คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : STORY : SF ข้างเดียว [Krischen] 2
LOVE ONE SIDE
PASS 2
KRISCHEN Ft.KAI
“นี่คริส...นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย!” ผมแหกปากลั่นก่อนจะดึงกระเป๋าของตัวเองที่กำลังถูกคริสคว้าไปถือ ตั้งแต่วันที่ผมแอบหอมแก้ม...เออเอาเหอะ ยอมรับก็ได้ว่าผมมันฉวยโอกาส ลามก เลวทราม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้ตัวสักหน่อย! แต่ประเด็นคือหลังจากวันนั้นเจ้าเพื่อนงั่งคริสก็เอาแต่ทำตัวแปลกๆ อย่างเช่นไม่ควงใครเลยเนี่ยล่ะที่แปลกสุด นั่นยังไม่นับเลี้ยงข้าว คอยรับส่งและตอนนี้เลย! มันกำลังแย่งกระเป๋าผมไปถือทั้งที่มันก็ไม่ได้หนักอะไรสักนิด
อย่าทำอย่างนี้ได้มั้ย
มันเหมือนให้ความหวังกันนะโว้ย!
“ก็จะถือให้ไง นายตัวเล็กขนาดนี้เกิดแบกของหนักๆเข้าไปอีกส่วนสูงลดทำไงล่ะ”
ไอ้คำพูดกวนๆ ปนห่วงใยกับสายตากรุ่มกริ่มนั่นคืออะไร!
ไอ้เฉินจะไม่ทน! ฮือออออออ คนมันยิ่งอ่อนแออยู่นะโว้ย อย่ามาอ่อย แค่นี้ก็หลงไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว!
“อย่ามาเว่อร์ มันไม่ได้หนักขนาดนั้น เอาคืนมา” ผมออกแรงกระชากกระเป๋าตัวเองคืน แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเพื่อนคริสดึงกระเป๋าผมไว้อย่างมั่นคงและด้วยพละกำลังส่วนตัวแล้วรู้ได้เลยว่าใครจะแพ้
“แค่ถือให้มันจะเป็นไรไปวะ”
“ฉันไม่ใช่พวกไร้เรี่ยวแรงขนาดนั้นนะโว้ย ปล่อยเลยปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
“ปล่อย!”
ผมออกแรงดึงสุดแรงและนั่นก็ทำให้ผมต้องร้องลั่น เมื่อสายสะพายมันขาดผึงออก ร่างของผมหงายไปข้างหลังตามแรงโน้มถ่วง ผมหลับตาปี๋และภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าเหว๋อๆของเพื่อนคริส ที่มือที่พยายามเอื้อมมาคว้าผมเอาไว้
แต่แล้วผมก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่มๆที่ผมทับอยู่ ซึ่งไม่น่าจะเป็นพื้นได้ แหงสิ พื้นที่ไหนมันนุ่มวะ!
“เฉิน! เป็นอะไรรึเปล่า!” เสียงของคริสปลุกผมจากอาการช็อก ก่อนที่มือใหญ่จะดึงผมให้ลุกขึ้น เสียงโอดครวญเล็กๆทำให้ผมหันกลับไปมองคนรับเคราะห์อย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ผมรีบแกะมือของคริสออกแล้วพุ่งพรวดเข้าไปพยุงเขาไว้ทันที
“เป็นไรมั้ยครับ ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ” ผมได้แต่เอ่ยคำโทษ ในขณะที่เขายังคงไม่พูดอะไร
“ไม่เป็นไร” เสียงเข้มพึมพำขึ้นเบาๆ พร้อมๆกับที่นัยน์ตาคมตวัดมองมาที่ผม ฮะ เฮ้ย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีออร่าแปลกๆจนผมแสบตาอย่างนี้นะ! หรือะเป็นเพราะเสียงเซ็กซี่ๆนั่น ถึงทำให้ขาผมเริ่มอ่อนระทวย
“เราขอโทษด้วยละกัน ที่ไม่ระวัง” เพื่อนคริสออกตัวรับ ก่อนจะดึงผมออกมา ผมได้แต่ส่งสายตาจิกๆใส่เพื่อนคริสผู้ไร้จิตสำนึก ก่อนจะหันไปมองเขาอีกครั้ง
“คุณเจ็บมากมั้ยครับ” ผมยังคงถามไถ่ เพราะดูท่าทางเขาจะเจ็บมาก นี่ผมควรพิจารณาเรื่องน้ำหนักตัวเองแล้วใช่มั้ยนะ
“เจ็บ...มาก” เสียงทุ่มนุ่มกับท่าทางเฉยชา บวกกับประโยคที่พูดออกมาตรงๆทำเอาผมยิ้มเห่ยออกมาอย่างสำนึกผิด
“คือผมยินดีจะรับผิดชอบ...”
“รับผิดชอบอะไรของนายวะเฉิน”
“เอ๊ะแล้วนายจะโวยวายทำไมครับเพื่อนคริส ฉันทำเค้าเจ็บนะเว้ย!”
“แค่โดนเป็ดล้มทับมันจะเจ็บแค่ไหนเชียว” คริสว่าไม่พอยังส่งสายตาท้าทายไปยังร่างที่สูงพอๆกับตรงหน้า เดี๋ยวก่อน ว่าแต่เป็ดอะไรของนายเนี่ย
“ก็มันเจ็บ ไม่ใช่เพราะร่างกายนุ่มนิ่มนั่นทับหรอกนะ เพราะหลังฉันกระแทกพื้นต่างหาก” ว่าพลางยักคิ้ว
“ว่าไงนะ! ร่างกายนุ่มนิ่ม! นี่มึงจับอะไรวะ!”
“เฮ้ยคริส! ใจเย็น!” ผมดันคริสไว้ด้านหลังทันทีที่อาการเดือดเริ่มมา ฉันเป็นคนโดนว่าร่างกายนุ่มนิ่มยังไม่เดือดเท่าแกเลยนะโว้ยเพื่อนคริส!
ว่าแต่ร่างกายนุ่มนิ่มเนี่ยนะ! T[]T ทะ ทำไมผมถึงปวดร้าวกับประโยคนี้จัง เป็นผู้ชายควรจะต้องมีร่างกายแข็งแรงกำยำมากกว่าเซ่!
“เย็นยังไง! ดูมันลามปามนายดิ!” คริสยังไม่หยุดแหกปาก แล้วมันจะโกรธะไรนักหนาวะนั่น!
“เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง! นายไปรอที่รถเลยไป เก็บซากกระเป๋าฉันไปด้วย เดี๋ยวเราเคลียร์กันทีหลัง ถ้านายไม่ไปฉันจะโกรธ” ผมสวมบทโหด คว่ำปากที่ปกติที่หงายยิ้มลง ซึ่งคริสบอกบ่อยๆว่ามันเหมือนปากเป็ด และทุกครั้งที่ผมทำอย่างนี้นั่นหมายความว่าผมจะไม่ทนกับพฤติกรรมเอาแต่ใจบ้าๆของมันอีกต่อไป!
“เฉินอ่า”
โอ้คุณพระ เพื่อนคริสมันอ่อยผมอีกแล้วครับทุกท่าน ทำไมต้องมาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอ้อนๆแบบนั้นด้วย! แต่ถึงยังไงผมก็ต้องทำให้เพื่อนคริสรู้ ว่าเพื่อนเฉินจะไม่ตกเป็นทาสอ่อย (?) ของมันอีกต่อไป!
“นี่พูดจริงนะ ไปเลย!”
ผมไล่เสียงโหด และคราวนี้มันได้ผล คริสทำหน้าบึ้งพร้อมกับเดินสะบัดตูดหนีหายไปทันที เหลือไว้เพียงผมกับชายหนุ่มนิรนาม ซึ่งยังคงอุตส่าห์ยืนนิ่งรอบทสนทนาไร้สาระของผมกับคริสจบลง
“คุณเจ็บตรงไหน ผมว่าเราควรจะไปห้องพยาบาลนะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมเฉิน” ผมรัวคำพูดออกไปแถมด้วยรัวโค้งอย่างสำนึกผิด แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
ณ จุดๆ นี้บอกได้เลยว่าไอ้เฉินเริ่มเครียด!
“หวัดดี...ฉันไค”
ตาเถร...คนตรงหน้าผมเป็นใครเนี่ย...ออร่าความฮอตของเขามันแยงตาผมจนแทบบอดแล้ว!!
“นี่คริส ฉันล่ะอยากจะถามว่านายมีสิทธิ์อะไรมางอนฉันเนี่ย!”
“...”
ความเงียบเข้าครอบคลุมพื้นที่ภายในรถสุดหรูทันทีที่เสียงแหกปากของผมเงียบลง...ใช่แล้วครับ คริสงอนผม! นี่มันใช่เหรอวะ คนที่งอนควรจะเป็นผมนะ! แต่จริงๆแล้วผู้ชายกับผู้ชายมางอนกันไปมาอย่างนี้มันถูกรึไง!
“นี่ถ้านายไม่พูดกับฉันนะ ฉันก็จะไม่พูดกับนาย งอนให้เต็มที่ไปเลย!” ผมยื่นคำขาดก่อนจะสะบัดหน้าหนีออกมามองวิวทิวทัศน์ข้างทางที่โคตรจะไม่น่าอภิรมย์และเต็มไปด้วยมลพิษแทน
และความเงียบที่น่าอึดอัดก็ยาวนานจนกระทั่งเราถึงคอนโด จนแล้วจนรอดมันก็ไม่คุยกับผม ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินนำไปที่ลิฟ ซึ่งขาของคริสก็ยาวพอที่จะก้าวตามผมได้ทัน แล้วมันจะมาขึ้นตามผมเพื่อสร้างบรรยากาศเงียบๆอันน่าอึดอัดนี่ทำไมไม่ทราบ! ลิฟก็ไม่ใช่ว่ามีแค่ตัวเดียวสักหน่อย!
“นายคุยอะไรกับมันบ้าง” เสียงจากคนข้างๆดังขึ้นทำลายความเงียบ ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองซีกหน้าด้านข้างที่แสนจะเพอร์เฟคของเพื่อนคริส นี่มันคุยกับผมอยู่ใช่มั้ยเนี่ย
“ยอมคุยกับฉันแล้วรึไง”
“ตอบมา”
“นายอย่ามาทำตัวเอาแต่ใจอย่างนี้นะโว้ย” ผมตะโกนใส่คริสอีกครั้งก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกจากลิฟมุ่งตรงไปยังห้อง แต่ดูเหมือนว่าผมจะไปไม่ถึงประตูห้องง่ายๆ เมื่อถูกมือใหญ่ดึงรั้งข้อมือผมไว้ก่อนจะกระชากเบาๆสำหรับมัน แต่แรงสำหรับผมและนั่นก็เป็นผลให้ผมเสียการทรงตัวจนต้องเซเข้าสู่แผ่นอกกว้างอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันทำตัวเอาแต่ใจตรงไหน!”
“ก็ตรงที่มาบังคับให้คนอื่นเค้าตอบ แถมยังมาดึงฉันไว้เพื่อหาเรื่องอีกไง!” ผมเสียงดังกลับ ไอ้เรื่องทะเลาะกันนี่อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับเราเลยล่ะครับ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ต่างกันคนละขั้ว มันจึงมีบ้างที่ความคิดจะต่างกัน มีอยู่เรื่องเดียวเลยที่เหมือนกัน นั่นก็คือทั้งผมและคริสเป็นพวกไม่ค่อยยอมคนเท่าไหร่!
“ฉันได้ไปหาเรื่องตอนไหน ฉันแค่ถามว่านายคุยอะไรกับไอ้บ้านั่นบ้าง”
“เราจะคุยอะไรกันบ้างมันเกี่ยวกับนายตรงนะ...”
และก่อนที่ผมจะทันได้พูดจนจบประโยค แผ่นหลังของผมก็ถูกดันจนติดผนังเย็นเหยียบ พร้อมกับวงแขนกว้างที่ใช้เป็นกรงขังผมเอาไว้ในพื้นที่แคบๆระหว่างผมกับคริส เราใกล้กันมากจนผมกลัวเหลือเกินว่าคริสจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวของผม ซึ่งมันไม่ใช่เพราะความโกรธแน่...
“นายใช้คำว่า ‘เรา’ กับมันงั้นเหรอ?”
“นะ นายจะทำบ้าอะไร ถอยไปห่างๆนะ” ผมเบือนหน้าหนีและพยายามเต็มที่ให้คำพูดของผมไม่ตะกุกตะกัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะควบคุมยากสุดๆ
“ทำไมล่ะ? ทีไปล้มทับคนอื่นที่ไม่แม้แต่จะรู้จักแท้ๆยังทำได้เลยนี่” คริสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับพูดประโยคที่ผมเริ่มจะไม่เข้าใจ นี่สรุปคริสต้องการอะไรจากผมกันแน่เนี่ย
“ฉันว่าตอนนี้เราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ถอยไป ฉันจะเข้าห้องแล้ว” ผมใช้มือดันอกคริส แต่กลับไม่ได้ผลสักกะนิด ไม่มีร่องรอยของการขยับเขยื้อนแม้แต่เซนต์เดียว =_= ใช่ซี้ ผมมันอ่อนเปลี้ย แรงน้อย!
“คุยไม่รู้เรื่องตรงไหน”
“นายหยุดถามว่าตรงไหนสักทีได้มั้ย นายมันก็เป็นทุกตรงน่ะแหละ ไอ้คนงี่เง่า!” ผมตวาดอย่างเหลืออดและความเงียบก็เข้าครอบคลุมทันที ผมจ้องหน้าคริสด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง แต่นัยน์ตาคมที่วูบไหวกลับทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว ผมว่ามันรุนแรงไปรึเปล่านะ...ไม่หรอกน่า คริสไม่น่าจะเป็นคนที่คิดมากกะอีแค่โดยเพื่อนด่าหรอก มันหน้าด้านจะตาย ใช่มั้ย...
เสียงลิฟที่เปิดออก พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาเป็นสิ่งที่ทำลายความเงียบ ผมกระแอ่มเบาๆ ก่อนจะแสร้งเบือนหน้าหนีไปมองผู้มาใหม่และก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเป็นใคร
“ไค?”
“อ่าวเฉิน มาทำอะไร...ตรงนี้”
คำทักทายของไคทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ใช่สิ ตอนนี้ท่าที่ผมกับคริสยืนคร่อมกันอยู่คงไม่ใช่ภาพที่ดูดีสักเท่าไหร่ ผมรีบผลักคริสออกทันทีและน่าแปลกจี่ครั้งนี้มันง่าย คล้ายว่าอีกคนจะไม่มีพละกำลังเหลือ
“คือเมื่อกี้ฉันจะล้มแล้วคริสช่วยไว้น่ะ ฮะๆ” ผมแก้ตัวก่อนจะหัวเราะแห้งๆ มันเป็นคำแก้ตัวที่ดูไม่สมเหตุสมผลที่สุดเลยให้ตาย ไคเลิกคิ้วมองก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับเขากำลังขำ ขำอะไรล่ะ =_=
“ว่าแต่พวกนายอยู่คอนโดนี้ด้วยกันเหรอ”
“ยุ่งอะไรด้วยวะ”
ผมแทบจะยกมือขึ้นตบหน้าผากเมื่อประโยคที่ดุไม่เป็นมิตรสุดๆของคริสพุ่งออกมา นี่นายกะจะเป็นศรัตรูกับคนทุกคนเลยรึไงกันนะ
“ใช่ เราพักกันที่นี่แหละ แล้วนายล่ะ”
“ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่น่ะ อยู่ห้องนี้” ไคบอกก่อนจะชี้นิ้วไปยังห้องที่อยู่ข้างๆกับห้องของผมพอดี
“ซวยชะมัด”
“ไม่เอาน่าคริส เราเข้าห้องกันดีกว่า ดีใจที่เจออีกครั้งน่ะไค ไว้เจอกัน” ผมบอกลาก่อนจะลากคนตัวใหญ่เข้าห้อง โอ้ยทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกเหนื่อยชะมัด
“นายหยุดถามว่าตรงไหนสักทีได้มั้ย นายมันก็เป็นทุกตรงน่ะแหละ ไอ้คนงี่เง่า!”
นี่ผมงี่เง่าขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผมเป็นอย่างนั้นเหรอครับ...
ถ้าไม่แคร์ จะงี่เง่าใส่มั้ยล่ะไอ้เป็นโง่!
“โอ้ยให้ตายๆ!”
เสียงแหลมปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมเหลือบตาไปมองร่างเล็กที่นั่งจ๋องอยู่บนพื้น ในมือมีจอยเกมที่ถูกนิ้วเรียวกดรัวๆอย่างน่าสงสารอยู่ จอทีวีกว้างกำลังฉายภาพเกมสุดมันส์ ซึ่งดูท่าว่าตัวของเฉินจะน็อกลงไปทุกที ฝีมือการเล่นเกมที่ห่วยแตก
แต่ยังไงผมก็ยังเลือกที่จะนั่งนิ่งมองภาพนั้น ไม่รู้สิ มันก็เพลินตาดี มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ เจ้าเป็ดที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดสีชมพูคอกว้างจนไหล่ขาวข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมา ผมนุ่มก็ถูกมัดจุกไว้ด้วยยางรัดสีเหลืองอ๋อยน่ารัก ใบหน้าน่ารักที่เคร่งเครียด พร้อมกับริมฝีปากบางที่คอยกราดด่าบ้าง บ่นบ้าง ดีใจบ้างให้กับเกมตรงหน้า เป็นอะไรที่ลงตัวและดูน่ารักสุด
ผมอยากจะบ้าตาย...
นี่ผมกลายเป็นคนคลั่งเป็ดขนาดนี้เลยเหรอ!
จะทำอะไรก็น่ารักไปหมด!
ผมเบือนหน้าหนี แต่สุดท้ายก็ยังคับตัวเองไม่ได้ต้องหันกลับมามองและก็ต้องเจอภาพที่ยิ่งทำให้หักห้ามใจลำบากไปใหญ่! เมื่อเจ้าตัวเล็กตักไอศกรีมในกล่องเข้าปากอย่างเร่งรีบ จนไม่ระวังครีมเคริมเละเทะเต็มปาก มิหน่ซ้ำยังใหญ่ลงมาเรื่อยจนถึงซอกคอขาวเนียน
นี่มันยั่วกันชัดๆ!
“อ้าก! เลอะหมดแล้ว! คริสๆ เอาทิชชู่มาเช็ดให้หน่อยดิ๊ เร็ววว”
แล้วยังจะมาทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว! หันกลับไปเพ่งเกมต่อไม่พอปากยังสั่งคนอื่นเค้าฉอดๆอีก
“นี่กล้าใช่ฉันเรอะ” ถึงผมจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็ยังเอื้อมมือไปดึงทิชชู่ออกมาอยู่ดี ก่อนที่ผมจะไถลตัวลงจากโซฟามานั่งข้างๆเฉิน ไอ้เจ้าไอศกรีมช็อกโกแลตที่เปื้อนอยู่นี่ทำเอาผมหายใจหายคอไม่สะดวก พยายามยื่นมือสั่นๆที่ถือทิชชู่อยู่ไปไล่เช็ดไอศกรีมออก
“เฮ้ย เช็ดก็มองด้วยดิวะ อย่ามาบังเซ่”
ใครมันจะไปทนมองได้วะ! ผมสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเพ่งมองรอยเลอะแล้วซับทิชชู่ไปด้วย
“เช็ดให้มันเร็วหน่อยดิ ฉันจะแพ้แล้วนะ...!”
ผมไม่ทนฟังเสียงแหลมนั่นบ่นจนจบประโยคอีกแล้ว ผมปาทิชชู่ทิ้งก่อนจะผลักร่างเล็กลงบนพื้นพรมใช้มือของตัวเองยึดข้อมือเล็กสองข้างไว้เหนือหัว นัยน์ตาสวยเบิกกว้างรับกับริมฝีปากบางขี้บ่นที่เผยอขึ้นอย่างตกใจ
“นะ นายจะทำอะไรน่ะ! ใช้แค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธเลย ปล่อยฉันนะ ฉันจะแพ้แล้วเห็นมั้ยยยยย” เสียงแหลมยังคงบ่นไม่หยุด แต่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นการพล่ามเพื่อปิดบังอาการเขินอาย และถึงแม้ว่าเฉินจะจ้อไม่หยุด ผมก็จะกิน (?) อยู่ดี
“ไม่ได้โกรธสักหน่อย กำลังจะช่วยทำความสะอาดอยู่นี่ไง” ผมก้มหน้าลงกระซิบเบาๆที่ข้างหูเล็ก ก่อนจะเลาะเล็มติ่งหูขาวเบาๆด้วยลิ้นเปียดชื้นของตัวเอง จนเฉินสะดุ้งเฮือก นัยน์ตากลมสั่นระริกยิ่งดูยิ่งน่ารัก
“อย่ามาแกล้งฉันนะคริส”
ผมไม่สนใจประโยคห้ามของร่างบาง จัดการบดขยี้ริมฝีปากเล็กๆน่ารักนั่นทันที เฉินตกใจและพยายามดิ้นหนีจากผม แต่ผมก็ไม่ปล่อยมือจากข้อแขนเรียว จากที่แค่จะแกล้ง แค่ทำให้คนร่างเล็กตกใจเล่นๆ แต่พอริมฝีปากแนบสนิทกัน ผมก็ลืมทุกอย่าง บดเบียดริมฝีปากเล็กราวกับจะกลืนกิน สอดลิ้นร้อนลุกล้ำเข้าไปช้าๆ เกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กที่ดูไม่ประสาอย่างลืมตัว
ยิ่งได้รับรสชาติหวานของช็อกโกแลตยิ่งทำให้ผมไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ค่อยๆถอนริมฝีปากออกช้าๆ ก่อนจะลากเลียลงมาตามรอยเลอะจนถึงซอกคอขาว ไล่ลิ้นวนสัมผัสกับรสชาติของช็อกโกแลตหวานหอม
“ยะ หยุดนะ อื้อ...”
ผมกดจูบปิดปากเล็กอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะทันได้ประท้วงอะไรมากกว่านี้อีก นานพอจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่มีแรงเถียงอะไรไปมากกว่านี้ จึงค่อยๆผละริมฝีปากออก แล้วไล้เลียไปตามรอยเลอะตั้งแต่มุมปากลงไปถึงใต้คาง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะขบเม้มซอกคอขาวแรงๆ จนเกิดรอยแดงสวยขึ้น
ผมว่าผมควรจะหยุด...หรือไม่ดี?
“หวานจัง” ผมกระซิบเสียงแผ่วออกไป ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงเถือกลามไปถึงใบหู ยิ่งดูยิ่งน่ารัก
“มัน มันสะอาดรึยัง” เสียงแหลมพึมพำออกมา แต่มันก็ทำให้ผมได้ยิน แต่อยากแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินซะงั้น
“อะไรนะ”
“คราบไอติมบ้านี่มันหมดไปรึยังวะ! ลุกไปได้แล้ว!” เฉินโวยวายสุดเสียงพร้อมกับดิ้นไปมาจนผมอดสงสารไม่ได้ ยอมปล่อยมือแต่โดยดี ร่างเล็กกระเด้งตัวออกห่างผมโดยอัตโนมัต ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ก่อนที่เฉินจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตูทันที
“อ่าวนั่นจะไปไหนน่ะ”
“ไปเซเว่น!”
ความคิดเห็น