คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Lost On You 4
Lost on You
[4]
ผมชินกับห้องเช่าเล็กๆที่อยู่กับพ่อสองคนตั้งแต่เกิด พอย้ายไปที่คอนโดใหม่ค่อนข้างแปลกที่แปลกทาง พื้นที่กว้างขวางทั้งที่เราก็อยู่กันแค่สองคน ผมมีห้องนอนของตัวเองซึ่งทำให้ผมต้องนอนแยกกับพ่อ วันแรกๆผมงอแงไม่ยอม ผมอยากนอนกับพ่อ แต่พ่อว่าผมเริ่มโตแล้วต้องหัดนอนคนเดียว พ่อคิดถึงอนาคตเผื่อผมโตถึงซื้อที่นี่ให้เราได้อยู่กัน อาอีทึก อาเยซอง รวมทั้งอาชานยอลก็ย้ายมาอยู่คอนโดนี้ด้วย ทุกคนกำลังหาที่อยู่ใหม่ สุดท้ายก็มาลงเอยด้วยการอยู่ใกล้ๆกัน และผมก็อุ่นใจที่ยังมีอาชานยอลอยู่ใกล้ๆเหมือนเคย ตอนแรกที่ผมไม่ยอมนอนคนเดียวอาชานยอลก็ยอมมาอยู่เป็นเพื่อนจนผมหลับอยู่หลายคืนจนโดนพ่อว่า พ่อไม่อยากให้อาชานยอลตามใจผมมากเกินไป ผมแอบแย้งในใจเพราะผมชอบให้อาตามใจ แต่เราทั้งสองคนก็ขัดอะไรพ่อไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่ง
ประมาณหนึ่งปีผ่านไปหลังย้ายบ้าน ผมโตขึ้นมาอีกหน่อย ผมคุ้นเคยกับบ้านหลังใหม่ที่มีบรรดาคุณอาแวะเวียนมาหาตลอด เป็นประจำที่พวกเขาจะนัดกันกินข้าว ดูหนัง สังสรรค์เล็กๆน้อยๆที่ห้องใครสักคนสลับกันไปอาทิตย์ละครั้งหรือสองอาทิตย์ครั้ง วงของพ่อมีชื่อเสียงอยู่ระดับหนึ่ง ถึงไม่ได้กว้างขวางมากมายแต่ก็เป็นที่ยอมรับด้านฝีมือ พวกคุณอากับพ่อไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่ถ้าว่างแล้วทุกคนต่างก็ต้องการแค่หยุดพักอยู่บ้านเฉยๆ
ผมติดสอยห้อยตามพ่อไปด้วยเวลาไปที่ห้องคุณอา แล้วก็อย่างเคย ห้องที่ผมชอบที่สุดคือห้องของอาชานยอล ห้องอาอยู่ชั้นบนสุดของคอนโด ห้องโล่งๆกว้างๆ มีแกรนด์เปียโนสีขาวเป็นจุดเด่นล้อมรอบด้วยเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด อาชอบอุ้มผมขึ้นไปนั่งบนเปียโนแล้วเล่นเพลงให้ฟัง ผมขอเพลงอะไรเขาก็เล่นทั้งนั้น บางทีกลับมาจากโรงเรียกถ้ารู้ว่าอาอยู่ผมก็จะขอพ่อมาหาอา เขามักจะถามเรื่องที่โรงเรียนส่วนผมก็ชอบที่จะเล่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องไร้สาระ อย่างทำยางลบหายแล้วไปเจออยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ผมบอกเพื่อนว่านี่มันของผม แต่เพื่อนบอกว่าไม่ใช่ นั่นเป็นของเพื่อน แม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆผมก็เสียดายยางลบก้อนนั้นมากทีเดียว อาชานยอลฟังเรื่องของผมจบก็บอกให้ผมไปเอากล่องดินสอมา จากนั้นของทุกชิ้นที่ผมเอาไปโรงเรียนก็มีชื่อจงอินเขียนแปะเอาไว้ด้วยลายมือสวยๆของอาชานยอล
“วันนี้ทำข้อสอบได้หรือเปล่า” ผมพยักหน้าให้พ่อตอนปิดประตูรถ วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนปิดเทอม เป็นธรรมดาของเด็กๆอย่างผมที่ดีใจที่จะได้ปิดเรียน ผมยิ้มหน้าบาน แม้จะทำข้อสอบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็บอกว่าทำได้
“อยากกินอะไร เดี๋ยวพ่อทำให้”
“ผมอยากกินไก่ทอด” ผมบอก พ่อหยุดคิดนิดหนึ่งว่าจะตามใจผมดีไหม
“โอเค ซื้อกลับไปกินแล้วกัน” ผมยิ้มหน้าบานกว่าเก่าที่ได้กินของโปรด
“ซื้อไปเผื่อคุณอาด้วย”
“อาชานยอลของเราน่ะเหรอ”
“ครับ อาอีทึกกับอาเยซองด้วย” ใจจริงผมก็นึกถึงอาชานยอลอยู่คนเดียว แต่พอพ่อถามผมก็คิดว่าควรจะเผื่อคุณอาคนอื่นด้วยถึงจะเท่าเทียม
“ปิดเทอมอยากทำอะไรเป็นพิเศษไหม” พ่อถามระหว่างขับรถ ปิดเทอมที่แล้วพ่อเริ่มสอนดนตรีให้ผมโดยเริ่มจากเปียโน กีตาร์ กลอง พ่อให้ผมลองหลายๆอย่าง เผื่อว่าจะเจออะไรที่ชอบ แต่ผมไม่ยักเจออะไรที่ชอบเป็นพิเศษ
“ผมเรียนดนตรีกับพ่อเหมือนเดิมก็ได้”
“ไปเรียนร้องเพลงไหม หรืออยากเปลี่ยนไปเล่นกีฬา”
“ผมไม่อยากร้องเพลง”
“อืม งั้นก็คิดไปก่อนแล้วกันนะ” พ่อโยกหัวผมไปมา ให้ผมนึกอยากทำอะไรสักอย่างตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออก สุดท้ายแล้วอาจจะให้อาชานยอลเป็นคนสอนเปียโนเพราะมีเพลงยากๆที่อาเคยเล่นให้ฟังแล้วผมชอบอยู่
ค่ำวันนั้นผมกับพ่อซื้ออาหารเย็นแล้วไปกินที่ห้องอาชานยอลตามคำชวนของเจ้าของห้อง มีแค่พวกเราสามคนเพราะอาอีทึกกับอาเยซองไม่อยู่
“ดูหนังไหม” อาชานยอลถามหลังพวกเรากินไก่ทอดแสนอร่อยหมดแล้ว ผมหันไปมองพ่อว่าพ่อจะตอบว่าอะไร
“เอาหนังมาล่อไม่ให้ลูกกูกลับล่ะสิ หาอะไรมาล่อไม่ซ้ำเลยนะ”
“ผมซื้อหนังมาใหม่เรื่องนึง เด็กก็ดูได้เลยจะชวนดูด้วยกัน”
“อยากดูไหม หรืออยากกลับห้องเรา” พ่อถามทั้งๆที่รู้คำตอบผมนั่นแหละ
“อยากดู”
“เมื่อไหร่จะเลิกติดอา ยิ่งโตยิ่งติดนะเรา” พ่อบ่นแบบนี้มาเป็นร้อยครั้งแต่ก็ตามใจผม พ่อเองก็รู้ว่าพวกเราคุ้นเคยกันมานานเกินไปเกินกว่าจะแยกกันได้ เหมือนคนในครอบครัวที่มีแต่จะผูกพันกันมากขึ้นเท่านั้น
ผมช่วยยกจานไปไว้ในอ่างและต่อเก้าอี้ช่วยอาล้างจาน ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กดีอะไร แค่ทุกทีอาจะให้รางวัลผมเล็กๆน้อยๆ หรือบางทีแค่คำชมผมก็พอใจ
“เก่งมาก” อาเอ่ยคำชมติดปากเมื่อผมคว่ำจานเรียงเป็นระเบียบ เขาอุ้มผมลงจากเก้าอี้ เขาติดอุ้มผมแม้ผมจะไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว แต่เพราะเขาตัวใหญ่เป็นยักษ์ ผมก็เลยยังตัวเล็กสำหรับเขาอยู่ดี
“มีไอติมนะ กินไหม”
“รสอะไร” ผมเขย่งตัวเกาะตู้เย็น เขย่งยังไงก็มองไม่เห็นชั้นบน
“สตรอเบอร์รี่ของจงอิน ช็อกโกแลตของอา” อาชานยอลเอาถ้วยรสสตรอเบอร์รี่ยื่นให้ผม
“ของพ่อล่ะ”
“พ่อเราไม่กินหรอก”
อาดันผมให้เดินออกจากครัว ออกมาก็เจอพ่อคุยโทรศัพท์อยู่ เหมือนว่าจะคุยเรื่องงาน พ่อบอกกับอาชานยอลแบบไร้เสียงว่าฝากผมไว้ที่นี่ก่อน อาพยักหน้าว่าไม่มีปัญหา แล้วพ่อก็รีบออกจากห้องไป
ผมไปนั่งรออาที่โซฟาให้เขาเปิดหนัง หนังที่อาชอบดูผมดูไม่ค่อยรู้เรื่องสักเรื่อง ดูไปไม่เท่าไหร่ก็หลับทุกครั้ง ผมไม่คาดหวังหรือตื่นเต้น แค่นั่งดูเป็นเพื่อน ก่อนจะกลายเป็นนอนหลับเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
“อร่อยไหม” เขามานั่งบนโซฟากับผม หนังในจอเริ่มฉาย ผมพยักหน้าอย่างแรงหนึ่งครั้งแล้วตักไอศกรีมไปจ่อปากเขา เขาไม่ชอบหรอกรสสตรอเบอร์รี่ ผมรู้ แต่ผมก็อยากป้อนรสที่ผมชอบให้เขาลองกิน อาชานยอลยอมกิน ทำหน้านิ่งๆ สงสัยจะไม่อร่อย
“ชิมไหม” เขาจ่อรสช็อกโกแลตที่ปากผมบ้าง ผมอ้าปากงับช้อน รสชาติไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ แต่ผมก็ชอบรสสตรอเบอร์รี่มากกว่าอยู่ดี หลังจากนั้นเราก็เลยต่างคนต่างกิน ก่อนที่ผมจะถูกหนังที่อาเปิดดึงความสนใจไป
“เขาทำอะไร” ผมถามอาชานยอลถึงเนื้อหาในหนัง สิ่งที่เด็กผู้ชายทำดูแปลกประหลาดแต่ก็น่าสนใจ
“ฝึกเต้นบัลเล่ต์”
“บัลเล่ต์?”
“ใช่ เต้นบัลเล่ต์มันต้องฝึก ฝึกตั้งแต่เด็กๆแบบจงอินนี่แหละ”
ผมตั้งใจดูพระเอกที่ชื่อบิลลี่ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่หลับ เนื้อหามันผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อาชานยอลคอยอธิบายให้ผมดูได้ง่ายขึ้นผมจึงดูสนุก ผมชอบมากทุกฉากที่บิลลี่เต้น โดยเฉพาะตอนที่เต้นให้พ่อของเขาดู กับตอนที่เต้นเพื่อสอบเข้าโรงเรียน
“อา…ผมอยากลองเต้นบัลเล่ต์” ผมบอกเขาตอนที่ดูจบ ซึ่งเป็นฉากจบที่น่าประทับใจมาก
อาชานยอลมองผม เหมือนเขากำลังสำรวจว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะส่งไปเรียนบัลเล่ต์
“อยากเรียนจริงๆเหรอ”
“ครับ”
ผมบอกไม่ถูกว่าอะไรเป็นสิ่งกระตุ้นเร้า มันเป็นอย่างแรกที่ผมเกิดความสนใจด้วยตัวเอง ผมอยากลองเต้นดูว่ามันจะรู้สึกยังไง จะเป็นอย่างที่บิลลี่บอกหรือเปล่า แล้วผมจะเต้นได้แบบบิลลี่ไหมหากฝึกฝน ผมอยากรู้
“เดี๋ยวอาบอกพ่อให้”
“พาผมไปเรียนนะ” ผมรบเร้า เขายิ้ม
“ถ้าพ่อไม่ให้เดี๋ยวอาจะส่งเรียนเองเลย”
“รักอาที่สุดเลย!”
“พ่อมาได้ยินเสียใจแน่” ผมหัวเราะ เขาไม่รู้ซะแล้วว่าผมจะพูดเฉพาะตอนพ่อไม่อยู่นี่แหละ
“อาเล่นเปียโนหน่อย ผมอยากเต้น”
“ตอนนี้เลยเหรอ” ผมพยักหน้า ดึงมือเขาลุกจากโซฟาจูงไปที่เปียโน
อาชานยอลบรรเลงเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน ผมขยับร่างกายกระโดดโลดเต้นไม่เป็นท่าทาง หมุนไปรอบๆเปียโน น่าจะเรียกว่าเป็นการกระโดดไม่หยุดแทนที่จะเรียกว่าเต้น ผมเหนื่อยมาก แล้วก็รู้สึกว่ามันสนุกดี และหากว่าผมเต้นเป็นมันอาจจะสนุกกว่านี้ก็ได้
“พอแล้ว เดี๋ยวก็เป็นลม” เขาหยุดเล่นเปียโน กวักมือเรียกผมไปใกล้ๆ ผมหอกแฮ่กๆเข้าไปหา
“สนุกจัง” ผมว่า เขาเห็นเหงื่อพราวบนใบหน้าผมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้มือสากๆลูบหน้าผม
“อาพากลับห้องไปอาบน้ำดีกว่า”
ผมไม่ว่าอะไร ยอมทำตามเขาว่าเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะปฏิเสธแม้จะยังอยากอยู่กับเขาต่อก็ตาม
…
พ่อผมออกจะดีใจตอนที่ผมบอกว่าอยากเรียนเต้น รีบสอบถามคนรู้จักว่าควรให้ผมไปเรียนที่ไหนแล้วพาผมไปสมัคร และแน่นอน ผมขอร้องให้อาชานยอลมาเป็นเพื่อนด้วยอีกคน
“น้องกี่ขวบแล้วคะ” ทางสถาบันสอบถามผู้ปกครองของผม
“เจ็ดครับ” อาชานยอลตอบก่อนพ่อ พ่อผมถึงกับเหลือบมองอา
“เคยเรียนที่ไหนมาก่อนรึเปล่าคะ”
“ไม่เคยครับ” พ่อรีบตอบ คราวนี้อาชานยอลเหลือบมองพ่อ ส่วนหญิงสาวผู้ถามมองคนทั้งคู่สลับกัน เธอให้รายละเอียดเกี่ยวกับคอร์สเรียน พ่อกับอาชานยอลสลับกันตั้งคำถาม ผมนั่งตีขารออยู่บนเก้าอี้ เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กใส่ชุดบัลเล่ต์เหมือนในหนังก็มองตามด้วยความสนใจ
เจ็ดขวบ ใช่แล้ว ผมอายุเจ็ดขวบ กำลังค้นพบสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในชีวิต พบจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่ผมรักจะเดินต่อไปเรื่อยๆ การเต้นนั้นไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับผม เมื่อความสนใจของผมอยู่ที่มัน แม้จะยากผมก็ยินดีทำ ผมเริ่มต้นด้วยความรู้สึกนั้น…แต่ก็มีบางสิ่งเหมือนกันที่ผมรู้สึกว่ามันยาก
ผมเรียนบัลเล่ต์ตลอดช่วงปิดเทอม เป็นช่วงปิดเทอมที่มีความสุข ก็เหมือนในหนังนั่นแหละที่แทบไม่มีเด็กผู้ชายมาเรียน จะมีบ้างสองสามคน แต่ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง เวลาเรียนอะไรมาผมก็ชอบมาเต้นให้พ่อกับอาชานยอลดู โดยมากเป็นท่าพื้นฐาน ผมได้รับกำลังใจจากคนทั้งสองเป็นคำชมเชยตลอดเวลา ทั้งคุณครูก็ยังบอกพ่อว่าผมเป็นเด็กตั้งใจและมีพัฒนาการดีมาก พ่อผมหน้าบานทุกครั้งเวลาผมได้รับคำชมเชย ผมชอบยิ่งกว่าเวลาได้รับคำชมเองเสียอีกเวลาที่เห็นพ่อยิ้มมีความสุขเพราะผม
ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม ทางสถาบันมีการจัดการแสดงและดนตรีสำหรับเด็กๆในสถาบันให้ผู้ปกครองดู คุณครูให้พวกเราซ้อมอย่างดี ผมตั้งใจมาก แต่พอถึงวันจริงแล้วผมกลับไม่อยากขึ้นเวทีเอาซะเลย
นี่แหละสิ่งที่ผมคิดว่ามันยาก…การแสดงต่อหน้าผู้คน
“เป็นอะไร หืม” อาชานยอลมาหาผมกับพ่อที่ห้องตอนเช้า ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ข้างหน้าเป็นชามข้าวที่ผมยังไม่แตะต้อง เอาแต่มองมันเพราะกินไม่ลง
“ผมไม่อยากไปแล้ว” ผมบอก หันไปกอดเอวอาชานยอลที่มายืนข้างๆผม
“งอแงตั้งแต่เช้า กูรอมึงมากล่อม” พ่อว่า พ่อพยายามปลุกใจผมทุกทางแล้ว แต่ผมก็ยังไม่อยากไปอยู่ดี ความรู้สึกกลัว ความตื่นเต้นมันมาจากไหนก็ไม่รู้
“ทำไมถึงไม่อยากไปล่ะ” อาถาม
“กลัว”
“กลัวอะไร”
“กลัวคน”
“กลัวคนเยอะๆเหรอ” ผมพยักหน้า เมื่อวานที่ซ้อมใหญ่บนเวทีกว้างๆ มองไปข้างหน้าเห็นแต่เก้าอี้สีแดงเรียงเป็นแถวจำนวนนับไม่ถ้วน แค่คิดว่าต้องยืนท่ามกลางคนแปลกหน้าเยอะขนาดนั้นผมก็ตื่นเต้นจนขาสั่นไปหมด
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ มีพ่อกับอาอยู่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแหละ จงอินเต้นสวย อาอยากดูจงอินเต้นบนเวที”
“ผมเต้นให้อาดูที่บ้านก็ได้”
“อาอยากดูบนเวที ถ้าจงอินจะเป็นนักเต้น จงอินต้องกล้าขึ้นเวทีนะ”
จริงของอา แม้แต่บิลลี่ก็ยังต้องขึ้นเวที แต่ผมต้องเอาความกล้ามาจากไหนล่ะ
“กินนมซะหน่อย เตรียมตัวไปกันเถอะ อาอยากให้จงอินลองไปดู ถ้าถึงตอนนั้นทำไม่ได้จริงๆจะพากลับ โอเคไหม”
ผมตอบตกลง ใจจริงผมก็อยากเต้น แต่ความกลัวกับความตื่นเต้นมันกลบไปหมด
ข้างหลังเวทีวุ่นวายมากตอนที่ไปถึง พ่อกับอาช่วยกันแต่งตัวให้ผม เด็กผู้หญิงจะแต่งหน้าแต่งตัวกันนานหน่อย พ่อกับอาเลยได้อยู่กับผมสักพักก่อนที่จะโดนเชิญออกไปนั่งรอการแสดงเริ่มข้างนอก
ยิ่งใกล้เวลาผมยิ่งตื่นเต้นจัด อยากจะขอคุณครูกลับบ้าน แต่พอคิดว่าพ่อกับอารอดูอยู่ ผมที่รบเร้าจะเรียนเองตั้งแต่แรกพอนึกถึงข้อนี้แล้วก็ได้แต่ทำใจข่มความกลัว ต้องเผชิญหน้าแทนที่จะหนีความกลัวอย่างที่อาชานยอลคอยบอก
การแสดงของผมอยู่ลำดับกลางๆ ต้องรอเป็นชั่วโมงด้วยความทรมาน และก่อนการแสดงจะเริ่มคิวถัดไปซึ่งเป็นคิวของผมอาชานยอลก็ปรากฏตัวหลังเวทีอีกรอบ
“ถ้าตื่นเต้นมองแค่พ่อกับอานะ นั่งอยู่แถวที่สามตรงกลาง” อาชานยอลรีบบอกก่อนจะโดนกันออกไป แล้วพวกผมก็ถูกต้อนขึ้นไปบนเวที
ไฟข้างหน้าแสบตามาก ผมมองแทบไม่เห็นอะไรเลย ต้องหยีตามอง ยังไม่ทันเจอพ่อเห็นแต่คนแปลกหน้าเพลงก็ขึ้น ผมขาแข็งยืนนิ่งเต้นไม่ออก มันเป็นเวลาอันแสนทรมาน เพลงบรรเลงอย่างช้าๆไหลไปเรื่อย ผมไม่นึกอยากขยับตัวเต้น ได้แต่หันมองเพื่อนๆที่เต้นอยู่รอบๆ แล้วก็หันไปมองข้างล่างอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมเห็นพ่อกับอาชานยอลชัดเจน ทั้งสองคนยืนขึ้น โบกมือไปมาให้ผม แม้จะดูน่าอายแต่ผมก็เอาแต่จ้องพวกเขา เริ่มขยับตัวเป็นท่าทางที่ซ้อมมาหลายครั้ง คิดว่าตัวเองกำลังอยู่ที่บ้านและเต้นไปตามใจ
ครึ่งเพลงหลังผ่านไปด้วยดี เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิด ผมสัมผัสได้ถึงความพิเศษของการแสดงบนเวทีก็ตอนที่มันจบลงแล้ว ตอนที่ทุกคนปรบมือ มีเสียงโห่เชียร์และรอยยิ้ม
เป็นความรู้สึกที่ดีมาก
“จงอิน!”
พ่อมาหาที่หลังเวทีหลังจบการแสดงไม่นาน ผมวิ่งเข้าไปหาแล้วกระโดดกอดพ่อ
“เก่งมากเลยลูกพ่อ” พ่อกอดผมเหวี่ยงไปมา ผมยิ้มกว้างอย่างสบายใจจากที่เป็นกังวลมาทั้งวัน
“ไม่น่ากลัวเลยเห็นไหม” อาชานยอลหยิกแก้มผม ไม่ได้หยิกเบาๆด้วย ผมเจ็บจึงนิ่วหน้าเล็กน้อย พ่อเลยตีมืออาชานยอล
“มือหนัก ไม่เห็นหน้าลูกกูเหรอ”
“หมั่นเขี้ยว” อาชานยอลว่า ผมกุมแก้มตัวเองที่เจ็บแปลบๆ
“กูจะไว้ใจมึงได้ใช่ไหม” พ่อถาม อาชานยอลยิ้มมุมปากแบบปกติเวลาที่เขาชอบกวนพ่อ
“ลูกพี่น่ารัก”
“รู้ว่ามึงหลงจงอิน ถึงบอกให้ไปมีลูกเองสักที”
“มีก็ไม่น่ารักเท่าจงอินหรอก”
พ่อส่ายหัว ผมออกจะดีใจนิดหน่อยที่อาชานยอลชม
“อาเห็นผมเต้นไหม” ผมถามอาชานยอล
“เห็นสิ อาดูอยู่”
“คราวหน้าอาต้องมาดูผมทุกครั้งเลยนะ”
“อืม อาจะมาทุกครั้งเลย”
พูดจบอาชานยอลก็ดึงตัวผมเข้าไปหาและจุ๊บปากผมหนึ่งที ซึ่งนี่เป็นข้อห้ามขาดของพ่อ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำ พอพ่อเห็นก็ว่ายกใหญ่และบอกว่าผมไม่สามารถจุ๊บปากผู้ชายได้นอกจากพ่อคนเดียว อาชานยอลก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่นี่ก็ไม่รู้ว่าเขานึกยังไงถึงทำต่อหน้าต่อตาพ่อให้โดนด่าอีก พ่อสบถพร้อมฟาดหัวอาชานยอลอย่างแรง
“อย่าให้เห็นอีกนะ” พ่อทำหน้าตาจริงจัง อาชานยอลยักไหล่สบายๆ
“กลัวอะไรวะพี่” อาถามพ่อ
“มันเป็นเรื่องความเหมาะสม มึงไม่เป็นพ่ออย่างกูนี่” อาชานยอลไม่ว่าอะไรต่อ ไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ
ผมเองเด็กเกินกว่าจะมีสิทธิ์มีเสียงพูดอะไร ไม่รู้ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม เพียงแต่ถ้าถามผมว่าสิ่งที่พ่อห้ามอาชานยอลทำอย่างการเอาปากมาโดนกันรู้สึกดีไหม ผมก็คงตอบว่ารู้สึกดี…
#ficLostOnYou
--------------------------------------------------------------------------------------------------
จงอินจะค่อยๆโตนะ ใจเย็นๆ
หนังที่พูดถึงในตอนนี้เมนจงอินคงรู้จักเรื่อง Billy Elliot
หนังที่เป็นแรงบันดาลใจของจงอิน หนังดีมาก ส่วนตัวก็ชอบ แนะนำเลยถ้าใครไม่เคยดู
ความคิดเห็น