คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : :Half-Breed: 4
“เฮ้ย! นั่นมันของฉันนะ”
“ก็ฉันจะเอาอ่ะ!”
“แต่ฉันเป็นคนซื้อมานะ”
“ก็ไปซื้อเอาใหม่ดิ... โด่! แค่นี้ทำเป็นงก” ผมยัดซาลาเปาก้อนกลมเข้าปากทันทีหลังจากคว้ามันจากมือของมินซอกมาเป็นของตัวเองได้ แก้มขาวเหมือนซาลาเปาสองลูกของหมอนั่นป่องขึ้นอย่างเสียดาย
“เอาน่า! เราอายุมากกว่าก็ต้องเสียสละเป็นธรรมดา” นายจุนมยอนหรือนายนีออนที่ผมชอบเรียก เดินมาตบไหล่เพื่อนตัวเล็กของตัวเองที่ยืนทำแก้มป่องเพราะโดนแย่งของกินที่ตัวเองอุตส่าห์ซื้อมา หมอนั่นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะมองผมที่ยืนส่งส่ายตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ
“เรานี่ละก็! อยากกินก็บอกพี่สิ จะไปแย้งของพี่เค้าทำไม” พี่ลู่หานตบไหล่ผมแรงๆเพราะหมั่นไส้ ผมเบ้ปากไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินนำออกมา
21.35 น.
นาฬิกาข้อมือที่พี่ลู่หานซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดตีบอกเวลาที่โคตรดึกแล้ว ตั้งแต่ที่แยกกับแบคฮยอนจนมาถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าชั่วโมงกว่าแล้ว เที่ยวเพลินจนลืมดูเวลาเลยแหะ แล้วดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเลยด้วยซ้ำ
ครืด!!! ครืด!!!
ใครโทรมาอีกฟะเนี่ย ผมล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกางเป๋ากางเกงก่อนจะกดรับสายเมื่อเห็นรายชื่อที่โทรเข้า ที่ไม่เคยคิดว่าจะโทรมา
“ครับแม่!” พอดีแม่ที่ผมพูดอยู่นี่คือแม่ของแบคฮยอนนะไม่ใช่แม่ของผม ถ้าเกิดแม่ผมโทรมาจริงๆละก็... ผมจะไม่ใช่โทรศัพท์อีกเลยตลอดชีวิต-___-
(จื่อเทาหรอลูก) ปลายสายตอบกลับมาอย่างร้อนรนแปลกๆ
“แม่มีอะไรรึป่าวครับ”
(แบคอยู่กับลูกรึป่าวจ๊ะ!)
“ป่าวครับ! กลับไปตั้งแต่ที่แม่โทรตามครั้งแรกแล้วนี่ครับ”
(เห็นบอกว่างั้น! แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงบ้านเลยนะ โทรไปตั้งหลายรอบก็ไม่ยอมรับสาย จะเป็นอะไรรึป่าวก็ไม่รู้) น้ำเสียงสั่นเคลือของแม่ทำให้ผมก็พลอยรู้สึกกังวลไปด้วย
“งั้นเดี๋ยวผมลองติดต่อดูอีกรอบละกันนะครับ แล้วจะตามหาแถวทางกลับบ้านดู”
(จ๊ะ! ฝากด้วยนะลูก)
“ไม่ต้องห่วงนะครับ! ถ้าได้เรื่องยังไงเดี๋ยวผมโทรบอก” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ลงคอก่อนจะกดวางสายไป ไอ้เพื่อนเวรไปติดสาวอยูไหนวะ บ้านช่องไม่ยอมกลับ คนอื่นเค้าเป็นห่วงแค่ไหนรู้บ้างรึป่าวเนี่ย!
ผมขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง รู้สึกคันมือคันเท้าอยากจะกระทืบไอ้เพื่อนตัวแสบขึ้นมาตงิดๆ
“มีอะไรรึป่าว” พี่ลู่หานที่เห็นท่าทางฟิดฟัดของผมเอ่ยถาม
“ก็ไอ้แบคฮยอนอ่ะดิ หายหัวไปไหนไม่รู้ไม่ยอมกลับบ้าน แม่มันเลยโทรมาถามผมกี้เนี้ย!” ผมตอบพี่ลู่หานอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะก้มลงกดโทรศัพท์หาเบอร์ของไอ้เพื่อนเวรอย่างรีบร้อนแล้วกดโทรออกทันที
“ตู๊ด! ตู๊ด! ตู๊ด!” เสียงสัญญาณดังอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีคนรับตามที่แม่บอกจริงๆ ผมเลยกดซ้ำเข้าไปอีกด้วยความโมโหที่มันปนเปไปกับความเป็นห่วงที่มีอยู่ แต่ผลก็ออกมาเป็นอย่างเดิมคือไม่มีคนรับ
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวพวกเราช่วยตามหาอีกแรงละกัน” นายหลอดนีออนเดินมาตบบ่าผมเบาๆพร้อมกับนายซาลาเปา
“จะช่วยอะไรได้เล่า หน้าหมอนั่นยังไม่เคยเห็นเลยไม่ใช่หรอ” ผมสะบัดไหล่เดินหนีออกมา ไม่รู้หรอกพวกนั้นจะทำหน้ายังไง รู้แค่ว่าตอนนี้ผมต้องตามหาแบคฮยอนก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ว่าจะรู้ได้ไงละเนี่ยว่ามันไปอยู่หลืบไหน โลกมันออกจะกว้างซะขนาดนี้ แถมแยกตัวออกไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ป่านนี้โดนขายออกนอกประเทศไปแล้วมั้ง?
คิดแล้วเครียด ผมเลยล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกครั้ง ผลเป็นเหมือนเดิมว่าไม่มีใครรับสาย แต่ที่ต่างออกไปคือ สัญญาณมันดังได้แค่แปบเดียวก่อนจะตัดไป เหมือนกับว่าอีกฝ่ายจงใจจะตัดสายทิ้ง เลยลองกดใหม่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ผลปรากฏว่าคราวนี้....
“ปิดเครื่องทำซากอะไรฟะ!!!” ผมกระโกนด่าโทรศัพท์ของตัวเองอย่างไม่พอใจ แล้วเหวี่ยงขาเตะถังขยะที่อยู่ข้างๆเพื่อระบายอารมณ์ ผมไม่สนว่าสายตาของคนรอบข้างจะมองผมยังไง ขออย่างเดียวแค่อย่ามายุ่งเวลาอารมณ์ไม่ดีเป็นพอ... เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว!!!
สายตาแข็งกร้าวของผมกวาดไปทั่วเพื่อมองหาบุคคลที่หายไป กระแทกเท้าตึงตังอย่างไม่เกรงใจใครจนคนที่เดินอยู่ข้างหน้ายังต้องยอมแหวกทางให้แต่โดยดี เหมือนกำลังกลัวว่าจะโดนผมเหยียบเอา เดินๆไปก็พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าลืมอะไรไปสักอย่าง
“พี่ลู่หาน” ผมชะงักเท้าแล้วหันควับไปข้างหลัง
ไม่มี..! ไม่มีพี่ลู่หาน เอาแล้วไง ไอ้เราก็คิดว่าจะเดินตามมาซะอีก แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวค่อยโทรหาทีหลังก็ได้!!!
ผมเลือกเดินไปตามทางกลับบ้านของแบคฮยอน เพราะคิดว่ามันอาจจะโดนฆ่าหมกถังขยะข้างทางก็ได้เผื่อจะเจอศพของมันก็ยังดี แต่รู้สึกวันนี้มันดูร้างผู้คนแปลกๆต่างจากหลายครั้งที่เคยมา
โครม!!!
ผมสะดุ้งโหยงหันควับกับไปมองถังขยะที่เดินผ่านไปเมื่อกี้ จู่ๆมันก็ล้มเองโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งที่ลมก็ไม่มี โรคกลัวสิ่งไม่มีชีวิตกำเริบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในหัวที่เคยมีแต่เรื่องกระทืบเพื่อนกับใจที่มีแต่ความโมโห ตอนนี้แปลเปลี่ยนเป็นความกลัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่ลู่หาน” ไม่เคยอยากกอดพี่ลู่หานเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต กลัวจนเหยี่ยวจะแตกแล้วครับพี่น้อง>0<!
“น้องสาว! จะไปไหนหรอจ๊ะ” เสียงยอกล้อชวนขนลุกของไอ้สวะสักตัวดังกระแทกเข้ามาในโสตประสาตของผม ก่อนที่มือหยาบๆของมันจะคว้าเอวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พร้อมกับอีกสองคนเดินมาดักหน้า
“แม่พวกแกสอนให้เรียกผู้ชายว่าน้องสาวรึไง” ผมกักฟันด่าพวกมัน ก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม แต่ถึงจะหลุดผมก็อยู่ในวงล้อมของพวกมันอยู่ดี
“แหม่! ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ก็หน้าสวยซะขนาดนี้” คำพูดออกมาจากปากพวกมันอย่างหน้าไม่อาย มันคนหนึ่งยกมือเกลี่ยแก้มผม ความรู้สึกขยะแขยงแล่นปรี๊ดขึ้นสมองจนเผลอง้าหมัดเสยหน้ามันอย่างจัง จนล้มกลิ้งไปกองอยู่กับพื้น
“ชอบซาดิสก็ไม่บอก!!!” พวกมันอีกสองคนรู้สึกจะไม่สนใจเพื่อนที่นอนเลือดกบปากเลยสักนิด เดินดุ่มๆมาหาผมด้วยสายตาที่โรคจิตสุดๆ
“สู้นะเว้ย!” ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่ขามันกลับถอยทีละก้าวๆโดยอัตโนมัติ พวกมันยิ้มกริ่มมองหน้ากัน ไอ้คนที่นอนอยู่ยันตัวลุกขึ้นมาสมทบ
ผมเตรียมตัวจะหันหลังวิ่งแต่พวกมันรู้ทันเดินอ้อมมาดักหลัง สงสัยต้องสู้จริงๆแหะงานนี้!!!
“มาเลย!!!” ผมท้าพร้อมกวักมือเรียกมัน
สองคนที่ดักหน้าผมอยู่พร้อมใจกันวิ่งพรวดเข้ามาสนองความต้องการของผมอย่างรวดเร็ว ย้ำว่าเร็วมากจนผมมองตามแทบไม่ทัน แต่ยังดีที่เรียนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็กๆเลยทำให้พอจะเดาทางออก เบี่ยงตัวหลบทัน
ผัวะ!!!
แต่รู้สึกจะทันแค่คนเดียว หมัดงามๆของไอ้สวะอีกคนซัดเปรี้ยงกระแทกปากเต็มๆ รสชาติแปร่งๆกับกลิ่นคาวของเลือดที่อยู่ในปากทำเอาคลื่นไส้จนแทบอยากจะคายของที่กินเข้าไปออกมาซะให้หมดไส้หมดพุง ร่างของผมเซไปตามแรงกระแทกโดยมีไอ้คนที่มันยืนอยู่ข้างหลังรอรับร่างของผมเอาไว้
“ฟันจะหักมั้ยเนี่ยตู” ผมพึมพำเบาๆด้วยความเจ็บ แต่คงไม่ใช่เวลาเป็นห่วงฟันแล้วเพราะตอนนี้โดนล็อกแขนเอาไว้ด้วยมือใหญ่ของมันเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างบีบต้นคอของผมอย่างแรงเหมือนกระดูกจะหักคางมือ และยิ่งมีแผลที่คอมันยิ่งเพิ่มความเจ็บเข้าไปอีกจนแทบอยากจะร้องไห้
“เลือด!” เสียงแห้งๆดังขึ้นเหนือหัว ขนแขนสเตนท์อัพขึ้นมาทันทีเลย
“พวกแกเป็นตัวอะไร!!!”
คราวนี้ผมมั่นใจสุดๆเลยว่าไม่ได้ตาฝาด ตาของไอ้พวกนั้นมันเป็นสีแดงสดซึ่งดูยังไงๆก็ไม่น่าจะใช่ดวงตาของคน มันเหมือนสัตว์กินเนื้อที่กำลังหิวกระหายมากกว่า และตอนนี้ผมก็กลายเป็นเยื่อ เยื่อที่กำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม
“หอมเหลือเกิน!” เสียงครางอย่างพอใจของพวกมันทำให้ผมขนลุก จมูกก้มลงมาดมฟุดฟิดอยู่ที่ริมฝีปากของผมที่มีเลือดไหลซึมออกมาตามมุมปาก ความขยะแขยงแล่นขึ้นสมองสั่งการให้ปากอ้างับจมูกมันอย่างไม่ปราณี มันร้องลั่นด้วยความเจ็บ เลือดของมันค่อยๆไหลซึมออกมาจากรอยแผลไหลเข้าปากของผม มือที่จับอยู่ที่คอออกแรงบีบมากขึ้นจนผมอ้าปากร้อง แล้วลากผมออกมา
“เป็นแค่อาหารแท้ๆ!!!” มืออีกข้างกุมจมูกที่นองไปด้วยเลือด ส่วนอีกข้างต่อยเข้าไปที่ท้องน้อยของผมอย่างแรงสองถึงสามครั้ง แค่นั้นยังไม่พอมันยังชกซ้ำเข้ามาที่เดิมจนเลือดกบปากล้มกลิ้งลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยความจุกและเจ็บจนร้องไม่ออก
เจ็บเป็นบ้า...!!!
มันเดินมาเตะซ้ำแล้วกระชากตัวผมขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงไปกระแทกกับเสาไฟฟ้าที่อยู่ข้างทาง ร่างของผมทรุดฮวบลงกับพื้น ภาพตรงหน้ามองแทบจะไม่เห็น หัวมันหมุนติ้วไปหมด มารู้ตัวอีกทีก็โดนไอ้สองตัวมันจิกหัวคิดมาแล้วล็อคแขนเอาไว้
“อย่าดิ้นสิ! เดี๋ยวศพจะไม่สวยเอานะ” มันแลบลิ้นเลียแก้มของผม บอกได้คำเดียวว่าขยะแขยงมาก ถึงมากที่สุด
มันกระชากหัวของผมอย่างแรงจนหน้าเชิดขึ้นมองดวงดาวบนฟ้า ถ้าเป็นเวลาปกติมันคงจะสวยมากแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมอะไรทั้งนั้น หน้าของไอ้สวะที่เป็นคนดึงหัวผมซุกลงกับซอกคออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผ้าก็อตสีขาวที่ปนไปด้วยสีแดงของเลือดถูกกัดจนขาด ลิ้นสากๆไล้เลียไปตามรอยแผลที่คออย่างเชื่องช้า ส่วนไอ้คนที่โดนกระทำอย่างผมนี่สิลำบากเพราะมันแสบเอามากๆ พยายามจะดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด
“อ๊าก!” ผมเผลอปากร้องออกมาด้วยความเจ็บจนกลั้นไม่อยู่ เขี้ยวคมๆของมันฝังลงที่ลำคอ ก่อนจะดูดเอาของเหลวจากร่างกายของผมอย่างเอร็ดอร่อย
ตายจริงๆแน่คราวนี้เรา!!!
ตาเริ่มภาพเลือนจากการเสียเลือด มือไม้อ่อนปวกเปลียก ร่างกายไม่เป็นไปตามคำสั่งของสมองค่อยๆเอนลงไปนอนแนบอยู่กับพื้นตามแรงผลักของคนตรงหน้า ผมหลับตาลงยอมรับชะตากรรมที่กำลังเผชิญอยู่ มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่หวังว่าจะรอดหรอก แต่จบแบบนี้มันจะอนาถเกินไปหน่อยรึป่าว ยังไม่ทันจะได้บอกลาพี่ลู่หานเลย
ผลัก!!! โครม!!!
“อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!”
เหมือนมีอะไรสักอย่างฉุดร่างที่คร่อมผมอยู่ออกอย่างแรงจนคอแทบจะหลุดติดไปกับปากของมัน และตามมาด้วยเสียงร้องแหลมสูงของพวกมันดังประสานกันอย่างโหนหวย ด้วยสายตาที่พร่าเบลอผมจึงบอกไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดึงมันออกไป ได้แต่นอนหลับตาฟังเสียงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงทุ่มๆของใครบางคนดังขึ้น
“ฉันละเกลียดจริงๆ ไอ้พวกที่ชอบทำอะไรโดยที่ยังไม่ได้สั่ง” น้ำเสียงดูมีอำนาจและแข็งกร้าวมากซะจนคนที่นอนฟังอยู่เฉยๆอย่างผมยังอดขนลุกไม่ได้ พยายามจะลืมตาขึ้นดูเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ถึงกับเบิกตากว้าง
ไอ้สวะสามคนนอนจมกองเลือดตาเหลือกค้างจนมันแทบจะถลนออกจากเบ้า เลือดไหลออกจากตาปากและจมูก กระดูกหักบิดงอจนมองไม่เป็นร่างกายของคน กระดูกบางส่วนแทงทะลุผิวหนังออกมาอย่างน่าสยดสยองจนผมต้องรีบเบือนหน้าหนีไม่อยากมองภาพตรงหน้า แต่ใครเป็นคนทำ เจ้าของเสียงนั่นหรอ แล้วตอนนี้ไปไหนแล้วล่ะ!!!
ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างอยากลำบาก มันปวดร้าวไปหมดทั้งตัวชนิดที่นั่งยังจะไม่มีแรง แต่ก็ยังจะฝืนสังขารลุกขึ้นยืนด้วยขาสองข้างที่ดูมันจะไม่เป็นไปตามต้องการ สุดท้ายก็เซไปข้างหน้าอย่างหาหลักที่จะยืนไม่ได้
แต่ก่อนที่ร่างกายจะลงไปกระแทกกับพื้น ก็มีมือของใครบางคนเอื้อมมาสอดหว่างแขนดึงตัวไว้ได้ทันก่อนที่หน้าจะแหกอีกรอบ ร่างของผมค่อยๆถูกปล่อยให้นอนลงกับพื้นอย่างช้าๆโดยมีมือหนาประคองอยู่ที่ลำตัว ผมรู้สึกคุ้นกับอ้อมแขนนี้แปลกๆ
“มีปัญญาเอาตัวรอดได้แค่นี้เองงั้นหรอ” คำพูดเหยียมยามลอยเข้าหูมาจนลืมตาดูว่าใครเป็นคนพูด และถึงกับตาค้างเมื่อเห็นหน้าคนที่กอดผมอยู่
“นาย...” ไม่ผิดแน่ คนๆนี้คือคนที่เคยช่วยชีวิตของผมไม่ให้โดนปาดคอตายเมื่อตอนกลางวัน แต่ชื่ออะไรผมก็ไม่ได้สนใจจะจำ
“เจอกันอีกแล้วนะ จื่อเทา” หมอนั่นยกยิ้มมุมปาก ผมออกแรงผลักคนตรงหน้าออกแล้วเขยิบหนีออกมาห่างๆ ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกไม่ค่อยดีกับคนๆนี้เลย มันหวาดๆไม่อยากอยู่ใกล้ยังไงชอบกล
“ไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย” เพราะความเจ็บแสบที่คอเลยทำให้เสียงที่ออกมาค่อนข้างเบา ผมก้มหน้ามองพื้นไม่อยากจะเห็นว่าอีกคนทำหน้ายังไง พอมารู้ตัวอีกทีหมอนั่นก็มายืนค้ำหัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เจ็บจะตายอยู่แล้วยังจะปากดีอีกนะ” มันย่อตัวนั่งยองๆลงตรงหน้า ก่อนจะเสยคางของผมขึ้นอย่างแรงจนมันเจ็บไปทั้งคอ ผมถลึงตาใส่มันอย่างเคืองๆ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปากของผมแล้วใช้ลิ้นเลียปลายนิ้วของตัวเองอย่างน่าขยะแขยง
ผมสะบัดหน้าหนีก่อนจะยันตัวลุกขึ้นตั้งหลักอีกครั้ง แล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่เหลียวหลัง ผมรู้นะว่าหมอนั่นเดินตามมาห่างๆแล้วก็รู้ด้วยว่ากำลังแสยะยิ้มมองผมด้วยแววตาสมเพช มีหลายครั้งที่ผมเหมือนจะล้มแต่หมอนั่นก็มาคว้าตัวผมได้ทันทุกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่อยู่ไกลแท้ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาถึงตัวได้ภายในไม่ถึงสองวินาที
“เพื่อนนายปลอดภัยดี ตอนนี้ก็คงนอนอยู่ที่บ้านนั่นแหละ” จู่ๆหมอนั่นก็พูดออกมาทั้งที่ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามาตามหาเพื่อน ผมหันควับไปมองหน้า
“ฉันไม่เคยบอกนาย แล้วรู้ได้ยังไงว่าแบคฮยอนอยู่ที่บ้าน”
“..............” หมอนั่นยืนนิ่ง มองหน้าผมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาก่อน ผมล้วงขึ้นมาดูแทบอยากจะร้องไห้ จอสัมผัสแตกครับพี่น้อง ยังดีที่เครื่องอุตส่าไม่ดับและยังโชคดีที่ยังมีปุ่มกดรับสาย
“ครับพี่ลู่หาน” ผมขาน ขณะล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมากดแผลที่คอ
(นายอยู่ไหนน่ะเทา ปลอดภัยรึป่าว!!!) พี่ลู่หานถามด้วยความร้อนรน
“ไม่ต้องห่วง ผมกำลังจะกลับแล้วฮะ”
(ค่อยโล่งอกหน่อย... อ๋อ! แม่ของแบคฮยอนโทรมาบอกว่าไม่ต้องหาแล้วนะ เค้ากลับบ้านแล้ว)
“กลับแล้ว จริงหรอ!!!” ผมตาโตเหลือบมองนายหัวทองที่ยืนอยู่ห่างๆด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อแบบสุดๆ
(อืม! แล้วตอนนี้อยู่ไหนเดี๋ยวพี่ไปรับ)
“ไม่เป็นไรหรอกฮะ พี่ไปรอผมที่บ้านเถอะ”
(กลับเองได้แน่นะ)
“คร้าบ! ผมโตแล้วนะ”
(กลับดีๆนะ อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้าล่ะ)
กว่าจะว่างใจได้ต้องใช้เวลา เป็นห่วงก็รู้อยู่นะ แต่ไอ้ที่บอกว่าอย่าไปไหนกับคนแปลกหน้านี่มันยังไงๆอยู่นะ พูดเหมือนผมเป็นเด็กห้าขวบเลยแหะ
“เดี๋ยวฉันไปส่ง” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆไอ้หัวทองมันก็โผล่มายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทำเอาหัวใจเกือบวาย
“ไม่ต้องยุ่งหรอก!” แล้วผมก็เดินหนีมา แต่ก็เดินได้ไม่กี่ก้าวไอ้หมอนั่นก็เดินมาดักหน้าแล้วอุ้มผมพาดไหล่ไปแบบไม่ถามความสมัครใจกันเลย ผมใช้มือฟาดหลังแบบไม่ยั้งแต่ดูเหมือนไอ้หมอนี่มันจะไม่รู้สึกเลย กลับกันผมยิ่งโวยวายมันยิ่งใช้มือฟาดตูดผมคืนบ้าง บวกกับความเจ็บระบมทั่วทั้งตัวเลยต้องยอมให้มันอุ้มไปแต่โดยดี
เดินมาได้ไม่ไกลเท่าไรนัก ร่างของผมก็ถูกจับโยนเข้าไปในรถคันนึงซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของไอ้หัวทอง แต่ถ้าใช่มันคงต้องรวยมากๆถึงจะซื้อได้ เพราะผมเคยเห็นในทีวีรถสปอร์ตแบบนี้คันนึงไม่ต่ำกว่าสิบล้าน
“เบาๆหน่อยไปเป็นรึไง” ผมค้อนควับใส่หน้ามัน
“เบาสุดแล้วสำหรับนาย” พูดจบก็ปิดประตูอย่างแรงจนผมเกือบจะโดนกระแทกดั้งหัก แล้วมันก็เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่ง ขึ้นนั่งประจำที่คนขับแล้วสตาร์ทรถเหยียบคันเร่งทันทีโดนไม่ทันได้ตั้งตัว
“เฮ้ย!!!! ฉันยังไม่อยากตายก่อนเจอหน้าพี่ลู่หานนะเว้ย ขับเบาๆหน่อยดิ” ปากโวยวายใส่มันแต่มือจับเบาะแน่นด้วยความกลัวตาย ไอ้หัวทองแสยะยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเหยียบคันเร่งเข้าไปอีก
ไอ้กลัวมันก็กลัวจนฉี่จะแตก แต่ไอ้ความอ่อนเพลียที่มันมีอยู่เป็นทุ่นเดิมบวกกับความง่วงที่จู่ๆก็เข้ามาโบกมือทักทาย มันทำหน้าที่ไปกระตุ้นให้หนังตาค่อยๆหย่อนลงเรื่อยๆเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะเลยถูกความเร็วของรถกระชากหายไปกับสายลม จนไม่รับรู้อะไรอีกเลย
.............................................
...............................
....................
..........
“อืม”
ผมสะลึมสะลือขึ้นมานั่งขยี้ตาก่อนจะมองไปรอบๆอย่างงัวเงีย รถมันมาจอดนิ่งสนิทอยู่ปากซอยทางเข้าบ้าน ก่อนจะปะทะเข้ากับใบหน้าของไอ้หัวทองที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ผมตกใจถลาไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แต่เขยิบหนีก็เหมือนนั่งอยู่เฉยๆเพราะลืมไปว่าผมนั่งตัวติดอยู่กับประตูรถ เหตุก็เนื่องมาจากไม่ไว้ใจที่จะเข้าใกล้ไอ้หัวทองนั่นเอง แต่ดูเหมือนมันจะเป็นการฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว
“ทำบ้าอะไรเล่า” ผมผลักอกมันออก แต่มันไม่ออก แถมมันยังเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนผมเริ่มลนลานอยู่ไม่เป็นสุข ไอ้หัวทองมันแสยะยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มของผมเบาๆ ด้วยความไม่เคยชิมผมเลยปัดมือมันออก
“อย่ามาใกล้ฉันนะ” ผมใช้มือดันอกมันไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้มากว่านี้ แต่ก็โดนกระชากออก แล้วไอ้หัวทองมันก็เอาไปล็อคไว้กับประตูรถแทน เบียดกันซะจนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับประตูรถไปแล้ว
และโดยไม่ให้ได้เตรียมใจริมฝีปากของมันก็กดลงมาปิดปากของผมทันที ผมตะลึง นิ่ง อึ้ง ตาเหลือกค้างไปห้าวินาที ก่อนจะได้สติพยายามดิ้นให้หลุดจากการพันธนาการ แต่สุดท้ายก็สู้แรงมันไม่ได้เลยต้องยอมให้มันทำซะให้พอใจ แต่ดูเหมือนมันจะยังไม่พอใจง่ายๆ ลิ้นร้อนๆแทรกเข้ามาจนผมสะดุ้ง พยายามจะเบือนหน้าหนีแต่แรงกดที่เพิ่มขึ้นทำให้ผมหนีไม่ได้
“อืม!!!” ผมร้องถ้วงเมื่อเริ่มไม่มีอากาศจะใช้หายใจ มันเลยยอมปล่อยริมฝีปากออกให้ผมหายใจ แต่รู้สึกมันจะกลัวผมว่างเกินเลยก้มลงไปซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอของผมอย่างเมามันราวกับสัตว์ป่าที่กำลังกระหายเลือด ผมรู้สึกเสียวซ่านไปหมดทั้งตัวเพราะไม่เคยโดนผู้ชายคนไหนมาทำอะไรไร้เหตุผลแบบนี้กับตัวเอง
“ปล่อยฉันนะ!!!” ผมพยายามเบียดตัวออกด้านข้าง แต่ก็ถูกไอ้หัวทองมันกัดซอกคอเข้าให้จนไม่กล้าดิ้นไปไหน แต่ยังไงความบริสุทธิ์ของร่างกายมันก็สำคัญกว่าผมเลยดิ้นอีกครั้งแล้วครั้งนี้มันก็ได้ผล เมื่อมือหลุดออกจากการพันธนาการ ผมรวบรวมแรงที่มีทั้งหมดผลักคนที่ซุกอยู่กับคอออกอย่างแรง
“ทำบ้าอะไรของนาย!!!” ผมยกมือกุมรอยที่โดนกัดจ้องหน้ามันอย่างเอาเรื่อง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่ากระดุมเสื้อของผมมันถูกปลดออกเกือบหมดตั้งแต่ตอนไหน ไม่เห็นรู้สึกตัวเลยสักนิด
ไอ้หัวทองมันมองหน้าผมด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะหันไปสตาร์ทรถแล้วบึ่งออกไปทันทีโดยไม่คิดจะตอบคำถามของผมสักนิด ผมก็ได้แต่หันหน้าหนีมาติดกระดุมเสื้อจัดการความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะถึงบ้าน
ผมมองเห็นประตูบ้านตัวเองอยู่ริบๆ รู้สึกใจชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มือจับประตูเตรียมจะพุ่งออกจากรถทันทีที่จอด แต่แล้วความสงสัยอย่างหนึ่งมันก็แว็บเข้ามาในหัวอย่างกะทันหัน
ทำไมมันถึงรู้จักบ้านของเราได้ ทั้งๆที่ยังไม่เคยบอกมันเลยสักคำ...?
แต่ความสงสัยทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องยุติลงเมื่อรถมาจอดอยู่ที่รั่วบ้านเป็นที่เรียบร้อย ผมเตรียมตัวจะผลักประตูออกแต่โดนไอ้หัวทองมันคว้าแขนเอาไว้ก่อน ผมเลยหันไปมองหน้ามันอย่างไม่พอใจ
“ปล่อย!”
คำเดียวที่ออกจากปาก ก่อนที่จะโดนมันดึงตัวเข้าไปจูบอย่างกะทันหัน ผมหน้าเหวอขึ้นมาอีกรอบ รีบผลักอกมันออกอย่างแรง
“ฉันชื่อคริส จำไว้ให้ขึ้นใจ”
ผมรีบสะบัดมือแล้วเปิดประตูรถออกมาทันทีแล้วกระแทกประตูปิดอย่างแรง ก่อนจะเดินตึงตังเข้าบ้านมาอย่างไม่ชอบใจ กำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่นเห็นพี่ลู่หานเดินสวนออกมาพอดี
“ช้าจัง พี่เป็นห่วงแทบแย่!” ผมไม่คิดจะตอบอะไร แต่สวมกอดพี่ลู่หานอย่างเหนื่อยล้า พี่เองก็ก่อนตอบ แล้วจากนั้นก็พากันเดินจูงมือขึ้นมาส่งผมที่ห้องนอน
“ฝันดีนะ จื่อเทาของพี่” พี่ลู่หานดึงตัวผมลงไปจูบที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนก่อนจะส่งยิ้มหวานให้แล้วเดินจากไป
ผมเดินมาถึงตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตามตัวของผมมีแต่แผลเล็กแผลน้อยโดยเฉพาะคอที่ทีรอยโดนกัด แต่ทำไมพี่ลู่หานไม่สงสัยเลยล่ะ ผมรีบพุ่งตัวไปที่หน้ากระจกอย่างรวดเร็วเพื่อสำรวจ แต่ก็ต้องตกใจตาเหลือกค้าง
“ไม่มี!” ตาไม่ได้ฝาดใช่มั้ยตามตัวของผมไม่มีแผลอะไรเลย แม้แต่รอยขีดข่วนสักนิดก็ไม่มี จะมีก็แต่ไอ้ผ้าก๊อตสีขาวที่มันพันอยู่รอบๆคอ สภาพของผมเหมือนกับถูกย้อนเวลาไปตอนก่อนที่จะเจอไอ้สามตัวนั้นเลย ทำไมกัน งงเป็นไก้ตาแตกเลยแหะวินาทีนี้
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ เรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้หรอก แล้วทำไม...?
.....................................................................
รู้สึกตอนนี้จะค้างนานพอสมควร ขอโทษจริงๆนะคร้าบ
พอดีใกล้จะสอบแล้วเลยต้องเคลียงานที่คั้งค้าง
แต่สัญญาว่าจะอัพต่อเรื่อยๆแน่นอนครับ
ฝากติดตามต่อด้วยนะคร้าบ
ความคิดเห็น