คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ไกลแค่ไหนคือใกล้
-3-
ไกลแค่ไหนคือใกล้
เย็นวันนั้นหลังแยกกับจงอิน ผมก็เดินกลับหอตัวเองโดยไม่พึ่งพารถประจำทาง
ในหัวผมมีแต่คำของเขาวนไปวนมา และนั่นเองทำให้ผมรู้ว่าตัวเองแคร์ผู้ชายที่ชื่อคิมจงอินมากกว่าที่เคยคิด แววตาของเขา คำพูดของเขามีผมกระทบต่อความรู้สึกผมจนน่าหวาดหวั่น
มันน่าหวั่นกลัวที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บหากยังไม่เลิกคิดถึงคนๆนี้ แต่ก็ดูเหมือนจะถอยหลังกลับไม่ทันแล้ว
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกและระบายความอัดอั้นออกมาผ่านลมหายใจ
ความรู้สึกที่มีต่อเขาเข้มข้นจนยากปฏิเสธ ยากจะลบล้างมันออกไปง่ายๆเพียงแค่คำพูดตัดรอน ผมไม่รู้ว่ามีความรู้สึกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อยากจะนึกโทษคริสที่พยายามดึงเราให้มาใกล้ชิดกัน ให้ผมถลำลึกลงเรื่อยๆอย่างห้ามไม่ได้
อีกครั้งที่ผมนึกถึงแววตาที่เขามองผม...
คำถามเดียวที่ผมอยากรู้คือทำไม...เขากำลังคิดอะไรอยู่ สับสน หรือหวาดกลัวอะไรผมถึงมองแบบนั้น
ผมอยากจะรู้จริงๆ...
...
ฤดูกาลสอบของพวกเรามาถึงแล้ว
พวกผมเคร่งเครียดกว่าที่เคยเป็นเพราะนี่เป็นเทอมสุดท้ายของการเรียน หลังจากนี้ก็มีแค่การแสดงปลายภาคอีกหนึ่งครั้งก็จะถึงเวลาที่เราจะต้องแยกย้ายต่างคนต่างเดินในเส้นทางของตัวเอง
ผมยังคงเจอกับจงอินอยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะไม่มีเรื่องติวหนังสือแต่กลุ่มผมกับจงอินก็คล้ายจะกลมกลืนเป็นกลุ่มเดียวกัน โต๊ะประจำของเราก็กลายเป็นโต๊ะตัวเดียวกัน ความพยายามของคริสที่จะช่วยผมสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจอยู่ดี ในความรู้สึกคริสความสัมพันธ์ของผมกับจงอินคงดูไม่คืบหน้า แต่แท้จริงแล้วตัวผมเองรู้ว่าไม่ใช่แค่ไม่คืบหน้า แต่ยังไม่มีความหวังอีกด้วย
หลังจากวันนั้นที่เขาบอกว่าไม่ชอบสายตาของผม ผมก็พยายามอย่างหนักที่จะเอาสายตาตัวเองออกห่างจากเขา ผมมองเขาน้อยลง พยายามหลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้ถึงจะยากเต็มที และหวังว่าเขาคงจะพอใจ
“เสาร์นี้ก็แข่งแล้ว พวกพี่จะไปดูรึเปล่า" แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นถามเมื่อพวกผมเดินมาถึงโต๊ะ คำถามนี้ถูกถามมาสองสามครั้งแต่พวกเรายังไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนสักที สายตาทั้งคริสและเลย์มองที่ผมเหมือนบอกว่าให้ผมเป็นคนตัดสินใจ และผมก็เลือกที่จะเงียบทุกครั้งที่ถูกถาม
“ไปสิ" พวกแบคฮยอนร้องออกมาอย่างดีใจที่ได้กองเชียร์เพิ่มทันทีที่ผมพูด คราวนี้ผมตัดสินใจตอบตกลง ผมไม่คิดอะไรให้มากความ ทำตัวเหมือนปกติ พยายามไม่มองไปทางเขา ทั้งที่รู้สึกว่าสายตาเขาหยุดมองที่ผมอยู่
“คิดว่าพวกเฮียจะไม่ไปซะแล้ว" จื่อเทาพูดยิ้มๆ
“อุตส่าห์ไปเชียร์ ห้ามแพ้เด็ดขาดนะเว้ย ถ้าชนะเดี๋ยวเลี้องมื้อใหญ่" ไอ้คริสทำตัวป๋า น้องๆก็ตาลุกวาวเตรียมถล่มกันเต็มที่
“งั้นเฮียรอเจ๊งได้เลย" เซฮุนสวนด้วยความมั่นอกมั่นใจ
จงอินเป็นคนเดียวที่ไม่พูดอะไรเหมือนปกติเมื่อมีพวกผมอยู่ด้วย จนบางครั้งผมนึกอยากเห็นด้านอื่นของเขาอย่างวันที่เมานิดๆและเถียงกับผมในห้องน้ำ แอบคิดชั่วร้ายไปก่อนล่วงหน้าขอให้เขาชนะการแข่งขันเพื่อที่จะได้เห็นเขาเมาอีกเป็นครั้งที่สอง
“เออ พี่ชานยอล มีคนฝากมาขอเบอร์" เซฮุนบอกผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“ใคร"
“ฮยอนอา เพื่อนผมเอง มันดังออกนะ พี่รู้จักรึเปล่า"
“ชื่อคุ้นๆ"
“ชานยอล มึงเคยจำใครได้บ้าง นี่น้องฮยอนอาเลยนะ ใครก็รู้จัก แล้วไหงมาขอเบอร์มึงซะได้" ไอ้คริสทำพูดแล้วทำท่ากวนตีนมองผมหัวจรดเท้า
“โห เฮีย พวกเฮียก็ดังน้องซะเมื่อไหร่" แบคฮยอนว่า
“ตกลงให้ผมเอาเบอร์ไปให้ไหม แต่ผมยังไม่มีเบอร์พี่ชานยอลเลยนะ ไม่มีของพี่อยู่คนเดียวเนี่ย" เซฮุนขอเบอร์ผม ในขณะที่ผมคิดหนัก อดเหลือบสายตาไปมองจงอินไม่ได้ ผมเห็นจงอินขมวดคิ้ว จ้องมองไปตรงไหนสักที่ไกลออกไป
“ก็เอาไปสิ แล้วเอาเบอร์พวกเรามาให้พี่ด้วย ทั้งสี่คนเลย พี่ยังไม่มีของใครสักคน" ผมพูด ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ นึกได้ว่าผมก็ยังไม่มีเบอร์เขาเหมือนกัน ผมบอกเบอร์ตัวเองแล้วก็ยื่นมือถือให้เซฮุนกดเบอร์เพื่อนๆให้ผม
“ร้ายว่ะ" ไอ้คริสพูดลอยๆ พวกน้องๆคงคิดว่ามันพูดเรื่องผู้หญิง แต่พวกผมสามคนรู้ว่ามันพูดเรื่องที่ผมหาเรื่องเอาเบอร์จงอินมามากกว่า
ตอนที่เซฮุนกำลังกดเบอร์เพื่อนๆบันทึกเข้าเครื่องผม ผมแอบเห็นเขามองแบบไม่ชอบใจนักแต่ก็ไม่ได้ห้ามเพื่อน ผมทั้งแปลกใจและโล่งใจในคราวเดียวกัน ถึงแม้ผมยังไม่รู้ว่าที่ได้เบอร์มาจะโทรหาเขารึเปล่าด้วยซ้ำ
สองสามวันผ่านไปก็ถึงวันสอบวันสุดท้าย
ช่วงเวลาเป็นอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นนอกจากการสอบ แต่เขาก็มักเข้ามาในหัวสมองผมอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องอยู่ห้องคนเดียว บางครั้งผมคิดถึงเขา บางครั้งผมก็กดดูเบอร์ของเขา นิ้ววางค้างที่ปุ่มโทรออกแต่ไม่เคยโทรออก กดข้อความแล้วลบซ้ำแล้วซ้ำอีกสุดท้ายก็ไม่ได้กดส่ง กลับกลายเป็นฮยอนอาที่โทรมาหาผมบ่อยๆในเวลาที่ผมฟุ้งซ่าน เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยมจนผมอยากจะแบ่งความกล้าของเธอมาสักนิด เธอกล้าที่จะโทรมาหาผมและก็บอกตามตรงว่าอยากคุยด้วยทั้งที่ไม่มีธุระอะไร ซึ่งผมรู้สึกชอบสิ่งนี้ในผู้หญิงทุกคนที่กล้าเข้ามาหาผม
ความต้องการของฮยอนอาชัดแจ้งเหมือนคนอื่นๆ เธอไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ผมกลับไม่คิดจะตอบสนอง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอเป็นเพื่อนกับเซฮุน และเซฮุนก็เป็นเพื่อนสนิทของจงอิน นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือในตอนนี้ไม่มีใครทำให้ผมสนใจได้เท่ากับเขา
ผมวางสายจากฮยอนอาหลังจากคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง รู้สึกเงียบเหงาขึ้นมาทันทีที่ต้องอยู่เงียบๆคนเดียวในห้อง เวลานี้ประมาณเที่ยงคืน ข้างนอกเงียบสนิท เห็นเพียงดวงไฟเล็กๆจากตึกไกลออกไป ผมหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่น ในหัวไม่ได้คิดอะไรแต่นิ้วมือกลับดีดออกมาเป็นเพลงทำนองเศร้าๆเพลงหนึ่ง
ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีจากที่วางสายจากฮยอนอาใจผมกลับคิดถึงเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้นอนหรือยัง อาจจะนอนแล้วก็ได้เพราะพรุ่งนี้มีแข่ง เห็นซ้อมแต่ละวันก็หนักใช่เล่น นึกถึงเวลาที่เขาเต้นแต่ละครั้งแล้วผมแทบไม่อยากกะพริบตา อารมณ์ต่างๆบนสีหน้าล้วนแล้วแต่ทำให้ใจผมเต้น ทั้งร้อนแรงและน่าทึ่ง ผมไม่เคยเห็นใครเต้นแล้วน่ามองเท่าเขามาก่อน
ผมหยุดมือจากกีตาร์ หยิบมือถือข้างหัวเตียงขึ้นมา เลื่อนลงไปถึงชื่อเขาแล้วจ้องอยู่นานสองนาน
คงจะหลับแล้ว...ผมคิด
ผมกดเลื่อนเขาไปเขียนข้อความแทน ใจนึงก็คิดว่าเขาอาจจะไม่ได้เห็นถึงกล้าพิมพ์ข้อความลงไป พอพิมพ์เสร็จก็รีบกดส่งไปอย่างรวดเร็วไม่ให้ตัวเองลังเลอะไรอีก
'พรุ่งนี้ทำเต็มที่นะ ฝันดีครับ'
หากไม่กล้าลองดูก็คงไม่รู้...
เขาจะชอบหรือไม่ชอบผมยังเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ผมต้องลองดูสักตั้ง
...
บรรยากาศของเวทีการประกวดแข่งขันค่ายเพลงเอสเอ็มเอนเตอร์เทนเมนท์คึกคัก คราคร่ำไปด้วยเหล่าวัยรุ่นที่มาเชียร์เป็นจำนวนมาก บ้างก็มีป้ายเชียร์อันใหญ่ บ้างก็มีป้ายไฟ พวกผมสามคนฝ่าฝูงชนเข้าไปหาที่นั่งเหมาะๆรอดูการแข่งขันที่อีกไม่นานก็คงเริ่ม
“มึงสองคนทำเพลงเสร็จรึยัง ว่าจะส่งให้ที่นี่ไม่ใช่เหรอ"คริสถามผมกับเลย์ขณะรอให้ถึงเวลาแข่งขัน
“ใกล้วแล้ว พอเสร็จแล้วก็คงลองส่งให้ทุกค่าย ไม่เฉพาะแค่ที่นี่หรอก" ผมตอบ คริสก็พยักหน้ารับรู้ ผมกับเลย์สนใจดนตรีอย่างจริงจังเลยทำเพลงด้วยกัน แต่คริสมันสนใจการแสดงมากกว่า แล้วตอนนี้มันก็มีงานเดินแบบ ถ่ายแบบเข้ามาเรื่อยๆ อนาคตคงจะแยกไปทางนั้นเพียงคนเดียว
“ถ้าน้องจงอินของมึงชนะเขาก็ได้อยู่ที่นี่ มึงจะไปอยู่ค่ายอื่นได้ไง" ไอ้คริสคิดแทนผมอีกแล้ว และมันก็ทำให้ผมคิดตาม
“ถ้าอะไรมันง่ายๆอย่างที่มึงคิดก็ดีนะคริส แต่มึงคิดบ้าง ค่ายนี้ใหญ่ขนาดไหน ใช่ว่าจะเข้ากันได้ง่ายๆ" ผมพูดตามที่เห็นเป็นจริง ไม่อยากเพ้อฝัน แต่คริสกลับพูดยิ้มๆตอบกลับผมทันที
“มึงกับเลย์ก็ไม่ใช่ธรรมดา ค่ายไหนที่ปล่อยพวกมึงไปนั่นแหละที่โง่ มึงอย่าดูถูกตัวเอง" คริสพูดจบ เสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นเพราะบนเวทีการแข่งขันทีมแรกเริ่มแล้ว ผมจึงได้แต่ยิ้มให้กับคำชมและกำลังใจของมัน
บนเวที บรรดาเด็กวัยรุ่นที่หลงใหลการเต้นกำลังแสดงศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาฝึกฝนกันอย่างหนักเพื่อเวทีนี้ เพื่อสร้างโอกาสในเส้นทางบันเทิงในวันข้างหน้า คนข้างล่างดูด้วยอารมณ์สนุกสนานส่งเสียงอึกทึกโห่ร้อง ส่วนคนบนเวทีกำลังแข่งกันว่าใครจะเปล่งแสงได้มากกว่ากัน นอกจากความสามารถแล้วใครที่สามารถเป็นที่จับตาของคนได้มากกว่า คนๆนั้นก็ถือว่าได้เปรียบ มันเรียกอีกอย่างว่าเสน่ห์ และสิ่งๆนี้ก็สำคัญเกือบเทียบเท่ากับความสามารถ
คงไม่ต้องบอกว่าสำหรับผม...ใครที่ดูเจิดจ้าที่สุด
แค่เขาเดินขึ้นมาบนเวที ผมก็ไม่สนใจใครคนอื่นแล้ว
เสียงเพลงที่กระหึ่มกึกก้อง ผมได้ยินมันเพียงบางเบาแค่เขาเคลื่อนไหว แสงไฟทำให้เขายิ่งโดดเด่น ดูพริ้วไหวสวยงาม ผมชอบเวลาที่เขาเต้นและมีรอยยิ้มติดที่มุมปาก เขาดูมีความสุขจนพวกเราที่ดูอยู่รับรู้ได้ รู้สึกได้ถึงสิ่งนั้น นั่นแหละเสน่ห์ของเขา
จงอิน เซฮุน แบคฮยอน และจื่อเทาเรียกเสียงจากกองเชียร์ข้างล่างได้กึกก้องยาวนานเมื่อทุกคนปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องแสดงความประทับใจ ในตอนนี้เหมือนกับว่าที่นี่คือคอนเสิร์ตที่คนมาเพื่อดูพวกเขาโดยเฉพาะ
ผมจ้องมองจงอินตรงๆ เก็บเกี่บวช่วงเวลาที่จะสามารถจะทำได้โดยไม่ทำให้เขาอึดอัด แต่ยิ่งมองก็ยิ่งมีผมเสียต่อตนเองที่ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ยังไง ถ้าจงอินเป็นผู้หญิงผมจะไม่ลังเลที่จะเข้าหาแม้แต่น้อย แต่นี่เขาเป็นผู้ชาย ตัวผมเองผมยอมรับได้ แต่กับเขาอาจจะยอมรับไม่ได้ก็ได้ถึงแสดงออกว่าอึดอัดเวลาที่โดนผมจ้องมอง และหากผมรุกเข้าหาเขามากๆก็อาจจะทำให้เขาเกลียดผมเลยก็ได้ เพราะผมรู้ว่าจงอินเป็นคนหัวดื้อ หากดันทุรังจะเข้าหา เขาก็คงจะผลักไส
มีแต่ต้องวนเวียนอยู่รอบๆอย่างที่ทำอยู่นี่แหละ เป็นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้
“กูว่าชนะชัวร์" คริสออกความเห็น พวกเราดูการแข่งขันจนครบหมดทุกทีมแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่รอประกาศผล
“กูก็ว่างั้น ไม่ได้ลำเอียงเลยนะเนี่ย" เลย์เองก็ว่าอย่างนั้น ส่วนผมไม่ได้พูดอะไร พูดแล้วจะหาว่าลำเอียง
“เต้นดีกว่าตอนซ้อมอีก กูโดนถล่มแน่นอนเลยว่ะ" ไอ้คริสพูดไปคลำหากระเป๋าตังค์ตัวเองไป
“แล้วถ้าชนะเลี้ยงไหน ร้านพี่ยุนโฮไหม"ผมถาม
“ร้านพี่ยุนโฮก็ดี คุยกันได้ เผื่อเขาจะลดให้น้องๆบ้าง"
“ทำเป็นจน แค่นี้มึงไม่กระเทือนหรอกไอ้คริส" ผมหมั่นไส้มันเลยกัดมันเล่นซะหน่อย
“ก็พ่อกูกระเทือนนี่"
“สัตว์ พ่อมึงยิ่งไม่กระเทือน" ผมพูดแล้วไอ้คริสมันก็หัวเราะ
“เลย์ มึงล่ะวันนี้ไปได้รึเปล่า" ผมหันไปถามเลย์เพราะมันไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวกับพวกผมเท่าไหร่ พ่อแม่มันค่อนข้างเข้มงวดและขี้เป็นห่วง ทั้งที่มันก็อยู่มหาลัยแล้วแต่ก็ทำอย่างกับมันอยู่ประถม จะขอให้มันไปเที่ยวด้วยกันทีผมกับคริสต้องช่วยกันขอให้ และด้วยเหตุนี้พวกผมก็เลยไม่กล้าขอบ่อยๆเพราะจะทำให้เราเป็นเพื่อนที่ดูเกเรไม่น่าคบ
“ถ้าน้องมันชนะจริงๆกูก็อยากไป" เลย์ตอบแล้วก็มองไปที่คริส
“เออๆ ไม่ต้องมองเดี๋ยวพาไปขอพ่อให้" เลย์ยิ้มจนเห็นลักยิ้มเหมือนเด็กๆที่จะได้ไปเที่ยว คริสเห็นแล้วเหมือนเกิดหมั่นเขี้ยวเลยขยี้หัวไอ้เลย์แรงๆจนหัวมันยุ่งแล้วก็เป็นคนลูบผมกลับเข้าที่เข้าทางให้เหมือนเดิม ผมรู้สึกได้เลยว่าผู้หญิงรอบข้างที่คอยชำเลืองมาที่พวกเราอยู่บ่อยๆตอนนี้หันมองมันสองคนอย่างสนอกสนใจอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
ผมเลิกสนใจเพื่อนแล้วมองไปบนเวทีอีกครั้ง ตอนนี้ทุกทีมรวมตัวกันอยู่บนนั้นพร้อมๆกับช่วงเวลาตัดสินที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ จงอินคว้ามือเซฮุนมากุมด้วยความตื่นเต้น เขากัดริมฝีปากแน่นข่มความรู้สึก พิธีกรประกาศไล่ตั้งแต่อันดับที่สาม ไม่ใช่ชื่อวงพวกเขา อันดับที่สอง ก็ไม่ใช่
ชื่อวงของจงอินถูกประกาศในรางวัลที่หนึ่งเหมือนที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้
น้องๆสี่คนกอดกันแน่นบนเวที ทุกคนมีน้ำตาคลอ เป็นความสำเร็จที่พวกเราต่างก็ดีใจไปด้วย
“เฮีย!” แบคฮยอนวิ่งเข้ามาหาพวกผมหลังจากที่งานจบสิ้น มันกระโดดเข้ากอดคริส กอดผม และกอดเลย์ด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ เพื่อนๆอีกสามคนก็เดินตามมาหลังจากปลีกตัวมาจากเพื่อนๆที่มาเชียร์พวกมันได้
“ยินดีด้วยนะ" ผมเดินไปยืนข้างๆแล้วบอกกับเขา ตอนนี้รอบด้านไม่มีใครที่สนใจเราอยู่
“ขอบคุณครับ" จงอินหันมามองผมแล้วยิ้มให้ เวลานี้เขาคงอารมณ์ดีเสียจนไม่มีเวลามาคิดอย่างอื่น และเขาคงไม่คิดอะไรมาก ผิดกับผมที่หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที
“จงอิน มาถ่ายรูป!" จื่อเทาตะโกนเรียก เขาจึงเดินออกไปทิ้งให้ผมที่ยังตั้งตัวไม่ทันกับปฏิกิริยาของเขายืนค้างอยู่อย่างนั้น
ผมบอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกยังไง รู้แค่ว่าผมชอบรอยยิ้มของเขา
และรู้สึกโลภ อยากให้เขายิ้มให้ผมอีก
“คืนนี้เจอกันที่ร้าน พาเพื่อนมาได้เต็มที่ เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
“เฮ"
พวกน้องๆเฮลั่นเมื่อคริสประกาศ พวกเราแยกตัวออกมาก่อนเพื่อไปที่บ้านเลย์ขออนุญาตพ่อแม่มัน คริสคิดไว้ว่าอาจให้เลย์มาค้างบ้านมันเพราะพวกเราคงเมาเละเทะอยู่ในสภาพไม่น่าดูสำหรับพ่อแม่เลยคิดแก้ปัญหาล่วงหน้าไว้ก่อน
ผมปล่อยให้คริสไปกับเลย์สองคนส่วนตัวเองกลับมาที่ห้อง แน่ใจว่าคริสไปขอ ยังไงพ่อแม่เลย์ก็ให้ ผมกลับมาก็หลับไปประมาณสองชั่วโมง ตื่นมาก็อาบน้ำแต่งตัวก่อนจะโทรหาคริสว่ามันอยู่ไหน แล้วบอกให้มันมารับเพราะขี้เกียจไปเอง
คริสกับเลย์มารับผมไปที่ร้านตอนค่ำๆ ผมโทรจองโต๊ะข้างในกับพี่ยุนโฮเอาไว้แล้วตอนกลับมาที่ห้อง พี่ยุนโฮเลยบอกว่าจะปิดส่วนข้างในทั้งหมดไว้ให้สำหรับพวกเราโดยเฉพาะ
วันนี้คริสเลี้ยงทั้งรุ่นน้องและนัดเลี้ยงเพื่อนมาฉลองสอบเสร็จด้วยเลยมีคนคุ้นหน้าอยู่เต็มไปหมด ผมหันมองรอบๆ มีรุ่นน้องมากันแล้วจำนวนหนึ่ง และก็กลุ่มเพื่อนๆที่คณะของเรา แต่ก็ยังไม่มีเขา ผมเข้ามาดื่มกับกลุ่มเพื่อนก่อนประมาณหนึ่งชั่วโมงวงซูโฮก็ขึ้นเล่นบนเวทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กลุ่มแบคฮยอนมาถึงพอดี คริสพาผมกับเลย์ย้ายตัวมาที่โต๊ะรุ่นน้องบ้าง ดูเหมือนว่ามันจงใจจะพาผมมายืนข้างจงอินเลยด้วยซ้ำ
“ดื่มๆๆ ใครไม่เมาห้ามกลับบ้าน" คริสเริ่มปฏิบัติการณ์มอมเหล้ารุ่นน้อง ชวนชนไม่หยุด โดนกรอกกันถ้วนหน้า ผมเห็นจงอินโดนเพื่อนขอชนอยู่ตลอดเพราะใครๆก็เข้ามายินดีที่เขาแข่งชนะ จากครั้งที่แล้วที่เห็นว่าเป็นคนคออ่อนผมเลยเป็นห่วงต้องคอยมองอยู่ตลอด ผ่านไปไม่เกินครึ่งชั่วโมงเขาก็เซมาชนผมอยู่หลายครั้งแต่ก็เหมือนจะไม่รู้ตัวเท่าไหร่
“เมาแล้ว อย่าดื่มอีกเลย"ผมก้มลงกระซิบบอกเขา เขาก็หันมาขมวดคิ้วมองผม
“เรื่องของผม" มาอีกแล้วอาการนี้ ผมยิ้มออกมานิดๆเพราะปกติเขาเลือกที่จะไม่พูดกับผมมากกว่า เฉพาะเวลาแบบนี้เท่านั้นที่เขาจะเถียง
“ครับๆ พี่ไม่ยุ่งก็ได้" ผมลองยอมอ่อนข้อให้ พอได้ยินแบบนั้นเขาก็หันกลับไปไม่ได้สนใจผมอีก เขาสนใจคนที่อยู่ตรงกันข้ามที่ยื่นแก้วมาชนแล้วชนอีกหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งคนๆนั้นก็คืออีแทมิน
ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนักกับสิ่งที่แทมินทำแต่ก็ไม่มีสิทธิจะไปห้ามอะไร เวลาผ่านไปนานเข้าเขาก็เริ่มเอนซบเซฮุนเหมือนจะทรงตัวไม่ไหวแล้วจริงๆผมเลยหาเก้าอี้มาให้จงอินนั่ง
“เซฮุน ดูจงอินอย่าให้ดื่มอีก พี่ว่าไม่ไหวแล้วมั้งน่ะ"
“มันไม่เป็นไรหรอกพี่ แค่มันเมาแล้วมันจะง่วง จะนอนลูกเดียว" เซฮุนบอก ลูบหัวเพื่อนที่ซบมันเบาๆ
“ตอนนี้ขอเชิญแขกพิเศษเราปาร์คชานยอล นักร้องคนดังของมหาลัยขึ้นมาร้องเพลงด้วยครับ"
ผมหันไปทางเวทีทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง พวกเพื่อนพวกรุ่นน้องก็เรียกชื่อผมออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ปาร์คชานยอล! ปาร์คชานยอล! ปาร์คชานยอล!”
เรียกกันขนาดนี้ผมก็ต้องเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ให้ร้องเพลงอะไร"ผมถามซูโฮ
“ตามใจมึงเลยครับเพื่อน" มันว่า ผมหยุดคิดสักพักก่อนจะหันไปบอกชื่อเพลงกับวง แล้วก็ขอกีตาร์มาหนึ่งตัว
ผมเลือกที่จะเล่นเพลงช้า มันให้ผมเลือกเองและผมก็เลือกเพลงนี้เพราะเป็นเพลงแรกที่ผุดเข้ามาในหัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันเป็นเพลงช้าหรืออะไรที่ทำให้ข้างล่างทุกคนหยุดฟัง ทุกคนกำลังมองที่ผม
และเขาก็กำลังมองที่ผมเช่นเดียวกัน
จะมีก็แต่เวลาแบบนี้เท่านั้นที่เขามองสบตากับผมตรงๆไม่หลบเลี่ยงเพราะเขามีสิทธิที่จะมอง แม้ผมจะจ้อง เขาก็ไม่หลบ
ผมมองอยู่ที่เขาขณะที่ร้องเพลง ใช่ ผมร้องเพลงนี้ให้เขา ถ้านี่คือคำถามที่เขาต้องการถามผ่านแววตา
สิ้นตัวโน๊ตสุดท้ายทั้งเพื่อนทั้งรุ่นน้องก็เป่าปากกันเกรียวจนผมตกใจ
“ปาร์คชานยอล มีคนฝากถามว่าร้องเพลงนี้ให้ใคร" ซูโฮถามออกไมค์แล้วยื่นไมค์มาที่ผมอย่างรอคำตอบ
“ไม่บอกครับ เดี๋ยวเจ้าตัวตกใจ" ผมพูดติดตลกแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน เรื่องอะไรจะบอก
“อนาคตนักร้องไอดอลเรามีความลับซะแล้ว ใครอยากรู้ตามสืบกับเอาเองเลยนะครับ" ซูโฮว่าแล้วพูดเข้าเพลงสนุกสนานเพลงต่อไป บรรยากาศครึกครื้นของร้านเลยกลับมา
ผมกลับมายืนข้างๆเขาเหมือนเดิม เห็นเขายกแก้วขึ้นดื่มอีกแล้ว เซฮุนก็หายไปสงสัยจะเข้าห้องน้ำ เขายกแก้วขึ้นกระดกเหมือนกินน้ำเปล่า ไม่เข้าใจเลยว่าจะดื่มไปทำไมมากมายนัก
เราอยู่กับจนถึงเวลาปิดร้าน คนที่ไม่เมาเห็นกันอยู่นับคนได้ นอกนั้นก็ต้องกอดคอลากกันออกไป
“กลับยังไงกันบ้างพวกเรา" คริสถามรุ่นน้องที่เหลือกันอยู่ไม่กี่คน
“เดี๋ยวพวกผมนั่งแท็กซี่กลับครับ" แบคฮยอนที่ตาเยิ้มยังมีสติพอจะตอบ
“จงอินบอกให้ผมเป็นคนไปส่ง" แทมินบอกกับพวกเรา ทำหน้าตาย ผมรู้อยู่ว่าที่แทมินพูดนั่นโกหกชัดๆ แต่จงอินเวลานี้ที่หลับอยู่บนหลังเซฮุนไม่มีโอกาสได้พูดแก้ตัวไห้ตัวเองเลย
“แทมินไม่ได้เอารถมานี่ อย่าลำบากเลย เดี๋ยวพี่ไปส่งพวกน้องๆเอง" คริสมองที่ผมแล้วพูดขึ้นแทน แทมินนิ่งไปมองที่จงอินสักพักก็ตัดสินใจยอมถอยและขอตัวกลับบ้านไป
“กูให้ยืม" คริสยัดกุญแจรถใส่มือผม
“แล้วมึงกลับยังไง"
“เดี๋ยวโทรให้ที่บ้านมารับแล้วก็ให้ไปส่งไอ้พวกนี้ด้วย ส่วนเลย์ก็นอนที่บ้านกู มึงไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แค่เอาจงอินไปส่งที่บ้านก็พอ" คริสพูดกับผมให้ได้ยินกันสองคน พูดจบมันก็หันไปหาเซฮุน
“พาจงอินไปที่รถพี่เลย เดี๋ยวให้ชานยอลมันไปส่งจงอินที่บ้านเพราะบ้านมันทางเดียวกัน"
เซฮุนมองผมอย่างคลางแคลงใจ แววตาสงสัยในอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาแล้วพาจงอินไปส่งที่รถ
“พาเพื่อนผมกลับดีๆล่ะ" เซฮุนบอก ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ตีความได้หลากหลาย
“บ้านจงอินอยู่ตรงไหน พี่ไม่เคยเข้าไป" เซฮุนเอียงคอไปมายังไม่ตอบทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการเมาหรืออะไร
“พี่ถามมันเอาเองแล้วกัน" พูดจบก็ไปซะเฉยๆ เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนเพื่อรอรถของที่บ้านคริสมารับ ผมโบกมือลาคริสกับเลย์ที่ยืนอยู่ไกลๆก่อนจะขึ้นรถ
เวลาตีสองกว่าๆ ผมขับรถไปตามถนนที่เกือบร้าง กับเขาที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ
แม้รถของคริสจะเครื่องแรงแค่ไหน ผมกลับขับมันอย่างเชื่องช้า มันเป็นเวลาที่ทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอรถหยุดตรงไฟแดงผมก็หันไปมองเขา
ชั่วเวลาเงียบสงบของผมมันแสนสั้น ต่อให้อยากยืดออกไปยังไงก็มาถึง ผมหยุดรถตรงแถวๆสวนสาธารณะเพื่อปลุกเขา ต่อจากนี้แล้วผมก็ไม่รู้ว่าบ้านเขาอยู่ตรงไหน
“จงอิน" ผมเขย่าแขนเบาๆเรียก แต่มันก็คงเบาไปจริงๆเขาถึงไม่ตื่น
“ตื่นก่อน บ้านอยู่ที่ไหน จะได้ไปส่งถูก" ผมเขย่าแรงขึ้น
“อืออ" เขาสะบัดแขนออกอย่างรำคาญ ไม่คิดว่าเลยว่าจะเป็นคนปลุกยากขนาดนี้
“ไม่บอกก็ไปนอนห้องพี่นะ" ผมเรียกอยู่สักพักเมื่อไม่มีประโยช์เลยลองถามคำถามนี้
“อืออ"
ผมถือว่าเขาตกลง ขับรถตรงมาอีกไม่ไกลก็เลี้ยวเข้าหอตัวเอง จับเขาแบกขึ้นหลังพาขึ้นมาบนห้อง ผมเริ่มนึกถึงรอยยิ้มของเซฮุนตอนที่บอกให้ผมถามจงอินเอาเอง เซฮุนคงอยากจะรู้ว่าผมจะทำยังไงกับเพื่อนของตัวเอง หรือง่ายๆคือลองใจผม
ผมวางจงอินลงบนเตียง ถอดรองเท้าถุงเท้าให้แล้วเดินเข้าห้องน้ำมาหาผ้ามาเช็ดหน้า
สิ่งที่ผมทำอยู่นั้นมันยากกับใจตัวเองมากเลยทีเดียวเมื่อผมลูบผ้าชุบน้ำไปตามใบหน้าและลำคอของเขา คนที่นอนอยู่ตรงหน้าทำให้ใจผมเต้นแรง ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆผมก็ไม่อยากให้เขาไปไหน ยิ่งเขายิ้มให้ผมอย่างวันนี้ผมก็อยากให้เขายิ้มให้ผมทุกวัน
ทำไมความรู้สึกนี้มันรุนแรงนัก
ผมไล้นิ้วเบาๆที่แก้มของเขา ไล่เรื่อยมาจนถึงริมฝีปาก
รู้สึกตัวอีกทีก็โน้มตัวลงไปใกล้เขามากๆแล้ว ผมหยุดมองเขา คิดแล้วก็คิด ผมไม่อยากเป็นคนฉวยโอกาสถึงแม้จะแค่จูบ แต่เพราะเขาสำคัญ ผมถึงให้ความสำคัญ ไม่อยากเอาเปรียบ ถ้าจะทำคงทำตอนเขารู้สึกตัวและยอมโดนเขาด่ามากกว่ามาแอบทำแบบนี้
แต่ก็นั่นแหละ มานอนอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่ใช่คนดีนักหรอก...
ผมเลือกที่จะละสายตาจากริมฝีปากของเขา
และกดจมูกลงเบาๆที่แก้มของเขาแทน...
ความคิดเห็น