คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : :Half-Breed: 3
ผมสะลืมสะลือลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมือมิด ย้ำว่ามืดมิดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ามานอนอยู่ที่นี่ได้ไง รู้อย่างเดียวคือผมนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ บรรยากาศรอบตัวเย็นเฉียบแต่ยังดีที่มีผ้าคลุมตัวเลยไม่ค่อยหนาวเท่าไร
จำได้ว่าก่อนหน้านี้เดินกลับบ้าน แล้วเดินเลี้ยวไปทางอ้อม แล้วไปเจอตาลุงลอยออกมาจากโพลงหญ้า ต่อจากนั้นก็มีเจ้าโย่งหน้าเอ๋อเดินออกมาฆ่าตาลุงนั่นตาย ต่อจากนั่นก็........ โดนมันขโมยจูบแรกไป แล้วก็ดับไปเลย
ผมทบทวนเรื่องราวที่ไม่ค่อยน่าจำเท่าไรไป พลางล้วงๆคว่ำๆในกระเป๋ากางเกงตัวเองหาโทรศัพท์เพื่อจะมาดูเวลา แต่ไม่ว่าจะล้วงจะค้นยังไงก็ไม่มี เลยเปลี่ยนมาหาที่กระเป๋าเสื้อแทน แต่มันก็ไม่มีอีกอยู่ดี คงจะไม่ได้ไปทำล่วงที่ไหนนะ ซื้อมาตั้งแพง เดี๋ยวโดนแม่สับกบาลแยกพอดี-__-
“หายไปไหนวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้น
แอ๊ด!!!
ผมสะดุ้งอยู่ในความมืดเมื่อจู่ๆประตูห้องที่อยู่อีกมุมหนึ่งเปิดออก ผมเลยทิ้งตัวลงนอนแกล้งหลับอีกครั้ง เพื่อรอดูว่าใครเข้ามา ทันทีที่เสียงประตูถูกปิด แสงไฟภายในห้องก็สว่างพรึบขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผมหลับตาปรี๋พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก!” เสียงที่ฟังดูเป็นมิตรดังขึ้นพร้อมกับมือของใครสักคนที่เข้ามาในห้องแตะลงที่ลำคอของผม อุณหภูมิที่ถูกส่งมาจากการสัมผัสทำให้ผมสะดุ้งเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วถอยกรูไปจนติดหัวเตียง
“สวัสดี! ฉัน‘อี้ชิง’ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมมองคนตรงหน้าอย่างหวาดๆ ผู้ชายที่ซื่ออี้ชิงยิ้มกว้างให้ผมเป็นเชิงว่าไม่ต้องกลัว ลักยิ้มที่ข้างแก้มขาวทำให้ผู้ชายที่อยู่ต้องหน้าผมดูดีเอามากๆ จนผมยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงในความน่ารักแบบเท่ๆของคนๆนี้
“ที่นี่ที่ไหน” ผมถาม ขณะมองอีกคนที่ค้นหาอะไรสักอย่างในกล่องพยาบาลที่ตัวเองถือติดมือมาด้วย
“ที่นี่หรอ! ก็คฤหาสน์ของเจ้าบ้าอี้ฟานน่ะสิ” หน้าขาวที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็นไม่สบอารมณ์ในทันทีที่พูดถึงคนที่ซื่ออี้ฟานอะไรนั่น ว่าแต่ตอบแบบนี้แล้วตูจะรู้มั้ยเนี่ยว่าที่นี่มันอยู่หลืบไหนของโลก-___-
“ว่าแต่นาย
“โอเคอะไร”
“ก็ร่างกายของนาย
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่”
“จริงง่ะ!”
“อืม!”
“o_O”
“-_-?” อะไรฟะ ไอ้หน้าตาที่ไม่เชื่อซะเต็มปะดาแบบนั้น
อี้ชิงเลิกคิ้ว ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆผมที่หัวเตียง นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมเหมือนพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่าง จนผมต้องเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีเอง เพราะเริ่มรู้สึกอายยังไงชอบกล
“นิ่งๆสิ” ไม่พูดเปล่า มือนุ่มๆของอี้ชิงก็จับแก้มของผมให้หันมาเผชิญหน้า แววตาที่ไม่อาจคาดเดาได้มองสำรวจทั่วใบหน้าจนสุดท้ายมันก็ไม่หยุดอยู่ที่ลำคอ
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ” ผมเริ่มใจคอไม่ดีรู้สึกเสียวสันหลังวูบๆ เมื่อหน้าขาวๆของคนตรงหน้าค่อยๆโน้มเข้ามาทีละนิดๆ มือข้างที่จับแก้มของผมอยู่เปลี่ยนมาเป็นเชยคางของผมขึ้น แล้วก้มหน้าลงไปที่ต้นคอจมูกแทบจะติดกับผิวหนัง จนผมเองยังอดขนลุกไม่ได้เมื่อถูกลมหายใจอุ่นๆรดที่ลำคอ
“กลิ่นของนาย....” อี้ชิงพึมพำ มันยิ่งทำให้ผมอยากจะพุ่งออกหน้าต่างหนีตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ปัง!!!
เหมือนสวรรค์มาโปรด เมื่อจู่ๆประตูก็ถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงด้วยฝีมือของใครก็ไม่รู้ อี้ชิงจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนด้วยความเรียบเฉย เหมือนไม่กลัวว่าใครจะมาเห็นสถานการณ์ที่ล่อแหลมเมื่อครู่
“ช่วยไปเลิฟซีนกันไกลๆได้มั้ย นี่มันห้องฉันนะเฟ้ย!” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์แบบสุดๆดังขึ้น ผมรีบหันควับไปมองต้นเสียงทันทีเมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงมันคุ้นๆหูชอบกล
“O..O!” อัมพาตกินทันทีเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ผมจำได้แหม่น ไอ้โย่งหัวทองหน้าเอ๋อนิดๆแต่โคตรดูดีคนนั้น คนที่ฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตาผม และมันก็ยังเป็นคนช่วงชิงความบริสุทธ์จากริมฝีปากที่อุตส่ารักษามาเป็นอย่างดีของผมไปหน้าตาเฉยด้วย... ใช่! ไอ้นี่เล้ย คิดแล้วแค้นเฟ้ย>0<!!!
“หายไปไหนมา ชานยอล!” อี้ชิงถาม
‘ยอล’ หรือ ‘หยอย’ กันแน่ฟะ-*-
“ไปโดนคุณพี่อี้ฟานสุดที่รักบ่นมาอ่ะดิ-*-” มันเดินทำหน้าเซ็งโลกมาทิ้งตัวลงบนโซฟาสีแดงตัวเป้งที่ตั้งอยู่มุมห้อง ก่อนจะแงะมองผมด้วยหางตาแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างน่าสยดสยอง
“ว่าจะเอาไปฝังอยู่พอดี จะรีบตื่นมาทำไม!” คำทักทายแรกหลุดออกมากจากปากหมอนั่นได้น่ารักมาก น่ารักจนอยากจะทำปืนลั่นใส่ แต่ต้องใจเย็นๆเพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นเรา
“ทำเป็นพูดดี! อยากจะรู้จริงๆใครเป็นคนแบกหมาน้อยน่ารักตัวนี้มาที่นี่ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าต้องโดนอี้ฟานด่าแหลกลาน” อี้ชิงแซวหน้าตาย ชานยอลเบ้ปากอย่างไม่สนใจ แต่ทำไมตูต้องเป็นหมาน้อยด้วยฟะ-*-
“ก็แค่อยากจะรู้เฉยๆ ว่าไอ้ความรู้สึกตอนที่... ” เจ้าโย่งหยุดพูดก่อนแงะมามองหน้าผมที่นั่งฟังอยู่ที่หัวเตียง ผมเองก็จ้องตอบเพราะอยากรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ
“ตอนที่จูบเจ้าเปี๊ยกนั่น มันคืออะไรกันแน่” อัมพาตกินไปอีกสิบวินาที ความรู้สึกงั้นหรอ ไอ้บ้านี่มันมีความรู้สึกกับตูงั้นหรอ ไม่จริ๊งO0O!!!!
“ช่วยเอาความคิดหื่นๆของนายออกไปจากสมองเดี๋ยวนี้เลย” มันรู้ได้ไงฟะว่าผมคิดอะไรอยู่ หรือว่ามันจะมีเซนต์อ่านใจคนอื่นได้งั้นหรอ งั้นที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มันก็รู้หมดเลยอ่ะดิO_O
“หึ” มันแสยะยิ้มสยดสยองมองหน้าผม
“เรื่องนั้นค่อยคุยทีหลัง แต่ตอนนี้นายเอาหมาน้อยไปปล่อยคืนที่เดิมก่อนดีกว่า อยู่นานๆเดี๋ยวเกิดเรื่อง!” คำก็หมา สองคำก็หมา นี่ตูเหมือนหมาขนาดนั้นเลยรึไงฟะ! แต่ก็ดีจะได้ไปไกลๆจากไอ้โย่งนี่สักที อยู่นานๆเดี๋ยวเผลอทำรองเท้าลอยกระแทกปากมันขึ้นมาจะงานเข้า
“ฉันไปก่อนละกัน” อี้ชิงพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปเลย
ผมมองประตูห้องที่ปิดลงก่อนจะเหลือบมองคนตัวสูงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาสีแดง ที่รู้สึกจะชื่อชานยอลนะถ้าจำไม่ผิด หมอนั่นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไม่ยอมลุกไปไหน ทั้งๆที่อี้ชิงก็บอกไปแล้วว่าให้ปล่อยผมไป สงสัยขี้หูตันเลยไม่ได้ยิน
“นี่ไอ้โย่ง!!!” ผมตะโกนเรียก
“ชานยอลเฟ้ย! เจ้าเปี๊ยก!!!” มันตวัดหางตามองผมอย่างไม่สบอารมณ์
“แบคฮยอนเฟ้ย! ไม่ใช่เจ้าเปี๊ยก!!!” ผมตวาดกลับ
“ไม่ได้ถาม!”
“ก็อยากจะบอกให้ไอ้หน้าเอ๋อแถวนี้รู้เท่านั้นแหละ!” ผมทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางกบาลหมอนั่นเต็มๆ มันไม่ได้ตอบโต้แต่ลุกพรวดจากโซฟาเดินจ้ำๆมาหาผมอย่างรวดเร็ว ดูแค่แววตาก็รู้แล้วว่ามันกำลังโมโหสุดๆ แล้วผมจะอยู่ให้มันฆ่าทิ้งทำไมละ เผ่นสิครับพี่น้อง!!!
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน แล้ววิ่งลงมาอย่างไม่คิดชีวิตตรงไปยังประตูห้อง มือเอื้อมเตรียมจับลูกบิดที่อยู่อีกไม่กี่เซนข้างหน้า
“อยู่ด้วยกันก่อนดิ”
ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันช่างแสนไกล อีกนิดเดียวจะคว้าลูกบิดได้แล้วแท้ๆ แต่ดันโดนไอ้หน้าเอ๋อมันคว้าเอวแล้วดึงตัวออกมาซะก่อน ผมพยายามแกะมือเหนียวๆที่กอดเอวของผมอยู่ แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นหมอนี่ยิ่งกอดแน่นขึ้น
“ปล่อยเลยนะเว้ย! ไอ้ตัวสูง ไอ้โย่ง ไอ้เสาไฟฟ้า แม่แกเลี้ยงด้วยต้นมะพร้าวมื้อละสามต้นรึไงถึงได้สูงเป็นเปตรแบบนี้ ห๊า!!!!!” ไอ้ปากอัปมงคลของผมมันเอาอีกแล้ว แถมด่าเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกต่างหาก แม่มไปไวกว่าความคิดซะอีก ชิบหายจริงๆแล้วงานนี้ ไม่รอดแน่ตู ตายทั้งๆที่ยังไม่ได้เมียแน่ๆT0T!!!
“หาเมียไม่ได้ก็หาผัวไปเลยเป็นไง!” มันกระซิบข้างหูผม โดยไม่ทันได้ตอบโต้อะไร มันก็เหวี่ยงผมไปหล่นตุบลงบนเตียงพอดิบพอดี ถึงมันจะไม่เจ็บแต่มันก็โคตรจุก เพราะท้องของผมดันไปกระแทกกับหมอนที่กองอยู่บนเตียง เล่นเอาร้องไม่ออกเลย
“อ้าว! ไม่ด่าต่อล่ะ” มันยกยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆถูกกลบด้วยสีโลหิตทีละนิดๆราวกับสัตว์ป่าที่กำลังกะหายเลือด มันกระโดดขึ้นมายืมบนเตียงจ้องหน้าผม อันตรายที่กำลังคุกคามมันกระตุ้นให้ผมรีบหาทางหนีโดยด่วน
ผมมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ตอนนี้สมองไม่ประมวลผลจะมีก็แต่สัญชาตญานการเอาตัวรอดของมนุษย์เท่านั้นที่พอจะใช้การได้ ด้วยความที่คิดอะไรไม่ออกผมเลยพุ่งตัวออกไปด้านข้างอย่างโง่ๆทั้งที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะรอด
“ฤทธิ์เยอะจริงนะ!” เป็นไปตามที่คาดไว้ว่าหมอนี่รู้ว่าผมคิดจะหนี มัมคว้าข้อเท้าของผมเอาไว้แล้วลากกลับไปที่เดิม ก่อนจะล็อคข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วตามด้วยการคร่อมร่างของผมเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก ตอนนี้ผมเลยตกอยู่ในสถานะที่หมดทางสู้โดยสมบรูณ์
“อี้ชิงก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้นายปล่อยฉันไป” ผมจ้องคนตรงหน้าเขม็ง มือที่ถูกบีบเริ่มรู้สึกปวดระบมขึ้นมาทีละนิดๆ
“ไอ้ปล่อยน่ะปล่อยแน่ แต่ตอนนี้ขอกำจัดไอ้นิสัยอวดเก่งปากดีของนายก่อน” พูดจบ ปากของผมก็ถูกปิดทันทีโดยไม่รอให้โต้ตอบ อีกครั้งแล้วที่ริมฝีปากของผมถูกช่วงชิงโดยที่ไม่อาจขัดขืน ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันแท้ๆ แม้แต่ชื่อของผมหมอนี่ไม่รู้จะจำได้รึป่าวด้วยซ้ำ แต่จะไปโทษใครได้เมื่อสาเหตุก็เป็นเพราะตัวผมเองทั้งนั้น
“อืม”
เสียงครางแผ่วเบาในลำคออย่างพึงพอใจของตรงหน้าทำผมแทบประสาทกิน พยายามจะหันหน้าหนีสุดชีวิตแต่ก็โดนจับหน้าเอาไว้แล้วกดริมฝีปากลงมาอย่างหนักหน่วง ลิ้นหนาสอดเข้ามาไล้ไปตามไรฟัน แต่ผมขบฟันแน่นไม่ยอมให้แทรกเข้ามาได้ มือใหญ่ที่เคยจับที่หน้าลูบไล้ไปทั่วตัวของผม ก่อนที่มันจะแทรกเข้าไปใต้เสื้อยืดไล้ไปตามแผ่นอกจนรู้สึกเสียววูบๆขนลุกเกรียวทั้งตัว
“อะ อืม อืม!” ผมเริ่มต่อต้านแรงขึ้นเรื่อยๆ ดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้ร่างที่ยังไม่ยอมหยุดการกระทำ เมื่อมือหยาบที่ลูบไปทั่วบัดนี้ไปจับอยู่ที่หน้าอกของผม ด้วยความตกใจจนเผลออ้าปากร้องแต่ลืมไปว่าอีกฝ่ายรอจังหวะอยู่ ลิ้นร้อนรุกรานเข้ามาตักตวงสิ่งที่ต้องการ ก่อนมาเปลี่ยนมาเป็นไล่ต้อนลิ้นเล็กของผมแทน
ความรู้สึกเดิมเริ่มกลับมาอีกครั้ง หัวเริ่มปวดหนึบๆเหมือนกำลังจะไม่สบาย อากาศเริ่มหมด ดวงตาพร่าเลือน มือไม้ไร้เรี่ยวแรง เหมือนกับว่ากำลังโดนคนตรงหน้าดูดพลังไปทีละนิดๆ มันเบลอไปหมดจนตอนนี้แทบจะไม่รับรู้อะไรแล้ว
“ถ้าไม่อยากโดนมากกว่านี้ ทีหลังก็อย่าทำเป็นปากดี” เสียงเหมือนมันดังมาจากอีกโลก หัวของผมหมุนติ้วๆเหมือนตอนโดนอาจารย์ทำโทษให้ปั่นจิ้งหรีดไม่มีผิด
ริมฝีปากของผมถูกประกบอีกครั้งแต่คราวนี้มันนิ่มนวล แผ่วเบา ไม่ได้บ้าเลือดเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา แต่มันต่างกันตรงที่คราวนี้ร่างสูงเลื่อนใบหน้าลงไปกัดเบาๆที่ลำคอของผม ถึงจะเจ็บแต่ความรู้สึกหัวหมุนหรืออะไรต่างๆนานาที่กำลังเผชิญอยู่ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆจนมันหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนได้พลังทั้งหมดกลับคืนมา
ผมสะบัดมือที่ถูกเกาะกุมแล้วผลักคนตรงหน้าออกอย่างไม่ใยดีแล้วยันตัวลุกขึ้น เขยิบถอยห่างออกมานั่งใช้มือกุมลำคอที่โดนกัดก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หัวเตียง ผมเม้มปากตัวเองรู้สึกมันจะบวมๆไงชอบกล
“พอใจแล้วใช่มั้ย” ผมถามเสียงเรียบแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้า
“ยัง! แค่นี้มันน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับบทลงโทษที่นายควรจะได้รับ” ผมกัดปากตัวเองอย่างแค้นเคืองที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย ก่อนจะเงยหน้ามองอีกคนที่นั่งแสยะยิ้มอยู่ที่ปลายเตียง
“แต่ฉันก็ทำได้แค่นี้แหละ เพราะพี่คริสหรอกนะนายถึงได้รอดน่ะ สำนึกด้วยล่ะ” ผมรู้สึกสะดุดขึ้นมาอย่างหนึ่ง พี่ที่หมอนั่นกำลังพูดถึง ชื่อของคนๆนั้นมันคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ สิ่งที่สำคัญคือผมต้องทนนั่งฟังมันพล่ามอีกนานมั้ยเนี่ย อยากกลับบ้านใจจะขาดแล้ว
“-*-”
ผมลืมอีกแล้วว่ามันอ่านความคิดได้ แล้วคงจะรู้ด้วยว่าผมกำลังบ่นมันอยู่เลยลุกเดินมาหาผมด้วยหน้าตาที่บอกบุญไม่รับ ตอนนี้ผมหวาดระแวงทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวชานยอล ผมค่อยๆเขยิบๆออกมาห่างๆแต่ก็โดนดักทางไว้ด้วยแขนของหมอนั่น
“จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง!... ฉันไม่สามารถอ่านความคิดของใครได้รวมถึงตัวนาย แต่ความคิดบางช่วงบางตอนของนายมันเข้ามาในหัวของฉันเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้สาเหตุและไม่ได้อยากจะรับรู้ด้วย” บางช่วงบางตอนหรอ งั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมดน่ะสิ งั้นคราวหลังจะคิดจะบ่นอะไรต้องระวังแล้ว!
“แล้วนายจะพาฉันกลับบ้านได้ยัง” ผมเปลี่ยนประเด็น
“..........” ไม่มีสัญญาณตอบรับ
“นี่!”
“...........”
“นี่! นาย!!!” ชานยอลมองหน้าผมนิ่งๆไม่ยอมตอบอะไรผมสักคำ แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อหน้าขาวๆโน้มลงมา ผมหันหน้าหนี แต่ก็ถูกจับหน้าหันมาเหมือนเดิม
“นิ่งๆสิ อยากกลับบ้านไม่ใช่หรอ” ตอนนี้หน้าผมกับหน้าชานยอลอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ไม่รู้เปลี่ยนกลับมาตั้งแต่ตอนไหนจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ ผมทำได้แค่หลบตา อยากกลับก็อยากกลับ แต่กลัวไอ้บ้านี่มันจะทำอะไรไม่เข้าท่าอีกน่ะสิ
“จุ๊บ!” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร ชานยอลก็กดจูบลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะไล่จูบลงมาตามข้างแก้ม แล้วมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากกดจูบผมอีกครั้งอย่างนุ่มนวลและเนิ่นนาน น่าแปลกที่คราวนี้ผมไม่ได้ต่อต้าน จะมีก็แต่สะดุ้งนิดๆเท่านั้นเอง
ผมหลับตาลง ในหัวตอนนี้มันขาวโพลนไปหมด รู้สึกสงบยังไงบอกไม่ถูก รู้แค่ว่าง่วง อยากนอนสุดๆ สติมันเหมือนจะหลุดลอยไปได้ง่ายๆเลยตอนนี้
“ไม่ต้องเกร็ง! อยากหลับก็หลับเลย” ริมฝีปากถูกผละออก แต่หน้าผากของคนที่อยู่ตรงหน้ายังติดกับหน้าผากของผม มือลูบไล้ข้างแก้มอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ทำไมถึงจู่ๆถึงรู้สึกง่วงแบบนี้ เพราะชานยอลงั้นหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ไอ้คนหื่นแบบเนี่ย!!!
ในหัวผมเริ่มกลับมาคิดอะไรต่างๆนานาอีกครั้ง แต่ก็เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะเข้าสู่ห้วงนิทราภายใต้อ้อมแขนของคนที่ผมไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเท่าไร
.............................
มานั่งดูยอดวิวแล้วห่อเหี่ยว
คนเข้าเป็นร้อย คนเม้นมีไม่ถึงยี่สิบ
ซาบซึ้งจนแทบจะร้องไห้
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับไรท์เตอร์คือ คอมเม้นนะคร้บ
อ่านแล้วกรุณาเม้นที จะได้มีกำลังใจเขียนต่อ
ความคิดเห็น