ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo] Half-breed

    ลำดับตอนที่ #8 : :Half-Breed: 7

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 57


     

                    “แกจะบอกได้ยังว่าเมื่อวานไปไหนมา

                    แกเองก็ยังไม่ตอบฉันเลยว่า ไอ้รอยที่คอไปทำอะไรมา

                    ผมกับแบคฮยอนนั่งเล่นสงครามประสาทกันอยู่บนห้องนอนของมัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมที่จะตอบคำถามของกันและกัน แถมเหมือนพยายามจะหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามอีกต่างหาก ผมเองก็ได้แต่นั่งเอามือปิดคอเอาไว้ตั้งแต่หลายชั่วโมงที่มาเยี่ยมแบคฮยอนที่บ้าน มันก็เอาแต่นั่งพิงหัวเตียงย้อยถามคำถามผม จนปัจจุบันก็ยังไม่รู้สักทีว่ามันไปทำอะไรมา ทำไมจู่ๆถึงไข้ขึ้นได้ทั้งๆที่เมื่อวานก็ยังสบายดีอยู่เลย

                    แกไปโดนใครจูบมารึป่าวเนี่ย แดงซะขนาดนี้!” มันทำคิ้วผูกโบว์ก่อนจะเอื้อมมือมาแกะมือผมที่ยังกุมอยู่ที่คอออก

                    บ้านแกสิ!!! ก็แค่โดนแมลงกัดเฉยๆอ่ะ ผมปัดมืออุ่นๆเพราะพิษไข้ของมันออก ไม่สบายแท้ๆยังอุตส่ามีแรงลุกขึ้นมาจับผิดคนอื่น นับถือเลยจริงๆ ไอ้ผมมันเป็นพวกสีทนได้ ไม่ค่อยจะเป็นอะไรกับใครเขาหรอก แต่ถ้าเป็นขึ้นมาละก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะนอนอ้าปากพะงาบๆเป็นปลาขาดน้ำ เพราะไข้ที่ขึ้นสูงจนผิดชาวบ้านชาวเมืองเค้า

                    จะพยายามเชื่อละกัน

                    แล้วแกละไปทำไรมา ผมถามกลับ

                    ฮ้าว!!! ฉันง่วงแล้ว แกกลับบ้านไปเลยไป ชิ้วๆมันทำท่าหาวก่อนจะใช้มือเล็กของมันดันไหล่ผม

                    ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตอบมาซะดีๆ ผมปัดมือมันทิ้งก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง

                    กรุณาอย่ารบกวนคนป่วย ขณะนี้ได้เวลานอนแล้ว มันพูดเลียนแบบพยาบาล ก่อนจะมุดหัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนา ส่วนผมก็ไม่ยอมแพ้ดึงผ้าห่มออกจากตัวมันแล้วถีบๆให้ลงไปกองอยู่บนพื้น

                    คุณเทาเทาครับ ผมหนาวครับ ขอผ้าห่มด่วนเลยครับ มันทำท่ากอดตัวเอง ผมดูก็รู้ว่ามันหนาวจริงๆ เพราะเพื่อนคนนี้มันขี้หนาว ยิ่งตอนเป็นไข้ยิ่งแล้วใหญ่ขาดผ้าห่มหนาๆไม่ได้ ไม่งั้นมีหวังหนาวตายแทน

                    ก็ตอบมาก่อนดิ

                    ก็....

                    ก็... อะไร

                    ก็... แม่บอกให้มาดูหน้าผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาจับคู่ให้ ก็เลยเดินถ่วงเวลาไปเรื่อยๆแค่นั้นเอง มันทำหน้าหงิกแล้วมองผมอย่างเคืองๆ

                    แล้วเป็นไข้ได้ไงวะ

                    ก็มันหนาวนี่หว่า ไปเดินโต้ลมตั้งนาน ใครไม่เป็นไข้ก็ไม่ใช่คนเล่า!”

                    “ฉันไง!”

                    “ฉันหมายถึงคน ไม่ใช่ควายถึกอย่างแก

                    พูดงี้แกย้ายไปนอนโลงดีกว่ามั้ง!!!” ผมกระโดดไปนั่งคร่อมมันก่อนจะลงมือจักจี้เอวบางๆอย่างสนุกมือ มันก็ได้แค่ดิ้นๆอยู่บนที่นอนพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

                    “!@$@#%$%^*&@#%” มีแต่ภาษาต่างดาวทั้งนั้นที่หลุดออกมาจากปากของมัน มันคงกำลังด่าผมอยู่แหง่ๆเลยแต่ดีนะที่ฟังไม่รู้เรื่อง

                    เมื่อจักจี้จนพอใจบวกกับที่มันกำลังจะหัวเราะจนขาดใจตายผมเลยปล่อยตัวมัน แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ สักพักมันก็สะกิดๆไหล่ผมแล้วชี้ไปยังผ้าห่มที่กองอยู่กับพื้น ผมเลยต้องลุกขึ้นไปลากผ้าห่มขึ้นมาให้มัน ก่อนที่ทั้งผมและมันจะสามัคคีกันเงียบ เงียบจนรู้สึกว่าแบคฮยอนมันจะหลับไปแล้วมั้ง

                    วันนี้ฉันขอนอนบ้านแกนะ!” ผมพูดออกมาเบาๆ

                    ทำไมล่ะ!” อ้าว! ตรูนึกว่าหลับไปแล้วซะอีก-____-

                    “ฉันคิดถึงแก

                    อย่ามาสตอเบอรี่! ทะเลาะกับพี่ลู่หานละสิมันพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

                    ป่าวสักหน่อย! ฉันแค่อยากนอนบ้านแกบ้างเท่านั้นเอง

                    เอาเหอะ! ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรที่มันหนักเกินไป แกก็แบ่งมาให้ฉันช่วยแบกก็ได้นะ ยังไงฉันก็เป็นเพื่อนแกเยี่ยองหลับไปแล้วมั้ง

    ชี้ไปยังผ้าห่มที่กองอยู่กับพื้นแบคฮยอนค่อยๆพลิกตัวหันหน้ามาทางผม แก้มขาวๆของมันแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ ดวงตาหลับพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน

                    ฉันพึ่งเห็นว่าแกพูดมีสาระก็วันนี้แหละ ผมพูดเบาๆพลางใช้นิ้วจิ้มแก้มมันเล่น

                    อืม!” แบคฮยอนจับมือของผมที่ยังจิ้มแก้มของมันไม่หยุดออกมาวางไว้ตรงหน้า ก่อนที่มันจะหลับไปทั้งๆที่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากมือของผม

                    ฝันดีนะเว้ย!” ผมค่อยๆดึงมือของตัวเองออกช้าๆก่อนจะยกขึ้นลูบหัวมันเบาๆเพื่อไม่ให้มันสะดุ้งตื่น ดูๆไปเวลามันหลับก็น่ารักเหมือนกันแหะ

                   

                    20.45 น.

                    ผมแงะมองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียง ดึกปานนี้แล้วไม่รู้ว่าพี่ลู่หานทำอะไรอยู่ จะเป็นห่วงผมบ้างรึป่าวก็ไม่รู้ หรือเอาแต่นั่งคุยกับไอ้บ้านั่นจนลืมไปแล้วว่าผมยังงอนอยู่ ไม่คิดจะตามมาง้อกันเลยใช่มั้ย  ก็ใช่สิผมมันไม่สำคัญแล้วนี่ ไอ้บ้านั่นมันสำคัญกว่า คิดแล้วก็เครียดนอนดีกว่า อาบไม่น้ำแม่มแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยอาบ

     

    ...................................................................................

                   

                    พี่มินซอกไม่เป็นอะไรใช่มั้ยฮะ!”

                    คนตัวเล็กเอ่ยถามบุคคลที่นั่งกุมขมับอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ จุนมยอนเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆให้น้องชายก่อนจะพยักหน้ารับ คยองซูขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแค่เอนตัวลงนอนกับเตียงสีขาว ได้แต่คิดน้อยใจตัวเองว่าในเวลาแบบนี้พลังพิเศษที่มีอยู่มันกลับใช้อะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว ถ้าเป็นพลังที่ใช้ค้นหาแบบของมินซอกพี่ชายตัวอวบคงจะดีซะกว่า

                    ไปไหนของนายเนี่ย จุนมยอนพึมพำกับตัวเองอย่าร้อนใจ เขานั่งรอมินซอกกลับมาอยู่บนโซฟาตัวนี้อย่าใจจดใจจ่อตั้งแต่ห้าชั่วโมงที่แล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนๆนั้นเลยสักนิด ถ้าเป็นปกติไม่เคยนานขนาดนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่สิบห้านาทีเท่านั้นเอง แล้วยิ่งมีกลิ่นอายแปลกๆของไอ้พวกปีศาจ มันยิ่งทำให้เป็นห่วงเข้าไปใหญ่

                    ความกังวลมันสุมอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จุนมยอนได้แต่นั่งเงียบๆทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างอยู่บนโซฟาตัวเดิมเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนกระทั่งประตูห้องค่อยๆถูกเปิดออก เขาเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจ้องเขม็งไปยังประตู หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หวังว่าคนที่อยู่หลังประตูจะเป็นบุคคลที่อุตส่านั่งรอตั้นนานหลายชั่วโมง เตรียมตั้งท่าจะกระโดดฟรีคลิกข้อหาทำให้คนอื่นเป็นห่วงเต็มที่

                    ฮัลโหล!!! หวัดดีจ้าหนุ่มน้อยทั้งหลาย พี่ชายสุดหล่อมาเยี่ยม ดีใจกันมั้ยเอ่ย!!!” เสียงใสๆตะโกนลั่นห้องอย่างร่าเริง พร้อมๆกับร่างบางที่กระโดดพรวดเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวประดับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางยกข้าวของต่างๆนาๆที่ขนมาจากคฤหาสน์ตัวเองขึ้น

                    “-*-” และนี้คือสีหน้าของจุนมยอนในขณะนั้น

                    อย่าทำหน้าบูดแบบนั้นสิ ....โอ๊ะ! คยองซูน้อยของพี่หลับไปแล้วหรอ อุตส่าขนขนมจากบ้านมาฝากแท้ๆเลย

                    วันนี้พระจันทร์เต็มดวงรึไงถึงโผล่มาได้เนี่ย หัวหน้าอีทึก!”

                    อย่าพูดเหมือนฉันเป็นตัวอะไรแบบนั้นสิ ฉันเป็นถึงท่านปาร์ค จองซู เทพแห่งวารี หนึ่งในห้าเทพมายาผู้หล่อเหลาเชียวนะ

                    ถ้าหัวหน้าพูดแบบนั้นก็แสดงว่าเหมารวมผมเข้าไปด้วย เพราะผมก็เป็นเทพวารีเหมือนกัน

                    “O_O?”

                    “หรือหัวหน้าจะเถียง-_-!”

                    “จ๊ะ! พ่อรองหัวหน้า ไม่เถียงก็ได้จ๊ะ แต่ขอบอกก่อนนะว่านายยังห่างจากหัวหน้าอย่างฉันหลายขุมเลย จองซูหรือที่ใครๆมักจะเรียกว่าอีทึก เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กซึ่งมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ที่ไม่ว่าจะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่ยอมตื่น

                    หัวหน้ามีอะไรรึป่าว ถึงได้มาดึกๆดื่นๆแบบนี้ จุนมยอนถามขณะนั่งมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มกริ่มอยู่คนเดียว

                    ต้องมีอะไรด้วยหรอถึงจะมาหาได้เนี่ย อีทึกหันมาตอบ

                    สรุปว่าไม่มีอะไรใช่มั้ย

                    “ป่าว! ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นจุนมยอนขมวดคิ้วมองหน้าผู้มาเยือนอย่างคาดเดาคำตอบ จนอีกคนอมยิ้ม

                    ฉันก็เป็นห่วงเหมือนกันนะ เจ้าชายแห่งความหนาวเหน็บคนนั้นน่ะ

                    “หมายถึงมินซอกหรอ หัวหน้ารู้ได้ไงผมไม่ได้บอกใครสักหน่อยอีทึกไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มบางๆให้จุนมยอนเท่านั้น

                    นายรู้ใช่มั้ยว่าหน้าที่ของเทพมายาคืออะไร

                    ก็... ผู้คุมกฎของเหล่าเทพ มีอำนาจรองลงมาจากเทพสูงสุดในการตัดสินผู้ละเมิดกฎ

                    ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ! พวกเราน่ะถ้าพูดตรงๆเลยก็เป็นหัวหน้านั่นแหละ มีหน้าที่ดูแลเทพทุกคนที่อยู่อยู่ใต้การควบคุมของเราไม่ให้บาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป

                    “แล้วยังไง

                    ในฐานะรองหัวหน้า นายก็น่าจะเข้าใจนะ เพราะมินซอกเองก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่ในการควบคุมของเราเหมือนกัน และการที่เจ้าซาลาเปาหายไปมันก็เป็นหน้าที่หัวหน้าอย่างฉันที่ต้องพาเขากลับมาโดยสวัสดิภาพ แต่จะต่างกันนิดหน่อยตรงที่ฉันกับนายไม่ได้เป็นห่วงเพียงเพราะแค่เป็นคนในความดูแล แต่เพราะเขาคือคนสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้เป็นอะไรไปเด็ดขาด ...ถูกต้องมั้ย^^” รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใสของคนตรงหน้ามันทำให้จุนมยอนคลาดเครียดได้โดยไม่รู้ตัว

                    หัวหน้าคนนี้ถึงบางครั้งจะดูติดเล่นและหาตัวจับยากไปสักหน่อย แต่พอมีปัญหาที่ไรก็โผล่หน้ามาให้เห็นตลอดทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ จนบางครั้งก็แอบคิดไปเองว่าคนๆนี้มีพลังพิเศษเหมือนกับคยองซูรึป่าว แต่พอถามทีไรก็ไม่ยอมตอบแถมชอบแถไปเรื่องอื่นทุกที จนจุนมยอนเองยังต้องคอยระแหวดระวังตัวทุกการกระทำที่เสี่ยงๆเพราะคนคนนี้อาจจะมีตาทิพย์ก็ได้

                    แต่ถึงจะไม่ค่อยเอาไหน ก็เป็นหัวหน้าที่ใช้ได้เหมือนกันแหะ!!!

                    “แต่รู้อะไรมั้ยจุนมยอน ว่านายเองก็มีส่านผิดเหมือนกัน

                    ห๊ะ!”

                    ฉันเคยเตือนนายไปแล้วไม่ใช่หรอ ว่าอย่าพามินซอกกับคยองซูออกไปไหนมาไหนโดยพลการ รอยยิ้มที่เคยมีมัยหายไป เหลือไว้แค่หน้าตานิ่งๆที่อยากจะคาดเดาอารมณ์ในตอนนี้ได้ จุนมยอนเองก็ได้แต่หลบสายตาคาดโทษจากหัวหน้า รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาจนพูดอะไรไม่ออก เพราะสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังพูดมันคือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

                    ผมขอ...

                    แต่ก็คงโทษนายฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันเองก็ผิดที่ไม่ดูแลพวกนายให้ดีๆ คำขอโทษที่กำลังจะเอ่ยออกจากปากถูกแทรกขึ้นมา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้จุนมยอนพูดขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปโดยไม่ได้เจตนา

                    เอาเป็นว่าตอนนี้นายอยู่เฉยๆไปก่อนล่ะกันนะ เดี๋ยวเรื่องมินซอกฉันจะจัดการเอง อีทึกลุกขึ้นบิดซ้ายบิดขวาก่อนจะก้าวขาเดินตรงไปยังประตูห้อง

                    หัวหน้ารู้อะไรใช่มั้ย มือที่กำลังจับลูกบิดหยุดชะงัก เมื่อเสียงเรียบๆดังขึ้นจากทิศทางที่พึ่งเดินออกมา อีทึกยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะหันหลังกลับไป ใบหน้าสวยไร้ซึ่งรอยยิ้มสดใสที่เคยมี มันราบเรียบจนเหมือนกับรูปสลักที่งดงามแต่มีชีวิต

                    ช่วยบอกผมทีเถอะว่ามินซอกอยู่ไหน ผมจะไปพาเขากลับมาเอง เสียงอ้อนวอนของจุนมยอนไม่ได้ทำให้สีหน้าของอีทึกเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

                    อะไรทำให้นายคิดว่าฉันรู้

                    ต้องรู้สิ... หัวหน้าเองก็เป็นเอสเปอร์เหมือนคยองซูกับมินซอกใช่มั้ยล่ะ

                    หึ! งั้นถ้าฉันบอกนาย สัญญาได้มั้ยล่ะ ว่าจะไม่คิดสั้นพาตัวเองไปตายโดยเปล่าประโยชน์

                    “หมายความว่าไง?

                    ตอนนี้... เด็กคนนั้นอยู่กับฝ่ายศัตรู

                    ว่าไงนะ!!!” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความตกใจ หัวใจล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เข่าอ่อนแทบจะลงไปกองกับพื้น

                    ไม่ต้องห่วงหรอก เขาปล่อยภัยดี อีทึกพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเปิดประตูเดินออกมาทันที่ ปล่อยให้จุนมยอนหน้าถอดสียืนนิ่งไม่รับรู้อะไรอยู่ที่เดิม

     

    .................................................................................

     

                    ร่างบางออกมายืนทำหน้าตายอยู่ที่ระเบียงทางเดินยาวที่ไร้ผู้คน ก่อนจะหลับตารวบรวมสมาธิที่มีทั้งหมด พยายามเพ่งจิตให้สื่อถึงอีกบุคคลที่อยู่ห่างไกลออกไปจนแถบจะรู้สึกไม่ได้ พอจิตจะเชื่อมกันได้สมบรูณ์ก็มีอะไรบางอย่างแทรกเข้ามาตลอด เป็นอย่างนั้นอยู่นานสองนาน จนในที่สุดการดันทุรังก็จบสิ้น เมื่อพลังที่ใช้ในการเชื่อมต่อจิตทั้งสองหมดลงอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายเกิดอาการเสียสมดุล หน้ามืดไปหมด ขาอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น

                    ทางเดินไม่ใช่ที่นอนนะเฮ้ย!” วงแขนแข็งแรงโอบรับร่างของอีทึกไว้ทันก่อนที่จะล้มหัวฟาดพื้น พร้อมๆกับเสียงทุ้มๆที่คุ้นหูดังขึ้น ด้วยอาการปวดหัวหนึบๆทำให้ไม่ได้สนใจเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงหลับตาเอามือกุมหัวอยู่ในอ้อมแขนของคู่อริตลอดอย่าง คังอิน

                    “นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย ไม่รู้ขีดจำกัดพลังของเอสเปอร์รึไง เอ๊ะ... หรือรู้ล่วงหน้าว่าฉันจะเดินมาเลยแกล้งเป็นลมเพื่อจะให้ฉันช่วย แผนสูงจริงนะนาย

                    “หน็อย!!! ได้ทีเอาใหญ่เลยนะแก อีทึกเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตวัดขาหมายจะเตะก้านคอของอีกฝ่าย แต่คังอินไหวตัวทันเลยหลบได้อย่างสวยงาม ถอยมาออกหนึ่งก้าวยืมมองอีกฝ่ายที่อาการมึนหัวยังไม่หาย เซไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรงด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ

                    “ถ้าฉันจะมาคอยแกนะ สู้ฉันไปกระโดดลงสระนอนให้ฮิปโปทับเล่นยังจะมีความสุขกว่าเยอะเลย ด่าไปพยายามจะลุกไป

                    ไม่เจียมสังขารเลยนะนายคังอินเดินไปคว้าแขนของอีกคนที่พยายามตะเกียดตะกายขึ้นจากพื้นด้วยความขัดหูขัดตา แต่ก็ถูกอีทึกสะบัดแขนออกอย่างไม่แยแสความช่วยเหลือ คังอินเบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจยืมมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

                    อีทึกพยายามใช้มือค้ำกำแพงเพื่อช่วยพยุงตัวขึ้นอย่างยากลำบาก หัวยังคงมึนๆอยู่นิดหน่อย ถ้าได้นอนพักก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือการพาตัวเองให้ไปถึงห้องก็เทานั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะถึงเอาปีไหนถ้ายังตะเกียดตะกายอยู่แบบนี้ พลังเวทย์บวกกับพลังงานจากร่างกายที่เสียไปมันค่อยๆกัดกร่อนสติที่มีจนแทบจะกลายเป็นยืนหลับ จนอีกคนทนดูไม่ได้เดินมาคว้าเอวตัวเองขึ้นพาดบ่าจ้ำเอาๆ แค่อึดใจเดียวก็มาถึงหน้าประตูห้องเป็นที่เรียบร้อย

                    ปล่อยเลยนะเว้ย เดี๋ยวพ่อจับถ่วงน้ำซะเลยนี่!!!” มือเล็กๆทุบหลังของคนที่ถือวิสาสะอุ้มตนเองมาอย่างแค้นเคือง ก่อนที่จะโดนคังอินโยนลงบนพื้นห้อง ก้นกระแทกพื้นอย่างแรงจนเจ็บไปหมด

                    ทำบ้าอะไรของแกฟะ ไอ้หมีควาย!!!”

                    “เอ้า! ก็บอกให้ปล่อยไม่ใช่หรอ

                    แล้วแกปล่อยเบาๆนิ่มๆไม่เป็นรึไงห๊ะ!!!”

                    ชิ! ไปนอนเลยไปไอ้กุ้งแห้ง คังอินใช้นิ้วดันหน้าผากของอีกคนจนแทบจะหงายหลังล้มลงไปอีกรอบ ก่อนจะเดินหนีออกนอกห้องไปแบบที่มีซาวด์เป็นเสียงด่าของอีทึกดังตามหลังมาด้วย

                    ชายหนุ่มยืนหน้าเหวี่ยงอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินกระถีบเท้าตึงตังไปทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง อีทึกเอาหัวมุดใต้หมอนพยายามตั้งสมาธิอีกครั้ง แต่ผลก็เป็นเหมือนเดิมคือเชื่อมต่อไม่ได้ เขาพลิกตัวนอนหงายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน เพราะตั้งแต่เกิดมาถือเป็นครั้งแรกที่พลังของตัวเองใช้ไม่ได้ผล

                    เรานี่... ไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าใครเลยจริงๆ

                    เสียงบ่นพึมพำดังอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เปลือกตาค่อยๆปิดลงเข้าสู่ห้วงนินทรา

     

     

     

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++

    หายไปนานมากถึงมากที่สุด แต่แล้วก็หาทางกลับมาจนได้…!

    ไม่รู้ว่ายังมีใครรออ่านอยู่รึป่าว ฮื่อๆ TOT

    เอาล่ะ... บทนี้จะเรียกว่าสั้นก็ได้ เพราะช่วงนั้นสมองไม่ค่อยแล่นเลยออกมาได้แค่เนี่ย แต่ที่เพิ่มมาคือตัวละครใหม่นั่นเอง ใครเป็น E.L.F โชว์รักแร้หน่อย ฮู้!!!! แต่ที่รู้ๆคือไรเตอร์เป็นคนนึงอ่ะ 5555+ ยังไงก็ฝากหน่อยเน้อ ถ้าเม้นจะยิ่งดีใจมากกกกก!!!!!

     

     

    Heaven & Hell
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×