คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
ปรี๊ด!!!!
เสียงแตรรถเก็งสีดำคันที่รถของผมพึ่งขับตัดหน้ามาหมาดๆดังลั่นไปทั่วท้องถนน แต่ด้วยความเป็นห่วงที่มันสุ่มอยู่ในอกทำให้คนขับซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของผมไม่มีทีท่าว่าจะเบรกแม้แต่นิดเดียว เท้าเหยียบคันเร่งเกือบจะมิด สายตามุ่งตรงไปยังทางข้างหน้าอย่างเรียบเฉยแต่มันกับแฝงไปด้วยความกังวลใจ
“พี่จุนมยอน! ใจเย็นหน่อยสิ ขับแบบนี้เราอาจจะไม่ถึงบ้านก็ได้นะ” ผมจับแขนพี่ชายตัวขาวของผมให้ใจเย็นลง
“เงียบเหอะน่า จื่อเทา!!!” เสียงตะคอกดังลั่นจนผมต้องชักมือกลับอย่างตกใจ
“ขอโทษฮะ”
ผมไม่โกรธพี่หรอก เพราะผมเองก็ไม่ต่างอะไรกับพี่จุนมยอน ร้อนใจอยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราอาจจะไม่ได้กลับบ้านอีกเลย ผมแค่เตือนเพราะความเป็นห่วงก็เท่านั้น
เอี๊ยด!!!!
ตัวผมถูกผลักไปข้างหน้าด้วยแรงกระชากของรถที่ถูกเบรกกะทันหัน พี่จุนมยอนพุ่งตัวออกไปจากรถแล้ววิ่งตรงเข้าบ้านโดยไม่คิดจะรอกันสักนิด ผมถอดสายเข็มขัดนิรภัยออกแล้วรีบวิ่งตามไปทันที
ระหว่างทางที่จะขึ้นชั้นสองต้องผ่านห้องนั่งเล่น ซึ่งในนั้นมีแม่ที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ข้างๆพ่อที่นั่งทำหน้าตาหน้ากลัว พ่อหันมามองหน้าผมแว็บหนึ่งก่อนจะหันหน้าหนี ผมเลิกสนใจแล้ววิ่งต่อไปยังบันไดตรงดิ่งไปห้องของพี่ชายตัวเล็กของผมอีกคนหนึ่ง
“พี่ลู่หาน!!!” ผมผลักประตูเข้ามา ก่อนจะชะงักฝีเท้ากะทันหันอย่างตกใจ
ข้าวของภายในห้องที่เคยเป็นระเบียบทุกตารางนิ้ว ตอนนี้มันกับกระจัดกระจายไปทั่ว แจกันที่ตั้งอยู่บนตู้ข้างทีวีถูกขว้างไปกระแทกกับฝาผนังห้องแตกละเอียดตกเกลื่อนพื้น สภาพห้องเหมือนโดนพายุพัดไม่มีผิด แต่ถ้าเป็นพายุ ก็คงจะเป็นพายุที่มีชื่อว่าโทสะแน่ๆ
“พี่ลู่หาน” ผมค่อยๆเดินไปหาพี่ชายทั้งสองคนของผม พี่จุนมยอนเงยหน้ามองเศร้าๆในอ้อมแขนคือร่างเล็กของพี่ลู่หานที่กอดแน่นซุกหน้ากับอกกว้าง ถึงจะไม่มีเสียงแต่ตัวสั่นแบบนั้นมองเฉยๆก็รู้ว่ากำลังพยายามกลั่นเสียงสะอื้นไม่ให้ผมได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้น” ผมนั่งลงข้างๆแล้วยกมือขึ้นจับบ่าของพี่ลู่หาน
“ฮึก พ่อ...” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากปากพร้อมกับคำๆหนึ่ง ที่พอจะรู้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ชายตัวเล็กอาละวาดซะห้องเละขนาดนี้ แต่พ่อทำอะไรล่ะ…!
“พ่อทำอะไร” พี่จุนมยอนถามต่อพลางลูบหลังเบาๆเป็นเชิงให้ใจเย็นๆ
“พ่อ ฮึก... บังคับให้... เลิกกับแฟน” คำตอบขาดๆหายๆเพราะก้อนสะอื้นที่จุกอยู่กับคอ แต่ก็พอจะได้ใจความ ผมกับพี่จุนมยอนมองหน้ากัน ก็พอจะรู้ความรู้สึกนะว่ามันเจ็บแค่ไหน ก็คบกันมาตั้งห้าปีแถมเป็นแฟนคนแรกที่กว่าจะได้มาต้องแลกกับการเสียเพื่อนไปตั้งหนึ่งคนนี่น่า
“ไม่ใช่แค่เลิกเฉยๆใช่มั้ย เพราะคนอย่างพ่อไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล” พี่จุนมยอนถามต่อ ร่างในอ้อมแขนพยักหน้าเบาๆแล้วค่อยๆเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมอง
“พ่อให้เลิก เพราะจะให้พี่แต่งงานกับคนที่เตรียมไว้ให้” พี่ลู่หานพูดเบาๆ ผมกับพี่จุนมยอนพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้พี่ชายที่แสนออบบางคนนี้ ถ้าเป็นผมเองก็คงมีสภาพไม่ต่างกันเผลอๆอาการหนักกว่าด้วยซ้ำ จะให้เลิกกับแฟนเพื่อมาแต่งงานเนี่ยนะ เผด็จการที่สุด!!!
“เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับพ่อให้เอง” พี่จุนมยอนลุกพรวดขึ้นแล้วเดินตึงตังออกจากห้องทันทีโดยไม่รอให้ใครพูดอะไร เหลือผมกับพี่ลู่หานสองคน
“พี่ใจเย็นๆนะ” ผมดึงตัวพี่ลู่หานเข้ามากอด “ดูสิ ร้องไห้ตาบวมเป็นเด็กๆไปได้... ปกติคนที่มักจะกอดผม คอยปลอบไม่ให้ผมร้องไห้คือพี่ลู่หานของผมไม่ใช่หรอ” พี่ลู่หานกอดตอบ เห็นแล้วสงสารจนแทบอยากจะร้องไห้ตาม คนน่ารักอย่างพี่ลู่หานของผมเหมาะกับรอยยิ้มสดใสมากที่สุด ผมชอบที่จะเห็นพี่ยิ้มมากกว่าจะเห็นน้ำตาของพี่ มันจะทำให้ผมเจ็บใจกว่าพี่ซะอีก
“พ่อให้พี่แต่งกับลูกชายหุ้นส่วนบริษัทของพ่อ แล้วทางนั้นก็ตกลงแล้วด้วย” พี่ลู่หานมองหน้าผม
“หุ้นส่วน...”
“ใช่! นายคงรู้นะว่าคนๆนั้นคือใคร” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
โชคชะตาเล่นตลกกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งพี่ลู่หานคงไม่ตลกด้วยแน่ๆถ้าเกิดต้องแต่งกับคนๆนั้นจริง คนที่เคยทำให้บริษัทของพ่อเกือบโดนฟ้องล้มละลาย คนที่ตราหน้าพี่ลู่หานว่าเป็นคนทรยศ คนที่ไม่เคยหวังให้ชีวิตของพี่ลู่หานมีความสุข แล้วทำไมจู่ๆถึงยอมแต่งด้วยแต่โดยดี มันต้องมีอะไรแน่ๆ
“พ่อคงไม่รู้ว่าพี่มีเรื่องไม่ค่อยดีกับไอ้หมอนั่นอยู่”
“รู้สิ! เพราะแบบนี้ไงพ่อถึงจะใช้พี่เป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ของสองบริษัท” พี่ลู่หานซุกหน้าลงกับอกของผม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินออกจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของพี่ชายตัวเล็ก เพื่อเป็นเครื่องระบายความอัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้
ผมไม่เข้าใจหรอกนะ ว่าการเกิดมาเป็นพี่ใหญ่ที่ต้องแบกรับความคาดหวังต่างๆนาๆเอาไว้มากมายมันรู้สึกยังไง แต่ผมก็รู้ว่าพี่ลู่หานของผมต้องเจออะไรบ้าง ต้องโดนบังคับให้ทำโน่นทำนี่ ถึงตัวเองไม่เต็มใจก็ต้องทำเพื่อให้พ่อแม่พอใจ พี่ลู่หานไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นแต่คราวนี้มันคงหนักหนาเกินไปจริงๆ
ผมจะช่วยพี่ยังไง จะทำยังไงดี!!!
ปัง!!!
เสียงประตูถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงจนร่างเล็กในอ้อมแขนของผมสะดุ้งเฮือก ผมหันควับไปที่ประตูก็เห็นสาเหตุที่ทำให้พี่ลู่หานร้องไห้ยืนหน้าบึงอยู่ข้างๆพี่จุนมยอนที่ถูกลากแขนมาด้วย พี่จุนมยอนสะบัดแขนออกจากมือของพ่อแล้วเดินมาหาพวกผมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
“ก็เข้าใจนะว่าพวกแกรักกัน แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับแกสองคน... จุนมยอน จื่อเทา!!!” พ่อเดินเข้ามาหาผมแล้วกระชากตัวพี่ลู่หานออกไปจากอ้อมแขนอย่างไม่ปราณี พี่จุนมยอนกำหมัดแน่นจ้องหาพ่ออย่างเอาเรื่องแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“แบบนี้มันเกินไปแล้วนะพ่อ พี่ลู่หานเป็นคนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ที่พ่อจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้!!!” ผมตวาดลั่น มันหมดลงแล้ว ความอดทนที่ผมต้องคอยมองดูพี่ลู่หานถูกบังคับมาตลอด โดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
“ทำไม! หรือแกจะแต่งแทนพี่แก เอามั้ย!!!” คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีที่ได้ยินคำพูดของพ่อ ผมหันไปมองทางพี่ลู่หาน ความรู้สึกเจ็บใจแล่นปรี้ดขึ้นสมอง น้ำใสๆเอ่อล้นดวงตาอย่างช่วยไม่ได้ พี่จุนมยอนดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะตวาดกลับอย่างไม่เกรงใจ
“จื่อเทายังเด็กอยู่นะพ่อ อย่าเอาเค้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้มั้ย เสี่ยวลู่ก็ด้วย ในเมื่อเค้าไม่ยอมพ่อจะบังคับเค้าทำไม นอกจากตัวของพ่อเอง พ่อเคยนึกถึงจิตใจคนอื่นบ้างมั้ย!!!”
“แกหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะจุนมยอน ก็ไม่ใช่เพราะพี่แกหรอที่ไปก่อเรื่องไว้จนเกือบทำบริษัทล้มละลาย นี่เป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ทางนั้นเสนอมา ถ้าฉันไม่ทำแล้วพวกแกจะเอาอะไรกิน!!!”
“พอได้แล้ว!!!” ผมเงยหน้ามองตามเสียงตะโกนปนเสียงสะอื้นของพี่ลู่หาน ดวงตาแดงก่ำมองตาของผมอย่างน่าเวทนา
“ผมยอมแล้ว จะให้ผมแต่งกับใครก็ได้ แต่อย่าทะเลาะกันเพราะผมเลยนะ” ผมส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับ ไม่เคยคิดว่าคำตอบแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากของพี่ลู่หาน
“เสี่ยวลู่”
“แกตกลงตั้งแต่ทีแรกเรื่องก็จบ” พ่อยกยิ้มอย่างพอใจ “อีกไม่กี่นาทีทางนั้นจะมาถึงที่นี่เพื่อมาดูตัวแก ไปเตรียมตัวซะให้เรียบร้อย” พ่อบอกพี่ลู่หานก่อนจะหันมองทางผม
“พวกแกสองคนก็ด้วย อย่าทำตัวมีปัญหาเด็ดขาด ฉันขอเตือน” พ่อชี้หน้าก่อนเดินออกนอกห้องไป พี่ลู่หานทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นทั้งน้ำตา ผมกับพี่จุนมยอนเดินเข้าไปกอดเพื่อปลอบใจ
“ฉันขอโทษนะเสี่ยวลู่ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย” พี่จุนมยอนกอดผมกับพี่ลู่หาน
ในบรรดาพี่น้องที่เกิดมาสามคน มีแค่พี่ชายคนกลางอย่างพี่จุนมยอนเท่านั้นแหละ ที่ดูจะเหมือนเป็นพี่ใหญ่มากกว่าพี่ลู่หานซะอีก คอยดูแลทั้งผมและพี่ลู่หานไม่เคยห่าง มีปัญหาอะไรก็คอยแก้ให้เสมอ แต่คราวนี้คงต้องเจ็บใจมากแน่ๆ ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยสักอย่าง
ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ทั้งผมและพี่จุนมยอน....
...........................................................................
งานแต่งที่สาวๆหลายคนเฝ้าฝันที่อยากจะให้เป็นของตัวเอง มันช่างดูสดใสและมีความสุขที่จะได้อยู่กับคนที่รักตลอดไป แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบการถูกผูกมัดมันคงจะไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเจ้าสาวที่กำลังเข้าพิธีวิวาห์ในอีกไม่ช้านี้ เธอเฝ้าภาวนาอย่าให้วันนี้มาถึง แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ไม่อาจหนีพ้นอยู่ดี
“พี่ลู่หาน” ประตูห้องแต่งตัวถูกเปิดเข้ามาอย่างเงียบเฉียบโดยเด็กหนุ่มในชุดสูทสีขาว เจ้าสาวหันไปมองอย่างเรียบเฉยราวกับเป็นรูปสลักที่งดงามแต่ไร้ชีวิต ทว่าแววตากับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ ริมฝีปากบางสีชมพูคู่สวยยกยิ้มน้อยๆให้น้องชายของตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปมองกระจกดั่งเดิมโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรสักคำ
“วันนี้พี่สวยมากๆเลยรู้มั้ย” เด็กหนุ่มเดินมาหา ก่อนจะนั่งหยองๆลงข้างตัว สายตาจับจ้องใบหน้าขาวใสที่ถูกแต่งแต้มสีสันลงไปบางๆเพื่อเพิ่มความน่าหลงใหล แต่ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำมันฟ้องว่าเจ้าสาวแสนสวยคนนี้พึ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ
“พี่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าไอ้หมอนั่นมันทำอะไรพี่ ผมจะเป็นคนซัดมันเอง” จื่อเทาจับมือลู่หานเพื่อให้กำลังใจ รอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมกับหยดน้ำตาที่เริ่มไหลริน
“อย่าร้องสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“เสี่ยวลู่” จุนมยอนเปิดประตูเข้ามาเห็นจื่อเทากำลังเช็ดน้ำตา เค้าจึงเดินไปกอดลู่หานแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ได้เวลาแล้ว”
“อืม!” ลู่หานพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นจากหน้ากระจก โดยมีจุนมยอนคอยประคองอยู่ข้างๆและจื่อเทาที่คอยช่วยจับชายกระโปรงไม่ให้ขวางทางเดิน
แอ็ด!!!
ประตูโบสถ์ถูกเปิดช้าๆสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวสะอาด ผ้าคลุมบางปิดหน้าเอาไว้เพื่อให้เจ้าบ่าวเป็นคนเปิด แต่มันไม่ได้ช่วยปกปิดความงดงามของใบหน้าขาวได้เลย ผมยาวสยายพลิ้วไปตามจังหวะการเดิน เหมือนกับว่านี่เป็นงานวิวาห์ของเจ้าหญิงในเทพนิยายไม่มีผิด อาการประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายเกิดขึ้นทันที
“เสี่ยวลู่” เสียงเรียกเบาๆจากคนที่อยู่ข้างๆเรียกสติกลับมาสู่สภาวะปกติ จุนมยอนเบ้ปากไปยังแท่นพิธีด้านหน้า ลู่หานจึงมองตามสายตาไป
และทันทีที่เห็นบุคคลที่ยืนรออยู่เบื้องหน้า สองขาก็แทบจะไม่มีแรงก้าวต่อไป มือทั้งสองสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่กล้าแม้แต่จะมองทางข้างหน้า จุนมยอนกุมมือลู่หานเบาๆเพื่อคลายความตึงเครียด
“ไม่ต้องกลัวนะ” เมื่อมาถึงแท่นพิธีจุนมยอนกระซิบบอกเบาๆ ก่อนจะก้าวถอยออกมา
ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัว ก่อนจะรีบหลบสายตาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็มองอยู่เช่นกัน แต่มันกับเป็นสายตาที่เย็นชาจนดูไม่เหมือนเจ้าบ่าวที่กำลังมองเจ้าสาวเลยสักนิด คนถูกมองเองก็รับรู้ได้ เริ่มเกิดอาการลุกลี้ลุกลน จนอีกฝ่ายสังเกตได้
แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพิธีก็เริ่มขึ้น โดยลู่หานเป็นฝ่ายสวมแหวนให้อีกฝ่ายก่อน มือไม้สั่นจนแทบถือแหวนไม่อยู่ ค่อยๆสวมช้าๆ และถึงตาเจ้าบ่าวเป็นคนสวมบ้าง มือข้างซ้ายถูกยกขึ้นด้วยมือของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆสวมแหวนไปที่นิ้วนาง
“อะ...” ลู่หานกัดปากตัวเองเพื่อกั้นเสียงร้องไม่ให้เล็ดรอดออกมา นิ้วนางเจ็บระบมไปหมดเพราะโดนอีกฝ่ายแกล้งกระแทกแหวนใส่อย่างแรง เค้าเงยหน้ามองก็เห็นอีกฝ่ายกำลังยืนยิ้มอย่างพอใจในผลงานของตัวเอง ลู่หานได้แต่กำหมัดแน่นก้มหน้ามองพื้นอย่างทำไรไม่ได้
“คุณ ‘โอ เซฮุน’ คุณยินดีที่จะรับหญิงสาวคนนี้เป็นภรรยาหรือไม่”
“ยินดีอย่างแรงเลยแหละ” ยกยิ้มมุมปาก จ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กระพริบ มือก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือของอีกฝ่าย
“คุณลู่หาน ยินดีที่จะรับชายผู้นี้เป็นสามีหรือไม่”
“....................” ความเงียบเข้าครอบงำ เจ้าสาวยืนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จนกระทั่งข้อมือที่โดนจับอยู่ถูกบีบอย่างแรงเพื่อเป็นการเตือนสติจากเจ้าบ่าวผู้เลือดเย็น จึงจำใจต้องตอบออกไป
“รับ”
“ถ้างั้นเจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้” ลู่หานตาโตขึ้นมาทันที เขาลืมไปซะสนิทว่าการแต่งงานต้องมีจูบด้วย เกิดมาเขายังไม่เคยจูบกับใครเลยแม้แต่แฟนก็ไม่เคย นี่เท่ากับว่าเขาต้องเสียจูบแรกให้คนๆนี้ไปโดยปริยาย
แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็เกิดการปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ขาสองข้างก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว จนอีกฝ่ายต้องกระชากข้อมือให้เข้ามาใกล้ๆแล้วจัดการรวบเอวบางไว้ไม่ให้หนี มืออีกข้างค่อยๆเปิดผ้าที่คลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวที่กำลังตื่นตระหนก เซฮุนยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงมากระซิบเบาๆที่ข้างหู
“จูบแรกใช่มั้ย” ลู่หานไม่ตอบแค่มองหน้าเซฮุนด้วยสายตาเคืองๆ แค่นั้นก็พอจะเป็นคำตอบได้แล้ว
ลู่หานเบือนหน้าหนีแต่ก็โดนมือของอีกฝ่ายจับหน้าให้หันมาแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากบางอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว มือพยายามดันอกกว้างออกแต่ก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายตัวเองต้องเป็นฝ่ายยอมเพราะสู้แรงไม่ได้
“เจ็บใจหรอ” หลังจากที่ผละริมฝีปากออก สายตาดูถูกก็ส่งตรงมาทันที ลู่หานผลักคนตรงหน้าออก ใช้มือถูปากตัวเองจนแดงไปหมด ก่อนจะวิ่งหนีออกจากโบสถ์ไปโดยมีสายตาของคนนับร้อยเป็นพยาน เซฮุนแสยะยิ้มเย็นอย่างพอใจ
“ไม่ต้องตกใจครับ แฟนผมเค้าขี้อายไปหน่อย” เซฮุนประกาศลั่นและดูเหมือนคนในงานก็จะพยักหน้าเข้าใจกันทุกคน โดยไม่มีข้อสงสัยอะไร นอกจากจุนมยอนและจื่อเทาที่ส่งสายตาแค้นเคืองมาให้เซฮุนไม่ขาดสาย
หนีได้หนีไป ยังไงนายก็ไม่รอดหรอก ถึงเวลาที่นายจะต้องรับกรรมที่ก่อแล้ว!!!
◊ SQWEEZ
ความคิดเห็น