คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Lost On You 13
Lost on You
[13]
กลับจากอเมริกา ผมขึ้นมัธยมปลายปีที่สอง เป็นช่วงปีที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
ประสบการณ์ตอนปิดเทอมมีผลกระทบกับแทมินพอสมควร พี่ชายของผมซึมเศร้าไปนิดหน่อย ผมพอเข้าใจเพราะคิดถึงตัวเองตอนห่างกับอาชานยอล เศร้า คิดถึง แล้วก็เหม่อลอยบ่อยๆ แต่แทมินปกติเป็นคนร่างเริงอารมณ์ดีจึงมีวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองแตกต่างไปจากผม นั่นคือไม่ค่อยปล่อยให้ตัวเองคิด แทมินคงไม่ชอบความทรมาน ไม่อยากทรมานเพราะความคิดถึง เลยเอาแต่ชวนผมเต้นจนดึกดื่นทุกวัน ทำให้ตัวเองเหนื่อยจนหลับ ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านถึงคนอื่น
ผมไม่อยากปล่อยให้แทมินอยู่คนเดียว คงจะมีแค่ผมที่แทมินปล่อยให้เห็นอารมณ์เศร้าๆอย่างไม่ปิดบัง กับคนทางนู้นที่ติดต่อกันน้อยลง จากแค่คิดถึง กลับกลายเป็นคนอกหักในไม่กี่อาทิตย์
“แม่งโคตรทรมาน” ผมรับฟัง หอบหมอนมานอนห้องแทมินทุกวัน ผมคิดตาม เปรียบเทียบกับอาชานยอลเวลาที่แทมินพร่ำเพ้อให้ฟัง คิดแล้วก็ทรมานตาม
“ไม่ต้องไปดูมัน” ผมคว้าโทรศัพท์มาจากมือแทมิน ปิดเครื่องแล้วลุกขึ้นเอามันไปไว้ไกลๆไม่ให้เปิดดูรูปดูวีดีโอที่อยู่ในนั้น
“ดีนะที่นายไม่ได้เผลอไปรักใครที่นู่นเหมือนกัน” แทมินว่า มองตามโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
“ก็รู้อยู่ว่ามีคนที่รักอยู่ที่นี่”
“ถึงบอกว่าไม่เผลอไปรัก”
“เรื่องแบบนี้ไม่ได้รู้สึกกันง่ายๆ”
“ว่าฉันใจง่าย?”
“เปล่า ของนายมันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลากับสถานการณ์ที่ที่เอื้ออำนวย”
“รู้สึกเหมือนตกหลุมรักง่ายเกินไป…แต่…จะบอกอะไรนายอย่างเอาไหม” ผมปิดไฟในห้อง ขึ้นมานอนบนเตียงกับแทมินแล้วตั้งใจฟัง
“บอกอะไร”
“เซ็กซ์ครั้งแรก มันโคตรดี”
“ใช่เรื่องที่ต้องเล่าไหม”
“ไม่อยากรู้รึไง”
“…”
ผมไม่ตอบ ได้ยินแทมินหัวเราะหึหึอยู่ข้างๆ
“แต่บอกได้แค่นี้แหละ” ผมรอฟังอยู่แทมินก็ตัดบท
“หรือนายคิดถึงเคทเพราะเรื่องนั้น”
ผมสงสัยมาตลอด แทมินขยับตัวพลิกตัวนอนหงาย ผมก็นอนหงาย แต่หันหน้าไปมองแทมิน ยังคงรอฟังอะไรก็ตามที่เขาอยากพูด
“คนแรกคงลืมไม่ลงง่ายๆหรอก ความรู้สึกทุกอย่างมันจริง แต่ตอนนี้มันกำลังจะหายไป มันน่ากลัวที่เรายื้ออะไรไว้ไม่ได้เลยนอกจากความทรงจำ”
“ความทรงจำที่ดีก็เก็บไว้”
“แล้วเรื่องของนายล่ะเมื่อไหร่จะคืบหน้า?”
อยู่ๆแทมินก็วกเข้ามาเรื่องของผมแทน นานๆทีเราถึงคุยกันเป็นจริงเป็นจัง เพราะอยู่ด้วยกันทุกวันจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึง
“เรื่องอะไร”
“อาชานยอล ตั้งแต่กลับมาแทบไม่ค่อยได้เจอกันเลยนี่ ความผิดฉันรึเปล่าที่ยึดนายไว้”
“อาก็ยุ่งๆ ถึงไม่ยุ่งก็ไม่มีอะไรให้คืบหน้า”
“กอดกันขนาดนั้นยังไม่คืบหน้า” แทมินว่า ผมนึกถึงกอดของเราที่สนามบิน ความรู้สึกตอนนั้นก็ยังจำได้ดี
“จะให้มันไปถึงไหนกัน ยังไม่เห็นว่ามันจะไปไหนได้”
“ฉันคอยดูอยู่…จะช่วยทุกอย่างเท่าที่ทำได้”
เสียงแทมินลอยหายไปในอากาศ เราสองคนนอนหงาย ลืมตาในความมืด ต่างคนต่างคิดเรื่องของตัวเองจนหลับไปเหมือนทุกวัน
…
แทมินบอกว่าจะคืนผมให้อาชานยอล ฟังดูแปลกๆ แต่แปลความหมายได้ว่าจะปล่อยให้ผมอยู่กับอามากขึ้นประมาณนั้นล่ะมั้ง
พอเริ่มหายเศร้า แทมินก็กลับมาเป็นคนเดิม ทิ้งผมไว้ที่โรงเรียนตอนเย็นแล้วไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน พาผู้หญิงไปเดต หรือไม่ก็เล่นกีฬา ปล่อยให้อาชานยอลมารับผมแล้วไปเจอกันอีกทีที่บริษัท
อาชานยอลบางวันก็ยุ่ง แต่เขาไม่เคยลืมบอกผม เมื่อไหร่ก็ตามที่มีธุระหรือติดงานเขาไม่เคยให้ผมรอเก้อ ถ้ามาช้าหน่อยก็จะบอกให้ผมรอ อย่างเย็นวันนี้เขาโทรมาบอกแล้วว่าจะมารับช้า ผมเลยนั่งรอเขาที่ใต้อาคารเรียน ส่วนแทมินหายไปกับเพื่อนทั้งกลุ่มของผมเรียบร้อย เหมือนจะนัดกันไปไหนสักที่
ผมนั่งเขียนรายงานหนึ่งหน้ากระดาษระหว่างรออา เสียบหูฟังเพลงไม่ได้สนใจอะไรรอบข้าง ลมตีพัดจนหนังสือเปิดก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่ากระดาษโน๊ตที่เสียบไว้ในนั้นปลิวหายไปจนกระทั่งมีคนเก็บมาคืนให้
กระดาษสีขาวที่มีลายมือของผมเขียนไว้ถูกยื่นให้ตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นถึงเห็นว่าเป็นใครถืออยู่
“ปลิวไปไกลเลย”
รุ่นพี่คยองซูพูด ผมถอดหูฟังออก มัวแต่มองเขาไม่ยอมรับกระดาษไปสักทีเขาก็เลยเสียบไว้ให้หนังสือของผมเหมือนเดิม
“ขอบคุณครับ” ผมบอกเขา ก้มหัวให้เล็กน้อย เราเพิ่งเคยทักทายกันครั้งแรก ไม่สิ เข้าเพิ่งเคยเข้ามาหาผมเป็นครั้งแรกและพูดกับผม ผมทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
“ขนมอร่อยไหม” เขาถามต่อ นั่งกับขอบโต๊ะของผมด้วยท่าทางสบายๆ
“ขนมอะไรครับ” ผมแกล้งถาม ความจริงก็รู้ แต่อยากให้เขาบอกเองว่าเป็นคนให้
“ขนมเมื่อเช้า ช็อกโกแลต”
“ยังอยู่ในกระเป๋าผมอยู่เลย”
“เละหมดแล้วล่ะมั้ง”
“ไม่หรอกครับ ผมเก็บไว้ดี” เขาพยักหน้าให้ผม ยิ้มให้เล็กๆ ปกติไม่ว่าจะเห็นเขาที่ไหนผมไม่ค่อยเห็นเขายิ้มเท่าไหร่
“จงอิน…รู้จักพี่แล้วใช่ไหม”
“ครับ พี่คยองซู”
“งั้น คงไม่ต้องฝากคนเอาของให้แล้ว”
“ขอบคุณนะครับ ทั้งหมดเลย แต่พี่ไม่ต้องหาอะไรมาให้ผมทุกวันแบบนี้ก็ได้ ผมไม่แน่ใจว่าพี่เป็นคนเอามาให้เลยไม่กล้าบอก”
“พี่อยากให้” เขาพูด จ้องตาผมเพียงแว่บเดียวเท่านั้น แต่ว่าตาโตๆของเขามันสื่อออกมาชัดเจน จริงๆมันก็ชัดเจนมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ดอกไม้ช่อแรก แต่ผมรู้สึกแปลกๆที่ได้รับมันจากผู้ชาย แม้ว่าคนที่ผมชอบอยู่จะเป็นผู้ชายเหมือนๆกัน
“ผมคงห้ามพี่ไม่ได้ใช่ไหม”
“จงอินแค่รับไปอย่างที่เคยรับ จะเอาไปทิ้งก็ได้”
“ผมว่าพี่เอาไปจีบผู้หญิงน่ารักๆดีกว่า”
คราวนี้พี่คยองซูจ้องผมเต็มตา ไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากอิ่มเต็มของเขาค่อยๆเผยรอยยิ้มก่อนจะพูดเบาๆ
“ให้ผู้ชายน่ารักก็ไม่น่าจะผิด”
ที่อเมริกาก็มีคนเคยพูดกับผมทำนองนี้ พูดพร้อมจู่โจมจะเข้ามาจูบจนเบี่ยงหน้าหนีแทบไม่ทัน ผมไม่เขินอะไรเวลาโดนคนอื่นพูดแบบนี้ กับพี่คยองซูผมก็ได้แต่ยิ้มกลับไปให้
มือถือผมแจ้งเตือนข้อความเข้ามาพอดี อาชานยอลคงมาถึงแล้ว ผมเก็บของ หันไปบอกลาพี่คยองซูอย่างรีบเร่งแล้วออกมา
ผมเห็นนักเรียนสองสามคนหันมองอาชานยอลที่นั่งอยู่ในรถ วันนี้เขาลดกระจกลง ใส่แว่นกันแดดเหมือนจะพรางใบหน้าแต่กลับดูโด่ดเด่นมากกว่าเดิม ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาก็เหลียวมอง
“อาปิดกระจกเถอะ” ผมเดินไปถึงรถก็บอกเขา
“รีบขึ้นรถสิ” อาชานยอลสั่งพร้อมเลื่อนกระจกขึ้น ผมเดินไปขึ้นรถอีกฝั่งซึ่งเป็นที่ประจำของผม พอผมขึ้นรถอาก็ถอดแว่นกันแดดออก เขามองผมแล้วก็ถาม
“หิวไหม ไปกินข้าวกันก่อนเข้าบริษัทดีกว่า”
“อาหิวเหรอ ไม่ได้กินข้าวกลางวันเหรอ”
“ยังไม่ได้กิน ไม่มีเวลาเลยตั้งแต่เช้า”
“สั่งแต่ผม ไม่ดูแลตัวเองเลย”
“จงอินอยากกินอะไร” อาเปลี่ยนเรื่อง น่าจะขี้เกียจฟังผมบ่น เห็นแบบนี้เขาเอาแต่ใจยิ่งกว่าเด็กอย่างผม ลองผมบอกว่าไม่กินข้าวบ้างคงโดนซักไซ้ว่าทำไมถึงไม่ยอมกิน เปลี่ยนเรื่องไม่ได้ง่ายๆแบบนี้หรอก
“อาอยากกินอะไรก็กินอันนั้น”
“อาเลือกไม่ถูก”
“งั้นก็กินร้านเดิมก็ได้” ร้านเดิมก็คือร้านประจำของเรา เป็นร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆบริษัท เพิ่งเปิดใหม่ปีที่แล้ว อาพาผมไปกิน พอผมบอกว่าชอบอาก็พาไปอีกบ่อยๆจนมีโต๊ะประจำที่อยู่มุมในสุดของร้าน
“พักนี้ไม่ค่อยเห็นแทมิน ไปไหนแล้วล่ะ”
“ไปกับเพื่อน บางทีก็ไปกับหญิง” อาเหล่มองผม เขาคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้ แต่สายตานั้นค่อนข้างน่าอึดอัด
“จงอินอยากไปกับเพื่อน…ไปเดตกับผู้หญิงบ้างไหม” เขาถาม มองไปที่รถคันข้างหน้าที่จอดติดมาหลายนาทีแล้ว
“ไม่…” ผมอยากอยู่กับอา ผมอยากจะพูดประโยคนี้แต่ไม่กล้า ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่กล้าสารภาพรักกับอาหรอก ผมกลัวผิดหวัง กลัวจะตื่นจากฝันดีๆถ้าหากอาบอกว่าที่เขาทำดีกับผมทุกอย่างเพราะรักผมคนละแบบกับที่ผมคิดกับเขา
บรรยากาศน่าอึดอัดผ่อนคลายลงหลังผมตอบออกไปว่าอย่างนั้น
“รถจะติดไปถึงไหน” ผมบ่น เริ่มหิวขึ้นมาเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว แต่ผมหิวเองไม่เท่าไหร่ ผมห่วงอาชานยอลที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่กลางวันมากกว่า
คิดถึงของกิน ผมก็นึกออกว่ามีช็อกโกแลตอยู่ในกระเป๋าจึงหยิบมันออกมา
“ผมมีช็อกโกแลต อากินก่อนดีไหม” ผมแกะห่อฟอยล์ออก มันยังดีอยู่ไม่ได้เละอย่างที่พี่คยองซูคิด
“ช็อกโกแลตอะไร” อาถามเมื่อผมยื่นไปป้อนให้ เขาไม่ยอมกิน ก้มดูของในมือผมว่ามันคืออะไร
“ช็อกโกแลตธรรมดา”
“ซื้อเองหรือใครให้”
“ซื้อเอง” ผมตอบไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้อาชานยอลถามอะไรต่อ ผมตอบแบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง และมันก็เป็นคำตอบที่ผิด
“โกหกทำไม” ผมไม่มีทางรู้เลยว่าเขารู้ได้อย่างไรเวลาที่ผมโกหก ทั้งๆที่ผมก็ตอบออกไปปกติ ไม่ได้หลบตาด้วยซ้ำ
“….”
“อาถามว่าทำไมจงอินถึงโกหก”
“ผมขอโทษ”
“ไม่ต้องการคำขอโทษ แค่บอกมาว่าทำไม”
เป็นแบบนี้อีกแล้ว ผมเกลียดช่วงเวลาแบบนี้ที่เราทะเลาะกัน ถ้าถามว่าทำไมผมก็ตอบได้แค่ในใจว่าผมรู้ว่าอาจะต้องหงุดหงิดอีกถ้าบอกว่ามีคนให้ อาจะถามว่าใคร ถ้าบอกว่าเพื่อนก็จะถามว่าเพื่อนคนไหน ถ้าบอกว่ามีคนเอามาให้อาก็จะบอกให้โยนมันทิ้งไป บางทีอาก็เป็นคนโยนมันทิ้งไปเองต่อหน้าต่อตาผม ผมไม่ชอบ
“เงียบทุกที”
ผมยังปิดปากเงียบ เก็บช็อกโกแลตใส่กระเป๋า แต่อาชานยอลกระชากมันออกไปจากมือผมแล้วโยนมันทิ้งไปหลังรถ
“ตอบ!”
“ตอบแบบไหนอาก็หงุดหงิด” ผมพูด คิดผิดที่หยิบมันออกมาเพราะกลัวเขาหิว ทั้งโทษตัวเองที่เลือกจะโกหก แทนที่จะมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันสุดท้ายผมก็ทำมันพัง
“เคยบอกแล้วว่าไม่ชอบให้โกหก”
“ผมไม่ได้อยากโกหกอา”
“แล้วทำทำไม”
เรื่องบางเรื่องโกหกไปอาจจะดี ผมคิดตื้นๆแค่นี้ เรื่องมันก็เล็กแค่นี้ ทำไมอยู่ดีๆมันถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่
อาชานยอลกระชากรถออกด้วยอารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย เวลาเขาอารมณ์ดีผมจะอยากอยู่ใกล้ๆ แต่เวลาแบบนี้ผมอยากจะหนีไปให้ไกลที่สุด คิดได้อย่างนั้น พอรถติดไฟแดงอีกทีผมก็เปิดประตูลงจากรถ นับว่าเป็นโชคดีที่เขาลืมล็อกรถ เขาบีบแตรตามดังลั่น ผมไม่หันกลับไป วิ่งข้ามถนนจากมาจนเขาตามมาไม่ทัน
ผมเดินอยู่ในตรอกที่ไหนสักที่ ขอบตาร้อนๆแต่ผมไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ผมโทรหาแทมิน บอกว่าวันนี้ไม่เข้าไปที่บริษัทแล้ว แทมินฟังเสียงผมแล้วถามว่าเป็นอะไร ผมตอบไปว่าทะเลาะกับอาแทมินก็ถอนหายใจ แทมินให้ผมรีบกลับบ้าน ผมรับคำแล้ววางสาย
ผมเดินเตร็ดเตร่ไม่รีบร้อน รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปดักรอผมที่บ้านถ้าผมหนีเขามาแบบนี้ แล้วพอผมกลับไป ผมก็เจอเขาจริงๆ ยืนหน้าตาบึ้งตึงพิงรถตัวเองอยู่
“ไปถึงไหนมา”
“ค่อยๆเดินกลับมา”
“กินข้าวรึยัง”
“ยังครับ…อาล่ะ”
“ยัง…ก็มารอตั้งแต่เย็น”
“กลับไปกินข้าวเถอะ”
“ไหนบอกว่าจะไปกินร้านเดิมกัน”
“ป่านนี้คงปิดแล้ว”
“งั้นก็ไปหาอะไรกินแถวนี้”
เขาลากผมไปขึ้นรถ ไม่พูดถึงเรื่องเมื่อเย็นที่ผ่านมาอีก แม้แต่เงาของช็อกโกแลตข้างหลังรถก็ไม่มีให้เห็น
เขากลับมาเป็นอาชานยอลที่แสนใจดีของผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปฏิเสธเขา เพียงแต่เรื่องที่คิดว่ามันจะจบมันกลับไม่จบ เพราะหลังจากนี้ ผมจะได้รู้จักกับชื่อของพายุที่พัดอารมณ์ของอาชานยอลให้ขุ่นมัวบ่อยๆ
พายุที่เขาเรียกกันว่า ‘ความหึงหวง’
#FicLostonYou
ความคิดเห็น