คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Can't take my eyes off you
Heart, Mind and Soul
-1-
ท่ามกลางคนทั้งหมด ผมมองเห็นเขา
ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรสายตาถึงหยุดอยู่ที่เขาบ่อยครั้ง ทั้งที่เขาทำตัวตรงกันข้ามกับคำว่าโดดเด่นอย่างสิ้นเชิง
สายตานิ่งๆกับหน้าตาไร้อารมณ์
อาจเป็นเพราะสองสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้เขาดูขัดแย้งไม่เข้าพวกกับเพื่อนๆที่หัวเราะสนุกสนานเฮฮาจนดูเด่นสะดุดตาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“มองอะไร"เสียงของคริสถามผมเรียบๆทำให้ผมต้องละสายตาจากคนๆนั้นหันกลับมามองหน้ามัน
“อะไรล่ะ"ผมถามมันกลับ หงุดหงิดนิดๆที่มันขัดจังหวะความคิดของผม
“อย่ามากวนตีน มองอะไรน้องกลุ่มนั้นมันนักหนา"
“พวกมันเล่นกันเสียงดังลั่นมหาลัย ใครก็มอง มึงไม่เห็นเหรอ"
“อ๋อ เหรอ" มันทำเสียงกวนส้นตีน มองหน้าผมเหมือนล้อเลียน ยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนรู้ทัน
“กูก็นึกว่ามองเด็ก ไหนคนไหนที่มึงสนใจ บอกกูหน่อย"
ผมไม่สนใจท่าทางสอดรู้สอดเห็นของมัน แย่งกีตาร์ที่เลย์กำลังเล่นอยู่มาเล่นแทน ไอ้เลย์ขมวดคิ้วมองผม แล้วก็มองไปที่คริส จากนั้นมันก็ยิ้มล้อเลียนผมด้วยอีกคน แต่ยังดีที่มันไม่ใช่คนพูดมากกวนตีนเหมือนคริส ผมเลยไม่ต้องหาเรื่องบ่ายเบี่ยงตอบคำถาม
คำถามที่ผมไม่มีตำตอบให้กับมัน หรือแม้แต่คำตอบให้กับตัวเอง
อีกครั้งที่ผมได้ยินเสียงแว่วจากกลุ่มรุ่นน้อง เป็นทั้งเสียงหัวเราะและเสียงโห่ฮา แม้มือผมจะเกากีตาร์อยู่แต่ก็อดปรายตามองไปที่โต๊ะนั้นอีกครั้งไม่ได้
ใต้ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ในช่วงเย็นแบบนี้ นิสิตบางตา มีเพียงแค่นักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ และกลุ่มรุ่นน้องที่อยู่โต๊ะไกลถัดออกไปแต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตา รุ่นน้องปีสองกลุ่มนั้นกำลังโชว์สเต็ปการเต้นล้อเลียนกันและกัน เหมือนเต้นเอาฮามากกว่าจะโชว์เหนือ ผมมองผ่านพวกนั้นก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ผู้ชายที่ผมมองเมื่อครู่ เขากำลังใช้มือข้างเดียวดึงเนคไทสีแดงให้คลายออกจากคอของตัวเอง
ท่าทางแบบนั้นทำให้ในหัวของผมเกิดความคิดแสนประหลาด
“ชานยอล มึงปากแข็ง ไม่ยอมบอกเพื่อน"เสียงคริสทำผมหลุดจากภวังค์อีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ละสายตากลับไปมองมัน
“บอกอะไร"
“หน้าแดง แถมยังทำหน้าหื่น บอกมาว่ามองคนไหนอยู่"
และแล้วผมก็ต้องดึงสายตาตัวเองกลับมาหาไอ้คริสพร้อมสบถด่ามัน ผมส่งกีตาร์คืนเลย์แล้วยกเท้าขึ้นไล่เตะคริสข้อหาแซวไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำหน้าหื่นอะไร ผมจะไปทำหน้าแบบนั้นได้ยังไง
“กูกลับละ" พอวิ่งไล่มันจนเหนื่อย นั่งพักสักพักผมก็บอกลาพวกมัน
“วันนี้ไปเล่นที่ร้านรึเปล่า" คริสที่กลับมานั่งข้างผมถาม ผมก็พยักหน้าตอบมันไป "งั้นคืนนี้กูไปที่ร้านด้วยแล้วกัน ไม่ได้ไปนานละ" คริสว่า
“เออๆ"
ผมรับคำแค่นั้น สะพายกีตาร์ของตัวเองขึ้นบ่าแล้วเดินออกมายืนรอรถหน้ามหาวิทยาลัย ทั้งที่รู้ว่ารถช่วงเย็นคนแน่นและผมก็เกลียดคนแน่นๆที่สุด แต่ผมก็ยังนั่งอยู่ที่คณะจนเย็นย่ำผิดจากทุกวันที่จะรีบกลับ
ไม่หรอก ไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้นหรอก ไม่ใช่...
พอนึกย้อนไป ภาพของเขาก็ยังคงติดตา ภาพที่เขาค่อยๆคลายเนคไทนั่น...
ผมสะบัดหัวตัวเองสองสามทีไล่ความคิดแปลกๆ หยิบหูฟังที่คล้องคออยู่ขึ้นแนบหูแล้วเปิดเพลงร็อคหนักๆให้สั่นสะเทือนไปทั้งหัวเผื่อจะเรียกสติกลับมาได้
ผมรอรถเมล์ไม่นานก็ขึ้นมาเบียดเสียดกับคนหมู่มาก ดีที่ว่าหอพักอยู่ไม่ไกล แค่สี่ห้าป้ายก็ถึง แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมแทบขาดใจตายอยู่ดี
ตอนที่ถึงหน้าหอพระอาทิตย์ก็หายลับไปแล้ว ผมแวะร้านสะดวกซื้อแถวหอซื้อข้าวเย็นง่ายๆไปกินในห้องพัก ใช้ชีวิตแบบนี้จนเคยชิน
ผมอยู่ที่หอพักนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตั้งแต่ออกจากบ้านมาผมก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เปล่าหรอก ผมไม่ได้หนีออกจากบ้าน แต่โดนไล่ออกมา จะด้วยความตั้งใจหรืออารมณ์ชั่ววูบของพ่อ ผมก็ไม่คิดหันหลังกลับไป ทุกคำที่พ่อด่าว่าผมจำได้ขึ้นใจ จำได้ว่าเขาดูถูกสิ่งที่ผมรัก ดูถูกดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตผมไว้ระหว่างที่เขามีความสุขอยู่กับครอบครัวใหม่
แม่แท้ๆของผมจากไปตอนที่ผมอายุได้เจ็ดปี และพ่อก็แทนที่แม่เลี้ยงเข้ามาในบ้านในปีเดียวกันนั้นเอง ผมรู้สึกว่าพ่อเลือดเย็นที่ทำแบบนั้นกับแม่ ทำแบบนี้กับผม จริงอยู่ว่าแม่เลี้ยงไม่ได้เป็นคนใจร้ายคอยกลั่นแกล้ง แต่เธอมักทำเหมือนผมเป็นอากาศ ไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในสายตา จนกระทั่งลูกของเธอเกิดมา พ่อก็พลอยทำแบบนั้นกับผมด้วยอีกคน
ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่บ้าน ผมอึดอัดจนคล้ายเป็นเด็กเก็บกด แต่ผมคิดว่าดนตรีนั้นช่วยผมได้ ผมมีกีตาร์อยู่หนึ่งตัวที่แม่เคยซื้อให้ตอนที่ยังอยู่ และอยู่ลำพังในห้องของตัวเอง อยู่ในโลกส่วนตัวที่ไม่ต้องรับรู้อะไร ผมกับพ่อที่เย็นชาหมางเมินใส่กันมีจุดแตกหักก็ตอนที่เขาบังคับผมเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนในสิ่งที่เขาต้องการให้ผมเรียน ผมคิดว่าหากพ่อทำดีกับผมมาโดยตลอด ให้ความรักกับผมแทนที่จะทำเหมือนผมเป็นส่วนเกินผมก็คงจะเชื่อฟังคำสั่งของพ่อ แต่ในเมื่อพ่อไม่ได้ทำให้ผมรักมากพอ และดนตรีทำให้ผมรักได้มากกว่า ทำให้ผมมีความสุขได้มากกว่า ผมจึงเลือกมันและไม่สนใจความลำบากที่ต้องยืนด้วยขาของตัวเอง
ช่วงแรกที่ออกจากบ้าน ผมทำงานพิเศษไม่เลือก ทำทุกอย่างเท่าที่จะมีให้ทำ คริสให้ความช่วยเหลือโดยให้ผมอาศัยอยู่ที่บ้านของมันสักพัก ถึงไม่ได้ทำให้ลูกคนรวยอย่างมันเดือดร้อนแต่ผมก็อยู่กับมันไม่นาน เมื่อมีเงินพอหาเช่าห้องพักเล็กๆได้ผมก็ย้ายออกมาอยู่คนเดียว
ผมกับคริสสนิทกันตั้งแต่สมัยประถม ในสายตาคนนอกอาจมองดูมันเป็นคนเข้าถึงยากแต่จริงๆถ้าได้สนิทกับมันแบบผมจะรู้ว่ามันกวนตีนจนอยากจะถีบวันละหลายๆที แต่ถึงมันจะกวนแค่ไหนมันก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม และเป็นเพื่อนที่ผมรักที่สุด
วันนี้ผมกลับมาช้าเลยมีเวลาอยู่ในห้องได้ไม่นานนัก เมื่อกินข้าวเย็นง่ายๆเสร็จเรียบร้อยผมก็เตรียมตัวไปร้าน ผมหยิบกีตาร์คู่กายแล้วออกมารอรถอีกครั้ง ร้านของพี่ยุนโฮอยู่ไกลจากหอ เดินทางเกือบชั่วโมง ผมได้งานนี้เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่กลับมาที่คณะเราบ่อยๆ เขาเห็นผมจากคอนเสิร์ตของคณะและชักชวนให้ผมมาเล่นที่ร้านตั้งแต่เมื่อปีก่อน ผมนึกขอบคุณเขามาโดยตลอดที่ให้โอกาส เพราะหากไม่ได้เขาผมก็คงต้องลำบากควบงานหลายๆอย่างอย่างที่เคยทำ
“หวัดดีครับพี่" ผมเข้าไปทักพี่ยุนโฮถึงในครัวเพราะรู้ว่าเขามักจะอยู่ที่นี่
“ไงชานยอล มาก็ดีแล้วพี่ว่าจะโทรหาอยู่"พี่ยุนโฮหันมาหาผม หน้าตาติดจะกังวลอะไรอยู่สักอย่าง และผมก็เดาว่าปัญหาคงอยู่ในร้านนี่แหละที่พี่แกจะต้องจัดการเป็นประจำ
“วันนี้อยู่ดึกได้ไหม ร้องข้างในให้พี่หน่อย" ข้างในของพี่ยุนโฮหมายถึงในร้านส่วนที่เป็นผับ เพราะปกติแล้วผมเล่นเดี่ยวอะคูสติกข้างนอกในส่วนเรสเตอรอง
“แล้วนักร้องไปไหนล่ะครับ"
“ทะเลาะอะไรกันไม่รู้ ลาออกกะทันหัน พวกซูโฮยังหาคนแทนไม่ได้เลย"
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา งั้นถ้าซูโฮมาแล้วให้คนมาเรียกผมด้วยนะพี่ ผมไปเตรียมตัวเล่นข้างนอกก่อน"
“โอเค ขอบใจมาก โทษทีนะที่บอกกะทันหัน"
“ไม่เป็นไรครับพี่ ช่วยๆกัน"
ผมเข้าใจความลำบากในการบริหารจัดการร้านของพี่ยุนโฮดี อะไรหลายๆอย่างเรามักควบคุมมันไม่ได้ และก็มีเรื่องที่ต้องแก้ไขเฉพาะหน้าอยู่ตลอด
พอผมมาถึงไม่นานนักคริสก็โทรหาผม มันบอกว่ามันก็มาถึงร้านแล้วเหมือนกัน
“วันนี้กูเล่นทั้งข้างนอก ข้างใน นั่งไหนก็ตามสบายมึงเลย กูอยู่หลังร้าน"
“งั้นกูไปนั่งเชคเรตติ้งข้างในรอแล้วกัน รีบๆเข้ามา วันนี้กูมีเซอร์ไพรส์ให้มึงด้วยนะ" คริสพูดจบก็วางสาย ไม่รอให้ผมได้ถามอะไรต่อ
ผมเล่นอยู่ข้างนอกเป็นเวลาชั่วโมงกว่า แขกของที่ร้านข้างนอกส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงาน ผมเล่นเพลงอะคูสติกสบายๆเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ดูมีสีสันไม่น่าเบื่อ เป็นงานสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้คน ผมเห็นแขกผู้หญิงขาประจำอยู่สองสามโต๊ะ พวกเธอต่างก็มองมาที่ผม ผมจึงต้องแจกจ่ายยิ้มออกไปให้ทั่วถึงเป็นบริการเสริม
“ไปไหนต่อรึเปล่า" เมื่อผมลงจากเวทีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยดีก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหา
“ไม่ได้ไปครับ ต้องเล่นต่อข้างใน พี่มินอาจะรอผมไหม"
“แล้วอยากให้พี่รอไหมล่ะ...” เธอถามผม ยิ้มนิดๆกับคำถามลองใจของเธอ ผมไม่เคยปฏิเสธเธอหรอก ส่วนใหญ่แล้วผมไม่ค่อยปฏิเสธคนที่เข้ามาหาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ และเธอก็มักจะตรงไปตรงมาอย่างนี้เป็นประจำ
“อยากสิครับ" ผมพูดคำที่เธอรอฟังจากปากของผม
“งั้นพี่เข้าไปรอดูชานยอลข้างในนะ พี่นัดเราก่อนแล้ว ห้ามนัดซ้อนอีกล่ะ" เธอคงพูดถึงครั้งก่อนที่ผมลืมว่านัดกันเอาไว้แล้วไปกับอีกคน ก็บอกแล้วว่าผมไม่ปฏิเสธ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าให้ผมเข้าหาใครผมก็ไม่เคยคิดจะทำ
เมื่อตกลงกับพี่มินอาเรียบร้อยก็มีเด็กมาตามผมไปหาวงของซูโฮพอดี
พวกซูโฮก็เล่นที่นี่นานพอๆกับผม เราอายุเท่ากันแต่เรียนคนละที่ ผมช่วยพวกมันเล่นแทนอยู่บ่อยๆเพราะผมแทนได้ทุกตำแหน่งเลยสนิทพอๆกับเพื่อนที่มหาลัย
ผมคุยเรื่องเพลงที่จะต้องร้องก่อนขึ้นเวทีไม่นานนัก วันนี้ผมแทนในตำแหน่งนักร้องจึงง่ายไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเหมือนตำแหน่งอื่น พอถึงเวลาเล่น ขึ้นเวทีมาผมก็มองหาไอ้คริสที่บอกว่ารออยู่ก่อนเป็นอันดับแรก วันนี้ค่อนข้างยุ่งเลยยังไม่มีเวลาเข้าไปหาผมเลยต้องมองหามันจากตรงนี้
ไม่นานผมก็เจอมัน พร้อมกับเพื่อนร่วมโต๊ะกลุ่มใหญ่ แต่จะว่าเพื่อนก็คงไม่ถูก...เพราะนั่นมันรุ่นน้อง
รุ่นน้องปีสองกลุ่มนั้น
หัวใจผมเต้นแรงโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตากวาดหาใครบางคนโดยอัตโนมัติ เพียวชั่วเสี้ยววิที่ผมหาเขาเจอ และได้สบสายตาที่กำลังมองขึ้นมาบนเวทีพอดี
สายตาเราที่ปะทะกันเป็นผมที่ต้องละออกมาก่อนเพื่อทำสมาธิเมื่อได้ยินสัญญาณจากมือกลอง
งานวันนี้ที่ผมคิดว่าง่ายเริ่มจะไม่ง่ายซะแล้ว ผมห้ามตัวเองไม่ให้คอยลอบมองไปที่เขาเป็นระยะๆไม่ได้ แต่ก่อนแต่ไร ผมก็แค่มองเขาอยู่ฝ่ายเดียว แต่คราวนี้ผมเป็นจุดโฟกัสของลูกค้า ซึ่งก็รวมทั้งเขาด้วย เราจึงได้สบตากันอยู่บ่อยครั้ง
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพียงแค่สบตาใครสักคนก็สามารถให้ความรู้สึกร้อนรุ่มได้ถึงเพียงนี้
มันทั้งน่าแปลก และน่าหวาดหวั่น
เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เมื่อทุกอย่างจบ สายตาเขาก็ไม่ได้มองมาที่ผมอีก
“ไง มองตาไม่กะพริบเลยนะ" คริสกระซิบเมื่อผมไปหามันที่โต๊ะหลังเลิกงาน ผมไม่อยากพูดอะไรมากให้เข้าตัวเลยเงียบ
“เฮ้ๆ น้องๆ นี่พี่ชานยอลเพื่อนพี่เอง ไอ้นี่อนาคตนักร้องดังนะจะบอกให้" คริสมันแนะนำผมให้น้องๆรู้จัก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันไปรู้จักน้องกลุ่มนี้ได้ยังไง เราอยู่คณะเดียวกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้รู้จักกันทั้งหมดหรอก คณะเรามันใหญ่เกินไปและผมก็ไม่ค่อยชอบเข้ากิจกรรมนอกจากเล่นดนตรี ไม่เหมือนกับคริสที่หน้าตาดึงดูดคนให้มารู้จักไปทั่ว
“ผมชื่อแบคฮยอนนะครับ พี่ชานยอลร้องเพลงเพราะมากเลยอะ ผมโคตรชอบเสียงพี่เลย" น้องที่ขาวๆ ตัวเล็กๆ ยืนอยู่ข้างคริสชะโงกหน้ามาพูดกับผม
“ชอบก็มาฟังที่นี่บ่อยๆสิ พี่มาเล่นเกือบทุกวัน"
“มาแล้วมีคนเลี้ยงป่าว ไม่ฟรีผมไม่มานะ" แบคฮยอนพูดกวนๆ
“โหยมึง ขี้งกก็ยังมีหน้าไปบอกพี่เขาอีก" เพื่อนอีกคนตบหัวแบคฮยอนเอาฮา ไอ้คริสก็บอกผมว่าน้องคนนี้ชื่อจื่อเทา ส่วนคนที่อยู่ถัดจากจื่อเทาชื่อเซฮุน ไอ้สองคนนี้ตัวสูงรูปร่างดีกันทั้งคู่ ต่างกันที่เซฮุนผิวขาว ส่วนจื่อเทาดูคมเข้มกว่า
แล้วอีกคนที่อยู่ตรงข้ามนั่นล่ะ ชื่ออะไร
ผมนึกอยากรู้ แต่ไม่ได้เอ่ยปากถาม
พอมองสบตาคริสมันก็เหมือนรู้ทัน และแกล้งไม่บอกผม
“กูไปเข้าห้องน้ำนะ"
เขาคนนั้นพูดกับเพื่อนๆแล้วเดินไปทางข้างหลัง ผมเห็นเขาเซนิดๆอาจจะเพราะดื่มเข้าไปเยอะจากที่มองอยู่ตลอด
“เดี๋ยวกูตามมันไปห้องน้ำนะ ดูท่าทางไม่ค่อยไหว"เซฮุนดูเหมือนจะมองเพื่อนของมันอยู่เหมือนกันตามไปด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อกี้มึงก็บอกอยากไปเข้าห้องน้ำนี่ ไปสิ" ไอ้คริสไล่ผม ไม่รู้ว่ามันต้องการแกล้งผมหรืออะไรกันแน่ ผมปลีกตัวออกมาโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินไปทางห้องน้ำ
“แดกเข้าไปทำไมเยอะแยะ ดูดิ ยืนจะไม่ไหวอยู่แล้ว"
“อือ"
“ปวดหัวเหรอ"
“อือ"
“งั้นกลับ"
ผมยืนมองเขายืนซบเซฮุนอยู่ตรงแถวอ่างล้างหน้า เซฮุนพูดไปลูบหัวเพื่อนไป เสี้ยวหนึ่งในความคิดผมผุดขึ้นมาว่าอยากเป็นคนที่ได้ทำแบบนั้นกับเขาบ้าง ซึ่งเป็นความคิดชั่ววูบบ้าบอที่ห้ามไม่ได้
“อ้าว พี่ชานยอล เดี๋ยวผมต้องพามันกลับก่อนนะครับ เด็กคออ่อนเริ่มงอแงแล้ว"
“เหี้ย"
เซฮุนโดนเพื่อนด่าก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แล้วหันมาพูดกับผมต่อ
“พี่ ผมฝากมันแป๊บนึงได้เปล่า ขอเข้าห้องน้ำหน่อย ไม่ไหวละ"
“ได้สิ"ผมตอบ เอื้อมมือจะไปจับแขนแต่เขาถอยหลังหนี
“ผมยืนได้" เขาปฏิเสธความช่วยเหลือ ผมจึงต้องยืนเฉยๆเป็นเพื่อน นึกหงุดหงิดที่เขาไม่ให้ผมจับแต่กับเซฮุนกลับเป็นฝ่ายยืนซบไม่ถือเนื้อถือตัว
ผมกับเขายืนเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร เขายืนพิงอ่างล้างหน้า ส่วนผมก็ยืนพิงกระจกอยู่ใกล้ๆ
“พี่ไม่ต้องเฝ้าผมก็ได้" และแล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน อาจจะเพราะอึดอัดจากความเงียบ หรืออาจจะอึดอัดจากสายตาผมที่กำลังจ้องมองอยู่
“เซฮุนฝากไว้"
“อะไรจะเชื่อฟังขนาดนั้น"
“ไม่มีใครอยากเก็บศพคนเมาหัวฟาดพื้นตายหรอก"
ผมกลั้นยิ้มเมื่อเขาตวัดสายตามามองผมอย่างขัดใจ รู้สึกชอบสายตาแสดงอารมณ์ของเขามากกว่าสายตานิ่งเฉยอย่างที่ปกติเคยเห็น
“แล้วก็ยังไม่รู้เลยเนี่ย ว่ายืนเฝ้าใครอยู่ ชื่อก็ไม่รู้จัก" ผมได้ทีสบโอกาสเลยถาม
“.....”
“ว่าไง ชื่ออะไร"
“ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้"
“ทำไม แล้วทำไมถึงรู้ไม่ได้"
“ก็ผมไม่อยากรู้จักพี่"
“ทำไมล่ะ"
“ไม่จำเป็นต้องรู้จัก"
“พี่ชื่อปาร์คชานยอล"
“ใครถาม"
“เสียมารยาทนะ คนบอกชื่อแนะนำตัว แต่ไม่บอกกลับ"
“น่ารำคาญ"
“พูดกับรุ่นพี่แบบนี้ก็ไม่มีสัมมาคารวะ"
เขาไม่ต่อปากต่อคำต่อ เขาเงียบ ผมก็เงียบ ต่างคนต่างใช้ความเงียบเข้ากดดัน ผมเหลือบตามองประตูห้องน้ำเป็นระยะยังไม่อยากให้เซฮุนออกมา ยังอยากอยู่กวนคนตรงหน้าอีกสักนิด ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ได้เถียงกันผมก็หุบยิ้มไม่ได้
ผมมองเขาที่ใส่เสื้อยืดสีดำ กับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีซีด ไม่ว่าจะอยู่ในชุดแบบนี้หรืออยู่ในชุดนักศึกษาก็ทำผมไม่อยากละสายตาทั้งนั้น
ขณะที่ผมกำลังคิดไปถึงไหนต่อไหน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม ขมวดคิ้วจนแทบติดเป็นเส้นเดียวกัน ดูอึดอัดหัวเสียเอาเรื่อง
สายตาที่มองผมดูลังเลอะไรบางอย่าง เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจหนักๆ ก่อนที่ในที่สุดเป็นจะเอ่ยปากบอกกับผมว่า...
“จงอิน...ชื่อคิมจงอิน พอใจรึยัง"
ความคิดเห็น