คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : :Half-Breed: 9
ขาเรียวยาวของเด็กหนุ่มร่างสูงกึ่งวิ่งกึ่งเดินท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมา ในใจรู้สึกกลัวอะไรบางอย่างจนต้องรีบสาวเท้าเดินให้เร็วขึ้นจนลืมไปเลยว่าตัวเองเกลียดฝนยิ่งกว่าอะไรดี ในหัวมันขาวโพลนคิดอย่างเดียวแค่ว่าจะต้องกลับบ้านให้เร็วที่สุด อยากจะเจอหน้าหวานๆของพี่ชายเพียงคนเดียวที่ยืนรออยู่บ้านจนใจจะขาด
เด็กหนุ่มเดินมาถึงป้ายพร้อมๆกับที่รถประจำทางเที่ยวแรกของวันเลี้ยวเข้ามาจอดพอดี เขาพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนที่รถจะบึ่งออกไปทันทีเพราะทั้งป้ายมีอยู่คนเดียว
“เต่าไล่งับยางแตกแล้วลุง!!!” เด็กหนุ่มตะโกน ชายวัยกลางคนที่เป็นคนขับมองเขาด้วยหางตาอย่างไม่พอใจผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะเหยียบคันเร่งขึ้นไปอีกเพื่อสนองความต้องการของเด็กหนุ่มใจร้อนคนนี้
รถวิ่งมาได้ประมาณสิบห้านาทีก็ถึงป้ายหน้าปากซอยทางเข้าหมู่บ้านจัดสรร เด็กหนุ่มล้วงเอาคีย์การ์ดในกระเป๋ามารูดที่เครื่องคิดเงินแทนเงินสด ประตูเปิดออกเมื่อได้อ่านโค้ดที่อยู่ในบัตร เด็กหนุ่มไม่รอช้ากระโดดออกไปทันทีแล้ววิ่งตรงไปยังบ้านของตัวเองทันที
ปัง!!!
ประตูบ้านแทบจะหลุดออกจากวงกบเมื่อฝ่าเท้างามๆของเด็กหนุ่มร่างสูงกระแทกเข้าให้จนมันเปิดอ้าออก เด็กหนุ่มไม่สนใจจะปิดมันเลยด้วยซ้ำถอดรองเท้าได้ก็เดินตึงตังเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว
“พี่ลู่หาน!” สายตากวาดไปทั่วห้องครัวที่ว่างเปล่าอย่างร้อนใจ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกซ้ายที่เต้นระรัว เวลาประมาณนี้พี่ลู่หานก็น่าจะยืนทำกับข้าวอยู่ในครัวแล้วไม่ใช่หรอ?
เด็กหนุ่มขยี้กลุ่มผมที่เปียกชุ่มอย่างหงุดหงิดแล้ววิ่งออกจากครัวไปที่ห้องนั่งเล่น แต่ก็พบกับความว่างเปล่าอีกเช่นเคย เขาค้นหาทุกซอกทุกมุมของบ้านแต่ไม่ว่าจะที่ไหนๆก็ไม่มีบุคคลที่หาเลยสักนิด จะโทรหาก็โทรไม่ได้เพราะหน้าจอทัชสกรีนมันแตกไปแล้ว แถมอีกอย่างตอนที่เข้าไปในห้องของพี่ชายก็เจอโทรศัพท์ของเจ้าตัววางอยู่บนเตียง ไม่ว่าคิดทางไหนก็ไม่สามารถระบุได้เลยมาคนๆนั้นอยู่ที่ไหน
เด็กหนุ่มเดินมาทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ในใจภาวนาให้พี่ชายแค่ออกไปข้างนอกและคงจะกลับมาในอีกไม่นาน แต่ไอ้ความกังวลที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี่มันคืออะไร ทั้งที่พี่ชายก็ออกไปข้างนอกบ่อยจะตาย แต่ทำไมไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อนเลยล่ะ กลัวมาก กลัวว่าพี่ชายจะไม่ได้กลับมาอีก!
ความคิดฟุ้งซ่านมากมายปะดังปะเดเข้ามาในสมองจนมันปวดตุบๆไปหมด เด็กหนุ่มหลับตาลงนวดขึงขมับทั้งสองข้างเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด ก่อนจะค่อยๆเคลิ้มหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
...............................
.......................
................
..........
.....
“เทา!”
ใครกัน!
“เทา!”
พี่ลู่หานกลับมาแล้วหรอ!
“เทา!”
“พี่ลู่หาน!!!”
“เฮ้ย! ลืมตาสิโว้ย!!!”
ร่างของผมถูกใครบางคนผลักออกอย่างแรงเพราะดันเผลอลุกพรวดขึ้นไปกอดอย่างรวดเร็วจนโดนถีบออกมา ผมสะลืมสะลือลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นหน้าแบคฮยอนนั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บนโซฟาส่วนผมก็ลงมานอนกองอยู่ข้างล่าง ว่าแต่มันมาอยู่นี่ได้ไงวะ นึกว่านอนขึ้นอืดอยู่ที่บ้านซะอีก = =
“เฮ้ย! นี่กี่โมงแล้วเนี่ย!!!” ผมลุกพรวดขึ้นจากพื้นเดินรอบห้องหานาฬิกา
“จะเที่ยงอยู่แล้ว” แบคฮยอนตอบหน้าตาย
“ห๊ะ! แล้วพี่ลู่หานกลับมารึยัง”
“ฉันก็จะถามแกอยู่เหมือนกันว่าพี่ลู่หานไปไหน!”
ผมหน้าถอดสีขาอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น ไม่จริงน่า สิ่งที่ผมคิดมันดันเป็นจริงงั้นหรอ พี่ลู่หานไปไหน ทำไมไม่บอกผมเลยสักคำ แล้วพี่จะกลับมาเมื่อไร พี่จะต้องบอกเทาทุกครั้งไม่ใช่หรอ แต่ทำไมคราวนี้ถึงหายเงียบไปเฉยๆ
“โอเคมั้ย!” แบคฮยอนลงมาดูผม มืออุ่นๆของเพื่อนสนิทแตะลงที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา ก็คงจะมีแต่เจ้านี้ล่ะมั้งที่คอยดูแลผมเวลาที่พี่ลู่หานไม่อยู่
“พี่ลู่หาน!” ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะร้องไห้ขึ้นมา เพราะมือของแบคฮยอนงั้นหรอ มือที่อบอุ่นเหมือนกับมือของพี่ลู่หานที่คอยแตะหน้าผากเวลาไม่สบาย มือที่คอยจับมือของผมมาตลอดยี่สิบปี มือที่ไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีวันปล่อยผมให้อยู่คนเดียว แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างผมกับเป็นแบคฮยอน
“แกเป็นอะไรเนี่ย!” ผมดึงตัวเพื่อนสนิทเข้ามากอดแล้วซุกหน้าลงกับไหล่เล็กๆของมัน พยายามกั้นไม่ให้น้ำตาหยดเล็กๆไหลรินออกมาจากดวงตา
“ไม่เป็นไรนะ!” แบคฮยอนกอดผมตอบ ความอบอุ่นจากร่างกายของมันทำให้ผมห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เสียงสะอื้นเล็กๆรอดออกมาและแบคฮยอนคงจะได้ยิน มือข้างหนึ่งจึงยกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆเพื่อปลอบใจ
แบคฮยอนปล่อยให้ผมระบายความอึดอัดโดยไม่ปริปากพูดอะไร ทำเพียงแค่กอดผมเอาไว้ไม่ปล่อย จนกระทั่งน้ำตาหยดสุดท้ายไหลออกไป ผมเงยหน้าขึ้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตาคงแดงก่ำเลยแน่ๆ แบคฮยอนปล่อยตัวผมก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้ม
“จะร้องทำไมเนี่ย ดูหน้าตัวเองสิ ยิ่งกว่าซอมบี้อีกรู้มั้ย!” พูดจบก็ยิ้ม
“รักแกจัง!” ผมคว้าตัวมันเข้ามากอดอีกรอบ แต่คราวนี้โดนมันผลักออกซะงั้น
“พอเลย ฉันขนลุก!”
“ขนลุกหรอ งั้นต้องเจอนี้!!!” ผมคว้าหน้าของมันเข้ามาแล้วหอมแก้มขาวๆของมันเข้าฟอดใหญ่อย่างหมั่นเคี้ยว ก่อนจะโดนมันยันอีกรอบ คราวนี้เต็มหน้าอกเอาซะหงายเงิบเลย
“เดี๋ยวโบก!!!”
“ไม่ทันแล้วมั้ง แกถีบฉันซะกระเด็นเลย =_=”
ก็คงจะมีแค่หมอนี้แหละนะนอกจากพี่ลู่หาน ที่ทำให้ผมกลับมาอารมณ์คงที่ได้เหมือนเดิม แต่ยังไงซะคนที่อยากจะเจอที่สุดตอนนี้ก็คือพี่ลู่หาน ถ้าแค่ออกไปซื้อของก็น่าจะกลับมาได้แล้วนี่น่า จะทำไงดีล่ะ
ติ๊งต่อง!!!
เสียงกริ่งที่รั้วบ้านดังขึ้น ผมกับแบคฮยอนมองหน้ากัน โดยไม่รอให้ใครพูดอะไรผมพุ่งตัวออกจากห้องนั่งเล่นไปยังรั้วบ้านทันที เพราะหวังว่าจะเป็นพี่ลู่หาน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถสปอร์ตสีดำสนิทคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ผิดหวังน้อยๆ ก่อนจะหันซ้ายแลขวาหาเจ้าของรถและคนที่กดกริ่ง
“ใครวะ!” ผมพึมพำเบาๆ ไอ้รถคันนี้มันก็คุ้นๆอยู่นะ
“ไง!” และในวินาทีที่ผมกำลังจะหันหลังกลับ เสียงทุ้มๆของใครบางคนก็ดังขึ้น
“O_O!!!” ผมนิ่งค้าง เมื่อเห็นใบหน้าขาวที่ในชีวิตนี้โคตรไม่อยากจะเจอที่สุดในสามโลกยืนอยู่ข้างรถ
ผมสะบัดหน้าจะเดินหนีเข้าบ้านแต่ถูกมือของบางคนดึงแขนเอาไว้แล้วดึงกลับไปด้านหลัง ในจังหวะที่กำลังจะหันหน้ามองเท้าของผมมันดันไปเหยียบเอาก้อนกรวดสีขาวที่ไม่ควรจะอยู่ตรงทางเดินลื่นหงายหลังลงไปในอ้อมแขนของคนที่ดึงเมื่อสักครู่
“ซุ่มซ่ามจังนะ!” ผมผลักอกของไอ้หัวทองที่ไม่รู้มันเข้ามาตอนไหนออก แต่มือที่จับแขนผมอยู่ก็ยังไม่ยอมปล่อย สายตาของหมอนั่นมองไล่ตั้งแต่หัวแล้วไปหยุดอยู่ที่ลำคอของผม
“ต้องการอะไร!” ผมดึงคอเสื้อเชิ้ตมาปิดรอยแดงเป็นจ้ำเอาไว้ มันแสยะยิ้มมุมปากอย่างน่าขนลุกก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกระซิบที่ข้างหู
“ถ้าบอกแล้วจะได้มั้ยล่ะ!” หมอนั่นกระซิบก่อนจะกัดเบาๆที่ใบหูของผม ด้วยความตกใจผมเผลอตวัดมือฟาดเข้าที่ใบหน้าของหมอนั่นเต็มแรงจนหน้าหัน ผมไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มือมันไปเองง่ะ
ดวงตาคมกริบตวัดมองอย่างเย็นชาจนผมรู้สึกได้ ไอเย็นยะเยือกลามออกมาจากมือที่จับแขนผมอยู่ไล่ไปทั้งตัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคนตรงหน้าผมมันค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีแดงสด ผมอึ้งจนเบิกตาค้างอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายมันเหมือนจะขยับไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน มือที่จับแขนอยู่เพิ่มแรงบีบขึ้นๆเรื่อยจนมันปวดตุบๆเหมือนกระดูกจะแหลกคามือ
“นาย... เป็นใคร!” ผมถามเสียงสั่น
“ฉันจำได้ว่าบอกนายไปแล้วไม่ใช่หรอ... อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว!” ผมถูกดึงเข้าหาตัวคนตรงหน้าอีกครั้ง พยายามจะรั้งร่างกายตัวเองเอาไว้ก็สู้แรงไม่ได้
“ฉันรู้ว่านายชื่อคริส แต่สิ่งที่ฉันอยากจะรู้คือนายมายุ่งกับฉันทำไม!!!” ผมตะโกนลั่น งัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาก่อนจะสะบัดแขนสุดแรงเกิด ทำให้ผมหลุดออกมาจากเงื้อมือของคนๆนี้ได้ แต่ก็แถมรอยแดงติดแขนกลับมาด้วย
“จะให้พูดตรงๆเลยมั้ยล่ะ!” นายนั่นเดินเข้ามา ผมก็ได้แต่เดินถอยหลังไปเรื่อยๆ
“มีอะไรก็พูดออกมาเลย ถ้าฉันให้ได้ฉันก็จะให้!” มันกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
“สิ่งที่ฉันต้องการ คือ...”
“ใครมาหรอเทา!!!” แบคฮยอนเปิดประตูออกมาอย่างกะทันหัน หมอนั่นชะงักมองไอ้คุณเพื่อนของผมเขม็ง ผมเลยเดินมายืนบังมันเอาไว้
“นั่นมันคนที่ช่วยแกไว้เมื่อคราวก่อนนี่!” แบคฮยอนกระซิบ ผมหันกลับไปมองหน้าหมอนั่นก็พบว่าดวงตากลับมาเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนเดิมแล้ว ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ผมมารบกวนรึป่าวครับ!” เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว
“รบ...”
“ไม่รบกวนหรอกครับ!” ไอ้คุณเพื่อนผู้น่ารักมันตัดหน้าผม แถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกต่างหาก
ด้วยความไม่พอใจผมเดินกระแทกเท้าตึงตังเข้ามาในบ้านอย่างไม่สนใจใคร โดยมีเสียงแบคฮยอนดังไล่หลังมา
ผมเดินขึ้นมาบนห้องของตัวเองแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง วันนี้มีเรื่องมากมายให้คิดจนสมองจะระเบิด ทั้งเรื่องที่พี่ลู่หานหายไป แล้วก็เรื่องของอีตาคนที่ชื่อคริสนั่นอีก มันจะอะไรหนักหนาวะชีวิตนี้ คิดแล้วเครียด ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปคว้าผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปแบบเงียบๆ
30 นาทีผ่านไป
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความสดชื่น เสียงที่ชั้นล่างเงียบกริบ สงสัยนายคริสอะไรนั่นจะกลับไปแล้ว ส่วนเจ้าแบคฮยอนก็คงจะหาอะไรกินอยู่ข้างล่างหรือดีไม่ดีก็กลับบ้านไปแล้วอีกคน ผมเดินมานั่งที่หน้ากระจก มองไดร์ฟเป่าผมที่พี่ลู่หานเคยใช้เป่าให้เป็นประจำอย่างเศร้าๆ ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะบรรยากาศรอบตัวเริ่มกลับมาดราม่าอีกครั้ง
และในขณะที่ผมกำลังสลดกับชีวิต ก็มีใครบางคนใช้ผ้าที่คุมหัวผมอยู่ขยี้เบาๆไปตามศีรษะ ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูหรอกเพราะยังไงมันก็เป็นแบคฮยอนอยู่แล้วแหละ และด้วยความขี้เกียจบวกกับความเพลินที่มีคนมาเล่นหัวผมเลยฟุบหน้าอยู่อย่างนั้นจนเกือบจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ
“ขอบใจแบคฮยอน!” ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่สะท้อนในกระจกทำเอาผมแทบจะตกเก้าอี้เมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมไม่ใช่แบคฮยอนอย่างที่ผมคิด ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ถอยกรูจนติดข้างฝา
“ชอบให้คนอื่นเอาใจสินะ!” รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจถูกส่งมาให้ผมอีกครั้ง
“แบคฮยอนไปไหน!”
“กลับไปแล้ว!”
“ว่าไงนะ! ไม่จริง ฉันไม่เชื่อหรอก นายทำอะไรแบคฮยอน”
“ไม่เชื่อก็ตามใจสิ!” พูดจบก็เดินไปนั่งลงบนเตียงหน้าตาเฉย ไม่สนใจเจ้าของห้องที่ยืนหลบมุมอยู่สักนิด
“เข้าเรื่องของเราต่อดีกว่า!” มันมองหน้าผม
“ฉันไม่อยากฟัง!” ผมโยนผ้าขนหนูทิ้งไว้บนพื้นก่อนจะเดินหนีไปที่ประตูห้อง กำลังจะเปิดออกไป มือใหญ่ๆของนายคริสก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมืออย่างรวดเร็วก่อนจับเหวี่ยงไปลงบนเตียงพอดิบพอดี
“เด็กดื้อ! ไม่ยอมฟังที่ผู้ใหญ่พูดเลยนะ” หมอนั่นล็อคแขนผมพร้อมกับคร่อมเอาไว้ ผมพยายามดิ้นเท่าที่แรงจะมีแต่ก็สู้แรงของอีกคนไม่ได้สักที
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่ปล่อยจะทำไม!” ผมจ้องเขม็งอย่างแค้นเคืองแต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ได้แต่เจ็บใจอยู่เงียบๆ
“สายเลือดพิเศษ!” อยู่ดีๆหมอนั่นก็พูดขึ้นมา ผมเลิกคิ้วมองหน้า
“ฉันตามหาแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่ไอ้บทจะเจอก็เจอง่ายๆแบบนี้เลยหรอ ตลกชะมัด!”
“พูดอะไรของนาย”
“ฉันรู้ว่าพี่ชายนายอยู่ที่ไหน!”
“ว่าไงนะ!”
“ฟังไม่ผิดหรอก! อยากรู้มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้” เอาล่ะไง ไอ้ผมมันเป็นพวกถูกกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ซะด้วยสิ แล้วยิ่งเป็นเรื่องของพี่ลู่หานผมคงจะไม่อยากรู้ไม่ได้
“พูดมาให้หมด!”
“งั้นหรอ! ฉันจะถือว่านายตกลงแล้วนะ ห้ามโกหกเด็ดขาด!”
“เดี๋ยวสิ! ตกลงอะไร” กรรมแล้วไง นี่ผมโดนหลอกให้ทำอะไรอีกแล้วล่ะคราวนี้
หัวใจแทบจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อใบหน้าของหมอนั่นโน้มลงมาเรื่อยๆ ผมหันหน้าหนีสุดชีวิต ริมฝีปากของหมอนั่นแตะโดนแก้มของผมอย่างแผ่วเบา ผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจและตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อริมฝีปากของหมอนี่ค่อยๆไล้ไปตามแก้มก่อนจะกดจูบแล้วคลอเคลียขึ้นไปที่ใบหู ทำเอาผมขนลุกซู่เลยที่เดียว
“จะทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยฉันนะ!!!” ผมตะโกนสุดเสียง พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการที่ดูยังไงก็ไม่มีทางหนีพ้น หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของผมถูกมือใหญ่จับให้หันมาเผชิญหน้า นัยน์ตาสีแดงฉานจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของผมราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังสังหารเหยื่อ ใบหน้าที่เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยายค่อยๆโน้มลงมาเรื่อยๆ
ปัง!!!!
เสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากของผมเกือบจะถูกประกบ ประตูห้องก็ถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงด้วยฝีมือของใครบางคน นายคริสกระโดดออกจากร่างของผมอย่างรวดเร็วก่อนที่ก้อนน้ำขนาดใหญ่จะพุ่งตรงเข้าใส่หมอนั่นอย่างไร้ที่มา ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อนายคริสเพียงแค่ตวัดมือเบาๆไปในอากาศ เปลวไฟก็จุดขึ้นมาแผดเผาก้อนน้ำจนเหลือแค่ละอองเล็กๆ
“เป็นอะไรมั้ย!” ร่างของผมถูกฉุดขึ้นจากเตียงด้วยแขนขาวๆของบางคน
“นาย...!” ไม่จริงน่า นายโอโม่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
“สะเออะจริงๆนะแก!” ผมยังไม่ทันได้ถามอะไรนายโอโม่เสียงของนายคริสก็ดังแทรกขึ้นมา ไอความร้อนจากเปลวไฟเมื่อสักครู่ถูกพัดมาปะทะเข้ากับใบหน้าของผมจนต้องยกมือป้องเอาไว้
“ฉันจะไม่สะเออะเลยถ้าคนๆนั้นไม่ใช่จื่อเทา!” พูดจบก็คว้ามือผมที่นั่งเอ๋ออยู่กับพื้นห้องฉุดให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้องมาด้วยความรวดเร็ว ผมหันหน้าไปข้างหลังก็เห็นนายคริสเดินออกมาหน้าห้อง นัยน์ตาแดงฉานมองผมด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกจนเสียวสันหลังวูบ
ผมถูกนายโอโม่ลากออกมาจากบ้านโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรเลยสักอย่างเดียว!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ผมฉุดมือนายโอโม่ให้หยุดวิ่ง หมอนั่นหันหน้ามามองผมด้วยแววตาที่จริงจัง ก่อนจะแบนสายตาไปข้างหลังของผมแทน
“ไว้อธิบายตอนรอดไปได้ก็แล้วกัน!!!”
ร่างของผมถูกผลักไปด้านหลังนายโอโม่อย่างแรงด้วยฝีมือของเจ้าตัวจนเกือบจะหน้าทิ่มพื้น แต่ดีที่มีมือของใครบางคนมาฉุดแขนไว้ ผมหันมองก็พบกับหญิงสาวนัยน์ตาสีฟ้าสดใสคนหนึ่งที่สวยราวกับนางฟ้ายืนยิ้มให้ผมอยู่ แต่จะว่ายืนก็คงไม่ได้เพราะเท้าของเธอคนนี้ไม่ได้แตะพื้นแม้แต่นิดเดียว ผมถึงกับตะลึงอ้าปากค้างเลยทีเดียว
“ฉันชื่อ‘อควา’ค่ะ เป็นภูตรับใช้ของนายท่าน!” เธอเหล่มองไปทางด้านหลังที่นายโอโม่ยืนอยู่
ตูม!!!!
ยังไม่ทันที่จะให้ผมไข้ข้อสงสัยเสียงระเบิดก็ดังขึ้นพร้อมกับกระแสลมที่โหมกระหน่ำพัดเอาละอองน้ำและไอร้อนมาด้วย หญิงสาวคนนั้นเธอมายืนคว้าผมเอาไว้ มือวาดไปในอากาศปรากฏเป็นกำแพงน้ำกันตัวของผมออกจากอันตรายข้างหน้า
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ ใครก็ไม้ตอบผมทีเถอะ!!!!
.....................................................................
ตูม!!!!
เสียงระเบิดที่เกิดจากการปะทะกันของสองพลังที่เป็นอริกันอย่างวารีและอัคคีดังสนั่นไปทั่ว แต่ด้วยเขตอาคมที่จุนมยอนสร้างขึ้นทำให้ถูกตัดขาดออกจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ทำให้มนุษย์ไม่มีใครรู้สึกถึงการต่อสู้เลยแม้แต่คนเดียว เขาหันไปมองที่ด้านหลัง ภูตรับใช้ของตนกำลังทำหน้าที่กันตัวสายเลือดพิเศษออกจากการต่อสู้ด้วยกำแพงน้ำ เขาถอดหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกไปได้เปาะหนึ่ง ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
นัยน์ตาแดงฉานของอู๋อี้ฟานจ้องเขม็งไปยังจุนมยอนอย่างนิ่งเฉยแต่มันกับเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แผ่ออกมาจนอีกคนรู้สึกได้ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ลูกไฟขนาดเท่าลูกเบสบอลถูกเหวี่ยงออกไปสองลูกเพื่อแบนความสนใจ จุนมยอนเองก็เหวี่ยงเอาบอลน้ำสองลูกออกไปเพื่อสกัดเอาไว้ ก่อนจะเข้าไปปะทะกับอู๋อี้ฟานโดยตรง
ดาบที่หุ้มไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนระอุในมือของอี้ฟานตวัดเข้าหาตัวของจุนมยอนหมายจะตัดร่างนั้นให้เป็นสองท่อน แต่อีกฝ่ายกับเบี่ยงตัวหลบได้ก่อนจะเงื้อมือขึ้นสูง มีดสั้นในมือสวนกลับมาอย่างรวดเร็วจนชะงักแล้วถอยกลับไปด้านหลัง จุนมยอนยังคงไล่ตามมาแต่คราวนี้เขากับทิ้งมีดในมือ อี้ฟานขมวดคิ้วเอี่ยวตัวหลบหมัดที่พุ่งเข้าใส่ตัว
“ไม่ถนัดใช้อาวุธรึไงเจ้าเทพ!” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ คว้าแขนของอีกคนดึงเข้าหาตัวก่อนจะปล่อยหมัดขวาพุ่งเข้าแสกหน้าของจุนมยอนเต็มๆจนหน้าหันล้มลงไปที่พื้น แล้วตามไปคว้าคอเสื้อกระชากขึ้นมา
“ปล่อยนายท่านนะเจ้าปีศาจชั้นต่ำ!!!” เสียงหวานๆตวาดลั่น ก่อนที่ดาบยาวจะตวัดใส่อี้ฟาน
ชายหนุ่มกระโดดหลบไปด้านหลัง ภูตรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ตามไปซัดเอาพลังเวทย์ใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ก้อนน้ำที่พุ่งออกไปนับสิบเกิดการเยือกแข็งกลายเป็นผลึกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่อี้ฟานจนต้องสร้างเกราะป้องกันเอาไว้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของภูตรับใช้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากพลังเวทย์ของนายท่านอย่างจุนมยอน จึงสามารถทำลายเกราะกำบังของศัตรูลงได้
“อย่าให้ข้าต้องทำร้ายสตรีที่งดงามเช่นเจ้า!” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาร่างบาง หมัดขวาอัดเข้าเต็มๆที่ท้องน้อยของหญิงสาวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนกระเด็นไปอีกทาง
“นายท่าน!!!” หญิงสาวตะโกน
อี้ฟานหันควับไปอีกทางเมื่อรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวเป็นแค่นกต่อ วงเวทย์สีฟ้าสดใสส่องแสงสว่างจ้าใต้เท้าของจุนมยอน นัยน์สีฟ้าน้ำทะเลจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของอี้ฟานอย่างไม่วางตาริม ฝีปากพึมพำอะไรบางอย่างอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มวลน้ำมหาศาลจะก่อตัวขึ้นรอบข้างเตรียมจะพุ่งเข้าใส่ศัตรู
“นายอย่าพึ่งฆ่าหมอนั่นนะ!!!” เสียงของจื่อเทาตะโกนขึ้นมาสร้างความงุนงงให้แก่จุนมยอนและอี้ฟาน ภูตรับใช้รีบฝืนความเจ็บยันตัวลุกขึ้นไปหาจื่อเทาที่อยู่ในกำแพงน้ำแข็ง
อี้ฟานอาศัยจังหวะที่จุนมยอนกำลังเผลอพุ่งเข้าใส่ ดาบในมือแทงเข้าที่ท้องของเทพวารีอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลออกจากปากแผล ทรุดฮวบลงกับพื้นก่อนจะดึงดาบออกอย่างไม่ปรานีแล้วเตะซ้ำเข้าไปที่บาดแผล
“นายท่าน!!!”
หญิงสาวจ้องหน้าอี้ฟานที่กำลังเดินมาทางตนอย่างอาฆาตแค้น ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนขว้างหน้าจื่อเทาเอาไว้ ดาบยาวในมือทั้งสองข้างกระชับแน่นเตรียมรับศึก เธอรู้ดีว่าพลังเวทย์ของเธอขึ้นอยู่กับจุนมยอน ถ้าจุนมยอนเกิดบาดแผลพลังเวทย์ของเธอก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง หรือถ้าเกิดจุนมยอนตายเธอเองก็ตายเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกลัว แค่ปกป้องจื่อเทาให้ได้ตามคำสั่งเท่านั้นก็พอ
“ส่งตัวหมอนั่นมาให้ฉัน!”
“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”
ไม่ต้องรอให้พูดจบชายหนุ่มก็พุ่งตัวเข้าไปตวัดดาบใส่ร่างบางอย่างไม่ปรานี หญิงสาวใช้ดาบในมือรับคมดาบของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาก่อนจะปัดมันออกแล้วตวัดมืออีกข้างใส่ชายหนุ่ม เขาเบี่ยงตัวหลบได้แบบไม่ยากเย็น ก่อนจะใช้สันมือฟาดลงไปที่ท้ายทอยของหญิงสาวอย่างแรง เขาอาศัยจังหวะที่เธอกำลังเสียหลักใช้ดาบในมือแทงหญิงสาวจากด้านหลังจนปลายดาบทะลุมาข้างหน้า
“เธอบอกเองนะ!” อี้ฟานปล่อยร่างของหญิงสาวลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ก่อนจะแบนสายตาไปทางจื่อเทาที่ยืนอยู่ไม่ไกล กำแพงน้ำแข็งสลายไปแล้วเนื่องจากผู้ใช้พลังหมดสติไป ตอนนี้จื่อเทาจึงไม่มีอะไรป้องกันแม้แต่นิดเดียว
“รอนานมั้ย หวงจื่อเทา!”
เด็กหนุ่มถอยหนีโดยอัตโนมัติเมื่ออันตรายกำลังเข้ามาใกล้ สายตาที่เคยมองร่างที่ไร้สติของคนทั้งสองเปลี่ยมมาจ้องหน้าของอี้ฟานอย่างหวาดระแวง เขาตันสินใจหันหลังวิ่ง ขอแค่หนีไปจากตรงนี้ได้ก็พอแล้ว
“จะหนีไปไหนเล่า!!!” กลุ่มผมนุ่มของเด็กหนุ่มถูกคว้าเอาไว้ด้วยมืออันแข็งแกร่ง ก่อนจะกระชากไปด้านหลังอย่างแรงจนหงายหลังลงไปอยู่ในอ้อมกอดของบุคคลอันตรายระดับจักรวาล
“นายเป็นใครกันแน่!” เด็กหนุ่มถามเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว พยายามแกะมือที่จับอยู่บนศีรษะอย่างยากเย็น เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มทำให้หัวใจของเด็กน้อยในกำมือแทบจะหยุดเต้น มือเพิ่มแรงดึงขึ้นจนได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บของคนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยไปง่ายๆ
“หึหึ ไปอยู่กับฉันสิ แล้วฉันจะบอกนายทุกอย่างอย่างเลย!”
“เอาศพฉันไปแทนก็แล้วกัน!!!” จื่อเทาตวาดลั่น
ร่างในอ้อมแขนดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปจากใบหน้าขาวของอี้ฟาน กระจุกผมในมือถูกกระชากอย่างแรงจนหน้าเฉิดขึ้น แต่เด็กดื้อยังไงก็ยังเป็นเด็กดื้ออยู่วันยันค่ำ ไม่ว่าจะกำราบยังไง แม้ว่าตัวเองจะเจ็บแค่ไหนก็ยังไม่ยอมแพ้ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าสู้ไม่ได้
ด้วยความหงุดหงิดอี้ฟานจึงบันดาลโทสะเหวี่ยงร่างที่อยู่ในอ้อมแขนลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง ก่อนจะลงไปคว้าคอของจื่อเทากระชากขึ้นมาเผชิญหน้ากับตน
“ถ้าสายเลือดพิเศษมันมีเกลื่อนกลาดตามท้องถนน ฉันฆ่านายทิ้งไปตั้งนานแล้ว!!!” มือใหญ่ออกแรงบีบลำคอขาวๆของอีกคนจนร้องไม่ออก
“อะ... ไอ้... เลว!”
ริมฝีปากบางพ่นคำด่าออกมาอย่างยากลำบาก ลมหายใจเริ่มขาดห้วง ภาพข้างหน้าพร่าเบลอจนมองแทบจะไม่เป็นรูปร่าง สติที่มีเริ่มเลือนรางลงเต็มทีเนื่องจากขาดออกซิเจน เด็กหนุ่มพยายามจะประคองสติของตัวเอง เขารับรู้ว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น หนึ่งนั้นมีวงเวทย์ที่ส่องประกายสีฟ้าเหมือนกับของจุนมยอน
และนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ ก่อนที่สติจะดับวูบไป.....
ความคิดเห็น