลยรบเร้ากับอาชานยอลให้เขาสอนผมขับรถอีกคนทั้งๆที่ก็ไม่ได้คิดอยากขับมาก่อน
“พร้อมครับ”
“นั่งไปก่อน ที่ที่จะพาไปสอนอยู่ไกล”
“ที่ไหนเหรอ”
“นั่งไปเถอะ”
ผมเลิกถาม นั่งมองข้างทางไปเรื่อยๆเหมือนเขาพาผมไปนั่งรถเล่นมากกว่า ไม่ใช่แค่สอนตอนบ่ายๆเย็นๆเหมือนตอนสอนแทมิน เขานัดผมตั้งแต่เช้า ขับไปไกลจนออกต่างจังหวัด
“ทำไมต้องมาไกลขนาดนี้”
“แถวนี้แทบไม่มีรถผ่าน ปลอดภัย”
“ผมหัวไวนะ แป๊บเดียวก็ขับเป็นแล้ว”
“รู้ อาเคยสอนจงอินมาตั้งหลายอย่าง แต่ขับรถยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน”
“ครับ” ผมรับคำยิ้มๆ ชอบที่เขาใส่ใจและให้ความสำคัญ
เราสลับฝั่งกันนั่ง ผมเปลี่ยนไปนั่งที่คนขับ ตื่นเต้นกว่าที่คิด เขาสอนผมเข้าเกียร์ให้ค่อยๆปล่อยเท้าจากเบรคอย่าเพิ่งเหยียบคันเร่ง บอกผมเป็นขั้นตอนอย่างใจเย็น ผมทำตามอย่างที่เขาบอก ขับตรงไปเรื่อยๆ แรกๆเวลาที่เขาบอกให้เบรคก็เหยียบจนหัวทิ่ม อาชานยอลแทบให้ผมเลิกเรียนเพราะกลัวหัวผมโดนกระแทกอีก ผมบอกเขาว่าผมไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น ผมชอบให้เขาปกป้องผมก็จริง แต่ก็ยังเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งและอยากจะพึ่งพาตัวเองได้
เราเรียนกันจนช่วงบ่ายแก่ๆผมก็บอกเขาว่าผมหิว อาชานยอลเลยสลับกลับมาเป็นคนขับแล้วพาผมไปกินข้าว ผมรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวกับอาซะมากกว่า เราเจอกันบ่อยๆก็แค่มารับมาส่ง เจอกันที่บริษัท ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันไกลๆเพราะไม่มีความจำเป็น
“อาได้ไปเที่ยวบ้างไหม” ผมถามระหว่างที่เราขับรถกลับ วันหนึ่งวันช่างผ่านไปเร็วเหมือนหลับไปหนึ่งตื่น
“อยากไปเที่ยวไหนเหรอ” อาชานยอลถามผมกลับ เขายังเป็นคนที่อ่านใจผมได้เสมอ
“ไม่รู้สิ อยากให้อาพาไปเที่ยว ไม่ได้พาผมไปเที่ยวนานแล้วนะ”
“เป็นเด็กน้อยอยู่รึไง ไม่รู้เหรอว่าโตเป็นหนุ่มแล้ว”
“ผมก็ยังเป็นเด็กน้อยของอาไง” อาชานยอลกระตุกยิ้ม สายตาเขามองถนนข้างหน้า ผมนั่งมองใบหน้าด้านข้างของเขา
“เด็กน้อยของอา…” เขาพูดทวนเบาๆ
หลังจากนั้นเรานั่งอยู่ในบรรยากาศเงียบๆ ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นชัดจึงหันกลับไปมองถนน
บางอย่างที่รับรู้จางๆเริ่มเข้มชัด ผมเมินเฉยหรือปัดทิ้งมันออกไปจากหัวไม่ได้อย่างเคยเมื่อมีเพียงผมกับอา วันทั้งวันผมมีความสุขจนมันแทบล้นออกมาจากอก…เหตุผลเพียงแค่ผมได้อยู่กับเขา
ผมต้องยอมรับกับตัวเองในที่สุดว่าผมกำลังมีความรัก…รักครั้งแรกตอนอายุสิบห้า
ขณะที่อยู่บนรถในวินาทีหนึ่ง ผมได้กระโดดลงหลุมเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่ที่เรียกว่าความรักแล้ว และยังหยั่งไม่ถึงว่ามันลึกสักแค่ไหน ยังคงเป็นทางมืดๆที่ผมมองไม่เห็นอะไรเลย
#FicLostonYou
ความคิดเห็น