คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : :Half-Breed: 7
“แกจะบอกได้ยังว่าเมื่อวานไปไหนมา”
“แกเองก็ยังไม่ตอบฉันเลยว่า ไอ้รอยที่คอไปทำอะไรมา”
ผมกับแบคฮยอนนั่งเล่นสงครามประสาทกันอยู่บนห้องนอนของมัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมที่จะตอบคำถามของกันและกัน แถมเหมือนพยายามจะหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามอีกต่างหาก ผมเองก็ได้แต่นั่งเอามือปิดคอเอาไว้ตั้งแต่หลายชั่วโมงที่มาเยี่ยมแบคฮยอนที่บ้าน มันก็เอาแต่นั่งพิงหัวเตียงย้อยถามคำถามผม จนปัจจุบันก็ยังไม่รู้สักทีว่ามันไปทำอะไรมา ทำไมจู่ๆถึงไข้ขึ้นได้ทั้งๆที่เมื่อวานก็ยังสบายดีอยู่เลย
“แกไปโดนใครจูบมารึป่าวเนี่ย แดงซะขนาดนี้!” มันทำคิ้วผูกโบว์ก่อนจะเอื้อมมือมาแกะมือผมที่ยังกุมอยู่ที่คอออก
“บ้านแกสิ!!! ก็แค่โดนแมลงกัดเฉยๆอ่ะ” ผมปัดมืออุ่นๆเพราะพิษไข้ของมันออก ไม่สบายแท้ๆยังอุตส่ามีแรงลุกขึ้นมาจับผิดคนอื่น นับถือเลยจริงๆ ไอ้ผมมันเป็นพวกสีทนได้ ไม่ค่อยจะเป็นอะไรกับใครเขาหรอก แต่ถ้าเป็นขึ้นมาละก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะนอนอ้าปากพะงาบๆเป็นปลาขาดน้ำ เพราะไข้ที่ขึ้นสูงจนผิดชาวบ้านชาวเมืองเค้า
“จะพยายามเชื่อละกัน”
“แล้วแกละไปทำไรมา” ผมถามกลับ
“ฮ้าว!!! ฉันง่วงแล้ว แกกลับบ้านไปเลยไป ชิ้วๆ” มันทำท่าหาวก่อนจะใช้มือเล็กของมันดันไหล่ผม
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตอบมาซะดีๆ” ผมปัดมือมันทิ้งก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง
“กรุณาอย่ารบกวนคนป่วย ขณะนี้ได้เวลานอนแล้ว” มันพูดเลียนแบบพยาบาล ก่อนจะมุดหัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนา ส่วนผมก็ไม่ยอมแพ้ดึงผ้าห่มออกจากตัวมันแล้วถีบๆให้ลงไปกองอยู่บนพื้น
“คุณ
“ก็ตอบมาก่อนดิ”
“ก็....”
“ก็... อะไร”
“ก็... แม่บอกให้มาดูหน้าผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาจับคู่ให้ ก็เลยเดินถ่วงเวลาไปเรื่อยๆแค่นั้นเอง” มันทำหน้าหงิกแล้วมองผมอย่างเคืองๆ
“แล้วเป็นไข้ได้ไงวะ”
“ก็มันหนาวนี่หว่า ไปเดินโต้ลมตั้งนาน ใครไม่เป็นไข้ก็ไม่ใช่คนเล่า!”
“ฉันไง!”
“ฉันหมายถึงคน ไม่ใช่ควายถึกอย่างแก”
“พูดงี้แกย้ายไปนอนโลงดีกว่ามั้ง!!!” ผมกระโดดไปนั่งคร่อมมันก่อนจะลงมือจักจี้เอวบางๆอย่างสนุกมือ มันก็ได้แค่ดิ้นๆอยู่บนที่นอนพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“!@$@#%$%^*&@#%” มีแต่ภาษาต่างดาวทั้งนั้นที่หลุดออกมาจากปากของมัน มันคงกำลังด่าผมอยู่แหง่ๆเลยแต่ดีนะที่ฟังไม่รู้เรื่อง
เมื่อจักจี้จนพอใจบวกกับที่มันกำลังจะหัวเราะจนขาดใจตายผมเลยปล่อยตัวมัน แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ สักพักมันก็สะกิดๆไหล่ผมแล้วชี้ไปยังผ้าห่มที่กองอยู่กับพื้น ผมเลยต้องลุกขึ้นไปลากผ้าห่มขึ้นมาให้มัน ก่อนที่ทั้งผมและมันจะสามัคคีกันเงียบ เงียบจนรู้สึกว่าแบคฮยอนมันจะหลับไปแล้วมั้ง
“วันนี้ฉันขอนอนบ้านแกนะ!” ผมพูดออกมาเบาๆ
“ทำไมล่ะ!” อ้าว! ตรูนึกว่าหลับไปแล้วซะอีก-____-
“ฉันคิดถึงแก”
“อย่ามาสตอเบอรี่! ทะเลาะกับพี่ลู่หานละสิ” มันพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“ป่าวสักหน่อย! ฉันแค่อยากนอนบ้านแกบ้างเท่านั้นเอง”
“เอาเหอะ! ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรที่มันหนักเกินไป แกก็แบ่งมาให้ฉันช่วยแบกก็ได้นะ ยังไงฉันก็เป็นเพื่อนแก
” แบคฮยอนค่อยๆพลิกตัวหันหน้ามาทางผม แก้มขาวๆของมันแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ ดวงตาหลับพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน
“ฉันพึ่งเห็นว่าแกพูดมีสาระก็วันนี้แหละ” ผมพูดเบาๆพลางใช้นิ้วจิ้มแก้มมันเล่น
“อืม!” แบคฮยอนจับมือของผมที่ยังจิ้มแก้มของมันไม่หยุดออกมาวางไว้ตรงหน้า ก่อนที่มันจะหลับไปทั้งๆที่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากมือของผม
“ฝันดีนะเว้ย!” ผมค่อยๆดึงมือของตัวเองออกช้าๆก่อนจะยกขึ้นลูบหัวมันเบาๆเพื่อไม่ให้มันสะดุ้งตื่น ดูๆไปเวลามันหลับก็น่ารักเหมือนกันแหะ
20.45 น.
ผมแงะมองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียง ดึกปานนี้แล้วไม่รู้ว่าพี่ลู่หานทำอะไรอยู่ จะเป็นห่วงผมบ้างรึป่าวก็ไม่รู้ หรือเอาแต่นั่งคุยกับไอ้บ้านั่นจนลืมไปแล้วว่าผมยังงอนอยู่ ไม่คิดจะตามมาง้อกันเลยใช่มั้ย ก็ใช่สิผมมันไม่สำคัญแล้วนี่ ไอ้บ้านั่นมันสำคัญกว่า คิดแล้วก็เครียดนอนดีกว่า อาบไม่น้ำแม่มแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยอาบ
...................................................................................
“พี่มินซอกไม่เป็นอะไรใช่มั้ยฮะ!”
คนตัวเล็กเอ่ยถามบุคคลที่นั่งกุมขมับอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ จุนมยอนเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆให้น้องชายก่อนจะพยักหน้ารับ คยองซูขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแค่เอนตัวลงนอนกับเตียงสีขาว ได้แต่คิดน้อยใจตัวเองว่าในเวลาแบบนี้พลังพิเศษที่มีอยู่มันกลับใช้อะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว ถ้าเป็นพลังที่ใช้ค้นหาแบบของมินซอกพี่ชายตัวอวบคงจะดีซะกว่า
“ไปไหนของนายเนี่ย” จุนมยอนพึมพำกับตัวเองอย่าร้อนใจ เขานั่งรอมินซอกกลับมาอยู่บนโซฟาตัวนี้อย่าใจจดใจจ่อตั้งแต่ห้าชั่วโมงที่แล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนๆนั้นเลยสักนิด ถ้าเป็นปกติไม่เคยนานขนาดนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่สิบห้านาทีเท่านั้นเอง แล้วยิ่งมีกลิ่นอายแปลกๆของไอ้พวกปีศาจ มันยิ่งทำให้เป็นห่วงเข้าไปใหญ่
ความกังวลมันสุมอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จุนมยอนได้แต่นั่งเงียบๆทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างอยู่บนโซฟาตัวเดิมเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนกระทั่งประตูห้องค่อยๆถูกเปิดออก เขาเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจ้องเขม็งไปยังประตู หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หวังว่าคนที่อยู่หลังประตูจะเป็นบุคคลที่อุตส่านั่งรอตั้นนานหลายชั่วโมง เตรียมตั้งท่าจะกระโดดฟรีคลิกข้อหาทำให้คนอื่นเป็นห่วงเต็มที่
“ฮัลโหล!!! หวัดดีจ้าหนุ่มน้อยทั้งหลาย พี่ชายสุดหล่อมาเยี่ยม ดีใจกันมั้ยเอ่ย!!!” เสียงใสๆตะโกนลั่นห้องอย่างร่าเริง พร้อมๆกับร่างบางที่กระโดดพรวดเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวประดับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางยกข้าวของต่างๆนาๆที่ขนมาจากคฤหาสน์ตัวเองขึ้น
“-*-” และนี้คือสีหน้าของจุนมยอนในขณะนั้น
“อย่าทำหน้าบูดแบบนั้นสิ ....โอ๊ะ! คยองซูน้อยของพี่หลับไปแล้วหรอ อุตส่าขนขนมจากบ้านมาฝากแท้ๆเลย”
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวงรึไงถึงโผล่มาได้เนี่ย หัวหน้าอีทึก!”
“อย่าพูดเหมือนฉันเป็นตัวอะไรแบบนั้นสิ ฉันเป็นถึงท่านปาร์ค จองซู เทพแห่งวารี หนึ่งในห้าเทพมายาผู้หล่อเหลาเชียวนะ”
“ถ้าหัวหน้าพูดแบบนั้นก็แสดงว่าเหมารวมผมเข้าไปด้วย เพราะผมก็เป็นเทพวารีเหมือนกัน”
“O_O?”
“หรือหัวหน้าจะเถียง-_-!”
“จ๊ะ! พ่อรองหัวหน้า ไม่เถียงก็ได้จ๊ะ แต่ขอบอกก่อนนะว่านายยังห่างจากหัวหน้าอย่างฉันหลายขุมเลย” จองซูหรือที่ใครๆมักจะเรียกว่าอีทึก เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กซึ่งมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ที่ไม่ว่าจะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่ยอมตื่น
“หัวหน้ามีอะไรรึป่าว ถึงได้มาดึกๆดื่นๆแบบนี้” จุนมยอนถามขณะนั่งมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มกริ่มอยู่คนเดียว
“ต้องมีอะไรด้วยหรอถึงจะมาหาได้เนี่ย” อีทึกหันมาตอบ
“สรุปว่าไม่มีอะไรใช่มั้ย”
“ป่าว! ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” จุนมยอนขมวดคิ้วมองหน้าผู้มาเยือนอย่างคาดเดาคำตอบ จนอีกคนอมยิ้ม
“ฉันก็เป็นห่วงเหมือนกันนะ เจ้าชายแห่งความหนาวเหน็บคนนั้นน่ะ”
“หมายถึงมินซอกหรอ หัวหน้ารู้ได้ไงผมไม่ได้บอกใครสักหน่อย” อีทึกไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มบางๆให้จุนมยอนเท่านั้น
“นายรู้ใช่มั้ยว่าหน้าที่ของเทพมายาคืออะไร”
“ก็... ผู้คุมกฎของเหล่าเทพ มีอำนาจรองลงมาจากเทพสูงสุดในการตัดสินผู้ละเมิดกฎ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ! พวกเราน่ะถ้าพูดตรงๆเลยก็เป็นหัวหน้านั่นแหละ มีหน้าที่ดูแลเทพทุกคนที่อยู่อยู่ใต้การควบคุมของเราไม่ให้บาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป”
“แล้วยังไง”
“ในฐานะรองหัวหน้า นายก็น่าจะเข้าใจนะ เพราะมินซอกเองก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่ในการควบคุมของเราเหมือนกัน และการที่เจ้าซาลาเปาหายไปมันก็เป็นหน้าที่หัวหน้าอย่างฉันที่ต้องพาเขากลับมาโดยสวัสดิภาพ แต่จะต่างกันนิดหน่อยตรงที่ฉันกับนายไม่ได้เป็นห่วงเพียงเพราะแค่เป็นคนในความดูแล แต่เพราะเขาคือคนสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้เป็นอะไรไปเด็ดขาด ...ถูกต้องมั้ย^^” รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใสของคนตรงหน้ามันทำให้จุนมยอนคลาดเครียดได้โดยไม่รู้ตัว
หัวหน้าคนนี้ถึงบางครั้งจะดูติดเล่นและหาตัวจับยากไปสักหน่อย แต่พอมีปัญหาที่ไรก็โผล่หน้ามาให้เห็นตลอดทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ จนบางครั้งก็แอบคิดไปเองว่าคนๆนี้มีพลังพิเศษเหมือนกับคยองซูรึป่าว แต่พอถามทีไรก็ไม่ยอมตอบแถมชอบแถไปเรื่องอื่นทุกที จนจุนมยอนเองยังต้องคอยระแหวดระวังตัวทุกการกระทำที่เสี่ยงๆเพราะคนคนนี้อาจจะมีตาทิพย์ก็ได้
แต่ถึงจะไม่ค่อยเอาไหน ก็เป็นหัวหน้าที่ใช้ได้เหมือนกันแหะ!!!
“แต่รู้อะไรมั้ยจุนมยอน ว่านายเองก็มีส่านผิดเหมือนกัน”
“ห๊ะ!”
“ฉันเคยเตือนนายไปแล้วไม่ใช่หรอ ว่าอย่าพามินซอกกับคยองซูออกไปไหนมาไหนโดยพลการ” รอยยิ้มที่เคยมีมัยหายไป เหลือไว้แค่หน้าตานิ่งๆที่อยากจะคาดเดาอารมณ์ในตอนนี้ได้ จุนมยอนเองก็ได้แต่หลบสายตาคาดโทษจากหัวหน้า รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาจนพูดอะไรไม่ออก เพราะสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังพูดมันคือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ผมขอ...”
“แต่ก็คงโทษนายฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันเองก็ผิดที่ไม่ดูแลพวกนายให้ดีๆ” คำขอโทษที่กำลังจะเอ่ยออกจากปากถูกแทรกขึ้นมา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้จุนมยอนพูดขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปโดยไม่ได้เจตนา
“เอาเป็นว่าตอนนี้นายอยู่เฉยๆไปก่อนล่ะกันนะ เดี๋ยวเรื่องมินซอกฉันจะจัดการเอง” อีทึกลุกขึ้นบิดซ้ายบิดขวาก่อนจะก้าวขาเดินตรงไปยังประตูห้อง
“หัวหน้ารู้อะไรใช่มั้ย” มือที่กำลังจับลูกบิดหยุดชะงัก เมื่อเสียงเรียบๆดังขึ้นจากทิศทางที่พึ่งเดินออกมา อีทึกยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะหันหลังกลับไป ใบหน้าสวยไร้ซึ่งรอยยิ้มสดใสที่เคยมี มันราบเรียบจนเหมือนกับรูปสลักที่งดงามแต่มีชีวิต
“ช่วยบอกผมทีเถอะว่ามินซอกอยู่ไหน ผมจะไปพาเขากลับมาเอง” เสียงอ้อนวอนของจุนมยอนไม่ได้ทำให้สีหน้าของอีทึกเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“อะไรทำให้นายคิดว่าฉันรู้”
“ต้องรู้สิ... หัวหน้าเองก็เป็นเอสเปอร์เหมือนคยองซูกับมินซอกใช่มั้ยล่ะ”
“หึ! งั้นถ้าฉันบอกนาย สัญญาได้มั้ยล่ะ ว่าจะไม่คิดสั้นพาตัวเองไปตายโดยเปล่าประโยชน์”
“หมายความว่าไง?”
“ตอนนี้... เด็กคนนั้นอยู่กับฝ่ายศัตรู”
“ว่าไงนะ!!!” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความตกใจ หัวใจล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เข่าอ่อนแทบจะลงไปกองกับพื้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาปล่อยภัยดี” อีทึกพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเปิดประตูเดินออกมาทันที่ ปล่อยให้จุนมยอนหน้าถอดสียืนนิ่งไม่รับรู้อะไรอยู่ที่เดิม
.................................................................................
ร่างบางออกมายืนทำหน้าตายอยู่ที่ระเบียงทางเดินยาวที่ไร้ผู้คน ก่อนจะหลับตารวบรวมสมาธิที่มีทั้งหมด พยายามเพ่งจิตให้สื่อถึงอีกบุคคลที่อยู่ห่างไกลออกไปจนแถบจะรู้สึกไม่ได้ พอจิตจะเชื่อมกันได้สมบรูณ์ก็มีอะไรบางอย่างแทรกเข้ามาตลอด เป็นอย่างนั้นอยู่นานสองนาน จนในที่สุดการดันทุรังก็จบสิ้น เมื่อพลังที่ใช้ในการเชื่อมต่อจิตทั้งสองหมดลงอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายเกิดอาการเสียสมดุล หน้ามืดไปหมด ขาอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น
“ทางเดินไม่ใช่ที่นอนนะเฮ้ย!” วงแขนแข็งแรงโอบรับร่างของอีทึกไว้ทันก่อนที่จะล้มหัวฟาดพื้น พร้อมๆกับเสียงทุ้มๆที่คุ้นหูดังขึ้น ด้วยอาการปวดหัวหนึบๆทำให้ไม่ได้สนใจเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงหลับตาเอามือกุมหัวอยู่ในอ้อมแขนของคู่อริตลอดอย่าง ‘คังอิน’
“นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย ไม่รู้ขีดจำกัดพลังของเอสเปอร์รึไง เอ๊ะ... หรือรู้ล่วงหน้าว่าฉันจะเดินมาเลยแกล้งเป็นลมเพื่อจะให้ฉันช่วย แผนสูงจริงนะนาย”
“หน็อย!!! ได้ทีเอาใหญ่เลยนะแก” อีทึกเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตวัดขาหมายจะเตะก้านคอของอีกฝ่าย แต่คังอินไหวตัวทันเลยหลบได้อย่างสวยงาม ถอยมาออกหนึ่งก้าวยืมมองอีกฝ่ายที่อาการมึนหัวยังไม่หาย เซไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรงด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ
“ถ้าฉันจะมาคอยแกนะ สู้ฉันไปกระโดดลงสระนอนให้ฮิปโปทับเล่นยังจะมีความสุขกว่าเยอะเลย” ด่าไปพยายามจะลุกไป
“ไม่เจียมสังขารเลยนะนาย” คังอินเดินไปคว้าแขนของอีกคนที่พยายามตะเกียดตะกายขึ้นจากพื้นด้วยความขัดหูขัดตา แต่ก็ถูกอีทึกสะบัดแขนออกอย่างไม่แยแสความช่วยเหลือ คังอินเบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจยืมมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
อีทึกพยายามใช้มือค้ำกำแพงเพื่อช่วยพยุงตัวขึ้นอย่างยากลำบาก หัวยังคงมึนๆอยู่นิดหน่อย ถ้าได้นอนพักก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือการพาตัวเองให้ไปถึงห้องก็เทานั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะถึงเอาปีไหนถ้ายังตะเกียดตะกายอยู่แบบนี้ พลังเวทย์บวกกับพลังงานจากร่างกายที่เสียไปมันค่อยๆกัดกร่อนสติที่มีจนแทบจะกลายเป็นยืนหลับ จนอีกคนทนดูไม่ได้เดินมาคว้าเอวตัวเองขึ้นพาดบ่าจ้ำเอาๆ แค่อึดใจเดียวก็มาถึงหน้าประตูห้องเป็นที่เรียบร้อย
“ปล่อยเลยนะเว้ย เดี๋ยวพ่อจับถ่วงน้ำซะเลยนี่!!!” มือเล็กๆทุบหลังของคนที่ถือวิสาสะอุ้มตนเองมาอย่างแค้นเคือง ก่อนที่จะโดนคังอินโยนลงบนพื้นห้อง ก้นกระแทกพื้นอย่างแรงจนเจ็บไปหมด
“ทำบ้าอะไรของแกฟะ ไอ้หมีควาย!!!”
“เอ้า! ก็บอกให้ปล่อยไม่ใช่หรอ”
“แล้วแกปล่อยเบาๆนิ่มๆไม่เป็นรึไงห๊ะ!!!”
“ชิ! ไปนอนเลยไปไอ้กุ้งแห้ง” คังอินใช้นิ้วดันหน้าผากของอีกคนจนแทบจะหงายหลังล้มลงไปอีกรอบ ก่อนจะเดินหนีออกนอกห้องไปแบบที่มีซาวด์เป็นเสียงด่าของอีทึกดังตามหลังมาด้วย
ชายหนุ่มยืนหน้าเหวี่ยงอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินกระถีบเท้าตึงตังไปทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง อีทึกเอาหัวมุดใต้หมอนพยายามตั้งสมาธิอีกครั้ง แต่ผลก็เป็นเหมือนเดิมคือเชื่อมต่อไม่ได้ เขาพลิกตัวนอนหงายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน เพราะตั้งแต่เกิดมาถือเป็นครั้งแรกที่พลังของตัวเองใช้ไม่ได้ผล
“เรานี่... ไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าใครเลยจริงๆ”
เสียงบ่นพึมพำดังอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เปลือกตาค่อยๆปิดลงเข้าสู่ห้วงนินทรา
+++++++++++++++++++++++++++++++++
หายไปนานมากถึงมากที่สุด แต่แล้วก็หาทางกลับมาจนได้…!
ไม่รู้ว่ายังมีใครรออ่านอยู่รึป่าว ฮื่อๆ TOT
เอาล่ะ... บทนี้จะเรียกว่าสั้นก็ได้ เพราะช่วงนั้นสมองไม่ค่อยแล่นเลยออกมาได้แค่เนี่ย แต่ที่เพิ่มมาคือตัวละครใหม่นั่นเอง ใครเป็น E.L.F โชว์รักแร้หน่อย ฮู้!!!! แต่ที่รู้ๆคือไรเตอร์เป็นคนนึงอ่ะ 5555+ ยังไงก็ฝากหน่อยเน้อ ถ้าเม้นจะยิ่งดีใจมากกกกก!!!!!
ความคิดเห็น