คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : :Married 1:
ยามเช้าของวันจันทร์ที่แสนจะสดใส แต่มันคงจะเช้าเกินไปเลยไม่มีใครโผล่มาสักคน มีแค่ผมที่เดินไม่สบอารมณ์ไปตามทางเดินยาวของมหาวิทยาลัยคนเดียวกับหมาอีกหนึ่งตัว มันคงจะไม่เข้าใจหรอกมั้งว่าผมมาทำอะไรแต่เช้าแบบนี้ เหตุผลก็เพราะอยากมาหาที่เงียบๆสบายหูสบายตามากกว่าที่บ้าน นั่งคิดอะไรๆก็เท่านั้นแหละ
“เงียบดีจริงๆ” พึมพำเบาๆขณะเดินไปยังตึกชมรมศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ด้านในสุดของมหาวิทยาลัย ไม่รู้ผู้อำนวยการนึกยังไงถึงออกทุนสร้างตึกสี่ชั้นให้ชมรม แถมไปสร้างซะไกลเลย สงสัยอยากจะให้ผมที่เป็นประธานชมรมกับพวกสมาชิกออกกำลังกายไปในตัวระหว่างการเดินเข้าชมรมแหง่ๆ
ครืด!!! ครืด!!! ครืด!!!
กำลังนินทาผ.อ จู่ๆโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็เต้นแร็พขึ้นมา ผมล้วงขึ้นมาก่อนจะกดรับ
(เฮ้ย!!!! เมื่อไรมึงจะโผล่หัวมาให้กูยลโฉมสักที กูนั่งรอมึงตั้งแต่ตีห้าแล้วนะโว้ย ผีจะหักคอกูตายอยู่แล้ว นี่มันกี่โมงแล้ว มึงเบิกเนตรดูนาฬิกาสิ ไอ้หมาแพนดี้!!!!)
ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก เสียงที่คุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้นมาเป็นชุด
“แล้วใครใช้ให้มึงแหกขี้ตาออกมาตั้งแต่ตีห้าล่ะ ไอ้ไก่ดำ”
(ก็มึงบอกให้กูออกมารอมึงแต่เช้าไม่ใช่รึไง)
“แล้วมีคำไหนที่กูบอกให้มึงออกมาตอนตีห้ามั้ย”
(ไม่มีอ่ะ!)
“เออ! เพราะฉะนั้นก็อย่าบ่นเดี๋ยวกูก็ถึงแล้ว มึงนั่งเล่นกับผีรอกูก่อนอีกห้านาที” ผมตัดสายของมันทันทีเพราะขี้เกียจฟังมันบ่น ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปหามันอย่างรวดเร็ว
แต่ระหว่างทางไปตึกชมรมมันจะต้องผ่านตึกของคณะแพทย์ศาสตร์ที่ผมเกลียดที่สุด เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่ามันเป็นแหล่งรวมสิ่งที่ผมทั้งเกลียดทั้งแขยงที่สุด ทั้งศพเด็กดอง ตับไตไส้พุง ทั้งโครงกระดูกและอะไรต่างๆนาๆ ที่ไม่รู้ว่าเจ้าของมันจะตามมาถวงคืนรึป่าวก็ไม่รู้
กำลังจะวิ่งผ่านไปโดยสวัสดิ์ภาพ ถ้าไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นซะก่อน
กึก!!! กึก!!!
“เหี้ย!!!!” ไม่ต้องตกใจครับ ผมไม่ได้จะด่าใคร มันเป็นแค่คำอุทานเวลาตกใจเฉยๆ
ผมกระโดดถอยหลังเมื่อเสียงอะไรสักอย่างลอยเข้ามาในหู ผมหันซ้ายแลขวา แต่ว่ามันไม่มีความผิดปกติอะไรเลยสักอย่าง ผมยืนดูจนแน่ใจว่ามันไม่มีอะไรจริงๆเลยก้าวขาเดินต่ออย่างหวาดๆ
ตุบ!!!!!
“ว๊ากกกกก!!!!!!!” ผมแหกปากลั่นเมื่อจู่ๆก็มีร่างคนหล่นตุบลงมาตรงหน้าในระยะเผาขน ผมหลับหูหลับตาถอยกรูไปข้างหลังอย่างรวดเร็วจนสะดุดขาตัวเองหงายหลังลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ขาสั่นจนลุกไม่ขึ้นเลยนอนปิดตาตัวเองอยู่อย่างนั้นไม่อยากจะมองว่าใครคือคนที่หล่นลงมาจากตึก
ไอ้บ้าที่ไหนมาโดนตึกตายตอนเช้าแบบนี้ฟะเนี่ย แล้วทำไมไม่แหกตามองก่อนฟะว่ากูอยู่ข้างล่าง ถ้าหล่นลงมาทับกูตายไปอีกคนจะทำยังไง>O<!!!!
“น้องครับน้อง!!!” ผมสะดุ้งเฮือกเด้งตัวขึ้นอย่างลืมตัว เมื่อจู่ๆก็มีมือเย็นๆมาเตะที่ไหล่
“O.,O”
“อ้าวเธอ! น้องชายจุนมยอนไม่ใช่หรอ” หน้าขาวๆบวกลักยิ้ม ผมจำได้แม่น แต่สีหน้าของผมตอนนี้มัน...
“O.,O” ยังตาเหลือกค้างอยู่ท่าเดิม
“เป็นอะไรรึป่าว! เมื่อกี้พี่ขอโทษนะ พอดี....”
“พี่อี้ชิงเมื่อกี้ เมื่อกี้มีคนหล่นลงมาจากตึกแพทย์ด้วยอ่ะ เฉียดหัวผมไปนิดเดียวเอง จะตายรึป่าวก็ไม่รู้ พี่อี้ชิงรีบแจ้งตำรวจเร็ว เรียกรถพยาบาลด้วย อย่าปล่อยให้เค้าตายในนี้นะ ผมกลัวผี!!!” ผมกระโดดเกาะแขนพี่อี้ชิงเพื่อนสนิทของพี่จุนมยอนอย่างรวดเร็ว พร้อมเขย่าๆอย่างแรงจนพี่อี้ชิงต้องร้องห้ามเอาไว้ก่อนกระดูกแขนจะหลุดติดมือผมมาด้วย
“ใจเย็นๆแล้วฟังพี่... ไม่มีใครหล่นลงมาทั้งนั้นแหละ”
“ไม่จริงอ่ะพี่ ผมเห็นคางตาเลยนะ”
“ดูดีๆที่เธอเห็นน่ะ มันคนจริงๆรึป่าว” พี่อี้ชิงจับหัวของผมหมุนไปยังทางที่มีร่างของใครสักคนนอนอยู่ แต่ผมหลับตาปรี๊เพราะไม่กล้ามอง ส่วนคนที่เรียนแพทย์ปีสุดท้ายอย่างพี่อี้ชิงคงเห็นจนชินแล้วแน่ๆ
“อย่าหลับตาสิ” จะไม่ให้หลับได้ไงเล่า ก็คนมันกลัวนี่หว่า>0<
“แล้วแบบนี้จะรู้มั้ยเนี่ยว่ามันคืออะไร” ไม่เอา ไม่อยากรู้แล้วโว้ย ปล่อยตู!!!
พี่อี้ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะปล่อยหัวผม ผมเลยนั่งหันหลังให้
“ก็บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าโยนลงมา ถ้าโดนคนอื่นขึ้นมาจะทำยังไง”
พี่อี้ชิงพูดกะใครวะ แล้วโยนอะไร อย่าบอกนะว่าคนที่หล่นลงมาเป็นฝีมือของพี่อี้ชิงกับใครอีกคน O.,O!!!
“ก็ใครใช้ให้มาเดินแถวนี้ล่ะ” เสียงของใครอีกคนดังขึ้น พร้อมกับร่างของคนที่ร่วงจากตึกหล่นตุบลงตรงหน้าผมด้วยฝีมือของไอ้คนที่มันพูดเมื่อกี้
“เหี้ย!!!!” ด้วยความตกใจเลยกระโดดโหยงไปกอดแขนพี่อี้ชิงด้วยความเร็วแสง พี่อี้ชิงหัวเราะร่าจับหัวของผมหันไปมองว่าจริงๆแล้วมันคือ...
“กะอีแค่หุ่นจำรองร่างกายคน จะกลัวอะไรหนักหนา ปัญญาอ่อน!” เสียงแขวะลอยกระแทกเข้าหูอย่างจัง ผมหันควับกลับไปถลึงตาเขียวใส่ไอ้หัวทองคิ้วดกที่มันยืนทำหน้ากวนบาทาอยู่ข้างพี่อี้ชิง
“แล้วพระบิดาของแกสั่งให้โยนลงมารึไงมิทราบ!” แม่งเอ้ย! แค่เห็นครั้งแรกก็เกลียดขี้หน้าไอ้ขี้เก๊กนี้แล้ว แถมคันตีนหยิกๆอยากจะกระโดดขาคู่ยันหน้ามันซักทีสองทีให้หายหมั่นไส้
“กูเป็นพี่มึงนะเฮ้ย จะพูดอะไรก็ระวังปากไว้บ้าง เดี๋ยวจะตายศพไม่สวยเอานะไอ้น้อง!” มันเดินมากระชากคอเสื้อของผม ความสูงที่ไม่ต่างกันมากเท่าไรทำให้ผมเห็นหน้าของมันชัดขึ้น ซึ่งหน้ามันคุ้นๆยังไงชอบกล แต่ก็คงคิดไปเองเพราะหน้าตาโหลๆที่เทียบผมไม่ติดแบบนั้น มีออกเกลื่อนถนน
“เกิดมาตั้งนานแม่ไม่เห็นเคยบอกเลยแหะ ว่ากูมีพี่หน้าตาเหี้ยๆแบบนี้ด้วย”
“กวนตีนกูหรอ ไอ้หมีขอบตาดำ!!!”
“แล้วมึงจะทำไมกูหรอ ไอ้เงิง!!!”
ผมกระชากคอเสื้อของมันบ้าง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายชนิดที่ว่าจะฆ่ากันให้ตายได้ด้วยสายตา พี่อี้ชิงก็พยายามจะห้ามแต่ถูกไอ้เพื่อนเลวๆอย่างไอ้เงิงนี่ผลักออกอย่างไม่ใยดี ผมเผลอหันไปมองพี่อี้ชิงด้วยความเป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรรึป่าว มันเลยกลายเป็นการเปิดช่องว่างให้ไอ้เงิงเล่นทีเผลอ จับผมเหวี่ยงลงไปนอนกับพื้นก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วง้างหมัดเตรียมเสยหน้า
“เฮีย/หมาแพนดี้!!!!!!” สองเสียงประสานกันอย่างลงตัว หนึ่งเสียงไม่รู้ว่าเป็นของใคร แต่อีกหนึ่งเสียงผมจำได้แม่ม เพราะมีแค่ไอ้ไก่ดำตัวเดียวเท่านั้นที่เรียกผมว่าหมาแพนดี้
หมัดที่กำลังเคลื่อนตัวมากระแทกหน้าผมหยุดชะงักกลางอากาศ ทั้งไอ้เงิงและผมหันควับไปกันคนละทิศละทางตามต้นเสียง ไอ้ไก่ดำมันวิ่งมาคว้าตัวผมออกมาในขณะเดียวกันที่อีกคนก็มาลากไอ้เงิงออกจากตัวของผมเช่นกัน
“จะมาเสือกทำห่าอะไร”
“จะโดนกระทืบตายแล้วยังปากดีอีกนะมึง” ก็ถ้าแม่งไม่เล่นทีเผลอ กูก็คงไม่เสียเปรียบแบบนั้นหรอก คิดแล้วแค้น ทำคุณไสยใส่แม่งเลยดีมั้ยเนี่ย-*-
เหลือบมองไปทางมัน รู้สึกพี่อี้ชิงกำลังยืนด่ามันอยู่ แต่ดูหน้ามันจะไม่มีความสำนึกเลยสักนิด และก็มีบุคคลปริศนาที่ยืนทำตาเหลือกใส่ไอ้เงิงอยู่ ตัวเล็กๆ ตาโตๆ หน้าขาวๆ น่ารักเหมือนตุ๊กตาเลย แต่เสียดายที่เป็นผู้ชาย นี่ถ้าเป็นผู้หญิงละก็เสร็จกูแน่
“คือว่า...” กำลังยืนใจลอยรู้ตัวอีกทีก็เห็นนายตาโตโผล่มายืนอยู่ตรงแล้ว แถมยังลากไอ้เงิงติดไม้ติดมือมาเป็นของฝากอีกต่างหาก
“ขอโทษด้วยนะครับที่พี่ชายสร้างปัญหา” นายตาโตทำหน้าสลดก่อนจะโค้งให้ แต่ไอ้ตัวปัญหาจริงๆมันดันยืนมองอยู่เฉยๆเหมือนไม่ใช่ความผิดของตัวเองซะงั้น
“ไม่เป็นไรหรอก! แต่คราวหน้าล่ามโซ่มันเอาไว้หน่อยก็ดีนะ” จิกตามองหน้ามัน
“มึงไม่จบหรอ” ไอ้เงิงทำท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่องแต่ก็โดนนายตาโตยืนขว้างเอาไว้ก่อน มันทำหน้าไม่สบอารมณ์แบบสุดๆ ก่อนจะสะบัดตูดเดินกระแทกตีนตึงตังหายเข้าไปในตึกแพทย์โดยมีพี่อี้ชิงวิ่งตามไปห่างๆ ตอนนี้เลยเหลืออยู่สามหน่อ
“เฮียเค้าก็เป็นคนแบบนี้แหละ อย่าโกรธเลยนะ”
“จะพยายาม!” ผมพูดทิ้งท้ายแล้วเดินหนีมา ทิ้งไอ้ไก่ดำไว้กับนายตาโตสองคน
ชาตินี้หรือชาติหน้าก็ขออย่าให้ได้เจอหน้าไอ้เงิงอีกรอบเลย เดี๋ยวมันจะทนไม่ไว้เอาค้อนทุบฟันหน้ามันออกซะก่อน!!!
............................................................................
ไอ้หมาแพนดี้มันเดินตูดบิดหนีไปโดยไม่สนใจจะเรียกผมที่อุตส่าถ่อสังขารออกมาตามมันเลยสักนิด ทิ้งให้ผมยืนใบ้รับประทานอยู่กับคุณหนูตัวเล็กที่มองยังไงก็โคตรหล่อ แต่ไอ้ตาโตๆเหลือกๆมันดันทำให้หน้าหล่อกลายเป็นน่ารักแอ๊บแบ็วไปซะแล้ว แต่ที่รับไม่ได้สุดๆเลยคือหมอนี่เป็นน้องชายของอี้ฟานลูกชายตระกูลที่ไอ้จื่อเทามันเกลียดจนเข้าไส้
นี่ถ้ามันรู้ละก็โดนเกลียดขี้หน้าทั้งพี่ทั้งน้องแน่ๆ ข้อหาเป็นลูกชายของตระกูลที่ทำให้พี่ลู่หานของมันต้องโดนบังคับแต่งงาน-_-
“นี่นาย!”
“ห๊ะ!!!” กำลังยืนจมกับความคิดเสียงเรียกของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ดังกระแทกหู
“หน้าฉันมีอะไรติดรึป่าว ทำไมต้องจ้องขนาดนั้น” จะบอกได้มั้ยล่ะว่าไอ้ที่ติดอยู่ที่หน้านายมันก็คือความน่ารัก คนอะไรไม่รู้ยิ่งทำหน้าตาสงสัยยิ่งโคตรน่ารักเลย
“ป่าว! ก็แค่กำลังคิดว่านายเป็นน้องชายของอี้ฟานจริงหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ” หมอนี่ทำตาโตซึ่งมันจะโตเกินไปรึป่าว มองไปมองมาก็หน้ากลัวนะนั่น-_-!
“ฉันชื่อจงอิน ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมยกมือทักทาย แต่ดูหน้าแล้วท่าทางจะไม่ได้อยากรู้จักผมเลยสักนิด หมอนั่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่คิดจะบอกชื่อเสียงเรียงนานกันเลยสักนิด
หยิ่งนักหรอ เดี๋ยวพ่อจีบให้หายหยิ่งเลยคอยดู เตรียมตัวรับมือไว้ได้เลย หึหึ!!!
......................................................................
บรรยากาศภายในห้องชมรมแต่ละมุมมันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่โซฟากลางห้อง หนึ่งคนนั่งเล่นเกมอย่างสบายใจ หนึ่งคนนั่งกินขนมพร้อมกับดูทีวี ส่วนอีกคนก็นั่งจมอยู่กับโทรศัพท์ ซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไป แต่พอหันมาโซฟาอีกตัวที่อยู่มุมห้องบรรยากาศมันช่างน่าอึดอัดดีแท้
“เฮ้ย! มึงเป็นห่าไรของมึงวะ กูเห็นแม่งนั่งทำหน้าเหวี่ยงตั้งแต่เช้าแล้ว” ไอ้แบคฮยอนเพื่อนสนิทของผมเดินมาตบไหล่
“กูก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว” ประชดมันไปทีหนึ่ง สิ่งที่ได้รับกับคืนมาคือฝ่ามืออรหันต์ฟาดผัวะลงกลางกบาลหัวแทบจะแยกเป็นสองซีก
“ไอ้ห่าเตี้ย! มึงตบกูทำไมเนี่ย”
“กวนตีนกู!” แล้วมันก็เดินสะบัดตูดกลับไปนั่งเล่นเกมต่อ ไอ้เตี้ยมันเป็นเพื่อนของผมตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่พอใจอะไรก็ตบ โกรธอะไรก็ตบ ขนาดเขินมันยังตบหัวแทบปลิว จนผมจะกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนไปแล้ว เอะอะตบ นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนนะ กูจะเอาขี้ไปปาหลังคาบ้านแม่มเลย-*-
“เฮ้ยเทา! พี่ถามจริงๆมึงเป็นไรมากป่ะเนี่ย” พี่ซิ่วหมินที่เป็นประชาสัมพันธ์ของชมรมเงยหน้าขึ้นจากถุงขนมมาตะโกนถามเสียงดังลั่น
“ก็เป็นคนเนี่ยแหละ พี่อย่าถามมากเลย ผมไม่อยากต่อยคนแก่” ย่อนระเบิดทิ้งไว้ลูกหนึ่งแล้วลุกเดินหนีมาหน้าตาเฉย เสียงมันโวยวายอะไรก็รู้ไล่หลังมา แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ไปสนใจมันหรอก ลงไปหาอะไรกินแก้เครียดดีกว่า
ผมเดินทำหน้าซังกะตายอย่างเฉื่อยชาลงมาตามบันไดฝั่งตะวันตกของตึกเรียนที่แทบจะไม่เห็นเงาของคน บรรยากาศมันช่างวังเวงจนน่าขนลุก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ผมถึงไม่มีอารมณ์จะกลัวอะไรเลยสักนิดเดียว แถมรู้สึกอยากจะให้มันโผล่มาจริงๆด้วยซ้ำจะได้ลองซัดผีซักเปรี้ยงให้หายแค้น =_=
“คริสค่ะ!” ผู้หญิงที่ไหนมาร้องเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่แถวนี้วะ -_-?
ผมเดินเลียบๆเคียงๆไปทางต้นเสียงที่ดังออกมาจากมุมหนึ่งของบัดไดชั้นล่างซึ่งผมยังเดินลงไปไม่ถึง แต่พอชะโงกหน้าลงไปเท่านั้นแหละครับพี่น้อง พระเจ้า! หันกลับแทบไม่ทัน เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะแม่งดันมาเล่นหนังสดกันกลางวันแสกๆน่ะสิ จูบกันนัวเนียชนิดไม่กลัวว่าอาจารย์จะเดินมาเห็นเล้ย นี่มันโรงเรียนนะคุณพี่ ไม่ใช่ซ่อง จื่อเทาคนนี้จะไม่ทน -.,-
ผมหันซ้ายหันขวาเหลือบไปเห็นถังขยะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เลยย่องเบาเข้าไปใกล้ๆแล้วเหนี่ยวเต็มแรงด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะวิ่งมาหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ดูถังขยะที่โชคร้ายกลิ้งเป็นลูกขนุนลงบันไดไป เศษขยะที่อยู่ในถังกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“เฮ้ย! ใครวะ!!!” เสียงตะโกนที่ฟังแล้วไม่สบอารมณ์สุดๆดังขึ้น ผมแอบหัวเราะชอบใจน้อยๆอย่างสะใจ ก่อนจะรีบหุบปากเพราะเสียงฝีเท้าหนักๆของใครสักคนเดินขึ้นบันไดมา ตอนนี้ผมแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับเสาเลยก็ว่าได้ พยายามจะบีบตัวสุดๆไม่ให้มันคนนั้นรู้ว่าหลบอยู่หลังเสา
“ใครหรอค่ะคริส!” เสียงผู้หญิงดังขึ้น ผมเบะปากพูดล้อเลียนแบบไม่มีเสียงด้วยความหมั่นไส้ ไม่ใช่ว่าผมเกลียดผู้หญิงหรอกนะ แค่ไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่รักนวลสงวนตัวเท่านั้นเอง -_-
“ไม่รู้เหมือนกันครับ!” มันเดินกลับไปแล้ว รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่กันเถอะค่ะ ฮันนี่กลัว!” แหม่! แม่น้ำผึ้งทำขนาดนี้ยังจะกลัวอีกหรอ =_=
เสียงฝีเท้าของคนทั้งสองเดินลงบันไดไปแล้ว ผมชะโชกหน้าออกมาดูเพื่อความแน่ใจว่าไปแล้วจริงๆจึงเดินออกมา เห็นคนมาซั่มกันกลางวันแสกๆแบบนี้ชักหมดอารมณ์กินอะไรไม่ลงแล้วแหะ กลับไปนอนห้องชมรมดีกว่า!
ผมหันหลังเดินกลับขึ้นบันไดไปเหมือนเดิม แต่ทว่า! ก้าวขึ้นมาได้แค่สามขั้นก็มีไอ้หอกที่ไหนไม่รู้กระชากคอเสื้อกลับไปด้านหลังอย่างแรงจนผมหงายเหงิบลงมานอนกลางวันอยู่ที่พื้นข้างล่าง
“เชี้ยเอ้ย! ใครวะ!!!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความโมโหก่อนจะหันกลับไปหาเรื่องไอ้คนที่มันบังอาจมาทำกับหวงจื่อเทาแบบนี้
“มึงอีกแล้วหรอไอ้เงิง!” ผมจ้องหน้ามันเขม็ง ไอ้เงิงที่มีเรื่องกับมันเมื่อตอนเช้านี่เอง จะตามมาคิดบัญชีรึไงฟะ
“เมื่อกี้ฝีมือมึงใช่มั้ย”
“ฝีมืออะไร กูไม่ได้เป็นฝีที่มือซักหน่อย!” ผมตอบหน้าตายยกมือขึ้นแคะหูอย่างไม่ใส่ใจ
“กูไม่ตลก!!!” มันผลักอกผมอย่างแรงแล้วชี้หน้าผม
“กูก็ไม่ได้ให้มึงขำนี่!” ผมผลักมันคืน
“มึงตอบกูมา มึงเป็นคนเตะถังขยะใช่มั้ย!” ผมชะงัก
มันรู้ได้ไงวะ เอ๊ะ! หรือว่าไอ้ผู้ชายที่กำลังนัวเนียอย่างไม่อายฟ้าอายดินนั่นคือไอ้เงิง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น หาเรื่องถูกคนจริงๆเลยตู = =
“ถังขยะอะไร กูไม่รู้เรื่อง กูพึ่งจะเดินลงมาตะกี้นี้เอง-3-” แถหน้าด้านๆครับพี่น้อง
“กูเห็นมึงกำลังเดินขึ้นไม่ใช่หรอ=_=” มันหรี่ตามอง
“กะ... ก็เดินลง แล้วก็เดินขึ้นไง ออกกำลังกายอ่ะมึงไม่รู้จักรึไง” ผมพูดขณะที่เท้าก็ค่อยๆเขยิบถอยหลัง
“แล้วมึงจะถอยไปไหน!” มันคว้าแขนผมเอาไว้
“ปล่อยกู!!!!” ผมตะโกนลั่นก่อนจะสะบัดแขนแล้ววิ่งขึ้นบันไดมาแบบไม่คิดชีวิต พอหันหน้าไปข้างหลังก็พบว่ามันไล่ตามหลังมาติดๆแถมไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยซักนิด
ได้ออกกำลังกายจริงๆแล้วกู!!!
ผมกับมันเล่นวิ่งไล่จับกันชนิดที่เรียกได้เต็มปากว่าทั่วมหาลัยเลยจริงๆ ไปตั้งแต่ตึกฝั่งตะวันออกแล้วก็อ้อมผ่านตึกชมรมของผมที่อยู่ด้านหลังวนกลับมาที่ตึกฝั่งตะวันตกอีก มหาลัยนี้ก็ใช่ว่าจะเล็กๆนะ มีวันนี้แหละที่ผมได้มีโอกาสทั่วรอบมหาลัย ซึ่งทั่วแบบนี้ก็อย่าได้มีอีกเลยชาตินี้ ผมยอมมุดหัวอยู่แต่กะห้องชมรมแล้วก็ตึกคณะอักษรศาสตร์ดีกว่า เพราะมันเหนื่อยแบบสุโค่ยมาก-0-
ผมกับมันเริ่มจะไม่มีแรงวิ่งแล้ว เลยสามัคคีกันหยุดพักโดยมิได้นัดหมายอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ ผมทิ้งตัวลงนอนแผ่รับลมเย็นๆอย่างสบายตัว ส่วนมันก็ดูเหมือนจะเหนื่อยจนสมองไม่ประมวลผลลืมความแค้นที่มีต่อผมไป แล้วนั่งลงข้างผมหอบหายใจลิ้นห้อยเหมือนหมาไม่มีผิด
“ทีหลัง... มึง... อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ กู... เหนื่อย มึงเข้าใจมั้ย!” มันพูดติดๆขัดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นต่อยท้องผมอย่างแรงจนจุกไปหมด
“สัดเอ้ย! ใครใช้ให้มึงตามกูมาเล่า!” ผมเด้งตัวขึ้นก่อนจะต่อยคืนไปที่ต้นแขนของมันอย่างแรง ส่วนมันก็แก้แค้นด้วยการใช้เท้าเตะขาของผมที่ยังคงสั่นพั่บๆ ผมเลยอัดเน้นๆเข้าที่ต้นแขนของมันอีกรอบ
สงครามเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครยอมใคร พลัดกันเตะพลัดกันถีบอย่างเมามันส์ จนผมเริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมาอีกรอบ เด้งตัวลุกขึ้นยืนแล้วเตะขามันอย่างแรงจนมันร้องลั่น ก่อนที่มือของมันจะคว้าเอาชายเสื้อเชิ้ตของผมดึงกลับลงไปอย่างแรงหมายจะให้ผมล้มหน้าฟาดพื้นหมดหล่อ
แต่ทว่า! มันดันไม่ได้เป็นไปแบบที่คาดไว้น่ะสิ O0O!!!
“OxO”
“OxO”
นิ่ง อึ้ง ค้าง ต่างคนต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อร่างของผมที่เสียการทรงตัวมันดันล้มลงไปทับร่างของไอ้เงิงพอดิบพอดี แต่อะไรก็ไม่ทำให้ช็อคได้เท่าริมฝีปากที่มันลงไปประกบกันแบบไม่มีพลาดแม้แต่เซนต์เดียว และเมื่อผมได้สติก็รีบลุกพรวดพลาดขึ้นทันทีจนเผลอเหยียบขาของไอ้เงิงหงายหลังล้มลงอีกรอบ
ผมกับมันนั่งหันหลังให้กัน ต่างคนต่างเงียบ ผมยกมือขึ้นถูปากตัวเองแรงๆอย่างขยะแขยงจนมันแดงไปหมด และเป็นผมเองที่ทนรับแรงกดดันแปลกๆไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นหันไปมองไอ้เงิงที่ยังคงนั่งหันหลังให้ ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเตะเข้าที่หลังของมันเต็มแรงแล้วรีบวิ่งหนีออกมาด้วยความเร็วแสง เสียงโวยวายของไอ้เงิงดังไล่หลังมาไกลๆ แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้ว แค่หนีไปจากตรงนี้ให้ได้เป็นพอเลย
..............................................................................................
คาบเรียนช่วงหัวค่ำผ่านไปแบบไม่มีอะไรเข้าสมองเลยสักนิด ผมเหมือนผีตายซากที่นั่งซึมกะทืออยู่ในห้องเรียนจนเพื่อนร่วมห้องต้องเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง และจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบจะสองทุ่มแล้วผมก็ยังคงเป็นซอมบี้เดินหน้าตายไปตามทางเดินที่มีแค่แสงไฟสลัวๆส่องให้พอเห็นทางเท่านั้น รอบข้างก็ไม่มีใครเลยสักคน มันจะวังเวงเกินไปหน่อยมั้ยเนี่ย =_=
ปรี้น!!! ปรี้น!!!
ไอ้หน้าส้นเท้าตัวไหนมาบีบแตกเสียงดังน่ารำคาญฟะ เดี๋ยวพ่อซัดฟันล่วง =*=
“จะไปไหนหรอจ๊ะน้องสาว ให้พี่ไปส่งมั้ย!” ไอ้พวกจิ๊กโก๋หน้าตาสะถุนนี่เอง วอนซะแล้ว!
“น้องสาวบ้านผู้ให้กำเนิดมึงสิ กูเป็นผู้ชายเฟ้ย พวกมึงช่วยเบิกเนตรมองกันหน่อยได้มั้ย!!!” ผมหันไปว๊ากใส่พวกมันอย่างหงุดหงิด แล้วเดินกระแทกเท้าตึงตังต่อไป มันเร่งเครื่องไปจอดดักหน้าก่อนจะลงรถมาสี่คนพร้อมอาวุธครบมือทั้งมีดทั้งไม้เบสบอล มันกะเอาผมตายตรงนี้เลยใช่มั้ยเนี่ย
“ปากดีนักใช่มั้ยมึง!!!” คนแรกวิ่งเข้ามาพร้อมฟาดไม้เบสบอลใส่ ผมเอี่ยวตัวหลบได้แบบไม่สะทกสะท้านก่อนจะตวัดลำแข้งเชยคางมันเต็มแรงจนหงายหลังล้มลงไปนอนเลือดกบปากอยู่ที่พื้น
“ทำลูกพี่กูหรอ!!!” คนที่สองวิ่งเข้ามาพร้อมมีดสปาต้า มันเงื้อมือขึ้นตวัดคมมีดเข้าใส่ ผมกระโดดหลบก่อนจะคว้าแขนข้างที่ถือมีดของมันแล้วหักกลับมาด้านหลัง เสียงกระดูกลั่นดังกร็อบพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของมัน
“มึงเป็นใครวะ!!!” อีกสองคนเลิ่กลั่กไม่กล้าที่จะวิ่งเข้ามา
“หวงจื่อเทา!” ผมตอบหน้าตาย
“หวงจื่อเทา! ประธานชมรมศิลปะป้องกันตัวของมหาลัยโซลน่ะหรอ” มันหน้าตาตื่น
“ซวยแล้ว!!!” พวกมันวิ่งไปลากไอ้สองคนที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น แล้วขึ้นรถบึ่งออกไปทันที ผมเกาหัวแกร็กอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะออกเดินต่อ
วันนี้มีแต่เรื่องซวยๆทั้งนั้น สงสัยต้องไปทำบุญเก้าวันล้างซวยหน่อยแล้วมั้งเนี่ย =_=
+++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น