ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Xeroth's Storage

    ลำดับตอนที่ #28 : Academy Crinimor : ฆาตกรศึกษา 1 ปี 1 [การบ้าน]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      27 ก.ค. 57

    การบ้าน #5

     

    ชื่อ – นามสกุล : จุติชาติ ไตรภพ

    ชื่อเล่น : เซียร์

    Dormitory : โทปาซ

    รหัสประจำตัว : ACT26

    ตำแหน่ง : Catcher

    สถานภาพการขาดส่งงาน 0

    การบ้านวิชา : ฆาตกรศึกษา

    คำสั่ง ให้ Criminors ทุกคนทำรายงานฆาตกรชื่อดังของโลก

    สถานที่ส่ง : Mini Garden (Quartz)

    ชื่ออาจารย์ผู้สอน : Grabiulla

     

    ll ส่วนเนื้อหา ll

    ชื่อรายงาน: Gilles de Rais
    ฆาตกรที่ทำรายงานส่ง : กิลส์ เดอ เรยส์
    รูปภาพของฆาตกร :
     

    ประวัติของฆาตกร :

              Gilles De Rais (1404 - 1440)

              เรื่องราวของกิลส์ เดอ เรยส์ซึ่งเป็นต้นแบบของนิทานเรื่อง"เคราน้ำเงิน"ด้วยนั้น มีการกล่าวในแง่ประวัติศาสตร์ว่าเรื่องของเขาถูกแต่งเติมให้เกินจริงทั้งโดยคำบอกเล่าในภายหลัง และเจตนาร้ายของผู้หวังในทรัพย์สมบัติของเขา ที่แน่ๆ เรื่องของชายผู้นี้คงจะถูกบอกเล่าต่อๆกันไปในฐานะตำนานอีกนานแสนนานทีเดียว

              ปี 1404 กิลส์ เดอ เรยส์ เกิดที่ปราสาทชานโตเซ่ใกล้เมืองนันท์ของแคว้นบริทาเนียในฐานะทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูล กี เดอ ราวาลผู้เป็นพ่อ เป็นเจ้าบ้านของตระกูลเรยส์ และแมรี่ เดอ คราออนซึ่งเป็นมารดาก็มาจากตระกูลขุนนางที่เก่าแก่ที่สุดตระกูลหนึ่งของฝรั่งเศส ทั้งสองต่างก็มีอาณาเขตในกรรมสิทธิ์ของตนเป็นบริเวณกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่มากมาย ซึ่งเมื่อกิลส์สืบทอดมรดก ตระกูลเรยส์ก็จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในฝรั่งเศสอย่างไม่ต้องสงสัย

              ปี 1415 กีเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน และแมรี่ก็ตายตามสามีไปในเวลาไม่นานนัก ตาเป็นผู้รับกิลส์ไปเลี้ยงดูแม้ว่าจะเป็นการขัดต่อพินัยกรรม ฌอง เดอ คราออนซึ่งเป็นตานี้ ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่ามีรสนิยมรักร่วมเพศเท่านั้นเอง และคงเพราะอิทธิพลจากตา กิลส์ก็เลยมีรสนิยมเดียวกันนี้ด้วย
    เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาก็ถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานกับแคทเธอรีน เดอ ทวาลซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้ครองแคว้นข้างเคียงเนื่องจากตาของเขาต้องการขยายพื้นที่ในครอบครองออกไปอีก กิลส์ไม่ได้สนใจเจ้าสาวของเขานัก เวลาส่วนใหญ่มักจะหมดไปกับการสนุกสนานกับบรรดาเด็กหนุ่มที่เป็นคนสนิทของเขามากกว่า

              หากในไม่ช้า การได้พบกับเด็กสาวผู้หนึ่งก็เปลี่ยนชีวิตของกิลส์ไปโดยสิ้นเชิง แจนน์ ดาร์ค (โจน ออฟ อาร์ค) วีรสตรีซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศสนั่นเอง

              ปี 1429 พระเจ้าชาร์ลสที่ 7 ทรงโปรดให้กิลส์เข้าเฝ้าและแนะนำให้เขาได้รู้จักกับแจนน์ ดาร์คซึ่งภายหลังถูกขนานนามว่าเป็นหญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งออร์ลีนส์ กิลส์ประทับใจในในตัวแจนน์และประกอบกับว่าเขาเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้าอยู่แล้ว เขาจึงได้สาบานตนเป็นอัศวินของแจนน์ และกลายมาเป็นมือขวาของเธอนับแต่นั้น
    ทั้งสองสร้างผลงานไว้มากมายในสงครามร้อยปี ซึ่งทำให้กิลส์ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นแม่ทัพและได้รับพระบรมราชานุญาติให้ประดับตราดอกลิลลี่ (ตราประจำราชวงศ์ฝรั่งเศส) ลงบนตราประจำตระกูลของเขาด้วย นับเป็นเกียตริสูงสุดเท่าที่เขาจะมีได้ในฐานะขุนนางทีเดียว
    แต่แล้วในปี 1430 แจนน์ ดาร์คก็ถูกทหารฝ่ายศัตรุจับ และถูกเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มดเมื่อปี 1431 (ปี 1456 พระสันตปาปาจึงยกให้คำตัดสินลงโทษแจนน์ ดาร์คเป็นโมฆะเธอถูกยกขึ้นเป็นนักบุญในปี 1920....เกือบ 500 ปีหลังจากการสำเร็จโทษที่รูน) กิลส์โศกเศร้ากับเหตุการณ์นี้มากและหวนกลับไปสู่ชีวิตแหลกเหลวก่อนจะพบกับเธออีกครั้ง

              กิลส์โกรธแค้นพระเจ้าที่หักหลังแจนน์และแย่งเธอไปจากเขา เขาเริ่มฝักใฝ่ในมนต์ดำและการเล่นแร่แปรธาตุ ในไม่ช้า กิลส์ก็ทำการรวบรวมเด็กชายจากที่ต่างๆมาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับปีศาจ
    เนื่องจากในเวลานั้นยังมีสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ตามเมืองต่างๆจึงมีเด็กกำพร้าเร่ร่อนอยู่มากมาย หญิงชราและชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นลูกน้องของกิลส์พาเด็กเหล่านี้มายังปราสาท และตัดคอพวกเขาเพื่อสังเวยเลือดแก่พิธี ไม่นานนัก การสังเวยก็ค่อยเพิ่มความโหดร้ายทารุณขึ้น เด็กบางคนถูกตัดแขนตัดขาเป็นชิ้นๆ บางคนถูกฟาดหัวด้วยท่อนไม้ตอกตะปู บางคนถูกเฉือนเนื้อออกทีละน้อยเพื่อให้กรีดร้องอยู่ให้นานที่สุดก่อนจะหมดลมไป
    เด็กบางคนถูกผ่าท้องแล้วทึ้งไส้ออกมา บ่อยครั้งที่กิลส์ข่มขืนศพของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว เขาสะสมศีรษะของเด็กหนุ่มจำนวนมาก และศีรษะที่หน้าตาดีจะถูกเรียงไว้เหนือเตาผิงเหมือนเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ มีการพบศพของเด็กจำนวนกว่า 150 ศพ (ส่วนใหญ่ไม่มีศีรษะ) ในปราสาท แต่พูดกันว่าเหยื่อของเขาน่าจะมีมากกว่า 1500 ราย

              งานเลี้ยงอันหรูหราและมนต์ดำทำให้กิลส์ผลาญทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของเขาหมดไปในไม่ช้า กิลส์จึงต้องขายปราสาทในกรรมสิทธิ์ของตนไป และการขายปราสาทนี่เองที่ทำให้เขามีปัญหากับโบสถ์ ทำให้กิลส์ซึ่งเลือดขึ้นหน้าได้นำทหารบุกไปยังโบสถ์และจับกุมนักบวชหลายคนมาจองจำในปราสาทของตน
    ทางด้านฝ่ายโบสถ์ซึ่งสงสัยกิลส์เกี่ยวกับคดีเด็กหายสาปสูญอยู่แล้ว(แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะนอกจากกิลส์จะเป็นขุนนางแล้ว ยังเป็น"วีรบุรุษกู้ชาติ"อีกด้วย)จึงได้อาศัยโอกาสนี้เองนำคนเข้าตรวจปราสาทของกิลส์และจับกุมเขาไว้ได้ในที่สุด

              13 กันยายน 1440 พระสังฆราชซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาติจากพระเจ้าชาร์ลสฟ้องกิลส์ในข้อหาประกอบพฤติกรรมนอกรีต สังหารเด็ก ทำสัญญาปีศาจ และกระทำตนขัดต่อหลักธรรมชาติ ซึ่งไม่ว่าข้อหาใดต่างก็เพียงพอที่จะทำให้เขาโดนประหารทั้งสิ้น (มีการกล่าวว่า พระเจ้าชาร์ลสและโบสถ์ได้ร่วมมือกัน เนื่องจากพระเจ้าชาร์ลสต้องการดินแดนในครอบครองของตระกูลเรยส์)
    การพิพากษาถูกจัดขึ้นที่ปราสาทนันท์และกินเวลากว่า 1 เดือน กิลส์ซึ่งในครั้งแรกมีท่าทีแข็งขืนถึงกับหลั่งน้ำตาสำนึกผิดในภายหลัง เขาถูกตัดสินให้ประหารโดยการแขวนคอในวันที่ 26 ตุลาคม 1440 และศพถูกลงโทษเผา กล่าวกันว่ามีประชาชนมากมายพากันร้องไห้และอธิษฐานให้วิญญาณของวีรบุรุษกู้ชาติผู้นี้ได้รับการอภัย
    (ในครั้งแรก จะมีการตัดสินโทษเผาทั้งเป็น แต่เนื่องจากการเผาทั้งเป็นถือเป็นการลบหลู่เกียรติมากในสมัยนั้น และด้วยว่ากิลส์มีความชอบ เขาจึงรอดโทษเผาทั้งเป็นไป)


    ความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับฆาตกรรายนี้ : ถึงแม้ว่าเรื่องของกิลส์จะเป็นตั้งแต่สมัยยุคสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ก็ยังบ่งบอกถึงความเชื่อของฆาตกรหรือบุคคลหลายๆ รายในปัจจุบันเช่นกันในเรื่องของความเชื่อและความแค้น เพราะจิตใจมนุษย์นั้นซับซ้อนและเปราะบาง เรื่องบางอย่างสามารถทำให้คนเปลี่ยนไปได้จากหน้ามือเป็นหลังเท้า การที่ฆาตกรเกิดมาเรื่อยๆ เช่นนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องพวกนี้ด้วยดช่นกันไม่ว่าจะเรื่องของตัวเองหรือสังคม

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×