คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : :Half-Breed: 5
ภายในห้องโล่งๆที่ถูกย้อมไปด้วยสีขาวล้วน ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ว่างเปล่า จะมีก็แต่ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงสีขาวซึ่งตั้งอยู่กลางห้องเท่านั้น ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเขาดูเลื่อนลอยหากมองแค่ผิวเผิน แต่หารู้ไม่ว่าเขากำลังมองเห็นในสิ่งที่ใครๆไม่สามารถมองเห็นได้ และเขาก็จ้องมองมันมาตลอด โดยมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
“คยองซู!” เสียงที่คุ้นเคยเรียกสติของร่างเล็กในกลับมา เขาหันไปมองช้าๆด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะพบกับใบหน้าขาวที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของสองบุคคลที่เปรียบเสมือนพี่ชายที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ
“กลับมาแล้วหรอ!” รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าของน้องชายตัวเล็กเป็นครั้งแรกของวัน จุนมยอนและมินซอกเดินเข้ามาหาก่อนจะโอบกอดอย่างอ่อนโยน
“เหงามั้ย ขอโทษนะที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวตั้งนาน” จุนมยอนเอ่ยขณะกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขน
“พี่ซื้อขนมมาฝากด้วยนะ” มินซอกชูถุงต่างๆนาๆที่ตัวเองอุตส่าแบกมาให้อีกฝ่ายดู ถึงแม้ว่าบางส่วนจะต้องเสียไประหว่างทางก็เถอะ แต่เท่าที่เห็นจำนวนมันก็ไม่ได้น้อยลงเลยสักนิด
มินซอกนั่งลงข้างๆคยองซูก่อนจะล้วงเอาอมยิ้มขึ้นมาแกะแล้วส่งให้ ร่างเล็กมองมันอย่างงุนงงแต่ก็รับไว้โดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ เขานั่งนิ่งจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือตาไม่กระพริบอยู่นานสองนาน แล้วจู่ๆเขาก็พึมพำคำๆหนึ่งออกมา ทำให้อีกสองคนถึงกับแปลกใจ
“จื่อเทา!” ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆถูกกลืนด้วยสีฟ้าของท้องทะเลทีละนิดๆ จุนมยอนและมินซอกมองหน้ากัน เขาสองคนไม่ได้ตกใจที่สีตาของน้องชายเปลี่ยนไปเพราะเขาเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้วเวลามองเห็นอะไรแปลกๆ แต่ที่ทำให้ทั้งสองแปลกใจคือ... ทำไมคยองซูถึงรู้จักชื่อจื่อเทา?
“เป้าหมาย...!”
“เป้าหมายอะไร” จุนมยอนมองร่างเล็ก นัยน์ตาสีฟ้าของคยองซูมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ปกป้อง!”
และนั่นคือคำสุดท้ายที่ออกมาจากปากบาง ก่อนที่ดวงตาจะกลับคืนเป็นสีเดิม คยองซูหันไปมองหน้าจุนมยอนและมินซอกด้วยสีหน้ามึนๆงงๆ ก่อนจะยกยิ้มน่าเอ็นดูให้พี่ชายทั้งสองอย่างไร้เดียงสา ทำเอามินซอกถึงกับต้องกุมขมับเลยทีเดียว
“ผมพูดอะไรอีกแล้วหรอ” ดวงตากลมโตจ้องมองพี่ชายทั้งสองด้วยความสงสัย
“จับใจความไม่ได้อีกเหมือนเดิม” มินซอกเหลือบมองอีกคนที่นั่งคิ้วผูกโบว์อยู่ข้างๆคยองซู
“อืม!” จุนมยอนพยักหน้ารับเรียบๆ
เขาเข้าใจพลังที่มีอยู่ในตัวของน้องชายตัวเล็ก ความสามารถในการเห็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบันหรือแม้แต่ในอนาคต ถึงแม้ว่าระหว่างการใช้ความสามารถนั้นเขาจะไม่รู้สึกตัวและพูดไม่ค่อยจะได้ใจความก็ตาม แต่ทุกสิ่งที่คยองซูเห็นไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง แล้วคราวนี้ล่ะ เด็กที่ชื่อจื่อเทาที่พึ่งจะรู้จักกันเมื่อตอนกลางวันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบบังเอิญสุดๆ แล้วอะไรคือเป้าหมาย อะไรคือสิ่งที่ต้องปกป้อง
จื่อเทา... เจ้าเด็กหน้าเหวี่ยงนั้นรึป่าวที่ต้องปกป้อง!
ความสงสัยมากมายวนเวียนตีกันอยู่ในสมองของจุนมยอนอย่างไม่หยุดหย่อน จนเผลอแสดงออกมาทางสีหน้าให้น้องชายตัวเล็กเห็น มือเล็กยกขึ้นจิ้มไปตรงหว่างคิ้วของผู้เป็นพี่เพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียด
“พี่ชายของผมไม่หล่อเลย” ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อระบายยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู จนอีกคนยังอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ด้วยความหมั่นเขี้ยวมินซอกเลยใช้มือขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลของคยองซูเล่นจนหัวยุ่งเหยิงไปหมด
“นายเองต่างหากที่น่ารักเกินไป” จุนมยอนจับแก้มนุ่มๆของร่างเล็กเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พาออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกด้วยดีกว่า” มินซอกเอ่ย คยองซูฉีกยิ้มกว้างก่อนจะกระโดดกอดซาลาเปาก้อนกลมอย่างดีใจ เขากอดตอบน้องชายด้วยความรักแล้วเหลือบมองหน้าจุนมยอนอย่างสื่อความนัย ซึ่งจุนมยอนเองก็รับรู้ เขาจึงพยักหน้ารับ
พรุ่งนี้คือวันที่จะต้องออกไปหาคำตอบของข้อสงสัยที่น้องชายตัวเล็กเป็นคนมอบให้ ซึ่งถ้าจะปล่อยให้คยองซูอยู่คนเดียวนานๆก็คงไม่ดีแน่ๆ เพราะถึงแม้จะเป็นถิ่นของตัวเองก็ไม่น่าไว้ใจ ด้วยความสามารถที่คยองซูมีอยู่จึงตกเป็นเป้าของการแย่งชิงพลังนั้นมา แล้วยิ่งเป็นเด็กที่ร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงอย่างคยองซูยิ่งแล้วใหญ่ เอาไปด้วยจะเป็นการดีที่สุด
.................................................................................
“จื่อเทา ตื่นได้แล้ว นี่มันสิบโมงแล้วนะ!!!”
เสียงพี่ลู่หานดังลอดผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงค็อกประตู ผมลืมตาขึ้นช้าๆอาการง่วงนอนยังไม่หายไปไหน ผมเหลือบมองไปที่ประตู ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆด้วยความงัวเงียแทบจะทรงตัวไม่อยู่ จนสุดท้ายก็เผลอนั่งหลับไปอีกรอบแต่ก็โดนเสียงของพี่ลู่หานกระชากสติสะตังกลับมาก่อน
“จื่อเทา!!!”
“คร้าบ”
“ลงมากินข้าวได้แล้วนะ”
“คร้าบ”
ผมนั่งเกาหัวแกรกๆอยู่บนเตียงด้วยความตื่นไม่เต็มตา ไม่อยากจะบอกเลยว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่าหลับตาทีไรก็เจอแต่หน้าของไอ้หัวทองมันวนไปเวียนมาในหัว แถมภาพตอนที่มันลวนลามผมยังฉายขึ้นมาในหัวหยังกับสามมิติ ความรู้สึกของที่โดนมันกัดคอก็ยังคงแจ่มชัดจนหลับไม่ลงเลยสักนิด
“ปวดหัวเป็นบ้าเลย” ผมพึมพำงึมงำอยู่คนเดียว ก่อนจะลุกจากที่นอนแล้วเดินไปที่หน้ากระจกเพื่อเช็คสภาพของตัวเอง และทันทีที่แหกขี้ตาดู อาการอย่างหนึ่งก็เข้ามาแทนที่ความง่วงทันทีนั่นคือ... สะพรึงO0O!!!
ตกใจแทบจะเผลอต่อยกระจกแตก ขอบตาที่มันดำอยู่แล้วดำหนักเข้าไปอีกเพราะนอนดึก ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ตกใจหน้าตัวเองอย่างแรงครับพี่น้อง นี่มันคนจริงๆหรอเนี่ย นึกว่าผีอีแพงO_O!!!
แต่ความน่าแปลกใจของแท้มันต่อจากนี้ต่างหาก เมื่อสายตาเลื่อยลงไปมองที่คอของตัวเอง
“อะไรวะเนี่ย”
ผ้าก็อตที่เคยพันรอบคอมันหายไปพร้อมกับรอยมีดที่เคยโดนบาด แต่สิ่งที่มาแทนที่มันคือรอยแดงเป็นจ้ำและรอยเขี้ยวเล็กๆที่ซอกคอ ผมจำได้ว่าเมื่อวานมันยังอยู่เลยนี่หว่า อีกอย่างตั้งแต่เมื่อวานผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลยด้วยซ้ำ หรือว่าจะเป็นพี่ลู่หานที่แอบมาแกะออก ก็ไม่น่าใช่เพราะรายนั้นสั่งห้ามไม่ให้แกะจนกว่าแผลจะหาย แล้วใครมันเป็นคนเอาออกล่ะ...
แต่ความสงสัยทุกอย่างก็ต้องถูกยกเอาไว้ทีหลัง เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่น่าสลดยิ่งกว่า
“มันแดงขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” ผมยกมือขึ้นลูบคอของตัวเอง
ไอ้หัวทองมันโรคจิตขนานแท้เลยนะเนี่ย ทั้งที่พึ่งจะเจอหน้ากันแค่สองครั้งแท้ๆ สนิทก็ไม่สนิทกันสักนิด แต่แค้นอะไรก็ไม่เท่าที่มันกัดเอาหรอก ไปอดอยากมาจากที่ไหนรึไงวะ-*-!
“แล้วมันจะทิ้งรอยไว้ให้เตี่ยมันชื่นชมรึไง” ด่าเสร็จก็เดินตึงตังไปคว้าผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สบอารมณ์แบบสุดๆ
ถ้าพี่ลู่หานเห็นต้องโดนสอบสวนแน่ๆ-_-!!!
.................................................................................
หลังจากที่ขึ้นไปปลุกน้องชายขี้เซ่าแล้ว ผมก็ลงมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้บนโต๊ะอาหารก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟานุ่นๆในห้องนั่งเล่นอย่างสบายใจพร้อมกับแก้วชานมแก้วหนึ่งและขนมเค้กอีกชิ้น มือเอื้อมไปหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี แล้วกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆเพราะมันช่างไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด
จนกระทั่งเปลี่ยนไปเจอช่องข่าวช่องหนึ่ง กำลังรายงานเรื่องการตายของชายวัยกลางคนที่ตายเพราะโดนดาบยาวเสียบเข้ากลางหัวใจ ตามตัวมีร่องรอยการโดยทำร้ายจนสาหัส
“คงไม่ใช่หมอนั่นสินะ” ผมพึมพำกับตัวเองอย่างเลื่อยลอย ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดที่อยู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาในสมอง แล้วกดเปลี่ยนช่องไปเป็นช่องเพลง นั่งฟังเบาๆพร้อมกับจิบชานมไปพลาง
วูบ!!!
แต่จู่ๆความรู้สึกน่าขนลุกก็เข้ามาอย่างกะทันหัน บ้านที่อยู่มาเป็นสิบๆปี ที่ๆคิดว่าปลอดภัยที่สุดตอนนี้มันกลับตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ผมเองยังอดแปลกใจไม่ได้ มันทั้ง น่ากลัว น่าขยะแขยง จนอยากจะหนีออกไปให้ไกลๆจากที่นี่
ผมหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงไปทุกอย่าง แต่ทุกสิ่งในบ้านก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติมันเลยทำให้ผมยิ่งลนลานหนักเข้าไปอีก เพราะถ้าเกิดสิ่งที่ผมคิดไม่คิดพลาด วันนี้อาจจะเป็นเส้นตายของผมแล้วก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าจื่อเทาอีกแล้ว
ผมเลยตัดสินใจลุกเดินจะขึ้นไปหาเทาที่ยังอยู่บนห้อง แต่พอเลี้ยวออกจากห้องนั่งเล่นเท่านั้นแหละ ด้วยความรีบร้อนเลยเลี้ยวมาชนกับอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่หน้าห้องเต็มแรงจนแทบจะเซล้ม แต่ก็มีมือของใครสักคนที่น่าจะเป็นจื่อเทาคว้ามือเอาไว้ได้ก่อน ร่างของผมถูกดึงเข้าไปซบอยู่กับอกกว้างอย่างมึนๆงงๆ ผมสะบัดหัวไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“ขอโทษนะเทา พอดีพี่...?” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ผมก็ชะงักนิ่งค้าง ตาเหลือกมองคนตรงหน้าอย่างตกใจ เพราะมันไม่ใช่จื่อเทา ผมรีบผลักอกคนตรงหน้าออกอย่างแรงแล้วถอยห่างออกมายืนอยู่ข้างโซฟาในห้องนั่งเล่น ผมจ้องคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่หน้าประตูด้วยความระแวงแบบสุดๆ
“บ้านนี้เขารับแขกกันแบบนี้หรอ” ดวงตาสีแดงไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ขาก้าวเดินตรงมาหาผมช้าๆ ส่วนผมเองก็ได้แต่ถอยหนีเหมือนลูกกวางที่กำลังโดนพยักร้ายไล่ต้อน
“ฉันไม่ยอมไปกับนายหรอกนะ... เซฮุน!” ผมกัดฟันพูด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลัวจนแทบจะยืนไม่อยู่ คิดไว้แล้วไม่มีผิด ไอ้ความรู้สึกชวนขนลุกแบบนั้นมีแค่เซฮุนคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ผมรู้สึกได้ เพราะไม่มีอะไรอันตรายเท่าคนๆนี้อีกแล้ว
“เหยื่อก็คือเหยื่อไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรจากผู้ล่าทั้งนั้น...” พูดเรียบๆไม่แสดงอารมณ์ แต่ผมกลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่เซฮุนส่งมาทางสายตา ผมสาวเท้าถอยหนีอย่างรวดเร็วจนเผลอดสะดุดขาตัวเองหงายหลัง แต่ยังดีที่มันสุดทางพอดีหลังเลยแค่กระแทกผนังห้อง
“หนีฉันไม่พ้นหรอก ต่อให้นายหนีไปตายที่ไหน ฉันก็จะไปลากนายกลับมา” ผมสะดุ้งเฮือก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเซฮุนก็โผล่มายืนอยู่ในระยะประชิด แถมเอามือกั้นไว้ทั้งซ้ายขวาแล้วค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆจนผมต้องหันหน้าหนี
“ฉันให้เวลานายถึงเที่ยงคืน แต่ตอนนี้...”
ผมหลับตาปรี๋ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่ลมหายใจที่รดลงบนใบหน้ามันทำให้สติผมกระเจิดกระเจิงไปไกล และมันก็แทบจะหยุดหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงลิ้นชื่นๆที่ไล้เลียไปตามลำคออย่างอ่อยอิ่ง เล่นเอาขนลุกเกร็งไปทั้งตัวพยายามจะขัดขืนแต่ร่างกายไม่ยอมขยับเหมือนกับว่าโดนแช่แข็งเอาไว้
“อย่า...” เสียงก็แทบจะโดนกลืนหายเข้าไปในลำคอ ทุกสิ่งโดนคนๆนี้ควบคุมเอาไว้หมด แม้กระทั่งน้ำตาผมยังไม่สามารถห้ามมันเอาไว้ได้
แพ้แล้ว ฉันแพ้นายแล้ว... โอ เซฮุน!
“พี่ลู่หาน ข้าวเช้าของผม...OoO!!!” เสียงจื่อเทาดังขัดขึ้นมา จะว่าดีใจก็ดีใจ แต่ตอนนี้ควรจะเสียใจมากกว่า คนเป็นพี่อย่างผมไม่สมควรจะให้น้อยชายเห็นสภาพแบบนี้ของตัวเองเลยจริงๆ
ผมรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วผลักเซฮุนให้ไปไกลๆด้วยแรงที่ไม่รู้มันกลับมาตอนไหน จื่อเทามองผมด้วยสายตาอึ้งๆมึนๆงงๆ ก่อนจะเดินมาคว้าตัวผมออกมาจากตรงนั้นแล้วดึงมาอยู่ที่หน้าประตูแทน ผมเห็นสายตาที่เทามองเซฮุนมันเย็นชามากจนดูน่ากลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“นายเป็นใคร” เทาจ้องหน้าเซฮุนตาไม่กระพริบ แต่เซฮุนกลับเอาแต่จ้องหน้าผม จนเทาต้องมายื่นขว้างหน้าผมเอาไว้
“ฉันถามว่าแกเป็นใคร!!!”
“เขาเป็นเพื่อนพี่เองน่ะเทา” ถ้าเทาเป็นคนถามชาตินี้เซฮุนก็คงไม่ตอบแน่ๆผมเลยต้องแก้ตัวแทนหมอนั่น เทาหันหน้ามามองผมอย่างงงๆแล้วหันกลับไปจ้องเซฮุนเหมมือนเดิม
“ไม่อยากจะเชื่อ พี่ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลยสักครั้ง”
“ก็พี่ไม่มีโอกาสจะได้เล่านี่น่า” ดูก็รู้ว่าเทาไม่เชื่อแน่ๆผมเลยต้องเปลี่ยนเรื่องแทน
“นาย
ผมเหลือบมองกลับไปยังเซฮุน หมอนั่นดูจะไม่ได้สนใจอะไรเลยที่มีคนเห็นภาพแบบนั้น เขามองผมแว็บหนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาอย่างเรียบเฉย
คิดจะอยู่ที่นี่จนถึงเที่ยงคืนเลยรึไง!
.........................................................
.....................................
.......................
..........
วันนี้มันช่างเป็นวันที่สุดจะบรรยาย ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรสักอย่างแม้แต่กินข้าวก็ยังนั่งเท้าคางเขี่ยข้าวในจานเล่นอย่างไม่คิดจะกินมันเลยสักนิด แค่เรื่องเมื่อวานก็คิดมากจนสมองจะระเบิดตายอยู่แล้ว แถมวันนี้ยังมีไอ้บ้านั่นโผล่มาทำยุ่มย่ามกับพี่ลู่หานสุดที่รักอีก ถึงจะบอกว่าเพื่อนก็เถอะ แต่ดูยังไงๆก็ไม่น่าใช่เลย
“พี่ลู่หาน”
“............” เงียบ
“พี่ลู่หาน”
“............” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลยที่ตรูเรียก-_-!
“พี่ลู่หานโว้ย!!!!” ผมแหกปากลั่นอย่างขัดใจที่เรียกเท่าไรก็ไม่ได้ยินสักที พี่ลู่หานสะดุ้งเฮือกเด้งตัวขึ้นมาเก้าอี้พุ่งพรวดมาหาผมด้วยความเร็วแสง
“เป็นอะไรรึป่าว ใครทำอะไร!!!!” พี่ลู่หานจับหน้าผมหันซ้ายหันขาวอย่างแรงจนหัวแทบจะหลุดติดมือไปด้วย ผมจับมือพี่ชายตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะจ้องหน้าตาลนลานนั่นอย่างเหนื่อยใจ
“ผมแค่จะบอกว่าผมอิ่มแล้ว อยากออกไปเที่ยวข้างนอกเท่านั้นเอง”
“อ้าวหรอ” เป็นอะไรมากรึป่าววะเนี่ยพี่ตู ตั้งแต่ไอ้หมอนั่นมันเสนอหน้าเข้ามาพี่ลู่หานก็เอาแต่นั่งตาลอยตลอดเลย สองคนนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบกลแน่ๆ รู้สึกใจค่อยจะดีเลยแหะ!
ผมจัดการเดินเอาจานข้าวไปโยนทิ้งไว้ในอ่างล้างจานแล้วเดินกลับมาหาพี่ลู่หานที่ยังคงยืนหน้าเอ๋ออยู่ที่โต๊ะกินข้าว ผมเลยคว้ามือพี่ลู่หานออกมาทันทีก่อนจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งไอ้คนแปลกหน้ามันก็ยังนั่งทำหน้าไม่รับรู้อะไรอยู่บนโซฟาตัวเดิม
คิดว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเองรึไงวะ-*-
“นี่นาย!!!!” ผมตะโกนเรียกจากหน้าประตู มันหันหน้ามาอย่างไร้อารมณ์ แต่ทำไมไม่รู้ผมรู้สึกว่าไอ้หน้าอ่อนๆของมันกวนประสาทยังไงชอบกล
“ฉันจะออกไปข้างนอก นายกลับบ้านไปได้แล้ว”
“งั้นหรอ!” ตอบสั้นๆง่ายๆแล้วลุกเดินออกมา
“ว่าง่ายเหมือนกันนี่หว่า” ผมพูดขณะที่มันกำลังจะเดินผ่านหน้า
“ใครว่า... ฉันจะไปด้วยต่างหาก” แล้วมันก็คว้าตัวพี่ลู่หานไปจากมือของผมได้หน้าตาเฉย ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นมาเป็นครั้งแรกซึ่งมันโคตรจะจงใจกวนบาทาอย่างเห็นได้ชัด ผมถลึงตามองหน้ามันอย่างไม่พอใจ แล้วก็ดึงมือพี่ลู่หานกลับมาหาผมแต่มันไม่ยอมปล่อยตัวของพี่ลู่หานแถมกอดเอาไว้ซะแน่น ดูเผินๆเหมือนเด็กสองคนกำลังแย่งตุ๊กตากัน แต่ก็คงเป็นแบบมีชีวิต และที่สำคัญ... นั่นมันพี่ของตรูนะเฟร้ย!!!!!
“ปล่อยเลยนะเว้ย!” ผมกดเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด
“แล้วถ้าไม่ปล่อยล่ะ”
ราวกับรู้ล่วงหน้าว่ามันจะกวนประสาท พอมันพูดจบผมเลยง้างมือซัดหน้ามันแบบเต็มแรง แต่ก็ต้องชะงักค้างกลางอากาศเมื่อจู่ๆพี่ลู่หานก็เข้ามารับแทนมัน ผมนิ่ง ตะลึง ไอ้หมอนี่มันสำคัญขนาดต้องเอาตัวรับแทนเลยงั้นหรอ
“อย่านะ!”
“พี่บ้าไปแล้วหรอ ถ้าผมหยุดไม่ทันจะทำยังไง!!!”
“นายนั่นแหละบ้าไปแล้วหรอ แค่พูดเล่นนิดเดียวเองนะ”
“เล่นหรอ! หน้าตามันไม่ได้เล่นเลยนะพี่”
“นายก็หัดอดทนหน่อยไม่เป็นรึไง”
“ผมก็แค่ไม่อยากให้ใครมาแย่งพี่ไปจากผมก็เท่านั้นเอง!!!”
ผมตวาดใส่หน้าพี่ลู่หานอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเหลือบมองไปไอ้บุคคลที่มันยืนหน้าตายอยู่ข้างหลังพี่ลู่หาน แล้วเดินตึงตังออกมาจากตรงนั้นทันที ตรงไปกระแทกประตูบ้านออกมาอย่างแรงโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพี่ลู่หานที่ดังไล่หลังมาเลยสักนิด
ผมไม่เคยรู้สึกอยากจะฆ่าใครมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ มันทั้งแค้น ทั้งหงุดหงิด ทั้งน้อยใจที่พี่ลู่หานเข้ามันแทนที่จะเป็นผม คนที่พี่ลู่หานปกป้องมีแค่ผมคนเดียวก็พอแล้ว ทั้งที่มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียว
เกลียดมัน เกลียดมันที่สุด!!!
...........................................................................................
ดวงตากลมโตเหลือบมองซ้ายทีขวาทีอย่างตื่นเต้นในขณะที่ขาเดินไปข้างหน้า โดยมีผมและอีกคนที่เดินตามมาข้างหลัง ร่างกายเล็กๆของเขาบอกได้เลยว่ามันค่อนข้างลำบากที่จะไม่ให้เดินหลงกันเพราะตอนนี้คนเยอะมาก ผมเลยต้องคอยเดินอยู่ใกล้ๆปล่อยให้มินซอกเดินอยู่ข้างหลังคนเดียวเพราะต้องใช้สมาธิค้นหาบางอย่าง
“คยองซู!” พูดยังไม่ทันขาดคำก็เอาอีกแล้ว นึกจะเดินไปไหนก็ไปไม่คิดจะปรึกษากันเลยสักนิด ผมเลยต้องวิ่งไปคว้าตัวเอาไว้ก่อนจะเดินหายไปในฝูงชน
“อะไรหรอ!” ยังมีหน้ามาทำตาโตอีก-_-!
“อย่าเดินเร็วนักสิ เดี๋ยวก็หลงจนได้หรอก”
“ครับ^_^” ฉีกยิ้มหวานได้น่ารักมากเลยน้องชายของผม ภูมิใจจริงๆ
ผมเดินดูนู่นดูนี่ต่อโดยมีคยองซูที่เดินอยู่ข้างๆ และตลอดทางก็มีแต่พวกสาวๆมองมาที่ผมกับคยองซู ซึ่งส่วนใหญ่จะมองคนข้างๆผมมากกว่าเพราะน้องชายผมออกจะน่ารักขนาดนี้ แถมยังมีบางคนหมั่นเขี้ยวถึงขนาดเดินมาหยิกแก้มขาวๆของคยองซูเลยทีเดียว แล้วยิ่งชอบทำตาโตเวลาตกใจก็ยิ่งเป็นที่ชอบอกชอบใจของสาวๆกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายก็ต้องวิ่งมาหลบหลังผมเพระความไม่คุ้นชิน
“คุณลูกน่ารักจังเลยนะคะ ท่าทางคุณแม่ต้องสวยหน้าดูเลย” เอ่อ... ไม่ทราบว่าเจ๊เอาเล็บขบมองรึไงถึงเห็นคยองซูเป็นลูกเนี่ย หน้าตาตรูมันแก่ขนาดนั้นเลยหรอ-_-!!!
“ครับ^^” ยิ้มแห้งๆแล้วรีบลากคยองซูออกมาจากตรงนั้นทันที ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้ได้กลายเป็นปู่แน่เรา
“เปาจึ!!!” เดินไปนานๆพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมมินซอก แต่พอหันกลับไปอีกทีหมอนั่นก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ งานเข้าแล้วไงมัวแต่ห่วงคยองซูดันกลายเป็นมินซอกซะงั้นที่หลง เลด้าหาของหายแบบนี้ก็จบอ่ะดิ จะใช้พลังของคยองซูก็ไม่ได้ด้วย โทรศัพท์ก็ไม่มี จะเอาไงดีล่ะทีนี้
“คยองซู! พี่ว่าเรา....”
“O0O!!!” หายอีกแล้ว หายไปอีกคนแล้ว ไวเหมือนลิงเลยเจ้าพวกนี้ ละสายตาเป็นไม่ได้ แล้วยิ่งตัวเล็กๆแบบนั้นมันก็จมหายเข้าไปในฝูงชนเลยอ่ะดิ จะหาก็งานหนักเลยทีนี้ เวรกรรมจริงๆT0T!!!
แต่จะมามัวควนครางก็ไม่ทำให้สองคนนั้นเดินกลับมาหรอก ผมเลยเดินแวกหาในกลุ่มคนมากมายไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ตอนนี้ต้องหาคยองซูก่อนเพราะรายนั้นน่าเป็นห่วงสุด ส่วนมินซอกเอาไว้ทีหลังอย่างหมอนั่นก็คงหนีไปไหนได้ไม่ไกลหรอกนอกจากร้านขายของกิน แถมอีกอย่างยังเคยมาเดินเล่นที่นี่ตั้งหลายรอบแล้วก็คงหาทางกลับเองได้ ซึ่งมันตรงข้ามกับคยองซูทั้งหมด
“หายไปไหนกันหมด!” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะเดินหมดอาลัยตายอยากไปเรื่อยๆ ชักจะเริ่มขี้เกียจขึ้นมาแล้วนะเนี่ย ไปหากาแฟเย็นๆกินดีกว่า
ผลัก!!! ตุบ!!!
ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนก็มีใครไม่รู้เดินมาชนเต็มๆแต่ดีที่ตั้งหลักได้เลยไม่ล้ม ส่วนคนที่เดินมาชนกลับล้มกลิ้งลงไปนอนอยู่ที่พื้นซะงั้น
“เป็นอะไรรึป่าว” ผมช่วยพยุงเขาขึ้นอย่างไม่คิดติดใจอะไรเรื่องที่เดินมาชน แล้วก้มลงไปเก็บของที่หล่นเกลื่อนพื้นใส่กระเป๋าของเขาก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นนามบัตรที่ตกอยู่ข้างๆกระเป๋าพอดี
“ขอโทษครับ! พอดีไม่ทันได้มอง” เขารับกระเป๋าจากผมไปแล้วโค้งให้เพื่อเป็นการขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ!” ผมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เขาเองก็ยิ้มตอบทำให้เกิดรอยบุ๋มตรงข้างแก้มขาว ผมบอกได้ตามตรงเลยว่านอกจากคยองซูกับมินซอกแล้วก็อีกสองคนที่เจอเมื่อวานชื่อลู่หานกับจื่อเทา ผมก็ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนน่ารักเท่านี้แล้ว มันดูดีเอามากๆเลยเวลาคนๆนี้ยิ้ม
“ชื่ออี้ชิงใช่มั้ย พอดีเห็นในนามบัตรน่ะ” เขาพยักหน้ารับปากก็ยังไม่หุบยิ้ม
“ฉันชื่อจุนมยอน ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมยื่นมือไปข้างหน้า อี้ชิงมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะจับแล้วเข่ยาๆ
“ฉันคงไม่ต้องแนะนำตัวแล้วเนอะ” เจ้าตัวพูดขำๆ ผมเลยพยักหน้าให้ คนอะไรก็ไม่รู้ยิ้มเก่งชะมัด
“ไหนๆก็รู้จักกันแล้ว ฉันขอเดินด้วยคนได้มั้ย” ถึงกับทำหน้างงเลยทีเดียว นี่ผมหน้าด้านไปป่าวหว่า แต่ผมเดินคนเดียวมันเหงาแปลกๆจริงๆนะ ปกติมีมินซอกคอยเดินเป็นเพื่อนเลยไม่เหงาเท่าไร แต่พอไม่มีแล้วโลกทั้งใบมันเงียบลงไปทันตาเห็นเลย
“ได้ๆฉันกำลังหาเพื่อนพอดี” นางฟ้ามาโปรดจริงๆ หน้าตาก็ดีแถมน้ำใจงามอีกต่างหาก
ผมกับอี้ชิงเดินคุยกันไปตามทาง ตลอดการสนทนาผมแทบจะไม่ละสายตาไปจากใบหน้าขาวที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มนั่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผมชอบที่จะเห็นคนอื่นยิ้ม รอยยิ้มสดใสกับลักยิ้มข้างแก้มมันช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหล
แต่ถึงมันจะดูดียังไงผมก็ไม่ไว้ใจหรอก ทำไมน่ะหรอ... ก็เพราะไอ้กลิ่นไออ่อนๆของปีศาจที่มันไหลเวียนอยู่รอบตัวของคนๆนี้น่ะสิ ถึงมันจะเล็กน้อยจนแทบสัมผัสไม่ได้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่รอดพ้นขอบเขตการตรวจจับของผมไปได้หรอก เหตุนี้แหละที่ผมขอตามมาด้วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัวเลยแหะว่าผมเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าพันธุ์ตัวเอง
“นายเป็นหมอใช่มั้ย” หลังจากฟังอีกฝ่ายคุยอย่างออกรสออกชาติมานาน ผมก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง
“อ่าใช่! ทำไมหรอ”
“ป่าวๆ ก็แค่อยากรู้ว่าทำไมนายถึงเป็นหมอเท่านั้นเอง เป็นหมอมันต้องช่วยคนไม่ใช่หรอ” นี่ผมถามแปลกไปรึป่าวเนี่ย-_-
“ก็ใช่ไง! เป็นหมอก็ต้องช่วยคนสิ จะให้ฆ่าคนรึไง” อี้ชิงพูดติดตลก แต่ผมไม่ตลก
หมอนี่เป็นปีศาจแน่หรอ ปีศาจที่ไหนจะช่วยคน พวกมันเอาแต่ฆ่าคนไม่ใช่หรอ หรือว่าสัมผัสของผมมันเพี้ยนไปแล้วละเนี่ย ถึงได้เห็นคนเป็นปีศาจ!
“นายเป็นอะไรรึป่าว” อี้ชิงก้มดูหน้าผม รอยยิ้มที่เคยมีมันหายไปแล้ว แววตาของเขาแสดงออกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีแววว่าจะเป็นปีศาจได้เลยสักนิด มันอะไรกันเนี่ย สัมผัสผิดพลาดงั้นหรอ เป็นไปได้ไง หรือว่าจะแค่หลอกให้ตายใจแล้วค่อยฆ่าทิ้ง
“ไม่สบายหรอ” อี้ชิงยกมือขึ้นทาบหน้าผากของผมตามสันชาตญาณของคนเป็นหมอ ด้วยความสับสนผมเลยปัดมือของเขาออกอย่างแรง
“ขอโทษ!” เสียงอีกฝ่ายพูดอย่างแผ่วเบา
“ไม่หรอก! ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”
“.................”
“ยิ้มสิยิ้ม^0^!!!” ผมถือวิสาสะขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่มันก็ทำให้อี้ชิงกลับมายิ้มได้เหมือนเดิมแล้ว เขาปัดมือของผมออกจากหัวตัวเอง แล้วทำแก้มป่องเหมือนเด็กๆเวลางอนแล้วเดินอมยิ้มหนีไปทันที
นายเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้ฉันสับสนได้ถึงขนาดนี้... จาง อี้ชิง!!!
ความคิดเห็น