ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : อดีตคือ.....
Chapter 15
......................................
......................................
Part before
“จุนจัง นายสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทิ้งเราไป เธอจะอยู่ข้าง ๆ เราตลอด และโตขึ้นเธอจะเป็นเจ้าสาวของเราคนเดียว”
“นายจะบ้าหรอยูชอน ฉันเป็นเจ้าสาวของนายไม่ได้หรอก”
“ทำไมจุนจังพูดแบบนี้หละ เราเสียใจนะจุนจังไม่รักเราเลย เราโกรธจุนจังแล้วด้วย”
“ยูชอนนายฟังเราก่อนสิ คือ เรา เรา เป็น... เป็น..ผู้..ชะ”
“ยูชอน..ไอ้ยูชอน...... ตื่นดิว่ะ.... ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย.....ยูชอน..ตึ้งๆๆๆๆๆๆ”
“โว้ย.....ใครว่ะ....โธ่เว้ย...ขัดจังหวะจริงๆๆๆ”
ผมที่กำลังฝันดี ๆ อยู่เชียว ดันถูกขัดจังหวะซะได้ ผมเดินงัวเงีย ขยี้หูขยี้ตาเดินไปเปิดประตูห้องนอน พอผมเปิดประตูได้เท่านั้นแหละก็เจอเข้ากับพายุหมี ๆ ซัดใส่ผมจนเซเลยทันที
“ทำไมเปิดช้าจังว่ะ ฉันเคาะเรียกแกตั้งนาน นึกว่าตายในห้องซะแล้ว”
ดูมันนะครับเข้ามาได้ก็รัวใส่ผมเป็นชุด แถมยังโยนกระเป๋าเสื้อผ้ามาไว้ไม่เป็นที่อีก แล้วยังไม่พอ พอมันเข้าห้องผมได้ก็ถอดเสื้อผ้าเหวี่ยงสุ่มไปทั่ว เหลือแต่เสื้อกล้ามกับบ๊อกเซอร์แล้วก็รีบเดินเข้าไปมุดผ้าห่มที่เตียงผมนอนอย่างสบายใจทันที ว่าแต่ว่าที่มันมาปลุกผมดึกดื่นปานนี้เพราะอะไรกัน
“ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะแก...ปลุกฉันแล้วจะมานอนหน้าตาเฉยแบบนี้เนี่ยนะ ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนเลย” ผมรีบเดินไปฉุดไอ้เพื่อนจอมวุ่นของผมจากเตียงอันแสนสบายของผมทันที
“อะไรอีกว่ะ.....คนจะนอน ยิ่งเหนื่อย ๆ อยู่” ในที่สุดผมก็งัดมันขึ้นมานั่งคุยได้สักที หลังจากที่พยายามปลุกปล่ำมันอยู่นาน
“แกเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาแบบนี้หมายความว่ายังไง ที่นั้นไล่แกมาหรือไง แล้วพ่อกับแม่แกหละท่านว่ายังไง แล้ว...” ไอ้ยุนรีบยกมือขึ้นห้ามผมทันที ผมจึงหยุดคำถามลงได้
“หยุดเลย...เอาคำตอบไหน..”
“ทุกคำถามแหละตอบมาให้หมด...” ไอ้ยุนมองผมส่ายหน้าแล้วทำท่าจะลงไปนอนต่อ แต่ผมก็ไวพอจะล็อคคอมันขึ้นมาถามทันทีโดนมันยังเอนหลังไม่ถึงพื้นที่นอนด้วยซ้ำ
“เฮ้ยๆๆๆๆ....ปล่อยก่อนเว้ย....ตอบแล้ว...ตอบแล้วก็ได้ แค่นี้ต้องรุนแรงกันด้วย ชอนชอนใจร้าย”
“ไม่ขำ...ตอบมา แกมาปลุกฉันดึก ๆ ดื่น ๆ ทำไม”
“ว่าแต่วันนี้แกไม่ไปเที่ยวไหนหรอ ฉันคิดว่าแกจะไม่อยู่บ้านซะอีก”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ถ้าฉันไม่อยู่แกคงไม่มาถึงนี่หรอไอ้บ้าเอาความจริง”
“ฉันโดนแจจุงสั่งห้ามเข้าใกล้... แล้วเขาก็ไม่อยากเจอหน้าฉันด้วย ฉันขอมาอยู่บ้านแกพักหนึ่งนะเพื่อนนะ....” ไอ้ยุนพูดพลางส่งสายตาอ้อน ๆ มาที่ผม
“แล้วแกจะบอกลุงซูโรยังไงหละ เขาเป็นผู้ปกครองแกอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรอ...ไม่กลัวเขาไปบอกพ่อแม่แกหรือไง”
“ฉันบอกเขาไปว่ามาช่วยติวหนังสือกับทำรายงานกับแกก่อนสอบกลางภาค ลุงแกก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“แล้วทำไมแกต้องเชื่อแจจุงด้วยว่ะ ไหนบอกไม่ได้คิดอะไรกับเขาไง แล้วทำไมเขาสั่งต้องทำด้วย....เป็นแค่เบ้นิหว่าไม่ใช่ทาส สัญญาเด็ก ๆ ทำไม ต้องจริงจังและทำทุกเรื่องตามที่เขาสั่งด้วย”
ผมที่ยังไม่เข้าใจสาเหตุ การหอบเสื้อผ้าของไอ้เพื่อนตัวดีมาอยู่กับผมแบบปัจจุบันทันด่วนนี่เท่าไรจึงเอ่ยถามความข้องใจออกมาทันที
“ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าสาเหตุมาจากแกเนี่ยแหละเพราะฉะนั้นแกต้องรับผิดชอบโดยให้ฉันมาอยู่ที่นี่ด้วย จนกว่าฉันจะแน่ใจอะไรบ้างอย่างจนตัดสินใจได้เสียก่อน เอาเป็นว่าฉันตอบคำถามแกหมดแล้ว งั้นก็แค่นี่แล้วกันฉันนอนหละ ง่วงจะตาย”
พูดจบไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็ล้มตัวลงนอนเลยทันที โดยที่ผมได้แต่อ้าปากค้างกับคำตอบของมัน ตกลงเรื่องของเรื่องเนี่ยความผิดมาจากผมตอนไหนเนี่ย มีใครอธิบายได้ดีกว่าไอ้หมีจอมขี้เกียจที่มันกำลังแย่งที่นอนของผมไหมเนี่ย
ผมได้แต่ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจว่าตูผิดตรงไหนฟ่ะ ไหงต้องมารับผิดชอบมันด้วย คิดพลางเก็บเสื้อผ้าที่มันโยนทิ้งกระจัดกระจายก่อนหน้านี้ลงตะกร้าอย่างจำใจ
..................
...........................
....................................
After that
“ยูชอนนายต่างหากที่ต้องสัญญา นายสัญญาสิว่าจะไม่ทิ้งจุนจังไปเหมือนพ่อกับแม่ที่ชอบทิ้งจุนจังไว้อยู่บ้านคนเดียว ยูชอนต้องอยู่เล่นกับจุนจังทุกวัน และคอยปกป้องจุนจังไม่ให้ใครมาแกล้งจุนจังเหมือนวันนี้ได้อีก ยูชอนสัญญากับจุนจังได้ไหม?”
ผมพยักหน้าแล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยกับมือป้อม ๆ เล็ก ๆ นั้นเป็นการทำสัญญาว่าผมจะคอยดูแลเขาตลอดไป
“ถ้าในเมื่อยูชอนสัญญาแล้ว จุนจังให้สัญญาบ้างก็ได้ว่า.....ถ้ายูชอนยอมเป็นอัศวินคอยปกป้องดูแลจุนจังแล้ว จุนจังก็จะยอมเป็นเจ้าสาวให้ยูชอนตอบแทน”
“จริง ๆ นะ จุนจังสัญญาแล้วนะ จุนจังต้องมาเป็นเจ้าสาวให้ยูชอนนะ” ผมย้ำถามร่างเล็กอ้วนป้อมตรงหน้าอย่างดีใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว จุนจังไม่ผิดสัญญาหรอก....เพราะฉะนั้น ยูชอนก็ห้ามผิดสัญญาด้วย อ่ะ...จุนจังให้” คนตัวเล็กร่างป้อมในวัยเยาว์ถอนสร้อยที่คอของตัวเองให้ผม พร้อมพูดเจื้อยแจ้วอย่างน่ารัก เห็นแล้วอย่างฟัดแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างของคนช่างเจรจานัก
“จุนจังชอบโลมา พ่อกับแม่จุนจังบอกว่าตอนจุนจังตัวเล็ก ๆ กว่านี้ชอบร้องเสียงเล็กแหลมอย่างกับโลมาเวลาโมโห พ่อกับแม่เลยทำสร้อยโลมาให้จุนจัง แล้วจุนจังก็ใส่ตลอดด้วย แต่ตอนนี้จุนจังให้ยูชอนนะแทนคำสัญญาของจุนจัง”
คนตัวเล็กกว่ายิ้มยิ่งฟันขาวเกือบ 32 ซี่ ผมพยักหน้าแล้วกำลังเอื้อมมือรับสร้อยที่คนตัวเล็กนั้นหยิบยื่นให้
ตึง ๆๆๆๆๆๆ
“ยูชอน....ยูชอน..โว้ย...เปิดประตูหน่อย เปิดหน่อย”
ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้ง...ความฝัน....ทั้งหมดนั้นความฝันหรอเนี่ย...ผมส่ายหัวไล่ความมึนงง และความง่วงออกไป ทำไมความฝันดี ๆ ในวัยเยาว์ผมกับจุนจังที่น่ารักของผมต้องมาถูกทำลายอีกครั้ง เพราะไอ้เพื่อนหน้าหมีนี่ด้วยเนี่ย สุดหล่ออยากบ้าตาย
หลังจากผมเอามือทึ้งหัวอย่างบ้าคลั้งด้วยความเครียดที่โดนขัดจังหวะเป็นครั้งที่ 2 แล้วเพราะไอ้เพื่อนตัวดีนี่ ผมก็จำต้องเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้มันอีกครั้งอย่างจนใจ
เพราะถึงจะคิดด่าตัวเองที่ให้คีย์การ์ดสำรองพร้อมรหัสมันไปก็ไม่มีประโยชน์ ไอ้ที่ล็อคห้องนอนนี่มันก็มาเคาะอย่างบ้าคลั่งมาแล้วนี่เป็นหนที่สอง หรือผมจะย้ายหนีมัน แต่คิดไปก็เท่านั้น ถึงหนีไปไกลแค่ไหนเดี๋ยวมันก็ตามกลิ่นผมเจออยู่ดี (พระเอกเค้าเป็นคนนะ....เดี๋ยวตีเลยปาร์คนิ)
พอผมเปิดประตูห้องนอนเท่านั้นแหละพายุหมี ๆ ก็เข้าซัดอีกรอบ เพราะประตูเปิดปุ๊บมันก็รีบพุ่งเข้ามาทันที
“กระเป๋าฉันอยู่ไหน”
มาถึงแทนที่มันจะขอโทษผมที่เข้ามารบกวน และกลับดึกไม่บอกไม่กล่าวแต่กลับมาถามว่ากระเป๋ามันอยู่ไหน ผมชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า เจ้าหมีบ้านี่ก็รีบพุ่งไปที่ตู้ทันที
“ทำไมถึงกลับดึกวันนี้ แล้วทำไมถึงไม่ไปตามนัดว่ะ” ผมถามเจ้าหมีบ้าพลังที่ตอนนี้มันกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บของใส่กระเป๋าโดยไม่สนใจเจ้าของห้องอย่างผมสักนิด
“แล้วแกชนะไหมหละ”
“ไม่น่าถาม” ได้ทีอย่างนี้ผมคุยทับทันทีพร้อมกับเปิดสวิทซ์ไฟ แล้วเดินกลับมานั่งที่เตียง
“ปาร์คยูชอนซะอย่างแพ้เป็นที่ไหน”
“ขี้คุย” ดูมันพูดแทนที่จะให้กำลังใจเพื่อนกลับมาซ้ำเติมกันได้
“ปากหรอนั้น...ฉันระดับไหนแล้วไอ้ยุน แล้วนี่แกจะเก็บเสื้อผ้าไปไหนอีก” ผมลองถามคนที่กำลังตั้งใจเก็บของอย่างบ้าคลั่งดูอีกครั้งเผื่อได้คำตอบที่ดีกว่าเดิมอีกสักนิด
“กลับบ้าน”
“กลับบ้าน...บ้านไหนของแก..อย่างบอกนะว่าแกจะกลับกวางจูแล้วเนื่ย”
“บ้านแกดิ...ฉันจะกลับบ้านที่รักของฉันเว้ย...”
“ที่รักของแก....ใครว่ะ....แกพูดอะไรของแกนี่ยฉันงงไปหมดแล้วนะเว้ย...แกดื่มมาหรือเปล่าว่ะ”
ผมพูดพร้อมกับเดินไปดมกลิ่นที่ตัวไอ้เพื่อนตัวดีผมทันที ที่ตอนนี้มันเก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วเตรียมตัวจะไปจากห้องผมด้วยท่าทางร่าเริงสุด ๆ
ทั้งที่ 2 3 อาทิตย์ก่อนที่มันมาอยู่ห้องผมบ้างกลับไปที่บ้านนั้นบ้างยังกับผีดิบเดินได้ ไม่เป็นอันกินอันนอนแต่ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อตอนเย็นที่หลังจากผมวิ่งตามเจ้าตัวเล็กของผมซะทั่วแล้วไม่เจอจนกลับมาหาไอ้เพื่อนบ้าที่ห้องสมุดแต่กลับไม่เจอใครเลย จนต้องรีบไปแข่งรถแก้มือให้พี่คังอินคนเดียวเพราะโดนพี่เขามาลากตัวไปถึงที่
“ฉันไม่ได้ดื่มสักหยด... ไม่ต้องห่วงสติสัมปะชัญญะครบถ้วน ไปนะ” พูดเสร็จมันก็คว้ากระเป๋าเดินตัวปลิวไปทันที ทิ้งให้ผมนั่งกุมขมับกับความผีเข้าผีออกของมันอยู่คนเดียว
“ไปแล้วไปลับนะไอ้เพื่อนเวร...” ผมแอบอวยพรให้มันพร้อมกับปิดไฟและล้มตัวนอนอย่างหงุดหงิด พร้อมจับจี้ปลาโลมาที่คอพร้อมกับคิดถึงจุนจังวัยเด็กในความทรงจำของผม
“ปานนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะจุนจัง ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญานะ แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กและเลือกไม่ได้จริง ๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันก็จะลองพยายามมากกว่านี้เพื่อจะได้กลับไปอยู่กับเธออีกครั้งเราจะได้ไม่ต้องจากกันเหมือนวันนี้”
................
.........................
.......................................
“นี่จุนจังเป็นอะไรไปอ่ะ ผมเห็นพี่หน้ามุ้ยมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“เงียบปากไปเลยไอ้เด็กบ้า แล้วหยุดเรียกฉันว่าจุนจังสักที...ฉันไม่ชอบ”
ผมที่กำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องบ้า ๆ เมื่อวานนี้ พร้อมทั้งหงุดหงิดที่เมื่อวานอุตส่าห์วิ่งไปหาน้ำหายาและน้ำแข็งเพื่อนำไม่ประคบเท้านางฟ้า...แต่พอกลับไปหาแล้วนางฟ้าก็หายไป ยังไม่ทันได้รู้ชื่อเลย
“ทำไมผมจะเรียกไม่ได้ก็พ่อแม่พี่เรียกพี่มาอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ผมก็เรียกตามคุณลุงคุณป้ามาตลอด ก็เรียกได้นิ แต่ทำไมวันนี้เรียกไม่ได้หละ”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ต้องมาเซ้าซี้มากน่า” ผมบอกอย่างรำคาญ
“ผมยังไม่เอาผิดกับพี่เรื่องเมื่อวานที่พี่ทิ้งหนังสือ แล้วแอบหนีกลับบ้านคนเดียวไม่อยู่ช่วยทำรายงานเลยนะ”
“นั้นมันเรื่องของฉันว่า แต่ว่าวันนี้ซึงรีไปไปไหนเนี่ยป่านนี้โรงเรียนจะเข้าแล้วทำไมยังไม่มาสักที”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่มันบ่นน่ารำคาญเกี่ยวกับเรื่องรายงานที่มันก็น่าจะรู้อยู่ว่ายังไงมันก็ต้องทำคนเดียวแล้วจะมาบ่นผมให้มันได้อะไรขึ้นมา
“ไม่รู้สิเมื่อวานไม่เห็นพูดอะไรเลย อยู่ทำรายงานกับผมจนดึก แล้วอยู่ ๆ ก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาหลังจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ก็มีรถสปอร์ตสีดำคันใหญ่ขับมายังกับพายุ ฝุ่นเงี้ย...ตลบเลย แล้วซึงรีก็หายไปพร้อมกับรถคันนั้นแหละ”
“เล่าซะเวอร์....ถามนิดเดียว นายนี่ช่างสังเกตุซะจริง”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะนั้นเป็นพรสวรรค์ของผม”
“ถ่อมตัวบ้างก็ได้ ไอ้เด็กขี้คุย” ผมยังอดแว๊ดใส่เจ้าเด็กบ้าเนี่ยไม่ได้สักที ตั้งแต่เล็กจนโตเลยสิน่า... ที่เจ้านี่คอยกวนประสาทผมบ่อย ๆ
“แล้วตกลงพี่จะไม่บอกใช่ไหมว่าพี่หายไปไหนมาเมื่อวาน” ผมอุตส่าห์วกไปเรื่องอื่นเจ้านี่ยังจะพยายามแวะกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้
“บอกแล้วไงช่างเมื่อเถอะ...แล้วไม่เตรียมตัวเรียนหรือไงหละ...อาจารย์จะเข้าแล้ว” ผมรีบไล่เจ้าเด็กจุ้นจ้านนี่ไปนั่งที่ทันทีด้วยความหมั่นไส้
“เอาเถอะ...เอาเถอะไม่บอกก็ไม่เป็นไรเพราะเดี๋ยวพี่ก็อกแตกตายเองแหละ เพราะทนเก็บความลับนั้นไม่ไหว ยังไงซะผมก็รู้จักนิสัยจุนจังดีที่สุด”
“ภูมิใจไปเถอะ แล้วนายจะผิดหวัง...ไปเรียนไป่....” ผมรีบไล่เจ้าตัวยุ่งไปทันทีอย่ารำคาญ พอถึงช่วงพักกลางวันผมจำต้องมานั่งกินข้าวพร้อมชางมินอีกครั้ง
“จุนจังไข่ม้วนไม่กินผมขอนะ” พูดเสร็จเจ้าตัวดีนี่ก็คีบไข่ม้วนแสนอร่อยจากถาดอาหารผมเข้าปากทันที โดนไม่รอให้ผมอนุญาต
“ฉันให้นายตั้งแต่เมื่อไร ไอ้เด็กตระกละ” ผมจ้องหน้าเจ้าจอมเขมิบอย่างเอาเป็นเอาตาย รู้ ๆ ก็รู้ว่าผมชอบไข่ม้วนที่สุดจะเก็บเอาไว้กินทีหลังกลับมาแย่งกินได้หน้าตาเฉย
“จุนจังไม่น่ารักเลยเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องสิ”
ดูมันยังทำเป็นพูดทีอย่างนี้ยกให้ผมเป็นพี่ ทั้ง ๆ ที่ปกติชอบเห็นผมเด็กกว่ามันยู่เรื่อย ข่มผมตลอดอย่างให้สูงบ้างแล้วกันไอ้เด็กโย่ง ผมได้แต่ทำปากขมุบขมิบด่าเจ้าเด็กแสบในใจ
ระหว่างที่ด่าแช่งเจ้านี้อยู่ ก็ได้มีวัตถุประหลาดสีเหลืองนวลมาวางแหมะอยู่ที่ถ้วยข้าวของผม...ไข่ม้วน..ของใครอ่ะ...ผมหันไปหาคำตอบทันที ปรากฎเป็นร่างหนุ่มหน้าผากกว้างผมหยักศก รอยยิ้มบาดใจสาว ปาร์คยูชอน มานั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างผม
“ไม่กินซะหละ เดี๋ยวก็โดนแย่งอีกหรอก”
ผมได้แต่มองไข่ม้วนในถ้วยกับหน้ายูชอนสลับไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้จะดีใจแต่ความรู้สึกข้างในก็บอกผมว่าไม่ควรรับของจากคนนี้ง่าย ๆ ถึงแม้จะเป็นแค่ไข่ม้วนก็ตาม
ผมวางตะเกียบลงบนถาดทันทีพร้มกับหยิบช้อนมาวางคู่กัน เป็นท่าทางที่บ่งบอกว่าอิ่มแล้ว ยกน้ำขึ้นมาดื่มแล้วเตรียมตัวยกถาดอาหารไปเก็บที่วางจานชามทันที แต่ก็มีมือปริศนาจับผมไว้
“คุยกันสักเดี๋ยวไม่ได้หรอ ทำไมนายถึงต้องหลบหน้าฉันตลอดเลย” ผมพยายามไม่มองหน้าตอบเพราะกลัวใจตัวเองเหลือเกินที่มันกำลังสั่นเพราะคน ๆ นี้อีกแล้ว
“รุ่นพี่มีอะไรจะใช้ผมหรอครับ แต่พอดีช่วงบ่ายผมไม่ว่างมีกิจกรรมที่ห้องคงต้องขอตัว ไปกันเถอะชางมิน” ผมรีบบ่ายเบี่ยงเพราะยังทำใจไม่ได้กับหลาย ๆ เรื่องและยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากันจริง ๆ จึงได้แต่หาทางเลี่ยงโดยใช้ชางมินเป็นโล่ห์
“กิจกรรมอะไร..ทำไมฉันจำไม่เห็นได้เลยจุนซูว่าช่วงบ่ายนี้มีงาน จำได้แต่บ่ายนี้ว่างเพราะอาจารย์ให้แยกย้ายกันไปทำรายงานต่อซึ่งกลุ่มเราก็ทำเสร็จตั้งนานแล้ว”
ชางมินตอบผมหน้าตายแถมยังก้มหน้าก้มตากินต่ออย่างไม่สนใจ ไอ้เด็กนรกบทจะซื่อก็ทำเป็นซื่อจนน่าหมั่นไส้อย่าให้พ่อรู้ว่าแกล้งกันนะ พ่อจะจับเจ้ามังดุลลูกแกใช้ชยากี้ฉันขย้ำให้ดู
“งั้นก็ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพี่ของยืมตัวเพื่อนนายสักเดี๋ยวนะ ส่วนถาดพวกนี้ฝากนายด้วยนะ อาหารในถาดพี่ยังไม่ได้กินเลยพอดีพี่ไม่ค่อยชอบสักเท่าไรฝากนายด้วยแล้วกัน เออ...แล้วพอดีพี่ได้บัตรขนมร้านตรงนั้นมาฟรีตั้งหลายใบ แต่พี่ก็ไม่ค่อยชอบกินของหวานด้วยสิ เอาเป็นว่าพี่ให้นายหมดเลยแล้วกันฝากด้วยนะ”
เสร็จจากการฝากฝั่งอาหารและชี้บอกแหล่งขุมทรัพย์ขนมหวานให้เจ้าจอมตระกละชางมินที่ขายพี่เพียงเพื่อแลกกับอาหารเรียบร้อยแล้ว ยูชอนก็ลากผมมาทางศาลาริมน้ำทันที พอถึงที่ผมก็สะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมทันที
“รุ่นพี่มีธุระอะไรพูดมาดีกว่า”
“เออ...คือ..ว่า...คือ...จะเริ่มต้นยังไงดีหละ”
“คืออะไรหละครับที่อยากจะพูด” ผมเอียงคอมอง แล้วถามอย่างสงสัย
“คือว่านายมีพี่สาวไหม” ที่นายลากฉันมาตั้งนานเพื่อถามแค่นี้หรอยูชอนแอบดีใจแทบตายว่านายจำฉันได้ ที่แท้ก็หวังหม้อพี่สาวฉันหวังเก็บแต้มหรือไงกัน
“ไม่มี” ผมตอบฮ้วน ๆ กลับไป
“น้องสาวหละ”
“ไม่มี”
“ไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ ก็ได้แต่เป็นญาติที่หน้าตาคล้าย ๆ นายที่เป็นผู้หญิงไม่มีบ้างเลยหรอ”
“ไม่มี.. ไม่มี ...ไม่มี.. พอใจยังครับถ้าต้องการถามแค่นี้ผมขอตัว” ผมเตรียมจะเดินหนีทันที แต่ยูชอนก็ขวางเอาไว้
“อย่าพึ่งโมโหสิฉันแค่อยากรู้นิดหน่อยเอง ใจร้อนไปได้ ว่าแต่ไม่มีจริง ๆ หรอ” ผมหันไปมองตาขวาง
“มีก็ได้ครับถ้ารุ่นพี่อยากรู้มาก คงมีอยู่คนหนึ่ง หน้าตาเหมือนผมมาก เป็นผู้หญิงเหมือนที่รุ่นพี่ต้องการ” ยูชอนทำท่าดีใจทำตาโตอย่างยินดีกับคำตอบที่ได้ฟัง พร้อมทั้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างต้องการฟังคำตอบ
“แม่ผมอย่างไงหละครับหน้าเหมือนผมมากๆๆ จนแทบจะแยกกันไม่ออก พอใจยังครับ” พอให้ฟังคำตอบยูชอนถึงกับหุบยิ้มทันที ซึ่งท่าทีผิดหวังนั้นทำให้ผมอดยิ้มย่องในใจเสียไม่ได้
“ถ้าต้องการคำตอบเพียงแค่นี้ผมขอตัวนะครับ” ผมตั้งท่าจะเดินหนีอีกครั้ง แต่แปลกที่คราวนี้ไม่ยักห้าม อีกทั้งยังนั่งนิ่งทำหน้าซึมดูน่าสงสารอีก ไอ้ผมก็ใจอ่อนเสียด้วยสิ ผมตัดสินใจนั่งลงข้างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่ไปแล้วหรอ”
“อืม...เดินมาไกลเมื่อย..ว่าจะนั่งพักก่อนค่อยไป” ผมที่ยังคงทำเป็นสนใจวิวรอบตัวอ่อมแอ้มตอบไป แล้วความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุม
“นายเคยมีรักแรกไหม” คนที่เงียบตั้งนานอยู่ ๆ ก็ถามขึ้น
“เคย ถามทำไม?”
“ตอนอายุเท่าไร?”
“จำไม่ค่อยได้ 6-7 ขวบมั้ง”
“แก่แดด...ตัวเท่านั้นริมีความรักและ” ผมหันขวับกลับไปมองตาเขียวทันที ทำไมเด็กไม่มีหัวใจรึไงฟ่ะ
“แล้วรุ่นพี่หละตอนอายุเท่าไร?” ผมถามกลับไปบ้าง
“หมายถึงอะไรเสียเวอร์จิ้น นะหรอตั้งแต่อายุ 14” หันมาตอบผมหน้าตาเฉย
“จะบ้าหรอเรื่องนั้นใครเขาจะอยารู้กัน ผมถามแบบนั้นซะเมื่อไร” ผมหน้าแดงกับคำตอบบ้า ๆ นั้นทันที
“อ้าวนึกว่าถามถึงเรื่องนั้น ก็ประมาณตอน 6-7 ขวบพอกันแหละ”
“โธ่...ทำมาพูดแก่แดดเหมือนกันแหละ แวะ... ว่าแต่พูดจริงหรอที่เสียเวอร์จิ้นตอนที่ 14” ถึงน่าอายแต่มันก็อดสงสัยไม่ได้จริง ๆ นิหน่าเล่นพูดเปิดช่องให้คิดแบบนั้น
“จะบ้าหรอ...ล้อเล่นน่า...”
“จริงอ่ะ แล้วตกลงตอนอายุเท่าไร”(ไหนว่าไม่อยากรู้ไงจุนจัง ยัง...ยังจะไม่เลิกนะ)
“เป็นความลับไว้นายมาเป็นแฟนฉันก่อนสิแล้วจะบอก” ยูชอนยิ้มให้ผมอย่างเจ้าเล่ห์
“ฝันไปเถอะ..ไม่อยากรู้ก็ได้ เชอะ..” ผมสะบัดหน้าหนี้รอยยิ้มขบขันเหมือนเห็นผมเป็นตัวตลกของคนตรงหน้า แล้วลุกขึ้นทันที
“เดี๋ยวสิคุยกับนายสนุกจะตาย จะรีบไปไหนซะแล้วหละ”
“หายเมื่อยแล้วจะกลับห้องเรียน”
“ไม่มีเรียนไม่ใช่หรอ...นั่งเล่นเป็นเพื่อนกันก่อนสิ......เหงา” ผมหูฝาดหรือเปล่าคนอย่างปาร์คยูชอนนะเหงาบ้าไปแล้วข่าวว่าตานี่เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ชอบสังสรรค์เข้าสังคมที่สุดจะเหงา...ไม่น่าเชื่อ ผมมองอย่างอึ้ง ๆ
“ทำไม..นายไม่เชื่อหรอ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“คนเรายิ่งมีคนเข้ามารุมล้อมมากเท่าไรก็ยิ่งเหงานะ” ผมส่ายหัวไม่เข้าใจกับคำพูดนั้นสักเท่าไร
“ฮ่าๆๆๆ ก็เพราะคนที่รุมล้อมไม่ใช่คนที่เราต้องการสักคน และก็ไม่ใช่คนที่จริงใจกับเราเลยสักคน แล้วแบบนี้ไม่เหงาหรอ?” ผมกลายเป็นคนถูกถามซะงั้น
“คงงั้นมั้ง ปกติผมไม่ค่อยมีใครมารุมล้อมหรอก คนจริงใจหรือไม่จริงนั้นยิ่งไม่รู้ใหญ่ ชีวิตผมมีเพื่อนสนิทจริง ๆ ไม่กี่คนเอง อย่างชางมินถึงปากเสียชอบจิกกัดผมบ้าง ทำตัววุ่นวายเหมือนตัวเองเป็นพี่ผมบ้าง แต่ผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่าถ้าหมอนี้จมน้ำตายตรงหน้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นผมก็ไม่ลังเลที่จะไปช่วย” ยูชอนฟังแล้วพยักหน้าตามผมช้า ๆ
“แล้วถ้าเป็นฉันหละ ถ้าฉันจมน้ำบ้างนายจะลงไปช่วยไหม?”
“ไม่..” ผมตอบทันควัน เป็นผลให้ยูชอนหน้าเจื่อนทันที
“ก็พี่คงว่ายน้ำเป็น แล้วสาว ๆ ก็รอช่วยพี่อีกเป็นสิบ ทำไมผมถึงต้องยอมเปลืองตัวโดนลงไปช่วยด้วยหละ”
“น่าน้อยใจชะมัด..ไอ้เราก็อยากให้ช่วย” ยูชอนทำน้าผิดหวังพูดเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ
“รุ่นพี่ว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัดอ่ะ”
“ช่างมันเถอะ..นายมันคนใจดำ คนตกน้ำตรงหน้าก็ไม่คิดช่วย”
“รุ่นพี่ป่วยหรือเปล่าเนี่ย เรื่องสมมุติทำเป็นจริงจังไปได้”
“แล้วท่ามันเกิดขึ้นจริงหละ นายจะไมช่วยฉันจริง ๆ หรอ” คนที่พูดแย่เล่นตอนแรกกลับมีท่าทีโมโหขึ้นมาเสียจนผมตกใจ
“แล้วจะมาเสียงดังใส่ผมทำไมหละ แค่เรื่องสมมุติ ตกใจหมด” ผมเสียงดังใส่บ้าง พลางเอามือลูบหน้าอกอย่างปลอบขวัญตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ เลยแล้วกัน”
ตูม.........พูดเสร็จก็กระโดดจากศาลาลงสระบัวเบื้องหน้าทันที เล่นเอาผมตกใจตาค้างทำอะไรไม่ถูก
“รุ่นพี่..ทำบ้าอะไรเนี่ย ขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ยูชอน ปาร์คยูชอนนนนน ยูชอน” ผมร้องเรียกอย่างเสียขวัญเมื่อคนที่กระโดดลงไปผุบหายไปในสายน้ำไม่มีทีท่าว่าจะโผ่ขึ้นมาสักที
“ยูชอนอย่าเล่นอะไรบ้า ๆ แบบนี้นะ ฉันไม่ขำด้วยนะ ยูชอนนายยังไม่มาชดใช้คำสัญญาของฉันเลยนะ ปาร์คยูชอน”
ผมที่ลังเลในตอนแรกว่ายูชอนคงจะแกล้งผมเล่น แต่โดดลงไปนานขนาดนั้นไม่โผ่ขึ้นมาสักที คงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วแหละ ผมจึงรีบถอดเสื้อสูท แล้วเนคไทค์ออกทันที
เหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน แล้วกระโดดลงไปเพื่อหวังช่วยยูชอนทันที
......... ตูม.....
“ยูชอน ปาร์คยูชอน...นายอยู่ไหนอ่า.... อย่าเล่นแบบนี้นะ...”
ผมดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ทั้ง ๆ ที่ลืมไปว่า...ตัวเองนั้นว่ายน้ำไม่เป็น และแล้วความกลัวในวัยเด็กของผมผุดขึ้นมาในหัวทันที เหตุการณ์ที่ผมพบกับยูชอนครั้งแรก
ตอนผมถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนแกล้งที่ไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อม ๆ กับเพื่อน เพราะอายเนื่องจาไม่ชินที่ต้องทำอะไรพร้อมคนจำนวนมาก เพราะผมถูกพ่อแม่ และย่าเลื้ยงมาเหมือนเด็กผู้หญิง จนได้โดนแกล้งเอากระเป๋าไปทิ้งในสระว่ายน้ำตอนเลิกเรียน
แล้วตอนนั้นเองที่ผมเกือบจมน้ำตายเพราะต้องการไปเก็บกระเป๋าทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น จนได้เจอกับยูชอนที่เข้ามาช่วยผมไว้ได้ทัน ผมคิดย้อนถึงภาพ ๆ นั้นในขณะที่ตัวผมเองตอนนี้กำลังสำลักน้ำ แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหนักขึ้น หนักขึ้นทุกทีกำลังจะจมลงไปยังก้นบึงของสระ ไม่ต่างจากวันนี้เลยสักนิด ก่อนที่สติของผมจะดับไป
“ทำไมจุนจังพูดแบบนี้หละ เราเสียใจนะจุนจังไม่รักเราเลย เราโกรธจุนจังแล้วด้วย”
“ยูชอนนายฟังเราก่อนสิ คือ เรา เรา เป็น... เป็น..ผู้..ชะ”
“ยูชอน..ไอ้ยูชอน...... ตื่นดิว่ะ.... ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย.....ยูชอน..ตึ้งๆๆๆๆๆๆ”
“โว้ย.....ใครว่ะ....โธ่เว้ย...ขัดจังหวะจริงๆๆๆ”
ผมที่กำลังฝันดี ๆ อยู่เชียว ดันถูกขัดจังหวะซะได้ ผมเดินงัวเงีย ขยี้หูขยี้ตาเดินไปเปิดประตูห้องนอน พอผมเปิดประตูได้เท่านั้นแหละก็เจอเข้ากับพายุหมี ๆ ซัดใส่ผมจนเซเลยทันที
“ทำไมเปิดช้าจังว่ะ ฉันเคาะเรียกแกตั้งนาน นึกว่าตายในห้องซะแล้ว”
ดูมันนะครับเข้ามาได้ก็รัวใส่ผมเป็นชุด แถมยังโยนกระเป๋าเสื้อผ้ามาไว้ไม่เป็นที่อีก แล้วยังไม่พอ พอมันเข้าห้องผมได้ก็ถอดเสื้อผ้าเหวี่ยงสุ่มไปทั่ว เหลือแต่เสื้อกล้ามกับบ๊อกเซอร์แล้วก็รีบเดินเข้าไปมุดผ้าห่มที่เตียงผมนอนอย่างสบายใจทันที ว่าแต่ว่าที่มันมาปลุกผมดึกดื่นปานนี้เพราะอะไรกัน
“ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะแก...ปลุกฉันแล้วจะมานอนหน้าตาเฉยแบบนี้เนี่ยนะ ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนเลย” ผมรีบเดินไปฉุดไอ้เพื่อนจอมวุ่นของผมจากเตียงอันแสนสบายของผมทันที
“อะไรอีกว่ะ.....คนจะนอน ยิ่งเหนื่อย ๆ อยู่” ในที่สุดผมก็งัดมันขึ้นมานั่งคุยได้สักที หลังจากที่พยายามปลุกปล่ำมันอยู่นาน
“แกเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาแบบนี้หมายความว่ายังไง ที่นั้นไล่แกมาหรือไง แล้วพ่อกับแม่แกหละท่านว่ายังไง แล้ว...” ไอ้ยุนรีบยกมือขึ้นห้ามผมทันที ผมจึงหยุดคำถามลงได้
“หยุดเลย...เอาคำตอบไหน..”
“ทุกคำถามแหละตอบมาให้หมด...” ไอ้ยุนมองผมส่ายหน้าแล้วทำท่าจะลงไปนอนต่อ แต่ผมก็ไวพอจะล็อคคอมันขึ้นมาถามทันทีโดนมันยังเอนหลังไม่ถึงพื้นที่นอนด้วยซ้ำ
“เฮ้ยๆๆๆๆ....ปล่อยก่อนเว้ย....ตอบแล้ว...ตอบแล้วก็ได้ แค่นี้ต้องรุนแรงกันด้วย ชอนชอนใจร้าย”
“ไม่ขำ...ตอบมา แกมาปลุกฉันดึก ๆ ดื่น ๆ ทำไม”
“ว่าแต่วันนี้แกไม่ไปเที่ยวไหนหรอ ฉันคิดว่าแกจะไม่อยู่บ้านซะอีก”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ถ้าฉันไม่อยู่แกคงไม่มาถึงนี่หรอไอ้บ้าเอาความจริง”
“ฉันโดนแจจุงสั่งห้ามเข้าใกล้... แล้วเขาก็ไม่อยากเจอหน้าฉันด้วย ฉันขอมาอยู่บ้านแกพักหนึ่งนะเพื่อนนะ....” ไอ้ยุนพูดพลางส่งสายตาอ้อน ๆ มาที่ผม
“แล้วแกจะบอกลุงซูโรยังไงหละ เขาเป็นผู้ปกครองแกอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรอ...ไม่กลัวเขาไปบอกพ่อแม่แกหรือไง”
“ฉันบอกเขาไปว่ามาช่วยติวหนังสือกับทำรายงานกับแกก่อนสอบกลางภาค ลุงแกก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“แล้วทำไมแกต้องเชื่อแจจุงด้วยว่ะ ไหนบอกไม่ได้คิดอะไรกับเขาไง แล้วทำไมเขาสั่งต้องทำด้วย....เป็นแค่เบ้นิหว่าไม่ใช่ทาส สัญญาเด็ก ๆ ทำไม ต้องจริงจังและทำทุกเรื่องตามที่เขาสั่งด้วย”
ผมที่ยังไม่เข้าใจสาเหตุ การหอบเสื้อผ้าของไอ้เพื่อนตัวดีมาอยู่กับผมแบบปัจจุบันทันด่วนนี่เท่าไรจึงเอ่ยถามความข้องใจออกมาทันที
“ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าสาเหตุมาจากแกเนี่ยแหละเพราะฉะนั้นแกต้องรับผิดชอบโดยให้ฉันมาอยู่ที่นี่ด้วย จนกว่าฉันจะแน่ใจอะไรบ้างอย่างจนตัดสินใจได้เสียก่อน เอาเป็นว่าฉันตอบคำถามแกหมดแล้ว งั้นก็แค่นี่แล้วกันฉันนอนหละ ง่วงจะตาย”
พูดจบไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็ล้มตัวลงนอนเลยทันที โดยที่ผมได้แต่อ้าปากค้างกับคำตอบของมัน ตกลงเรื่องของเรื่องเนี่ยความผิดมาจากผมตอนไหนเนี่ย มีใครอธิบายได้ดีกว่าไอ้หมีจอมขี้เกียจที่มันกำลังแย่งที่นอนของผมไหมเนี่ย
ผมได้แต่ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจว่าตูผิดตรงไหนฟ่ะ ไหงต้องมารับผิดชอบมันด้วย คิดพลางเก็บเสื้อผ้าที่มันโยนทิ้งกระจัดกระจายก่อนหน้านี้ลงตะกร้าอย่างจำใจ
..................
...........................
....................................
After that
“ยูชอนนายต่างหากที่ต้องสัญญา นายสัญญาสิว่าจะไม่ทิ้งจุนจังไปเหมือนพ่อกับแม่ที่ชอบทิ้งจุนจังไว้อยู่บ้านคนเดียว ยูชอนต้องอยู่เล่นกับจุนจังทุกวัน และคอยปกป้องจุนจังไม่ให้ใครมาแกล้งจุนจังเหมือนวันนี้ได้อีก ยูชอนสัญญากับจุนจังได้ไหม?”
ผมพยักหน้าแล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยกับมือป้อม ๆ เล็ก ๆ นั้นเป็นการทำสัญญาว่าผมจะคอยดูแลเขาตลอดไป
“ถ้าในเมื่อยูชอนสัญญาแล้ว จุนจังให้สัญญาบ้างก็ได้ว่า.....ถ้ายูชอนยอมเป็นอัศวินคอยปกป้องดูแลจุนจังแล้ว จุนจังก็จะยอมเป็นเจ้าสาวให้ยูชอนตอบแทน”
“จริง ๆ นะ จุนจังสัญญาแล้วนะ จุนจังต้องมาเป็นเจ้าสาวให้ยูชอนนะ” ผมย้ำถามร่างเล็กอ้วนป้อมตรงหน้าอย่างดีใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว จุนจังไม่ผิดสัญญาหรอก....เพราะฉะนั้น ยูชอนก็ห้ามผิดสัญญาด้วย อ่ะ...จุนจังให้” คนตัวเล็กร่างป้อมในวัยเยาว์ถอนสร้อยที่คอของตัวเองให้ผม พร้อมพูดเจื้อยแจ้วอย่างน่ารัก เห็นแล้วอย่างฟัดแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างของคนช่างเจรจานัก
“จุนจังชอบโลมา พ่อกับแม่จุนจังบอกว่าตอนจุนจังตัวเล็ก ๆ กว่านี้ชอบร้องเสียงเล็กแหลมอย่างกับโลมาเวลาโมโห พ่อกับแม่เลยทำสร้อยโลมาให้จุนจัง แล้วจุนจังก็ใส่ตลอดด้วย แต่ตอนนี้จุนจังให้ยูชอนนะแทนคำสัญญาของจุนจัง”
คนตัวเล็กกว่ายิ้มยิ่งฟันขาวเกือบ 32 ซี่ ผมพยักหน้าแล้วกำลังเอื้อมมือรับสร้อยที่คนตัวเล็กนั้นหยิบยื่นให้
ตึง ๆๆๆๆๆๆ
“ยูชอน....ยูชอน..โว้ย...เปิดประตูหน่อย เปิดหน่อย”
ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้ง...ความฝัน....ทั้งหมดนั้นความฝันหรอเนี่ย...ผมส่ายหัวไล่ความมึนงง และความง่วงออกไป ทำไมความฝันดี ๆ ในวัยเยาว์ผมกับจุนจังที่น่ารักของผมต้องมาถูกทำลายอีกครั้ง เพราะไอ้เพื่อนหน้าหมีนี่ด้วยเนี่ย สุดหล่ออยากบ้าตาย
หลังจากผมเอามือทึ้งหัวอย่างบ้าคลั้งด้วยความเครียดที่โดนขัดจังหวะเป็นครั้งที่ 2 แล้วเพราะไอ้เพื่อนตัวดีนี่ ผมก็จำต้องเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้มันอีกครั้งอย่างจนใจ
เพราะถึงจะคิดด่าตัวเองที่ให้คีย์การ์ดสำรองพร้อมรหัสมันไปก็ไม่มีประโยชน์ ไอ้ที่ล็อคห้องนอนนี่มันก็มาเคาะอย่างบ้าคลั่งมาแล้วนี่เป็นหนที่สอง หรือผมจะย้ายหนีมัน แต่คิดไปก็เท่านั้น ถึงหนีไปไกลแค่ไหนเดี๋ยวมันก็ตามกลิ่นผมเจออยู่ดี (พระเอกเค้าเป็นคนนะ....เดี๋ยวตีเลยปาร์คนิ)
พอผมเปิดประตูห้องนอนเท่านั้นแหละพายุหมี ๆ ก็เข้าซัดอีกรอบ เพราะประตูเปิดปุ๊บมันก็รีบพุ่งเข้ามาทันที
“กระเป๋าฉันอยู่ไหน”
มาถึงแทนที่มันจะขอโทษผมที่เข้ามารบกวน และกลับดึกไม่บอกไม่กล่าวแต่กลับมาถามว่ากระเป๋ามันอยู่ไหน ผมชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า เจ้าหมีบ้านี่ก็รีบพุ่งไปที่ตู้ทันที
“ทำไมถึงกลับดึกวันนี้ แล้วทำไมถึงไม่ไปตามนัดว่ะ” ผมถามเจ้าหมีบ้าพลังที่ตอนนี้มันกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บของใส่กระเป๋าโดยไม่สนใจเจ้าของห้องอย่างผมสักนิด
“แล้วแกชนะไหมหละ”
“ไม่น่าถาม” ได้ทีอย่างนี้ผมคุยทับทันทีพร้อมกับเปิดสวิทซ์ไฟ แล้วเดินกลับมานั่งที่เตียง
“ปาร์คยูชอนซะอย่างแพ้เป็นที่ไหน”
“ขี้คุย” ดูมันพูดแทนที่จะให้กำลังใจเพื่อนกลับมาซ้ำเติมกันได้
“ปากหรอนั้น...ฉันระดับไหนแล้วไอ้ยุน แล้วนี่แกจะเก็บเสื้อผ้าไปไหนอีก” ผมลองถามคนที่กำลังตั้งใจเก็บของอย่างบ้าคลั่งดูอีกครั้งเผื่อได้คำตอบที่ดีกว่าเดิมอีกสักนิด
“กลับบ้าน”
“กลับบ้าน...บ้านไหนของแก..อย่างบอกนะว่าแกจะกลับกวางจูแล้วเนื่ย”
“บ้านแกดิ...ฉันจะกลับบ้านที่รักของฉันเว้ย...”
“ที่รักของแก....ใครว่ะ....แกพูดอะไรของแกนี่ยฉันงงไปหมดแล้วนะเว้ย...แกดื่มมาหรือเปล่าว่ะ”
ผมพูดพร้อมกับเดินไปดมกลิ่นที่ตัวไอ้เพื่อนตัวดีผมทันที ที่ตอนนี้มันเก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วเตรียมตัวจะไปจากห้องผมด้วยท่าทางร่าเริงสุด ๆ
ทั้งที่ 2 3 อาทิตย์ก่อนที่มันมาอยู่ห้องผมบ้างกลับไปที่บ้านนั้นบ้างยังกับผีดิบเดินได้ ไม่เป็นอันกินอันนอนแต่ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อตอนเย็นที่หลังจากผมวิ่งตามเจ้าตัวเล็กของผมซะทั่วแล้วไม่เจอจนกลับมาหาไอ้เพื่อนบ้าที่ห้องสมุดแต่กลับไม่เจอใครเลย จนต้องรีบไปแข่งรถแก้มือให้พี่คังอินคนเดียวเพราะโดนพี่เขามาลากตัวไปถึงที่
“ฉันไม่ได้ดื่มสักหยด... ไม่ต้องห่วงสติสัมปะชัญญะครบถ้วน ไปนะ” พูดเสร็จมันก็คว้ากระเป๋าเดินตัวปลิวไปทันที ทิ้งให้ผมนั่งกุมขมับกับความผีเข้าผีออกของมันอยู่คนเดียว
“ไปแล้วไปลับนะไอ้เพื่อนเวร...” ผมแอบอวยพรให้มันพร้อมกับปิดไฟและล้มตัวนอนอย่างหงุดหงิด พร้อมจับจี้ปลาโลมาที่คอพร้อมกับคิดถึงจุนจังวัยเด็กในความทรงจำของผม
“ปานนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะจุนจัง ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญานะ แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กและเลือกไม่ได้จริง ๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันก็จะลองพยายามมากกว่านี้เพื่อจะได้กลับไปอยู่กับเธออีกครั้งเราจะได้ไม่ต้องจากกันเหมือนวันนี้”
................
.........................
.......................................
“นี่จุนจังเป็นอะไรไปอ่ะ ผมเห็นพี่หน้ามุ้ยมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“เงียบปากไปเลยไอ้เด็กบ้า แล้วหยุดเรียกฉันว่าจุนจังสักที...ฉันไม่ชอบ”
ผมที่กำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องบ้า ๆ เมื่อวานนี้ พร้อมทั้งหงุดหงิดที่เมื่อวานอุตส่าห์วิ่งไปหาน้ำหายาและน้ำแข็งเพื่อนำไม่ประคบเท้านางฟ้า...แต่พอกลับไปหาแล้วนางฟ้าก็หายไป ยังไม่ทันได้รู้ชื่อเลย
“ทำไมผมจะเรียกไม่ได้ก็พ่อแม่พี่เรียกพี่มาอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ผมก็เรียกตามคุณลุงคุณป้ามาตลอด ก็เรียกได้นิ แต่ทำไมวันนี้เรียกไม่ได้หละ”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ต้องมาเซ้าซี้มากน่า” ผมบอกอย่างรำคาญ
“ผมยังไม่เอาผิดกับพี่เรื่องเมื่อวานที่พี่ทิ้งหนังสือ แล้วแอบหนีกลับบ้านคนเดียวไม่อยู่ช่วยทำรายงานเลยนะ”
“นั้นมันเรื่องของฉันว่า แต่ว่าวันนี้ซึงรีไปไปไหนเนี่ยป่านนี้โรงเรียนจะเข้าแล้วทำไมยังไม่มาสักที”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่มันบ่นน่ารำคาญเกี่ยวกับเรื่องรายงานที่มันก็น่าจะรู้อยู่ว่ายังไงมันก็ต้องทำคนเดียวแล้วจะมาบ่นผมให้มันได้อะไรขึ้นมา
“ไม่รู้สิเมื่อวานไม่เห็นพูดอะไรเลย อยู่ทำรายงานกับผมจนดึก แล้วอยู่ ๆ ก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาหลังจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ก็มีรถสปอร์ตสีดำคันใหญ่ขับมายังกับพายุ ฝุ่นเงี้ย...ตลบเลย แล้วซึงรีก็หายไปพร้อมกับรถคันนั้นแหละ”
“เล่าซะเวอร์....ถามนิดเดียว นายนี่ช่างสังเกตุซะจริง”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะนั้นเป็นพรสวรรค์ของผม”
“ถ่อมตัวบ้างก็ได้ ไอ้เด็กขี้คุย” ผมยังอดแว๊ดใส่เจ้าเด็กบ้าเนี่ยไม่ได้สักที ตั้งแต่เล็กจนโตเลยสิน่า... ที่เจ้านี่คอยกวนประสาทผมบ่อย ๆ
“แล้วตกลงพี่จะไม่บอกใช่ไหมว่าพี่หายไปไหนมาเมื่อวาน” ผมอุตส่าห์วกไปเรื่องอื่นเจ้านี่ยังจะพยายามแวะกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้
“บอกแล้วไงช่างเมื่อเถอะ...แล้วไม่เตรียมตัวเรียนหรือไงหละ...อาจารย์จะเข้าแล้ว” ผมรีบไล่เจ้าเด็กจุ้นจ้านนี่ไปนั่งที่ทันทีด้วยความหมั่นไส้
“เอาเถอะ...เอาเถอะไม่บอกก็ไม่เป็นไรเพราะเดี๋ยวพี่ก็อกแตกตายเองแหละ เพราะทนเก็บความลับนั้นไม่ไหว ยังไงซะผมก็รู้จักนิสัยจุนจังดีที่สุด”
“ภูมิใจไปเถอะ แล้วนายจะผิดหวัง...ไปเรียนไป่....” ผมรีบไล่เจ้าตัวยุ่งไปทันทีอย่ารำคาญ พอถึงช่วงพักกลางวันผมจำต้องมานั่งกินข้าวพร้อมชางมินอีกครั้ง
“จุนจังไข่ม้วนไม่กินผมขอนะ” พูดเสร็จเจ้าตัวดีนี่ก็คีบไข่ม้วนแสนอร่อยจากถาดอาหารผมเข้าปากทันที โดนไม่รอให้ผมอนุญาต
“ฉันให้นายตั้งแต่เมื่อไร ไอ้เด็กตระกละ” ผมจ้องหน้าเจ้าจอมเขมิบอย่างเอาเป็นเอาตาย รู้ ๆ ก็รู้ว่าผมชอบไข่ม้วนที่สุดจะเก็บเอาไว้กินทีหลังกลับมาแย่งกินได้หน้าตาเฉย
“จุนจังไม่น่ารักเลยเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องสิ”
ดูมันยังทำเป็นพูดทีอย่างนี้ยกให้ผมเป็นพี่ ทั้ง ๆ ที่ปกติชอบเห็นผมเด็กกว่ามันยู่เรื่อย ข่มผมตลอดอย่างให้สูงบ้างแล้วกันไอ้เด็กโย่ง ผมได้แต่ทำปากขมุบขมิบด่าเจ้าเด็กแสบในใจ
ระหว่างที่ด่าแช่งเจ้านี้อยู่ ก็ได้มีวัตถุประหลาดสีเหลืองนวลมาวางแหมะอยู่ที่ถ้วยข้าวของผม...ไข่ม้วน..ของใครอ่ะ...ผมหันไปหาคำตอบทันที ปรากฎเป็นร่างหนุ่มหน้าผากกว้างผมหยักศก รอยยิ้มบาดใจสาว ปาร์คยูชอน มานั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างผม
“ไม่กินซะหละ เดี๋ยวก็โดนแย่งอีกหรอก”
ผมได้แต่มองไข่ม้วนในถ้วยกับหน้ายูชอนสลับไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้จะดีใจแต่ความรู้สึกข้างในก็บอกผมว่าไม่ควรรับของจากคนนี้ง่าย ๆ ถึงแม้จะเป็นแค่ไข่ม้วนก็ตาม
ผมวางตะเกียบลงบนถาดทันทีพร้มกับหยิบช้อนมาวางคู่กัน เป็นท่าทางที่บ่งบอกว่าอิ่มแล้ว ยกน้ำขึ้นมาดื่มแล้วเตรียมตัวยกถาดอาหารไปเก็บที่วางจานชามทันที แต่ก็มีมือปริศนาจับผมไว้
“คุยกันสักเดี๋ยวไม่ได้หรอ ทำไมนายถึงต้องหลบหน้าฉันตลอดเลย” ผมพยายามไม่มองหน้าตอบเพราะกลัวใจตัวเองเหลือเกินที่มันกำลังสั่นเพราะคน ๆ นี้อีกแล้ว
“รุ่นพี่มีอะไรจะใช้ผมหรอครับ แต่พอดีช่วงบ่ายผมไม่ว่างมีกิจกรรมที่ห้องคงต้องขอตัว ไปกันเถอะชางมิน” ผมรีบบ่ายเบี่ยงเพราะยังทำใจไม่ได้กับหลาย ๆ เรื่องและยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากันจริง ๆ จึงได้แต่หาทางเลี่ยงโดยใช้ชางมินเป็นโล่ห์
“กิจกรรมอะไร..ทำไมฉันจำไม่เห็นได้เลยจุนซูว่าช่วงบ่ายนี้มีงาน จำได้แต่บ่ายนี้ว่างเพราะอาจารย์ให้แยกย้ายกันไปทำรายงานต่อซึ่งกลุ่มเราก็ทำเสร็จตั้งนานแล้ว”
ชางมินตอบผมหน้าตายแถมยังก้มหน้าก้มตากินต่ออย่างไม่สนใจ ไอ้เด็กนรกบทจะซื่อก็ทำเป็นซื่อจนน่าหมั่นไส้อย่าให้พ่อรู้ว่าแกล้งกันนะ พ่อจะจับเจ้ามังดุลลูกแกใช้ชยากี้ฉันขย้ำให้ดู
“งั้นก็ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพี่ของยืมตัวเพื่อนนายสักเดี๋ยวนะ ส่วนถาดพวกนี้ฝากนายด้วยนะ อาหารในถาดพี่ยังไม่ได้กินเลยพอดีพี่ไม่ค่อยชอบสักเท่าไรฝากนายด้วยแล้วกัน เออ...แล้วพอดีพี่ได้บัตรขนมร้านตรงนั้นมาฟรีตั้งหลายใบ แต่พี่ก็ไม่ค่อยชอบกินของหวานด้วยสิ เอาเป็นว่าพี่ให้นายหมดเลยแล้วกันฝากด้วยนะ”
เสร็จจากการฝากฝั่งอาหารและชี้บอกแหล่งขุมทรัพย์ขนมหวานให้เจ้าจอมตระกละชางมินที่ขายพี่เพียงเพื่อแลกกับอาหารเรียบร้อยแล้ว ยูชอนก็ลากผมมาทางศาลาริมน้ำทันที พอถึงที่ผมก็สะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมทันที
“รุ่นพี่มีธุระอะไรพูดมาดีกว่า”
“เออ...คือ..ว่า...คือ...จะเริ่มต้นยังไงดีหละ”
“คืออะไรหละครับที่อยากจะพูด” ผมเอียงคอมอง แล้วถามอย่างสงสัย
“คือว่านายมีพี่สาวไหม” ที่นายลากฉันมาตั้งนานเพื่อถามแค่นี้หรอยูชอนแอบดีใจแทบตายว่านายจำฉันได้ ที่แท้ก็หวังหม้อพี่สาวฉันหวังเก็บแต้มหรือไงกัน
“ไม่มี” ผมตอบฮ้วน ๆ กลับไป
“น้องสาวหละ”
“ไม่มี”
“ไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ ก็ได้แต่เป็นญาติที่หน้าตาคล้าย ๆ นายที่เป็นผู้หญิงไม่มีบ้างเลยหรอ”
“ไม่มี.. ไม่มี ...ไม่มี.. พอใจยังครับถ้าต้องการถามแค่นี้ผมขอตัว” ผมเตรียมจะเดินหนีทันที แต่ยูชอนก็ขวางเอาไว้
“อย่าพึ่งโมโหสิฉันแค่อยากรู้นิดหน่อยเอง ใจร้อนไปได้ ว่าแต่ไม่มีจริง ๆ หรอ” ผมหันไปมองตาขวาง
“มีก็ได้ครับถ้ารุ่นพี่อยากรู้มาก คงมีอยู่คนหนึ่ง หน้าตาเหมือนผมมาก เป็นผู้หญิงเหมือนที่รุ่นพี่ต้องการ” ยูชอนทำท่าดีใจทำตาโตอย่างยินดีกับคำตอบที่ได้ฟัง พร้อมทั้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างต้องการฟังคำตอบ
“แม่ผมอย่างไงหละครับหน้าเหมือนผมมากๆๆ จนแทบจะแยกกันไม่ออก พอใจยังครับ” พอให้ฟังคำตอบยูชอนถึงกับหุบยิ้มทันที ซึ่งท่าทีผิดหวังนั้นทำให้ผมอดยิ้มย่องในใจเสียไม่ได้
“ถ้าต้องการคำตอบเพียงแค่นี้ผมขอตัวนะครับ” ผมตั้งท่าจะเดินหนีอีกครั้ง แต่แปลกที่คราวนี้ไม่ยักห้าม อีกทั้งยังนั่งนิ่งทำหน้าซึมดูน่าสงสารอีก ไอ้ผมก็ใจอ่อนเสียด้วยสิ ผมตัดสินใจนั่งลงข้างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่ไปแล้วหรอ”
“อืม...เดินมาไกลเมื่อย..ว่าจะนั่งพักก่อนค่อยไป” ผมที่ยังคงทำเป็นสนใจวิวรอบตัวอ่อมแอ้มตอบไป แล้วความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุม
“นายเคยมีรักแรกไหม” คนที่เงียบตั้งนานอยู่ ๆ ก็ถามขึ้น
“เคย ถามทำไม?”
“ตอนอายุเท่าไร?”
“จำไม่ค่อยได้ 6-7 ขวบมั้ง”
“แก่แดด...ตัวเท่านั้นริมีความรักและ” ผมหันขวับกลับไปมองตาเขียวทันที ทำไมเด็กไม่มีหัวใจรึไงฟ่ะ
“แล้วรุ่นพี่หละตอนอายุเท่าไร?” ผมถามกลับไปบ้าง
“หมายถึงอะไรเสียเวอร์จิ้น นะหรอตั้งแต่อายุ 14” หันมาตอบผมหน้าตาเฉย
“จะบ้าหรอเรื่องนั้นใครเขาจะอยารู้กัน ผมถามแบบนั้นซะเมื่อไร” ผมหน้าแดงกับคำตอบบ้า ๆ นั้นทันที
“อ้าวนึกว่าถามถึงเรื่องนั้น ก็ประมาณตอน 6-7 ขวบพอกันแหละ”
“โธ่...ทำมาพูดแก่แดดเหมือนกันแหละ แวะ... ว่าแต่พูดจริงหรอที่เสียเวอร์จิ้นตอนที่ 14” ถึงน่าอายแต่มันก็อดสงสัยไม่ได้จริง ๆ นิหน่าเล่นพูดเปิดช่องให้คิดแบบนั้น
“จะบ้าหรอ...ล้อเล่นน่า...”
“จริงอ่ะ แล้วตกลงตอนอายุเท่าไร”(ไหนว่าไม่อยากรู้ไงจุนจัง ยัง...ยังจะไม่เลิกนะ)
“เป็นความลับไว้นายมาเป็นแฟนฉันก่อนสิแล้วจะบอก” ยูชอนยิ้มให้ผมอย่างเจ้าเล่ห์
“ฝันไปเถอะ..ไม่อยากรู้ก็ได้ เชอะ..” ผมสะบัดหน้าหนี้รอยยิ้มขบขันเหมือนเห็นผมเป็นตัวตลกของคนตรงหน้า แล้วลุกขึ้นทันที
“เดี๋ยวสิคุยกับนายสนุกจะตาย จะรีบไปไหนซะแล้วหละ”
“หายเมื่อยแล้วจะกลับห้องเรียน”
“ไม่มีเรียนไม่ใช่หรอ...นั่งเล่นเป็นเพื่อนกันก่อนสิ......เหงา” ผมหูฝาดหรือเปล่าคนอย่างปาร์คยูชอนนะเหงาบ้าไปแล้วข่าวว่าตานี่เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ชอบสังสรรค์เข้าสังคมที่สุดจะเหงา...ไม่น่าเชื่อ ผมมองอย่างอึ้ง ๆ
“ทำไม..นายไม่เชื่อหรอ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“คนเรายิ่งมีคนเข้ามารุมล้อมมากเท่าไรก็ยิ่งเหงานะ” ผมส่ายหัวไม่เข้าใจกับคำพูดนั้นสักเท่าไร
“ฮ่าๆๆๆ ก็เพราะคนที่รุมล้อมไม่ใช่คนที่เราต้องการสักคน และก็ไม่ใช่คนที่จริงใจกับเราเลยสักคน แล้วแบบนี้ไม่เหงาหรอ?” ผมกลายเป็นคนถูกถามซะงั้น
“คงงั้นมั้ง ปกติผมไม่ค่อยมีใครมารุมล้อมหรอก คนจริงใจหรือไม่จริงนั้นยิ่งไม่รู้ใหญ่ ชีวิตผมมีเพื่อนสนิทจริง ๆ ไม่กี่คนเอง อย่างชางมินถึงปากเสียชอบจิกกัดผมบ้าง ทำตัววุ่นวายเหมือนตัวเองเป็นพี่ผมบ้าง แต่ผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่าถ้าหมอนี้จมน้ำตายตรงหน้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นผมก็ไม่ลังเลที่จะไปช่วย” ยูชอนฟังแล้วพยักหน้าตามผมช้า ๆ
“แล้วถ้าเป็นฉันหละ ถ้าฉันจมน้ำบ้างนายจะลงไปช่วยไหม?”
“ไม่..” ผมตอบทันควัน เป็นผลให้ยูชอนหน้าเจื่อนทันที
“ก็พี่คงว่ายน้ำเป็น แล้วสาว ๆ ก็รอช่วยพี่อีกเป็นสิบ ทำไมผมถึงต้องยอมเปลืองตัวโดนลงไปช่วยด้วยหละ”
“น่าน้อยใจชะมัด..ไอ้เราก็อยากให้ช่วย” ยูชอนทำน้าผิดหวังพูดเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ
“รุ่นพี่ว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัดอ่ะ”
“ช่างมันเถอะ..นายมันคนใจดำ คนตกน้ำตรงหน้าก็ไม่คิดช่วย”
“รุ่นพี่ป่วยหรือเปล่าเนี่ย เรื่องสมมุติทำเป็นจริงจังไปได้”
“แล้วท่ามันเกิดขึ้นจริงหละ นายจะไมช่วยฉันจริง ๆ หรอ” คนที่พูดแย่เล่นตอนแรกกลับมีท่าทีโมโหขึ้นมาเสียจนผมตกใจ
“แล้วจะมาเสียงดังใส่ผมทำไมหละ แค่เรื่องสมมุติ ตกใจหมด” ผมเสียงดังใส่บ้าง พลางเอามือลูบหน้าอกอย่างปลอบขวัญตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ เลยแล้วกัน”
ตูม.........พูดเสร็จก็กระโดดจากศาลาลงสระบัวเบื้องหน้าทันที เล่นเอาผมตกใจตาค้างทำอะไรไม่ถูก
“รุ่นพี่..ทำบ้าอะไรเนี่ย ขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ยูชอน ปาร์คยูชอนนนนน ยูชอน” ผมร้องเรียกอย่างเสียขวัญเมื่อคนที่กระโดดลงไปผุบหายไปในสายน้ำไม่มีทีท่าว่าจะโผ่ขึ้นมาสักที
“ยูชอนอย่าเล่นอะไรบ้า ๆ แบบนี้นะ ฉันไม่ขำด้วยนะ ยูชอนนายยังไม่มาชดใช้คำสัญญาของฉันเลยนะ ปาร์คยูชอน”
ผมที่ลังเลในตอนแรกว่ายูชอนคงจะแกล้งผมเล่น แต่โดดลงไปนานขนาดนั้นไม่โผ่ขึ้นมาสักที คงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วแหละ ผมจึงรีบถอดเสื้อสูท แล้วเนคไทค์ออกทันที
เหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน แล้วกระโดดลงไปเพื่อหวังช่วยยูชอนทันที
......... ตูม.....
“ยูชอน ปาร์คยูชอน...นายอยู่ไหนอ่า.... อย่าเล่นแบบนี้นะ...”
ผมดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ทั้ง ๆ ที่ลืมไปว่า...ตัวเองนั้นว่ายน้ำไม่เป็น และแล้วความกลัวในวัยเด็กของผมผุดขึ้นมาในหัวทันที เหตุการณ์ที่ผมพบกับยูชอนครั้งแรก
ตอนผมถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนแกล้งที่ไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อม ๆ กับเพื่อน เพราะอายเนื่องจาไม่ชินที่ต้องทำอะไรพร้อมคนจำนวนมาก เพราะผมถูกพ่อแม่ และย่าเลื้ยงมาเหมือนเด็กผู้หญิง จนได้โดนแกล้งเอากระเป๋าไปทิ้งในสระว่ายน้ำตอนเลิกเรียน
แล้วตอนนั้นเองที่ผมเกือบจมน้ำตายเพราะต้องการไปเก็บกระเป๋าทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น จนได้เจอกับยูชอนที่เข้ามาช่วยผมไว้ได้ทัน ผมคิดย้อนถึงภาพ ๆ นั้นในขณะที่ตัวผมเองตอนนี้กำลังสำลักน้ำ แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหนักขึ้น หนักขึ้นทุกทีกำลังจะจมลงไปยังก้นบึงของสระ ไม่ต่างจากวันนี้เลยสักนิด ก่อนที่สติของผมจะดับไป
************************************
กำลังเปิดเผยอดีตของ 2 คนนี้ทีละนิดแล้วนะเนี่ย ตอนนี้ยูซูทั้งตอนเลยนะหวังว่า สาวกยูซูคงพอชื่นใจกันหลังจากที่ไรท์เตอร์ทำให้รอมา 2 ตอน ส่วนใครที่หมั่นไส้ยุนที่มารู้ตัวช้า แต่พอแน่ใจทีก็รุกซะแจจ๋าเราตั้งตัวไม่ทัน ตอนหน้าได้กรี๊ดกร๊าดกันต่อแน่นอนเพราะยุนจะเริ่มปฏิบัติการเปลี่ยนแจจ๋าให้มาเป็นเคะของตัวเอง แม้แจจะไม่สมยอมก็ตามงานนี้ต้องคอยดูกันต่อไป.... ไปแระ....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น