คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : :Half-Breed: 8
“อืม...”
เด็กหนุ่มสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด น่าแปลกทั้งๆที่มันมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยแต่กลับมองเห็นตัวเองชัดแจ๋ว ราวกับว่าตัวของเขามันเรืองแสงได้ เขาสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความมึนงงออกจากหัว ก่อนจะมองไปรอบๆซึ่งก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืด จนกระทั่งสายตาหันไปเห็นใครคนหนึ่งที่อยู่หันหลังให้ผมอยู่ไกลๆ
ร่างกายเล็กๆที่คุ้นตาหันมาช้าๆด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่นัยน์ตากลับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยจนเด็กหนุ่มรู้สึกได้ หยดน้ำใสเอ่อล้นดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยก่อนที่มันจะไล่ลงข้างแก้มขาวนวล เขายันตัวลุกขึ้นแล้วก้าวเดินไปหาบุคคลที่ตนเองรักมากที่สุด
“พี่ลู่หาน!!!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก
ยิ่งวิ่งเข้าหาเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างออกไปเท่านั้น ยิ่งไล่ตามก็ยิ่งเหนื่อยจนขาสองขาแทบจะไม่มีแรงวิ่ง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ทำไมพี่ลู่หานถึงต้องร้องไห้ทั้งๆที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นหยดน้ำตาของพี่เลย คำถามมากมายตีกันอยู่ในสมองจนสับสน
เด็กหนุ่มวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตหวังเพียงแต่ว่าจะไล่ตามพี่ชายให้ทัน แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อจู่ๆทางข้างหน้าที่มืดมิดกลับกลายเป็นแหวลึกที่ก้นบึ้งมีเปลวไฟที่ร้อนระอุ มันขั้นกลางระหว่างเขากับพี่ชายเอาไว้
“เทา! อย่าร้องไห้นะ” รอยยิ้มที่อ่อนโยนส่งมาให้อีกครั้ง เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่น้ำตาที่มันเริ่มไหลออกไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆงัดเอาแรงเฮือกสุดท้ายออกมาแล้วตัดสินใจกระโดดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยความที่ขายังอ่อนแรงกับการวิ่งที่ผ่านมามันทำให้กระโดดได้ไม่พ้นขอบแหว ร่างของเขาดิ่งลงเบื้องล่างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความร้อนปะทะเข้ากับร่างกายจนเลือดที่ไหลเวียนอยู่เดือดแทบจะระเบิด เด็กหนุ่มหลับตาลงเตรียมรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ตุบ!!!
ร่างของเด็กหนุ่มหล่นลงกระแทกพื้นอย่างจังแถมหัวก็ฟาดพื้นอย่างแรงจนเจ้าตัวสะดุงเฮือกลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชีพจรเต้นรัวเหงื่ออาบเต็มตัวทั้งๆที่อากาศก็เย็น ดวงตาเอ่อนองเต็มไปด้วยน้ำตา เขาหันซ้ายหันขวาก็พบว่าตัวเองลงมานั่งอยู่กับพื้นพร้อมกับผ้านวมอีกนึงผืนในห้องของแบคฮยอนเพื่อนสนิทของตน
แค่ฝันหรอ....?
เด็กหนุ่มขยี้กลุ่มผมสีดำจนยุ่งเหยิง แล้วลุกขึ้นลากผ้าห่มไปคืนเจ้าของห้องที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่เดิม ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงที่ตีบอกเวลาตีห้ากว่าๆ เขาเดินอย่างแผ่วเบาไปเปิดประตูกระจกเลื่อน
เช้ามืดที่แสนจะเงียบสงบ ท้องฟ้าอึมครึมไปด้วยเมฆฝนที่กำลังก่อตัวก่อนที่มันจะเทลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงของสายฟ้าที่ไม่รู้ว่ามันไปผ่าลงตรงไหน ส่งผลให้เด็กหนุ่มที่เกลียดฝนและเสียงฟ้าร้องสะดุดเฮือกกระโดดกลับเข้ามาให้ห้องแทบไม่ทัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปเลื่อนประตูปิด
“สังหรณ์ไม่ดีเลยแหะ!” เด็กหนุ่มพึมพำอย่างแผ่วเบาก่อนจะตัดสินใจไปคว้าเสื้อกันหนาวที่พาดไว้กับเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องไป
.............................................................................................
คฤหาสน์หลังใหญ่และงดงามราวกับอยู่ในเทพนิยายตั้งอยู่ในป่าลึกยากที่มนุษย์ธรรมดาจะย่างกายเข้ามาถึง ด้วยอสูรและสัตว์ร้ายต่างๆนาๆที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูกับอาณาเขตทั้งหมดเอาไว้จึงไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเข้าใกล้ นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากเจ้าของพื้นที่แห่งนี้เท่านั้น แต่ถึงมนุษย์จะเข้ามาได้ก็ไม่มีทางรอดออกไปอย่างแน่นอน
ทางเดินยาวภายในคฤหาสน์ที่เงียบสงบ ร่างสูงโปร่งของจงแดนายเหนือหัวของคฤหาสน์แห่งนี้เดินอย่างไร้จุดหมายไปตามทาง สายตามองสิ่งรอบข้างเหมือนกำลังวิเคราะห์โครงสร้างหินอ่อนของคฤหาสน์ สองข้างทางมีรูปปั้นสีขาวหม่นเรียงรายตลอดแนวเสาหิน แพดานยกสูงลักษณะโค้งมีรูปวาดต่างๆนาๆและโคมไฟที่ห้อยระย้าลงมาอย่างงดงาม มันทำให้เพลินตาจนลืมนึกถึงเรื่องแย่ๆที่เคยเกิดขึ้น
ฝีเท้าหยุดลงที่สุดปลายของทางเดิน สายตาจับจ้องรูปภาพที่ติดอยู่บนผนังด้วยความห่วงหา นิ้วเรียวยกขึ้นแตะอย่างแผ่วเบาราวกับแก้วที่กำลังจะแตก หญิงสาวผมยาวในภาพยิ้มอย่างอ่อนโยน ใบหน้าขาวเนียนช่างงดงามจนคนมองต้องหลงใหล ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนเข้ากับผิวขาวอมชมพูได้เป็นอย่างดี และริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อที่น่าสัมผัส ทั้งหมดทั้งมวลที่คิดถึงจนแทบจะขาดใจ
แต่มันไม่มีอีกแล้ว... นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เธอถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของคนที่เรียกตัวเองว่าเทพ ด้วยความแค้นที่ฝังรากลึก เขาไล่สังหารผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคนรักของตนทีละคนๆ จนในที่สุดก็เหลือแค่สอง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ตกมาอยู่ในกำมือเป็นที่เรียบร้อย แค่ทรมานให้ตายไปช้าๆก็จบ
“ฉันใกล้จะแก้แค้นให้เธอสำเร็จแล้วนะ... โฮยอน!” เขาพึมพำเบาๆ
และขณะนั้นเองมีชายปริศนาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา ร่างนั้นโค้งให้เขาอย่างนอบน้อมเพื่อแสดงความเคารพตามประสาคนที่อยู่ระดับต่ำกว่า นายเหนือหัวเหล่มองไปทางด้านหลังก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างเรียบเฉย
“มีเรื่องอะไร”
“นักโทษที่นายท่านจับมาได้สติแล้วก่อนที่พยายามจะหลบหนี ตอนนี้คนของเราช่วยกันตามจับอยู่ขอรับนายท่าน” รายงานจบก็โค้งน้อยๆ
“รายงานผู้บาดเจ็บ!” เขาถามเหมือนจะรู้ว่ามีคนที่จะต้องเจ็บตัวแน่นอน
“บาดเจ็บเจ็ดคน อสูรรับใช้ถูกฆ่าไปสามตนขอรับนายท่าน แต่คาดว่าน่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก!”
“นักโทษฉันจะไปเอาตัวกลับมาเอง ส่วนนายไปตามอี้ชิงมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“รับทราบแล้วขอรับ!” โค้งคำนับก่อนจะหายไปในพริบตา
นัยน์ตาสีน้ำตาลถูกลบเลือนไป แทนที่ด้วยสีแดงฉานราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่กำลังจะออกล่าเหยื่อด้วยความหิวกระหาย เขาหันหลังเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างบานหนึ่ง สายลมพัดเอากลิ่นของเทพตัวน้อยที่กำลังดิ้นรนเพื่อหาทางหนีลอยมาแต่ไกล ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมก่อนจะกระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว
เอาเลย... ดิ้นรนเข้าไป มันจะทำให้ฉันสนุกกับการทรมานนายให้ตายทั้งเป็น!!!
......................................................................
“อ๊ากกก!!!”
เสียงร้องของไอ้พวกอสูรรูปร่างอัปลักษณ์ดังขึ้นอย่างโหยหวนหลังจากที่โดนผลึกน้ำแข็งของผมเสียบเข้าไปที่หน้าอกอย่างจังถึงสองตัว มันผสานเสียงร้องจนคนฟังอย่างผมแทบอยากจะหาอะไรมาอุดปากมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ผมเดินหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงทุกอย่างรอบกายแม้กระทั่งต้นไม้ที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ผมหลุดออกมาจากเขตของคฤหาสน์บ้าๆนั่นแล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นไปจากเขตของอสูรรูปร่างแปลกๆที่เฝ้าพื้นที่ในการปกครองทั้งหมดอยู่ดี ซึ่งรู้สึกจะไกลพอสมควร บาดแผลที่สู้เมื่อคราวก่อนก็ยังไม่หายดี หิวก็หิว แถมรองเท้าก็ไม่มีใส่ วิ่งจนปวดส้นเท้าไปหมดแล้ว
สภาพแบบนี้ถ้าไอ้หมอนั่นลงทุนออกมาตามเองละก็ มีหวังโดนลากกลับไปที่เดิมอีกแหง่ๆเลย =.,=
“โอ๊ย!!!” งานเข้าอย่างแรงแล้วพี่น้องเอ้ย เดินอยู่ดีๆดันเซ่อไปเหยียบหนามซะงั้น แถมอันเบ่อเริ่มอย่างกับกิ่งไม้ เลือดงี้ไหลเป็นก๊อกแตกเลย เจ็บเฟ้ย ToT
ผมมองหาทำเลดีๆหย่อนก้นนั่งลง ก่อนจะค่อยๆดึงหนามที่ฝังอยู่ออกจากฝ่าเท้าอย่างยากลำบาก แล้วแช่แข็งปากแผลเอาไว้ไม่ให้เลือดไหล ปัญหาคือจะไปไงต่อเนี่ย มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้รกทึบจนแสงแทบจะผ่านไม่ได้ แถมไอ้พวกอสูรที่รอเชือดอยู่อีกบานเลย คิดถูกมั้ยเนี่ยที่หนีออกมา แต่ถึงอยู่ก็ตายอยู่ดีนี่นา
แกร๊ก!!!
ขณะที่ผมกำลังนั่งงงกับชีวิตเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ถัดไปอีกสองต้นทางขวามือ ผมยันตัวลุกขึ้นเขย่งปลายเท้าข้างที่เจ็บใช้มือค้ำโคนต้นไม้ไว้ไม่ให้ล้ม เตรียมตัวสู้อีกครั้ง ผมจ้องเขม็งไปทางที่เกิดเสียง เหงื่อค่อยๆผุดออกมาด้วยความวิตก
จนกระทั่งต้นกำเนิดเสียงก็เผยตัวออกมา ทำเอาผมแทบจะล้มทั้งยืน มันก็แค่กระต่ายสีขาวตัวเดียวเอง เกร็งจนฉี่แทบเล็ด =_=
“บ้าเอ้ย! ตกใจหมด” ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมอย่างหัวเสีย
“โฮกกกก!!!!”
และไม่ทันได้ตั้งตัวไอ้อสูรชั้นต่ำมันก็กระโจนออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นข้างๆอย่างรวดเร็วจนผมเบี่ยงตัวหลบไม่ทัน ร่างของผมกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ต้นถัดไปอย่างแรง ทรุดฮวบลงมานอนจุกอยู่ที่พื้น ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่ก็โดนฝ่ามือใหญ่ๆของมันคว้าคอแล้วจะกระชากขึ้นก่อนจะกระแทกร่างของผมกับต้นไม้อย่างแรง ความรู้สึกเจ็บแล่นปรี๊ดจากกระดูกสันหลังขึ้นสมองจนแทบจะหมดสติ
“บัดซบเอ้ย!!!!!” ผมกระโกนสุดเสียง ก่อนจะซัดผลึกน้ำแข็งอันคมกริบใส่ไอ้อสูรชั้นต่ำไปสามถึงสี่ครั้ง ของเหลวสีเขียวข้นไหลทะลักออกมาจากปากแผล มันแหกปากร้องโหยหวนก่อนจะปล่อยร่างของผมให้เป็นอิสระ ลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น
“แค่ก... แค่ก!” ผมไอโครกครากใช้มือลูบคอที่ถูกบีบจนแดงก่อนจะยันตัวลุกขึ้น แผลที่เท้าเริ่มปวดตุบๆขึ้นมาจนแทบจะยืนไม่อยู่
“แกร็ซซซซ!!!!”
เสียงหวีดร้องแหลมเล็กดังแทรกเข้ามาในโสตประสาตจนต้องยกมือขึ้นปิดหู ผมหันไปทางต้นเสียงก็พบกับไอ้อสูรตัวเดิม ร่างกายของผมเริ่มปริแตกออกเหมือนแมลงที่กำลังจะลอกคราบ อะไรบางอย่างที่ค่อยๆดันเปลือกของร่างเก่าออกมาอย่างน่าสยดสยอง
“บ้าเอ้ย!!!”
ผมร้องลั่นเมื่อจู่ๆไอ้ตัวที่ค่อยๆคลานออกมาจากเปลือกมันกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด ผมเบี่ยงตัวหลบได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดแต่ก็เสียหลักสะดุดรากไม้ขนาดใหญ่หงายหลังล้มลง หัวฟาดพื้นดินแข็งๆจนมึนไปหมด
“แกร็ซซซซ!!!!” มันหวีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาสีแดงทรงรีของมันจ้องเขม็งมาทางผมด้วยความเคียดแค้น แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีเหมือนกับว่ามันกำลังรออะไรบางอย่าง
“งานงอกแล้ว!” ผมเบิกตาโพลงใช้แขนยันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มเข้าใจแล้วว่าไอ้ตัวนี้มันจะหวีดร้องทำไมหนักหนา
อสูรสามถึงสี่ตัวที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกันกระโดดออกมายืนล้อมผม สายตาของพวกมันจ้องเขม็งมองผมเป็นตาเดียว ส่วนคนมองอย่างผมก็เสียวสันหลังวูบเหมือนมีใครเอาน้ำแข็งมาถูหลังให้ สงสัยคราวนี้คงต้องปลดผนึกตัวเองซะแล้วแหะ ไม่งั้นมีหวังได้ตายกลายเป็นผีไม่มีญาติอยู่ตรงนี้แน่ๆ
“แกร็ซซซซ!!!!” พวกมันร้องผสานเสียงก่อนจะกระโจนเข้ามาหาผมพร้อมกัน
“อย่าดูถูกกันนะเฟ้ย!!!!”
ผมตะโกนลั่นและในทันทีพื้นดินใต้เท้าของผมก็ปรากฏเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ส่องแสงสีฟ้าเรืองๆ ความรู้สึกกลัวหรือแม้แต่ความเจ็บตามร่างกายก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมสะบัดมือทั้งสองข้างไปในอากาศ เกร็ดน้ำแข็งที่ออกมาจากวงเวทย์ก่อตัวเป็นรูปร่างพุ่งด้วยความเร็วสูงตรงไปเสียบที่ร่างของอสูรชั้นต่ำแบบไม่มีพลาดสักนิด ล่วงลงไปร้องโหยหวนอยู่ที่พื้น
ผมยกมือขึ้นเสยผมที่มันลงมาปรกหน้าจ้องมองร่างของพวกมันที่ค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะดึงผลึกน้ำแข็งที่ปักอยู่ออก รู้สึกไอ้พวกที่ลอกคราบแล้วจะตายยากพอสมควรเลยแหะ สงสัยต้องหาจุดอ่อนก่อนแล้วค่อยฆ่าทิ้งจะได้ง่ายหน่อย
ผมหลับตาลง วงเวทย์ใต้เท้าส่องแสงสว่างจ้ากว่าเก่า ในหัวสีมืดสนิทเริ่มเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมา ภาพของผมและดวงวิญญาณสีฟ้าสดใสที่ส่องแสงเป็นประกายอยู่ที่กลางหน้าอก และภาพของอสูรที่กำลังยืนล้อมผมอยู่ จุดอ่อนของพวกมันอยู่ที่ดวงวิญญาณสีม่วงเข้มที่ตายซากของพวกมัน ซึ่งตำแหน่งก็คือ...
“หน้าอกข้างซ้ายสินะ!” ผมลืมตาขึ้นจ้องเขม็งไปที่พวกมันแล้วยกยิ้มอย่างผู้ชนะ
พวกมันสี่ตัวมองหน้ากันก่อนจะกระโจนออกไปคนละทิศละทาง ซึ่งหนึ่งในนั้นพุ่งตรงมาทางผม กรงเล็บยาวที่คมกริบเงื้อขึ้นสูงหมายจะตัดร่างของผมให้เป็นสองท่อน ประสาทสัมผัสของผมตื่นตัวอย่างเต็มที่จึงกระโดดหลบไปยืนบนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ได้แบบไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะวาดมือไปในอากาศเกิดเป็นผลึกน้ำแข็งขนาดเท่าเข็มเย็บผ้าหลายร้อยเล็มพุ่งเข้าใส่ร่างที่กระโดดตามผมมาล่วงลงไปที่พื้น และตามาด้วยผลึกน้ำแข็งที่ใหญ่กว่าพุ่งลงไปแทงทะลุจุดตายที่อกขวา ของเหลวสีเขียวไหลนองเต็มพื้นดิน
ฉึก!!!
มือขวาของผมตวัดไปด้านหลังใช้ผลึกน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นในมือเพียงไม่กี่วินาทีเสียบเข้าไปที่อกขวาของอสูรตัวหนึ่งที่คิดจะเล่นทีเผลอทะลุไปถึงด้านหลังล่วงลงไปกระแทกกับพื้นนอนแน่นิ่ง เท่านี้ก็เสร็จไปสอง เหลืออีกสองที่ไม่รู้ไปซุ้มอยู่ตรงไหน
ผมกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ และทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นอาการหัวหมุนก็เข้ามาอย่างรวดเร็วจนทรงตัวไม่อยู่หงายหลังล้มลงไปนั่งกับพื้น อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้พลังเวทย์ในการต่อสู้เลยทำให้ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นได้ ก็มันเป็นแบบนี้ไงถึงได้โดนจับมาง่ายๆแบบนี้ ผมสะบัดหัวไปมาไล่อาการมึนหัว ความเจ็บปวดตามร่างกายเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง
และวินาทีที่ผมไม่ทันได้ระวังตัวนั้นเอง อสูรที่ยังเหลืออยู่มันก็กระโดดออกมาใช้กรงเล็บขอมันตวัดเข้าหาตัวผมอย่างรวดเร็ว ผมเบี่ยงตัวหลบแต่มันก็ไม่พ้นถูกปลายเล็บเกี่ยวเข้าที่เอวจนเลือดไหล ก่อนจะโดนอีกตัวที่รออยู่อัดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงจุกจนร้องไม่ออก สำลักเอาลิ่มเลือดออกมาจากปาก ลงไปนอนกุมท้องอยู่ที่พื้น
“บ้า... เอ้ย!” ผมสบถออกมา ภาพที่มองข้างหน้ามันพร่าเลือนไปหมด เห็นรางๆแค่ว่าอสูรที่เหลือมันโค้งให้ใครสักคนที่ปรากฏตัวขึ้นก่อนที่พวกมันสองตัวจะหายไป
“นึกว่าจะดิ้นรนไปได้ถึงไหน ไม่มีน้ำยาเอาซะลย!” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นเหนือหัว ก่อนที่ต้นคอของผมจะถูกช้อนขึ้นด้วยแขนของใครบางคน
“วิ่งไล่จับจบแล้ว!”
สายตาของผมเริ่มปรับสภาพได้และทันทีที่เห็นหน้า ผมก็ผลักอกของหมอนั่นออกทันทีแล้วใช้มือยันตัวออกมาห่างๆ จ้องเขม็งกลับไปอย่างเคียดแค้น เกร็ดน้ำแข็งไร้ที่มาก่อตัวเป็นรูปร่างลอยคว้างอยู่ตรงหน้าผม เตรียมพุ่งทะลวงร่างคนที่เป็นคนพาตัวผมมาที่นี้
“อย่าเข้ามานะ!”
“ทำไม! นายจะทำอะไรฉันได้” หมอนั่นเดินเข้ามาหา ผมสะบัดมือส่งผลึกน้ำแข็งพุ่งไปหาร่างนั้นทันทีด้วยความรวดเร็ว แต่หมอนั่นกับเบี่ยงตัวหลบได้แบบสบายๆ แค่พริบตาเดียวก็มายืนค้ำหัวผมแล้ว
“พยายามไปก็ไร้ประโยชน์!” แขนของผมถูกกระชากขึ้นอย่างแรงจนเจ็บแปลบไปถึงกระดูกสันหลัง ก่อนจะถูกกระแทกเข้ากับต้นไม้อย่างไม่ใยดีอาการบาดเจ็บ
“อ๊ากกก!!!”
บาดแผลที่เอวโดนคนตรงหน้าใช้มือบีบอย่างแรงจนเลือดไหลทะลักออกมา ความเจ็บปวดแสนสาหัสจนร่างกายแทบจะทนไม่ไหว ด้วยฝีมือของนายเหนือหัวแห่งคฤหาสน์ฝั่งตะวันตก ทั้งที่ผมเจ็บจนอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่หมอนี้กับเอาแต่ยิ้ม
“นี่คือบทลงโทษเล็กๆน้อยๆของนักโทษที่คิดจะหนี!” มันใช้แขนโอบร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของผมเอาไว้ไม่ให้ล้ม ก่อนจะอุ้มผมขึ้นพาดบ่าแล้วกระโจนขึ้นด้านบน แรงลมเย็นๆที่ปะทะเข้ากับใบหน้ามันทำให้สติที่เคยมีหลุดลอยไปกับสายลม
...........................................................................................
คุณหมอหน้าสวยนั่งอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่ายเพื่อรอเจ้าของคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกที่เรียกตัวเองมาพบ อยู่ในห้องที่ระเกะระกะไปด้วยข้าวของต่างๆมากมายซึ่งก่อนหน้านี้โดนเทพตัวน้อยอาละวาดจนหาชิ้นดีแทบไม่ได้ เหลือแค่เตียงกับโซฟาสองอย่างเท่านั้นที่ยังปลอดภัยดี
“ประตูไม่มีเข้ารึไง!” จางอี้ชิงปิดหนังสือพลางมองจงแดที่แบกร่างของใครบางคนเข้ามาทางหน้าตาห้อง ก่อนจะเดินมาทิ้งลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี อี้ชิงจึงลุกเดินเข้าไปดู
“หนักมือไปหน่อยรึป่าว!” อี้ชิงมองสำรวจบาดแผลตามตัวที่ยังมีเลือดไหลซึมออกมาโดยเฉพาะแผลที่เอว ก่อนจะหันไปมองหน้าจงแดที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นิสัยเหมือนกันหมดเลยนะ ทั้งนาย ทั้งเจ้าอี้ฟานแล้วก็น้องชายหมอนั่นอีกสองคน ทรมานคนอื่นเนี่ยชอบกันจริงๆ!” คุณหมอบ่นขณะเดินกลับไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่ที่ข้างในบรรจุเครื่องปฐมพยาบาลมาด้วยแล้วเดินกลับมา
“ฉันให้นายมารักษานะ ไม่ได้ให้มาบ่น นับวันยิ่งทำตัวเหมือนผู้หญิงเข้าไปทุกวัน!” จงแดแอบเหน็บเล็กน้อยจนอีกคนตวัดหางตามองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปเลิกเสื้อคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงเพื่อดูบาดแผล
“มินซอกสินะ... ถ้าอยากแก้แค้นนัก ทำไมไม่ปล่อยให้เขาตายไปล่ะ” จางอี้ชิงถามเรียบๆขณะเช็ดเลือดจากปากแผล
“ตายตอนนี้มันก็ไม่สนุกน่ะสิ สู้ทรมานให้ตายไปช้าๆสะใจกว่าตั้งเยอะ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วเมื่อไรสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มันจะจบล่ะ” อี้ชิงถอนหายใจ สายตาจับจ้องใบหน้าขาวนวลของมินซอกด้วยความสงสารที่ต้องมาโดนทรมานแบบนี้
“ช่างสิ!” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ฉันจะไม่มีวันอภัยให้พวกมันที่บังอาจมาพรากเอาดวงใจไปจากฉัน ตราบใดที่ยังมีไอ้พวกที่กล้าเรียกตัวเองว่าเทพทั้งๆที่ฆ่าไปตั้งมากมาย ฉันไม่ยอมอยู่เฉยๆให้พวกมันฆ่าฝ่ายเดียวหรอก แล้วฉันจะคอยดูว่าถ้าตัวขุนหายไป เบี้ยทีเหลือจะทำยังไง!!!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
กลับมาพร้อมการนองเลือด!!!!!
ตอนนี้จัดเต็มคู่หมินเฉินไปเลย มหาขอเราพออยู่ในโหมดดาร์กแล้วโอเคมั้ยเอย
เม้นๆด้วยนะคร้าบ เพื่อกำลังใจ ^_^
ความคิดเห็น